life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
4 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX11XXX


       


บอกตรงๆเลยนะครับว่าผมค่อนข้างจะตบะแตกทุกทีที่เดินสยาม เอาเป็นว่าถ้าคุณเป็นแมน 1000% คุณคงจะเข้าใจว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร ถึงแม้ช่วงหลังๆของการเรียนมหาลัยของผมจะติดสยามมากขนาดต้องอ่านหนังสือสอบก็มานั่งอ่านแถวนี้ ทั้งๆที่พื้นที่แถวนี้ไม่เคยให้สมาธิกับผมได้เลยก็ตาม


 นั่นไงครับ ผมเห็นเธอแล้ว ยืนอยู่หน้าร้านหนังสือที่เรานัดกันเอาไว้ เธออยู่ตรงนั้น ยืนซึมๆตัดกับบรรยากาศของผู้คนที่กำลังมีความสุขกับการเดินช้อปปิ้งหลังเลิกงาน เธอหันมาเห็นผมแล้วจึงยิ้มให้ ผมยิ้มตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาเธอ


“หิวข้าวหรือยัง?” ผมถามเธอตามมารยาทคนไทย


“ค่ะ” เธอตอบแบบซึมๆ “ตั้งแต่เช้าหนูยังไม่ได้กินอะไรเลย”


ไม่น่าเชื่อว่าจะยังหิวอยู่! ผมว่าถ้าเธอร้องไห้มาทั้งวันเธอก็คงกินน้ำตาจนอิ่มแล้วล่ะ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดเสียดสีที่คนอย่างผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดออกมาจากปากเด็ดขาด ผมขอแก้ตัวหน่อยว่าความจริงแล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนโหดร้ายอะไรมากมาย ความจริงผมก็เป็นคนจิตใจดีที่ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เพียงแค่ปากเสียไปหน่อยสไตล์คนนิสัยเสียที่มองโลกตามความเป็นจริงก็เท่านั้นเอง


“อยากกินอะไรครับ” ผมถาม เธอส่ายหน้า


 “หนูกินอะไรก็ได้ค่ะ”


เอาอีกแล้วสิครับ ความยุ่งยากมันตามมารบกวนผมแม้กระทั่งเรื่องกิน และบางทีผมรู้สึกว่าคำว่ากินอะไรก็ได้นี่มันเป็นคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบมาก แบบว่าคนพูดมักจะไม่ยอมคิดจะเริ่มต้นเป็นผู้นำในการทำอะไรเลยแม้กระทั่งเรื่องกิน ลำบากผมต้องคิดอีกว่าจะกินอะไร สำหรับผมแล้วการกินไม่ใช่เรื่องอะไรของชีวิตเลยครับ ผมชอบอ่านหนังสือดีๆ ดูหนังดีๆ ฟังเพลงดีๆ ผมชอบการเดินทางที่สะดวกสบาย แต่สำหรับเรื่องกินนี่ผมได้ทุกอย่าง อร่อยไม่อร่อยผมก็กินเรียบหมดตามคติ กินเพื่ออยู่ไม่ใช่อยู่เพื่อกินละครับ


“งั้นอยากกินอาหารญี่ปุ่นหรือเปล่า?”


“ได้ค่ะ”


เฮ้อ... ผมเข้าใจนะครับว่าเธอกำลังเศร้า แต่การถามคำตอบคำอย่างนี้มันน่าหดหู่ชะมัดเลย แต่เมื่อเธอตอบตกลงแล้วจะให้ผมทำอะไรอีกละครับนอกจากออกเดินนำหน้า ล้วงบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบ แล้วจึงยื่นแท่งมะเร็งให้เธอ ถามเธอว่าเธอสูบหรือไม่ เธอบอกขอบคุณแต่ก็ตอบปฏิเสธ เธอบอกว่าเธอไม่สูบบุหรี่เพราะควันบุหรี่จะทำให้หน้าแก่เร็ว ผมไม่รู้ว่าเธอด่ากระทบผมหรือเปล่า หวังว่าคงจะไม่ใช่นะครับ เพราะผมถึงขนาดเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อนเธอ รับฟังปัญหาเธอ แล้วถ้ายังจะมาด่าว่าผมหน้าแก่อีกนี่มันรับไม่ได้จริงๆ


ร้านที่ผมจะพาเธอไปกินเป็นร้านราเม็งครับ เป็นร้านบะหมี่ญี่ปุ่นที่ถ้าไปตั้งอยู่แถวเยาวราชก็เทียบได้กับบะหมี่จับกัง บะหมี่จับกังคือบะหมี่ที่เน้นปริมาณไม่เน้นคุณภาพ คือเน้นเส้นเยอะๆเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชนชั้นกรรมมาชีพละครับ ที่สยามนี่ก็มีเหมือนกันแต่เปลี่ยนจากบะหมี่จับกังเป็นราเม็งจับกัง การทำการตลาดก็เหมือนๆกันคือเน้นเส้นเยอะๆ เนื้อน้อยๆ เจาะกลุ่มเป้าหมายนักศึกษากระเป๋าแห้งที่ชอบเดินเฉิดฉายในย่านนี้ ร้านอยู่ในซอยมืดที่เต็มไปด้วยหนู แมลงสาบ และสัตว์อื่นๆเท่าที่คุณจินตนาการได้ว่าจะเจอในท่อระบายน้ำ พอผมเดินมาถึงร้านบุหรี่ก็หมดมวนพอดี ร้านก็ไม่มีอะไรมาก ม่านญี่ปุ่นเล็กๆเหมือนที่เห็นในหนัง ร้านมีบรรยากาศอึมครึมของความแคบและความมืดในช่องตึก แต่คนเยอะมากครับ โต๊ะมีคนจับจองจนเต็ม ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเกรียน พวกเกรียนก็คือเด็กมัธยมหัวเกรียนๆที่ชอบทำตัวซ่าๆอยู่แถวนั้น เมื่อก่อนผมก็มีฐานันดรอยู่ในกลุ่มพวกเกรียนเหมือนกันครับ ผมรองทรงสูง กางเกงขาสั้น รองเท้าเหยียบส้น สูบบุหรี่ แล้วเดินทำตัวเก๋าๆเดินไปเดินมา พอเจอเด็กต่างโรงเรียนก็ต้องมองหน้าหาเรื่องกัน ถ้ามองกันจนไม่มีใครยอมหลบตาให้ใครก็ต้องท้าตีท้าต่อย


ผมต้องพาน้องหมูน้อยคนนี้เดินผ่านเกรียนเป็นกลุ่มเพื่อเข้าไปนั่งยังโต๊ะข้างในสุดที่ยังว่างอยู่ ผมรู้สึกรำคาญเพราะเธอที่มากับผมแต่งตัวแบบนุ่งสั้นเสื้อกล้ามบวกกับผิวสีน้ำผึ้งที่ค่อนข้างจะผุดผ่องทำให้พวกเกรียนมองตามกันเป็นแถว ผมหลบตาพวกนี้ครับไม่ใช่เพราะผมขี้ขลาดนะครับ แต่พวกมันอยู่กันเป็นฝูง หน้าตาท่าทางเวลาอยู่กันเยอะๆก็ห้าวเสียเหลือเกิน บอกอีกครั้งนะครับว่าไม่ได้กลัว... แค่เกรงใจ 


ผมถามเธอว่าเธอจะกินอะไร


“อะไรก็ได้ค่ะ” เธอตอบผมแบบไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้อีกแล้ว เอาล่ะครับ... เมื่อเธอจะไม่ตัดสินใจอะไรเลยต่อจากนี้ผมก็จะตัดสินใจแทนให้หมดเลยละกัน


ผมสั่งราเม็งต้มยำมาสองชาม สั่งไปยังไม่ทันจะได้รอ คนขายก็กระแทกราเม็งต้มยำสองชามใหญ่ลงข้างหน้าผม ส่วนประกอบทั้งหมดที่ราเม็งชามนี้มีก็คือเส้นที่อัดแน่นเต็มชาม น้ำซุป เศษผัก เศษเนื้อ และน้ำพริกเผาสีแดงเพลิงที่โป๊ะหน้าส่งกลิ่นพริกเผาหอมฉุย ดูจากปริมาณแล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กวัยกำลังโตพวกนี้ถึงได้เข้าร้านกันแน่นขนัด การวิวาทต่อยตีนี่มันคงต้องใช้พลังงานเยอะมั้งครับ ชีวิตของเด็กจนๆอย่างเราจะต้องการอะไรมากกว่าพลังงานจำพวกแป้งครับ ผมหักตะเกียบ โซ้ยมันอย่างหิวกระหายเพราะตั้งแต่ได้กินโจ๊กตอนเช้าผมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเหมือนกัน สำหรับราเม็งชามโตชามนี้บอกได้เลยว่าราคาถูกมากเพียง 30 บาท (อิ่มละ 30 บาทในสยามนี่ใช้ได้เลย) สิ่งสำคัญที่สุดในการจะกินราเม็งชามนี้ให้อร่อยคือต้องรีบกิน ช้าไม่ได้แม้แต่นาทีเดียวเพราะเส้นราเม็งที่ร้านใช้เป็นเส้นที่ขึ้นอืดได้เร็วที่สุดในโลก เรียกได้ว่าถ้าลองเอาเส้นนี้แช่น้ำได้ไม่ถึงห้านาทีก็ขึ้นอืดแล้วครับ เรื่องราเม็งนี้สอนให้ผมรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง ราคาและคุณภาพมักจะมาด้วยกันเสมอ


เคี้ยวไปได้สองสามคำ พอจะหันไปบอกเธอให้รีบกินก่อนที่เส้นจะอืด พระเจ้าช่วย... เธอซัดราเม็งชามใหญ่นั้นไปหมดชามแล้วครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเธอคงจะหิวจริงๆเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า แต่หลังจากรับประทานชามนั้นเสร็จแล้วดูเหมือนเธอยังไม่พอครับ ตะโกนสั่งพิเศษมาอีกชาม พอผมกินได้ครึ่งชามของผม เธอก็สำเร็จโทษชามใหม่เสร็จเรียบร้อย คือส่วนตัวผมกินไปได้ครึ่งชามก็เริ่มอิ่มแล้วละครับ ผมจึงวางตะเกียบ พอผมวางตะเกียบเท่านั้นล่ะ เธอก็ถามผมขึ้นมาว่าผมอิ่มแล้วหรอ ผมจึงเสนอเส้นที่เหลือให้เธอรับประทานจนหมด เธอหยิบชามผมไปไม่ถึงสองนาทีก็เกลี้ยงชาม ในตอนนั้นผมจะทำอะไรได้อีกละครับนอกจากมองตาค้าง ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กผู้หญิงตัวผอมบางอย่างเธอจะมีกระเพาะใหญ่ขนาดรับราเม็งจับกังสองชามครึ่งไปได้อย่างไร พอเธอรับประทานเสร็จเรียบร้อยก็สั่งโค้กมาดูดจนหมดขวดและสุดท้ายจึงเรอเสียงดังออกมา เสียงของเธอนั้นดังมากซะจนพวกเกรียนที่กำลังคุยกันเกรียนๆอยู่แถวนั้นเงียบกริบมองมาทางต้นเสียงเป็นตาเดียว ผมรู้แล้วครับว่าทำไมพ่อแม่ของเธอจึงตั้งชื่อลูกว่าหมูน้อย สุดยอดเลยครับแม่สาวคนนี้... ผมเลือกให้ความช่วยเหลือแก่คนไม่ผิดคนเลย ผมภูมิใจในตัวเธอมากทีเดียว


“อิ่มหรือยังครับ?” ผมยิ้มถาม


“เกือบแล้วค่ะ” เธอตอบ “ราเม็งร้านนี้... หนูว่าอร่อยดี”


ก็ต้องอร่อยสิครับกินไปซะขนาดนี้ โอ้... เชื่อเขาเลย ทีหลังถ้ามีรายการถนัดแดก พวกทีวีแชมเปี้ยน หรือแข่งกันกินฮอตดอกผมจะเป็นสปอนเซอร์กรอกใบสมัครให้เธอเลย แม่สาวจอมสวาปาม


โอเคครับ... ผมเลี้ยงเธอแล้วจึงออกไปสูบบุหรี่ ส่วนเธอนั้นก็ไปซื้อไส้กรอกกินเพิ่ม การสูบบุหรี่หลังอาหารเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง แต่การที่ได้เห็นสาวสวยหุ่นดีมีความสุขกับการกินด้วยนั้นน่าอภิรมย์ยิ่งกว่า ผมมองเธอกินจนไส้กรอกชิ้นสุดท้ายหมดไปจากถุง ผมยอมรับครับว่าจนแล้วจนรอดผมก็เริ่มชอบเธอขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ความชอบแบบที่จะจีบเป็นแฟนหรือชอบอยากไปล่วงเกินทางเพศอะไรอย่างนั้นนะครับ แต่เป็นความชอบในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถจะกินได้อย่างไม่ห่วงสวย ผมรำคาญมากครับเวลาไปออกเดตกับใครแล้วเจอกับผู้หญิงที่กินอันนั้นก็ไม่ได้เดี๋ยวอ้วน กินอันนี้ก็ไม่ได้เดี๋ยวอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงผมก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงอ้วนแบบกิมมูมมามอะไรอย่างนั้นนะครับ สเป็คผมก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ชอบผู้หญิงที่รูปร่างกำลังพอดี มีนมบ้าง มีก้นบ้าง ให้ทุกอย่างมันดูกลมกลืนออกมาสมดุล ถ้าผอมเกินไปหุ่นแบบนางแบบอดอาหารอย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน สรุปว่าผมเริ่มจะรู้สึกไม่เสียดายเวลาที่ได้ใช้ไปในการทำความรู้จักกับแม่สาวคนนี้แล้วสิครับ


น่าเสียดายครับ กับผู้หญิงที่น่าประทับใจขนาดนี้จะมาจมปลักกับความรัก ความรักที่เต็มไปด้วยความโง่เขลาเห็นกงจักรเป็นดอกบัวของเธอ ในมุมมองของผม ผมรู้สึกว่าตอนนี้(หลังจากที่เธอสวาปามทั้งหมดทั้งปวงนั้นเสร็จ) เธอก็ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก ผมจึงพาเธอไปร้านเหล้าร้านหนึ่งอยู่ชั้นสองของตึกแถวย่านนั้น เป็นร้านที่ผมไปนั่งประจำเพราะมันเงียบ เปิดดนตรีเบาๆ ให้ความเป็นส่วนตัวเพราะคนไม่มากนัก แถมคนส่วนใหญ่ยังเป็นพวกมีโลกส่วนตัวสูงชอบไปนั่งคิดอะไรคนเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นร้านที่ผมชอบมานั่งตั้งแต่เข้ากรุงเทพฯมาเพื่อเรียนกวดวิชาตอน ม. ปลาย แล้วครับ


เรานั่งบนเคาน์เตอร์ สั่งเบียร์สองขวด แก้วแช่เย็นสองแก้ว มาที่นี่ผมมักจะทำตัวไฮโซสั่ง Heineken ขวดเขียว แต่ถ้านั่งคนเดียวอยู่บ้านผมก็กินขวดน้ำตาลได้หมดทั้ง Leo Cheer ช้าง และอาชา ส่วนเหล้าพวก Red หรือ Black นั้นไว้จิบตอนไปเที่ยวกลางคืนก็มากเกินพอแล้วครับ บาร์เทนเดอร์วางแก้วเย็นจัดจนเป็นเกล็ดขาวสองใบไว้ตรงหน้า แล้วจึงบรรจงรินเบียร์ไม่ให้เกิดฟอง ภาพทั้งหมดที่ผมบรรยายมาอาจจะให้บรรยากาศแปลกๆกับผู้อ่านเพราะท่านคงจะไม่ชินกับการเห็นบาร์เหล้าที่ไหนจะมีบาร์เทนเดอร์ที่ลดตัวลงมารินเบียร์แทนเด็กเชียร์เบียร์อย่างนี้ แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันละครับ ไม่ว่าคุณจะขายอะไรก็ตาม ในภาวะเศรษฐกินตกสะเก็ดอย่างนี้ ถ้าคุณยังอยากอยู่รอด คุณก็ต้องปรับสภาพการค้าขายของคุณให้เข้ากับกระแสโลกให้ได้ และบริการอย่างดีและถูกนี่แหละครับที่ทำให้ร้านเหล้าเล็กๆอย่างร้านนี้สามารถยืนหยัดไม่โดนร้านเฟรนไชน์ตีตายหมด (ถ้าบาร์เทนเดอร์จะชงให้แต่เบอร์เบิ้นออนเดอะร็อกอย่างเดียว ร้านก็เจ๊งสิครับ)


โอเค... เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็คงจะเลี่ยงไม่พูดถึงสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันอย่างการล้มหายตายจากของร้านโชว์ห่วยไม่ได้ มันเป็นความจริงที่รัฐบาลควรจะอุ้มร้านเหล่านี้ให้มากกว่านี้ แต่จะโทษเซเว่นโลตัสอย่างเดียวก็ไม่ได้ ลองคิดดูในแง่กลับกันว่าในประเทศประชาธิปไตยผู้บริโภคก็ควรมีอิสระในการซื้อ เพราะการแข่งขันทางการตลาดก็มักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค (คนส่วนใหญ่) อยู่แล้ว ดังนั้นร้านโชว์ห่วยก็ควรจะดึงจุดเด่นของความเป็นโชว์ห่วยออกมาสู้ ผมอาจจะไม่รู้ตื่นลึกหนาบางมากพอ แต่ผมก็ยังเห็นมีร้านเล็กๆที่พอจะอยู่รอดสู้กับบริษัทใหญ่ๆได้อยู่บ้าง ทั้งร้านเหล้า ร้านหนังสือ ถึงแม้จะร้านโชว์ห่วยเองก็เถอะ แต่ที่สำคัญคือการตลาดครับ ทุกคนถ้าอยากจะอยู่รอดก็ต้องปรับตัวละครับ จะหวังให้ทุกสิ่งดีเหมือนเดิมโดยไม่ออกแรงอะไรเลยคงไม่ได้ ผมไม่ได้ว่าใครเป็นพิเศษนะครับ เพราะปัญหาอย่างนี้มันก็เจอกันทุกสาขาอาชีพนะแหละครับ ผมยอมรับว่าผมโง่ครับ ดังนั้นบางทีถ้าจะพูดอะไรโง่ๆออกมาบ้างก็หวังว่าคุณจะไม่ถือสาอะไร


“คุณรู้สึกดีขึ้นมาบ้างหรือยัง” ผมถามเธอหลังจากที่เราดื่มไปได้แก้วที่สาม


“ดีขึ้นกว่าตอนเช้ามากเลยค่ะ” เธอตอบ


“คุณรู้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงรู้สึกดีขึ้น” ผมถามจี้


“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เธอตอบแล้วหยุดทำท่าคิด “หนูเพียงแค่รู้สึกดีขึ้น”


เธอยังอ่อนต่อโลกอยู่มากและเธอก็คงไม่รู้หรอกว่าการทำให้ตัวเองหลุดออกมาจากวังวนแห่งความคิดฟุ้งซ่านทุกข์ทรมานนั้นทำได้ง่ายๆโดยการเปลี่ยนบรรยากาศโดยที่มีคนที่คุณคิดว่าคุณสามารถจะพูดเปิดอกได้ ฟังคุณระบายความทุกข์ แต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่คนที่เผชิญกับปัญหาเหล่านี้แรกๆมักจะไม่รู้หรอกครับ ส่วนผมมันเจ็บปวดจนช่ำชองซะแล้ว ส่วนใหญ่เมื่อผมมีความทุกข์ผมจะใช้หลักการคล้ายๆกับอริยะสัจ 4 คือหาสาเหตุแห่งทุกข์และก็หาทางดับมันซะ แต่ถ้าเธอเก่งขนาดนั้นเธอก็คงไม่ถ่อมาถึงที่นี่หรอกครับ


สำหรับผมแล้วสองสิ่งที่ปกติจะช่วยเจือจางความทุกข์ได้อย่างดีก็คือ เซ็กซ์และแอลกอฮอล์ เพราะเบียร์เย็นๆที่ผมกระดกแก้วแล้วแก้วเล่าอยู่นั้น ถ้าใช้ให้เป็นคือดื่มอยู่ในระดับที่พอดีแล้วมันก็สามารถช่วยลดความเครียดได้พอสมควร ส่วนเซ็กซ์นั้นเป็นการปรับระดับฮอร์โมนภายในร่างกายเหมือนกันครับ ประมาณว่าพอผมเหนื่อยจากกิจกรรมทางเพศแล้วก็จะหมดแรงเครียดไปเอง ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าผมจะไปทำอะไรเธอนะครับ ผมไม่ได้เป็นคนเครียด และเดาว่าเธอเองก็ไม่ได้ต้องการทางนั้น แค่ดื่มแล้วได้พูดคุยระบายปัญหากับคนที่คุณไว้ใจนั่นก็ช่วยได้มาก คนเราถ้าอยากเก่งอย่างแรกที่ต้องเรียนรู้ก็คือการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกทางด้านลบของตัวเองนะครับ ผมว่า...


การดื่มเยอะเกินไปก็ทำให้น้ำเริ่มจะเต็มกระเพาะจนปวดปัสสาวะ ผมก็ต้องขออนุญาตลงไปปลดปล่อยหน่อยละกันครับ ห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ต้องลงบันได ในจังหวะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากตัวตึก ทันใดนั้นร่างใหญ่ๆคุ้นๆก็เดินผ่านหน้าผมไปอย่างรีบเร่ง


 


        


 






Free TextEditor


Create Date : 04 ตุลาคม 2552
Last Update : 5 ตุลาคม 2552 11:47:18 น. 0 comments
Counter : 340 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]