life sucks
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
3 พฤศจิกายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX36XXX


“โกรธหรอ?” เธอถาม


“ไม่ได้โกรธ” ผมตอบ น้ำเสียงไม่ได้ดุดันเหมือนเดิม เพราะสิ่งที่เธอถามนั้นเตือนสติผม “เธอไปกินก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” ผมบอกเธอ ในใจนั้นยังรู้สึกไม่มั่นคงเพียงพอที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่ผมให้เธอไปทำนั้นเป็นความต้องการของผมจริงๆ แต่ผมมีสิทธิ์อะไรบ้าง บอกให้เธอไม่ต้องเจอมันงั้นหรอ? ไม่หรอก... ผมไม่มีทางบอกเธออย่างนั้น ในกรณีใดๆก็ตาม ผมมั่นใจว่าผมเปิดกว้างมากพอ


“งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะจ้ะ” เธอกลับมามีน้ำเสียงผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อรู้ว่าผมพยายามจะเข้าใจ “แล้วคืนนี้โทรหานะ”


เราบอกลากันแล้วจึงวางหู มือผมสั่นไปทั้งสองข้างด้วยแรงหึงหวงที่ไม่อาจจะปิดบังได้ ผมพยายามสูดหายใจเข้าออกนับพันครั้งเพื่อพยายามผ่อนคลายอารมณ์ เธอไปกินที่ไหน? มันหน้าตายังไง? โอ้พระเจ้า... ผมพยายามจะกั้นกระแสของคำถามเหล่านี้ไม่ให้ผ่านเข้ามาในสมอง ไม่ให้สงสัยจนแทบจะบ้าตาย บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าผ่านเข้ามาในปอดผม ควันของมันทำให้สมองผมชา อาจจะเป็นเพราะออกซิเจนเข้ามาเลี้ยงสมองได้ไม่เต็มที่ หรืออาจจะเป็นเพราะความเครียดที่ก่อให้เกิดแรงดันภายใน ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ผมคงจะบ้าตายไปตรงนี้ ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนผมคงจะด่าเธอ เรียกเธอมา ถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้าเราทะเลาะกันแล้วเธอตัดสายผมก็จะโทรไป โทรไป โทรไป ย้ำๆๆ จนเธอต้องปิดมือถือหนี หลังจากนั้นผมก็จะเดินหาจนทั่วด้วยร่างที่เกร็งไปด้วยความโกรธ แต่ผมจะไม่เจอเธอหรอก เพราะสยามมันใหญ่เกินไปและนี่มันเป็นชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย ผมพ่นควันจากบุหรี่ตัวสุดท้ายจากซองที่เพิ่งซื้อใหม่ ควันไหลเวียนในอากาศก่อนที่มันจะสลายไปในความมืดของช่วงหัวค่ำ พอมานึกทบทวนดีๆผมค่อนข้างที่จะพอใจกับตัวเองที่จัดการกับอารมณ์ของตนได้ดีขนาดนี้ นับเป็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของหนึ่งในมนุษยชาติที่สามารถรักหญิงสาวคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจแต่ก็สามารถจะเข้าใจเธอในเรื่องยากๆเช่นนี้ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้ผมนึกย้อนคิดไปถึงเรื่องราวระหว่างผมกับแฟนเก่า หญิงสาวที่ผมเกือบจะฆ่าตัวตายเพราะเธอ เพราะความรักที่ล้มเหลว


ผมเป็นคนที่มักจะหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สมมุติง่ายๆก็คือถ้าผมคิดจะเขียนหนังสือสักเล่ม ความคิดของผม ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะกินข้าวหรือนอนหลับฝัน ผมก็จะครุ่นคิดและฝันหวานอยู่กับหนังสือเล่มนั้น ผมจะไม่มีอารมณ์ทำอย่างอื่น ผมจะไม่ออกไปเที่ยว ไม่เรียนหนังสือ เลิกสนใจโลกและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบกายจะเป็นเพียงเยื่อกระดาษที่แบนราบ แต่เมื่อไรก็ตามที่ผมติดเที่ยว ผมก็จะเที่ยวมันทุกคืน คืนใดที่ไม่ได้เที่ยวผมก็จะรู้สึกไม่เป็นสุข ไม่อาจจะตานอนได้ถ้าไม่ได้เบียร์สักขวดสองขวดเพื่อย้อมใจ เหมือนการชอบมอเตอร์ไซด์และการหมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างของผม ความรักของผมก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน ในความรู้สึกของวัยรุ่นอันเบ่งบานไปด้วยสมาธิที่พุ่งตรงไปยังเธอราวกับปลายดาบญี่ปุ่น เมื่อผมรักเธอครั้งแรก ผมก็จะเป็นของเธอตลอดไป อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนละครับ... ความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเกิดจากการยึดติด ยิ่งยึดติดมากก็จะยิ่งทุกข์มาก และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ผมเคยยึดมั่นถือมั่นได้เท่าหญิงสาวผู้ซึ่งเคยเป็นที่รักของผม


   เมื่อเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของผมสมัยยังวัยรุ่นเอามากๆและทัศนะคติต่อโลกและแม้กระทั่งการควบคุมอารมณ์ด้อยกว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้อยู่มากมาย มันเป็นช่วงเวลาวัยรุ่นตอนต้นที่ส่วนใหญ่พัฒนาการมักจะเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ตัวเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วระยะเวลาเพียงสองปีผมสูงขึ้นจาก 155 เป็น 183 เริ่มมีหนวดเคราและขนตามจุดต่างๆ เสียงแตกหนุ่ม ใจร้อน อารมณ์พลุ่งพล่าน ทะเลาะกับพ่อแม่ ต่อยตีกับรุ่นพี่ และที่สำคัญคือเธอ ผู้เป็นรักครั้งแรกของผม รักที่โง่เง่าและมืดบอด ความรักและความรู้สึกเป็นเจ้าของที่ส่งให้ผมอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น


ความคิดผมถูกดูดเข้าไปในหลุมดำที่แรงดึงดูดของมันรุนแรงมหาศาลที่ไม่เว้นแม้แต่แสงหรือกาลเวลาก็จะถูกดูดลงไปพร้อมๆกัน ความทรงจำของผมพาผมกลับไปยังต้นปี 2540 ช่วงเวลาแห่งความเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนทะลุจุดเดือด ทั้งเร่าร้อน บ้าคลั่ง และโง่เง่า ช่วงเวลาที่คนเรากำลังทดลองหลายๆสิ่งที่คิดว่าจะเหมาะสมกับตัวเอง มัธยมต้นที่ผมถูกเชิญชวนให้ลิ้มลองทั้งของดีและของอันตราย ถ้าเป็นเพื่อนดีก็จะพาไปอ่านหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ถ้าเป็นเพื่อนเลวก็จะพาไปทางการเที่ยวเตร่ ยาเสพติด หนักข้อหน่อยก็ถึงกับตั้งตนเป็นแก๊งโจรกรรม โชคดีของผมนิดหน่อยที่ตอนนั้นมีสองสิ่งที่ดึงดูดผมให้อยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืน แม้ยามหลับยังฝันถึง นั่นคือความเร็วจากมอเตอร์ไซด์ และความเร้าใจจากเสียงกีต้าร์ลีด ถึงเรื่องการเล่นกีตาร์ของผมนั้นจะเป็นเหมือนดั่งการทดลองที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากฮิเดะวง X-Japan จากไปในปีต่อมา ผมก็แทบไม่ได้กลับไปจับคอร์ดกีตาร์อีกเลย แต่ประสบการณ์ทางดนตรีครั้งนี้กลับทำให้ผมเจอรักแรก รักที่ทำให้ผมทุกข์ทรมานแทบจะฆ่าตัวตายตามฮิเดะไปเลยทีเดียว


คุณจะบอกได้ไหมว่ารักแรกของคุณเกิดจากอะไร... ความประทับใจในความงาม? ความรู้สึกว่าคุณเป็นคนพิเศษ? ความผูกพันธ์? ความเข้าใจ? สำหรับผมแล้วรักครั้งนี้มันเริ่มจากการผสมผสานความหมกมุ่นของเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในความบังเอิญทั้งจังหวะ เวลา และโอกาส การตอบสนองที่ได้รับ ทุกอย่างนี้มันถูกปั่นและหมักเอาไว้อย่างกลมกล่มในโรงเรียนสอนดนตรี ในบ่ายที่ร้อนที่สุดในเดือนพฤษภาคม มันเป็นช่วเวลาร้อนอบอ้าวที่สุดก่อนที่ฝนจะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ความอบอ้าวที่แม้แต่เครื่องปรับอากาศแทบจะช่วยไม่ได้เลย ผมอยู่ในห้องเรียนกีต้าร์ ในห้องเรียนห้องนั้นไม่มีองค์ประกอบที่วุ่นวายอะไร มันเป็นเพียงห้องกระจกที่ข้างในบุด้วยพรมสีแดงเลือดหมู มีกีต้าร์ไฟฟ้าวางอยู่สองสามตัว มีแอมป์ตัวใหญ่เล็กอย่างละตัว มีเครื่องเล่นเทปอีกหนึ่งเครื่อง เครื่องเล่นที่ปุ่มกรอไปกลับหักหลุดออกไปแล้วเนื่องจากทางประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ผลิตปุ่มมันทนทานเหมาะแก่การแกะเพลงที่ต้องกระแทกปุ่ม Rev อยู่ทุกๆสิบวินาที


ทุกสิ่งที่ผมต้องการในตอนนั้นคือนิ้วมือซ้ายทั้งห้าทีสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสอดประสานไหลลื่นเหมือนสัตว์ประหลาดห้าหัวที่แต่ละหัวจะมีสมองและแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน ผมต้องการให้นิ้วมือซ้ายของผมทำงานได้แบบนั้น เพื่อที่จะสามารถเล่นได้ไม่ต่างจากในเทปที่ผมกรอฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมฝึกฝนอยู่อย่างนั้นจนปลายนิ้วที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง นิ้วที่เคยเจ็บก็ไม่เจ็บอีกต่อไป ผ่านหน้าหนาว หน้าร้อน จนถึงหน้าฝน ในเวลานี้ผมพอจะเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว จากการไล่โน้ตที่ง่ายที่สุดไปจนถึงการฝึกใช้ประสาทหูที่จะเชื่อมโยงกับจินตภาพในสมองให้เห็นภาพออกเลยว่าเสียงไหนอยู่ตรงไหน มันเป็นความชำนาญมากกว่าที่จะเป็นพรสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำให้เกิดจากการทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่าผมจะทำได้ถึงไหน ผมจะผ่านจากจุดที่ต้องไปแกะเพลงคนอื่นเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นของผมเอง เพลงที่ก่อตัวขึ้นมาด้วยพรสวรรค์อันแท้จริงของผม เสียงสายเหล็กออกจากลำโพงลอยตามอากาศที่บางครั้งมันก็เป็นความเครียดจากการกดดันตัวเอง เวลาผมทำอะไรผมมักจะหวังกับมันไว้มาก เสียงกีต้าร์ที่ผมเล่น ถึงมันจะสร้างความเร้าใจให้ผมในระดับหนึ่งแต่มันก็ยังไม่ลงลึกถึงขนาดที่จะไปบีบหัวใจที่ด้านชาของผมให้เต้นขึ้นมาได้อีกครั้ง ทั้งหมดมันยังเป็นเพียงเสียงสายเหล็ก เส้นเสียงอันแข็งกระด้างที่ดูเหมือนจะเคยมีชีวิต ราวกับล่องลอยอยู่ในอนาคตที่หุ่นยนต์สามารถทำได้ทุกอย่างแต่มันก็ให้สัมผัสได้ไม่เท่ากับมนุษย์ที่มีเส้นเสียงอันเกิดจากพรแห่งพระเจ้า


และในทันใดนั้นคลื่นเสียงบางอย่างที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเข้าไปถึงอวัยวะภายในของผมได้แผ่ซ่านผ่านกระจกใสที่กั้นระหว่างผมกับภายนอก


“เสียงเหี้ยอะไรน่ารำคาญจังวะ” ครูจ๊าบ-ไอ้หนุ่มนักดนตรีผมยาวกางเกงขาเดฟกับรองเท้าหนังหัวแหลมเปี๊ยบสาวกฮิเดะตัวยง- ผู้ซึ่งเป็นครูสอนกีต้าร์ให้กับผม สบถขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงร้องเพี้ยนๆนั้น


“อะไรกันครู” ผมแย้ง “ออกจะแหวกแนว”


“เออครูรู้” ครูจ๊าบยังคงมองไปทางต้นเสียงด้วยสีหน้าหงุดหงิด “แต่ของใหม่ๆมันก็มีอยู่สองแบบ คือใหม่จริง หรือแค่คนเค้าไม่ทำกัน ครูว่าเสียงอย่างนี้เป็นประเภทหลัง”


ผมเข้าใจนะครับว่าทำไมครูเค้าถึงรำคาญ ปกติชนที่ไหนเค้าก็รำคาญเสียงร้องแหบแหลมเล็กที่คร่ำครวญออกมาในรสชาดที่แปลกประหลาดออย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับว่าเสียงร้องของหญิงสาวกระแทกเข้าไปในภูเขาน้ำแข็งแห่งจิตใต้สำนึกของผมไปเรียบร้อยแล้ว ผมชอบเพราะผมรู้ตัวว่าผมประหลาดกว่าชาวบ้าน มีบางอย่างในเครื่องรับทรานซิสเตอร์ในสมองผมที่สามารถจับคลื่นความถี่แห่งความเศร้าโศกที่มาจากการสั่นสะเทือนในเส้นเสียงนั้นได้ เป็นเสียงที่แหลมเล็กกว่าโน้ตที่แหลมที่สุดเท่าที่สายหนึ่งจะกดได้ บางครั้งมันก็ทุ้มเหมือนเสียงเบส บางครั้งความเข้ากันและไม่เข้ากันนั้นก็ไปผสมผสานให้บทเพลงที่เธอขับร้องออกมานั้นบาดหูยิ่งกว่าเสียงหอนจากการเอาไมโครโฟนวางไว้ใกล้ลำโพงเสียอีก เป็นเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับการได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่อ่อนบนแผ่นหลังของผมลุกชันไปกับความลึกสุดจะหยั่งถึงในช่วงคลื่นของเสียงนั้นที่ผมเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาไม่มีทางได้ยิน มันเป็นเพลง I have nothing หนึ่งในบทเพลงที่เหมาะกับการใช้เสียงโซปราโน่ เธอเป็น Whitney Houston ในด้านมืด เพราะเสียงทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากของจริงจนแทบจะต้องแกะเป็นคำๆถึงจะรู้ว่าเธอร้องเพลงนี้


Don't make me close one more door
I don't wanna hurt anymore
Stay in my arms if you dare
Or must I imagine you there
Don't walk away from me no...


           


มันเป็นบทเพลงที่จะให้อารมณ์ไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับคนขับร้องจะทำให้มันออกมาอยู่ในรูปแบบไหน ผมไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะทำหรือมันเป็นเพียงแค่การปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากอะไรบางอย่างที่ล้อมรอบตัวเธอเหมือนเป็นกำแพงที่มองไม่เห็น หรือทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่ผมคิดไปเอง



Don't walk away from me
Don't you dare walk away from me
I have nothing, nothing, nothing
If I don't have you.


            “เฮ้อ...จบได้ซะที” ครูจ๊าบ ถอนหายใจเมื่อเพลงจบไปแล้ว ผมเรียนกับครูคนนี้มาครึ่งปี ฝีมือกีต้าร์ก็พัฒนาขึ้นไปมาก แต่มันก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการเป็นช่าง มันมีความแตกต่างกันในความเป็นช่างฝีมือกับความเป็นศิลปิน ทุกอย่างเป็นเพียงผลจากการฝึกซ้อมอันหนักหน่วงเพื่อความเท่ห์ เพื่อการทำมาหากิน มันเป็นบางอย่างที่ผมยังไม่ได้หมกมุ่นกับมันมากพอ ผมไม่ได้หลงใหลมันเหมือนหลงใหลในการเขียนในเวลาต่อมา ผมชอบมันเพราะผลของมัน ผมอยากเป็นเหมือนมือกีต้าร์เก่งๆ ครูจ๊าบก็เช่นกัน ถึงจะไว้ผมยาวแต่งตัวสกปรกรุงรังเพียงใดแต่ถ้ามันเป็นเพียงวิธีการหากินแล้ว ผมไม่เห็นว่าการเล่นกีต้าร์ต่อไปจะทำให้ผมค้นพบสัจจะธรรมใดๆ ผมเคยคิดจะเลิกเล่นไปแล้วหลายครั้ง เพราะผมเริ่มจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรใหม่ แต่ครั้งนี้ผมต้องขอบคุณมัน วิถีแห่งการร้องรำทำเพลงที่พาให้ผมมาเจอกับเธอคนนี้ สาวที่ผมหลงรักเพียงได้ยินเสียงของเธอเท่านั้น –รักแรกของผม-






Free TextEditor


Create Date : 03 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 18:20:30 น. 1 comments
Counter : 338 Pageviews.  

 
ความรัก ก็เป็นแบบนี้

สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

ประคองกันไป





โดย: LoLiTa.HaNa วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:28:21 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]