life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
30 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX34XXX



            ความจริงกะไอ้แค่ถูกขอให้หายานอนหลับสักกำมือนึงก็ไม่น่าจะเป็นอะไรที่ยากลำบากเกินกว่าจะทำให้ได้ แต่เมื่อรู้ว่าจุดประสงค์ของมันจะเอาไปใช้เพื่อทำอะไรเนี่ยสิ ผมถึงกับเหงื่อแตก นี่ผมควรจะช่วยสงเคราะห์แกหรือปล่อยให้แกไปตายทรมานเอาดาบหน้า


โอเคครับ... ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปผมต้องขออ้างอิงสิ่งที่ผมเชื่อก่อน หนึ่งคือผมคิดว่า-ในกรณีคนที่รักเราตายจากไปหมดแล้ว-คนเรามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะฆ่าตัวตาย ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตาม ทนความเจ็บปวดจากความเจ็บป่วยไม่ไหว เบื่อชีวิต ถ้าอยากจะตายก็ตายไปครับ แต่ไม่ต้องลากให้คนที่ไม่รู้เรื่องมาเป็นทุกข์ไปด้วย ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันนะครับว่าจะไปรู้สึกผิดอะไรนักหนากับการไปซื้อยานอนหลับสักสองสามแผงเพื่อให้แกหลับสบายใต้พื้นโลก เป็นความรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่ทราบสาเหตุครับ ผมไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ผมไม่เชื่อว่าโลกนี้ยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเจตจำนงเสรีของมนุษย์ แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด


ผมใช้เวลาทั้งคืนเฝ้าถามตัวเองว่าเพราะอะไร? และในที่สุดผมก็ได้คำตอบครับ เพราะว่าผมชอบแก รู้สึกว่าแกเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง และถ้าอยู่ดีๆเพื่อนมาบอกว่าอยากตาย เราก็คงต้องห้ามเป็นธรรมดาจริงไหม?


“เฮ้ยปู่...” ผมคุยกับแก “ถ้าปู่ตายไปผมจะไปคุยกับใคร”


“เอ็งไม่ต้องมาโม้ เพื่อนเอ็งก็มาเยี่ยมทุกวัน” แกตอบ “ตกลงเอ็งจะทำหรือไม่ทำ ถ้าเอ็งไม่หายามาให้เห็นทีข้าคงต้องตายทรมาน”


 “โอเคปู่” ผมถอนหายใจ “ถ้าออกไปแล้วผมจะซื้อกลับมาฝากละกัน” ผมพยายามพูดให้เหมือนสิ่งที่ซื้อมาเป็นรังนกหรือของเยี่ยมไข้อะไรประเภทนั้นแทน ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าสิ่งที่ผมซื้อมันเอาไปใช้ทำอะไร เอาเถอะครับ... ผมก็ยังคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขายปืน เคยดูหนังเรื่อง Lord of War ที่ตัวเอกไปขายปืนให้เค้าเอาไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน ผมดีกว่านั้นครับ เพราะอย่างน้อยคนที่ต้องตายด้วยยาของผมก็คือคนที่เค้าอยากตายจริงๆ


“เออ...” ปู่เรียกผมหลังจากที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกำลังจะลาแกกลับ “ถ้าข้าตายไปแล้ว ข้าจะตอบแทนเอ็งด้วยการช่วยไล่มันละกัน”


“อะไรหรอปู่” ผมถามงงๆ


“ก็ไอ้ตัวซวยที่อยู่ข้างหลังเอ็งมาตลอดนั่นไง” ปู่ตอบได้ตรงประเด็นมากจนผมขนลุก


“ปู่เห็นหรอ” ผมถามด้วยความตระหนกคูณสอง


“ไอ้เหี้ย... คนจะกลายเป็นผีอยู่แล้วก็ต้องเห็นผีสิวะ” แกด่ากลับ


แน่นอนครับ ไอ้วิศวะยังอยู่ข้างหลังผม สำหรับผู้ที่กำลังติดตามเรื่องราวของวิศวะต่อว่าจะเป็นอย่างไรนั้น ปู่แกอธิบายว่าสไตล์เนี้ยเป็นวิญญาณอาฆาตที่อยากจะเอาผมตายตกตามกัน แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ วิญญาณก็คือวิญญาณ ก็แค่มีเพื่อนที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง สักวันผมคงต้องไปเคารพอัฐิมัน แต่จะวันไหนนั้นผมก็ยังไม่ทราบเพราะตอนนี้ก็เปิดเรียนไปได้อาทิตย์นึงแล้ว ผมคงต้องเรียนตามให้ทัน เพราะถ้าเทอมนี้เกรดผมยังคงย่ำอยู่กับที่ละก็ เห็นทีต้องโดน Retire ครับ


 


ในที่สุดนาฬิกาชีวิตของผมก็เดินช้าลงด้วยความเบื่อหน่ายของไลฟ์สไตล์อันซ้ำซากจำเจ ความรักไม่เคยทำลายใครเลย ความหมกมุ่นต่างหากที่เป็นตัวการแห่งความเศร้าโศกอันแท้จริง ปู่แบนตายไปแล้วตายไปก่อนที่ผมจะเอายาไปให้แกเสียอีก แกหลับและวิญญาณก็ไหลออกจากร่างขณะหลับเหมือนไหลตายนั่นละ การตายในลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีอายุขนาดแก เค้าเรียกกันว่าแก่ตาย ผมไปงานศพแก เป็นงานศพเหงาๆง่ายๆ คนค่อนข้างจะเบาบาง เอาเถอะครับ ลูกเมียแกก็ไม่มี เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับแกก็น่าจะลงไปรอแกอยู่ในปรโลกกันหมดแล้ว ผมไม่ได้คุยกับใครในงานเลยครับเพราะผมนับว่าเป็นเด็กวัยรุ่นคนเดียวที่อยู่ในงานและไม่ใคร่จะมีคนสนใจนัก


ผมไหว้ศพ ข้างๆโลงเป็นรูปถ่ายขาวดำของแกตอนหนุ่มๆ หล่อเหมือนพระเอกหนังไทยอย่างที่แกบอกจริงๆ แกฝากจดหมายให้ผมฉบับหนึ่ง ข้อความในจดหมายบอกให้ผมไปเอาของที่แกฝากโรงพยาบาลไว้ เมื่อไปตามจดหมายผมจึงพบว่ามันเป็นลังกระดาษ ข้างในมีหนังสือเก่าอัดแน่นอยู่จนเต็มกล่อง แกเห็นผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือกระมังครับ ผมนึกขอบคุณแกในใจเพราะว่าในกล่องเหล่านี้มีหนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยมากมาย ทั้งงานเขียนของกูรูกระแสหลักอย่างศรีบูรพา จิตร ภูมิศักดิ์ เรียนรู้เกี่ยวกับตื้นลึกหนาบางของชนชาติเรา จะจริงไม่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ เพราะหนังสือมันก็เป็นหนังสือ แต่อย่างน้อยไอ้เรื่องราวเช่นพวก เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ก็ทำให้ผมรู้สึกฉลาดขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง คือต้องยอมรับนะครับว่าคนไทยเราเนี่ย ในหลักสูตรการเรียนตั้งแต่เด็กๆก็สอนแต่เรื่องประวัติศาสตร์ฝรั่ง โคลัมบัสค้นพบดินแดนใหม่ เราหัวดำแท้ๆก็ไปบ้าจี้ดีใจไปกับพวกหัวทองด้วย คือหลักสูตรมันอาจจะตามฝรั่งมากไปหน่อย ซึ่งถ้าลองวิเคราะห์ดีๆจะเห็นว่าไอ้พวกอเมริกันตื่นทองยุคนั้นมันก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อินเดียนแดงดีๆนี่เอง ถ้ายังเรียนกันอย่างนี้ผมว่าเราก็เป็นทาสทางความคิดของพวกแม่งอยู่วันยังค่ำ เรื่องของไทยก็มีบ้าง แต่ก็ออกแนวท่องจำ แบบโง่ๆ เช่น คำถามในข้อสอบพวก ข้อความใดไม่ปรากฏในศิลาจารึก


ก.     ในน้ำมีปลาในนามีข้าว


ข.     ใครจักใคร่ค้าช้าง ใครจักใคร่ค้าม้าค้า


ค.     ประเพณีเป็นสง่า บุพชาติล้วนงามตา


แทนที่จะมาวิเคราะห์กันเกี่ยวกับที่มากันว่าศิลาจารึกเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นเพื่อให้คนไทยเกิดความรู้สึกรักชาติรักสถาบันอันมีประวัติศาตร์อันยาวนานของเราหรือไม่?? คือตอนเด็กๆผมมักจะได้ทำข้อสอบกากบาทประมาณเนี้ย แล้วชอบมาพูดกันว่าเด็กคืออนาคตของชาติ เล่นวัดความรู้กันง่ายๆอย่างนี้ชาติก็ชิบหายสิครับ ผมมีความรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าข้อสอบแบบกากบาทคือความมักง่ายของครูผู้สอน ถึงมันจะตรวจง่ายก็จริง แต่มันก็ลอกง่าย มั่วได้ เป็นการวัดความรู้เด็กที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก คือผมเคยช่วยครูตรวจข้อสอบละครับ เอากระดาษคำตอบมาเจาะเป็นช่องๆแล้วก็เอามาทาบเช็คคำตอบ สอบทั้งชั้นตรวจชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว ผิดกับข้อสอบแบบเขียนอธิบายที่ผู้สอนต้องเข้าใจวิธีคิดของนักเรียนจริงๆ เอาจริงๆนะครับ ผมคิดว่าผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่แอนตี้ระบบการศึกษาไทยทั้งๆที่ศึกษาอยู่ในระบบนี้มาทั้งชีวิต จะเรียกว่าเนรคุณก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งดูหนังฝรั่งเศสเรื่องนึงชื่อ The Class ไม่แน่ใจว่าเป็นแนวอินดี้หรือเปล่า แต่ว่าหนังมันดีมาก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับบรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เด็กๆมีอิสระในการโต้ตอบกับครูเต็มที่ คือเด็กเค้ากล้าคิดกล้าถาม กล้าติกล้าชม กล้าแสดงออก ถึงแม้จะผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็เป็นเด็กมีโอกาสจะคิด พอผิดพลาดก็มีคนแก้ให้ คนละไม้คนละมือครับ สุดท้ายแล้วก็คิดเป็นและทำให้บ้านเมืองเค้าเจริญกว่าบ้านเราในที่สุด  


ไม่น่าเชื่อนะครับพอผมอ่าน เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 โดยคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ แล้วจึงรู้ว่าผู้ริเริ่มขบวนการคณะราษฎร์นั้นเป็นนักเรียนยุโรปแทบจะทั้งยวง และส่วนมากก็เป็นนักเรียนฝรั่งเศสอีกด้วย ที่ดังๆก็มีจอมพล ป ที่ตอนนั้นเป็นนักเรียนนายทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส และ ปรีดี พนมยงค์ ที่ตอนนั้นเรียนกฏหมายอยู่ที่ฝรั่งเศส ทั้งสองท่านนี้เป็นบุคคลสำคัญยิ่งของสยามซึ่งถ้าคุณเคยเรียนประวัติศาสตร์ไทยน่าจะเคยผ่านตามาบ้างเพราะทั้งคู่เคยเป็นนายกฯและมีส่วนสำคัญให้ไทยผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อย่างที่ไม่ต้องเจ็บตัวอะไรนัก ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส เขาเล่าให้ฟังว่าบ้านเมืองที่นั่นมีบรรยากาศให้เสรีภาพและประชาธิปไตยที่เบ่งบานสุดๆ ประมาณว่าแทบจะได้กลิ่นแห่งอิสระภาพลอยตามอากาศเลยทีเดียว โอเคครับ... บ้านเมืองเรายังเร็วเกินไปที่จะไปเปรียบเทียบความเจริญทางความคิดสไตล์ยุโรป เพราะที่การปฏิวัติฝรั่งเศสนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1789 ซึ่งก่อนหน้าที่บ้านเมืองเราจะปฏิวัติถึง 143 ปี


มันเป็นเทรนด์ของทั้งโลกครับที่จะเซต Goal สูงสุดไปที่บ้านเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ ประชากรฉลาดคิดเองได้ ไม่มีการโกงเลือกตั้ง เมื่อเราตั้งคุณค่าไว้ที่การปกครองที่ให้ความเป็นปัจเจกแบบนั้น อีกหน่อยก็คงยกเลิกระบบแบบเครือญาติเลิกเรียก ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง มาเป็นคุณกับผมกันหมด แต่ก็น่าจะดีนะครับ คอรัปชั่นหมดไป GDP สูงขึ้น HDI ก็สูงขึ้น แต่คนจะมีความสุขขึ้นหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน


 ลองคิดเลขในใจดูนะครับ บ้านเมืองเราปฏิวัติปี 2475 ตอนนี้ปี 2546 แสดงว่าเราเพิ่งเป็นประชาธิปไตยมาเพียง 71 ปีเท่านั้นเอง ส่วนทางฝรั่งเศสนั้นเป็นมาแล้ว 2003-1789=214 ปี เป็นมานานกว่าไทยสามเท่า ผ่านยุคมืดที่คนนอกรีตถูกเผาทั้งเป็น ผ่านสงครามโลกสองครั้ง และผ่านเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างนโปเลียนมาแล้ว เคยโดนนาซีถล่มจนเละมาแล้ว กว่าจะมาเป็นฝรั่งเศสได้อย่างในปัจจุบันต้องสละชีวิตคนไปเท่าไร เหนื่อยยากเท่าไร คือมันบอกไม่ได้หรอกครับว่าอีกร้อยหรือสองร้อยปีบ้านเมืองเราจะเจริญเท่าบ้านเมืองเขา ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง รู้อย่างนี้อย่างน้อยเราก็มีความหวังจริงไหม?


ต้องกราบขอบพระคุณสำหรับปู่แบนที่ถึงแม้จะกลายเป็นเถ้าไปแล้วก็ยังมีน้ำใจให้ความรู้ยกระดับสมองของผม แกหวังอะไรไว้กับผม สรุปไอ้วิศวะยังสิงสถิตอยู่ข้างหลังผมหรือว่าแกไล่มันไปแล้ว ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ทราบเพียงแค่ว่าถึงจะรู้อะไรมากแค่ไหนชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปละครับ สักวันความคิดของผมอาจจะถูกเขียนออกมาให้คนรุ่นต่อไปอ่าน เหมือนที่ปู่แกเขียนให้ผมอ่านตอนนี้ก็ได้ แต่ชีวิตก็คือชีวิตละครับ... พอเรื่องวุ่นวายหมดไปผมก็ต้องกลับเข้าสู่โหมดปกติ จะอะไรซะอีกละครับ ก็กลับไปสู้กันต่อในรั้วมหาลัยไงครับ!


     


 






Free TextEditor


Create Date : 30 ตุลาคม 2552
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 20:29:04 น. 0 comments
Counter : 373 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]