life sucks
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
25 กันยายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX1XXX


ปลายฤดูร้อนปี 2546 เสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหว เสียงแผดร้องสุดขั้วปอดลากยาวจนสุดแล้วจึงตามด้วยการปรบมือเป็นจังหวะที่เหมือนเสียงทหารเดินสวนสนาม ถึงผมจะได้ยินมันบ่อยจนเริ่มรำคาญแต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาร้องเพลงอะไรกัน อาจจะเป็นเพลงสรรเสริญสถาบันการศึกษา เพลงปลุกใจให้รักสถาบัน ผมไม่รู้และไม่อยากจะรับรู้ ผมพยายามโฟกัสไปที่หนังสือตรงหน้า นิยายมูราคามิที่ปกติแล้วจะดึงดูดผมเข้าไปในโลกของเขาได้เสมอ แต่ครั้งนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงเชียร์มันดังกระหึ่มลำโพงแตก


ผมอยู่บนชั้นสามของหอสมุดกลางมหาวิทยาลัย ห้องสมุดสวยงามด้วยโต๊ะไม้ใหม่สะอาดไม่มีรอยขูดเขียนเหมือนโต๊ะเด็กมัธยม เบาะหุ้มหนังนุ่มน่านั่ง แอร์เย็นสบาย หนังสือวางเรียงกันเป็นระเบียบเบียดชิดแย่งที่กันเรียงสูงจนติดเพดาน ไฟนีออนส่องสว่างราวกับห้องผ่าตัด ให้อารมณ์โปร่งสบายด้วยกระจกใสบานสูงมองเห็นไม้กระถางที่ปลูกไว้เขียมครึ้ม เสียเพียงอย่างเดียวตรงที่ข้างๆหอสมุดเป็นลานกิจกรรม ผมว่ามันบ้ามากที่ให้มีลานกิจกรรมติดหอสมุดซึ่งเป็นไม่กี่ที่ในโลกที่ต้องการความสงบเงียบ (ถ้ารัฐบาลคิดได้ว่าควรจัดโซนนิ่งผับเธคไม่ให้ใกล้สถานศึกษาก็ไม่ควรมีลานกิจกรรมใกล้ห้องสมุดเช่นกัน) ดังนั้นผมจึงอยู่ชั้นสามเพราะห้องสมุดมีเพียงสามชั้น สมมุติถ้าห้องสมุดมีร้อยชั้นผมก็คงหนีไปชั้นที่ร้อย ผมรำคาญเสียงดังที่ทำให้ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ ปกติผมจะประสาทเสียกับเรื่องงี่เง่าได้ง่ายๆ ยิ่งผมย้ายที่นั่งไปจนติดผนังอีกฝั่งแต่ยิ่งหนีเสียงเชียร์ก็เหมือนจะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆราวกับตามมากลั่นแกล้ง


พอผมหมดอารมณ์จะอ่าน ปิดหนังหนังกำลังจะเอาไปวางที่ชั้น เสียงเชียร์ก็เงียบไปเหมือนที่บางครั้งคุณกำลังคุยเล่นอยู่ในห้องเรียนแล้วความเงียบก็มาพร้อมกับความวังเวง มันเป็นความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจนผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าข้างนอกนั่นมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ผมมองผ่านบานกระจกไปยังลานเชียร์ด้านล่างนักศึกษาปีหนึ่งเกือบพันคนกำลังยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียบเหมือนแถวทหาร ทุกคนหันมองไปทางเดียวกัน ในร่มตึก หญิงสาวคนหนึ่งกำลังถูกรุ่นพี่ผู้ชายรุมปฐมพยาบาล คนหนึ่งให้ดมผ้าชุบแอมโมเนีย อีกสองคนกำลังใช้พัดกระดาษพัดให้อย่างขยันขันแข็ง หญิงสาวนอนบนผืนหญ้าโดยมีตักของรุ่นพี่หนุนรองศีรษะ ถึงผมจะอยู่ชั้นสาม แต่มองแค่นี้ก็พอจะเห็นได้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นสาวคนนี้มีองค์ประกอบของความงามเพียงพอที่จะทำให้รุ่นพี่หนุ่มๆล้อมรอบเธอราวหมอและพยาบาลรอบเตียงผ่าตัด ร่างกายเธอดูบอบบาง ผิวขาว ผมยาว ถึงไม่เห็นหน้าแต่ดูจากปฏิกิริยาของหนุ่มๆแล้วเธอคงจะเป็นผู้หญิงในประเภทที่ไม่สวยก็น่ารัก          


ผมเลิกสนใจเพราะมันไม่มีอะไรน่าสนใจ ได้ยินมามากแล้วกับรุ่นพี่ประเภททำกิจกรรมไปเหล่รุ่นน้องไปแล้วยังอยากได้ความเคารพนบนอบ ผมไม่เชื่อว่าถ้ารุ่นน้องคนนี้เป็นหญิงอ้วนๆดำๆจะได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกันและไม่แน่ใจด้วยว่ารุ่นพี่ที่แก่กว่าเพียงแค่ไม่กี่ปีจะให้อะไรดีๆกับน้องใหม่ได้มากกว่าวัฒนธรรมในระบบอุปถัมป์ที่รังแต่จะสร้างความรำคาญใจให้แก่ผม ผู้ซึ่งไม่คิดจะหาประโยชน์อะไรจากระบบที่ว่านี้ ตั้งแต่เด็กแล้ว... ผมเกลียดการเรียนลูกเสือ ผมเกลียดการเรียน รด ผมเกลียดเวลาพ่อแม่มาสั่งผมว่าผมทำอะไรได้ผมทำอะไรไม่ได้ ผมเกลียดการถูกสั่ง ผมเกลียดทุกสิ่งที่ต้องเชื่ออย่างไร้เหตุผล ประเภทรักงมงายในสถาบันอย่างมืดบอด ดังนั้นผมจึงไม่มีวันเข้าร่วมกิจกรรมเชียร์ให้รุ่นพี่ตะคอกใส่ ผมเชื่อว่าผมสามารถผ่านการเรียนรู้ระดับมหาลัยให้ดีได้โดยไม่ต้องผ่านการละลายพฤติกรรมแบบนั้น ผมไม่อยากนับถือใครและไม่อยากให้ใครมานับถือผม และผมคิดว่าแบบนั้นน่าจะแฟร์พอ


ต้องยอมรับเลยว่าชีวิตของผมคงลำบากกว่านี้หลายล้านเท่าเลยก็ได้ถ้าโลกนี้ไม่มีห้องสมุด นอกจากพ่อแม่แล้วอีกผมยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของห้องสมุดอย่างมหาศาล เหตุผลแรกเพราะผมมักจะเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนด้วยการอ่านมากกว่าการเรียนในห้องที่เต็มไปด้วยอคติ เหตุผลข้อที่สองคือผมเกลียดการถูกสั่งสอนเชิงศีลธรรมโดยครูที่คิดว่าตัวเองรู้ไปซะทุกอย่าง(คนแก่มักจะคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแต่เด็กไม่รู้อะไรเลย) ดังนั้นถ้าพวกเขาอยากให้คำสั่งสอนเด็กโง่ๆก็ทำไป ส่วนผมถึงแม้จะคิดว่าตัวเองโง่แต่ก็น่าจะฉลาดกว่าคนแก่พวกนี้ เหตุผลสองข้อแรกจึงนำมาสนับสนุนเหตุผลข้อสุดท้าย เพราะห้องสมุดมีทุกสิ่งเพื่อการเรียนรู้ ห้องสมุดดีๆมีหนังสือประมาณล้านเล่มที่อ่านทั้งชาติก็ไม่หมด แถมยังมีอินเตอร์เนตให้ผมได้รับรู้ข้อมูลจากทั่วโลก หนังสือไม่เคยด่าผมเวลาสูบบุหรี่ หนังสือไม่เคยบอกว่าอะไรดีไม่ดีเพียงแต่บอกเหตุและผลให้เราใช้ประสบการณ์ตัดสินเอาเอง ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ทำให้ผมรักห้องสมุดและถือว่าห้องสมุดคือครูของผม


เสียงเชียร์เงียบไปได้ไม่นานเท่าไรก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังกว่าเดิมราวกับเป็นการระบายความอัดอั้น หญิงสาวคนนั้นคงฟื้นแล้ว และพวกรุ่นพี่หนุ่มก็คงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาต่อ ภารกิจหลักคือกร่างตะคอกใส่รุ่นน้องและในขณะเดียวกันก็จีบรุ่นน้องสวยๆ ผมเดินออกไปข้างนอก เพียงแค่เปิดออกไปก็ต้องปะทะกับเสียงตะโกนแบบไม่มีกระจกกรอง มันแสบแก้วหูแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพลพิษทางเสียงไม่ต่างจากการมีบ้านอยู่ติดสนามบิน ถึงจะรำคาญอย่างไรแต่ในห้วงเวลานี้ผมรู้สึกอยากสูบบุหรี่อย่างวายร้ายเลยทีเดียว ผมนั่งตรงบันไดหนีไฟ อัดมันเข้าไปลึกๆแล้วจึงปล่อยออกมาให้ลอยเหมือนก้อนเมฆแล้วจึงสลายไปในอากาศ ที่ผมพกบุหรี่ไว้ตลอดไม่ได้เป็นเพราะผมติดมันหรอก บางครั้งถ้าอารมณ์ดีๆผมก็ไม่จำเป็นต้องสูบมันหลายๆอาทิตย์ได้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่บางวันถ้าเครียดจัดๆผมก็ต้องการมันทันที ผมรู้สึกว่าการสูบของผมมันขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์และจิตใจมากกว่าจะเป็นอาการติดนิโคตินของร่างกาย  


สำหรับบางตึกที่ไม่มีระเบียงเป็นสัดส่วนสำหรับคนสูบบุหรี่แล้วทางหนีไฟก็นับได้ว่าเป็นบริเวณยอดฮิตสำหรับผู้เสพติดอบายมุขชนิดนี้ บางตึกถึงขั้นมีที่เขี่ยบุหรี่ดีๆที่โรยด้วยทรายละเอียดเอาไว้บริการ แต่ห้องสมุดที่นี่ไม่มีหรอก ใครดูดเสร็จก็เหยียบแบนอยู่แถวๆนั้นละ ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนบันไดหนีไฟ เป็นบันไดเหล็กเชื่อมกันหยาบๆขึ้นสนิมราวกับสร้างไว้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จากจุดนี้ผมกลายเป็นผู้สังเกตการณ์การเชียร์รับน้องไปโดยปริยายเพราะมันมีช่องที่ถ้านั่งตรงนี้มันจะสามารถมองเห็นแถวเชียร์ได้ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว เป็นแถวของผู้ชายสิบสี่แถวและแถวของผู้หญิงเจ็ดแถว ด้วยอัตราส่วนแบบนี้ผมเดาว่ามันคงเป็นสวรรค์ของผู้หญิงดีๆนี่เอง จากตรงนี้แล้วเดาว่าการเรียงแถวน่าจะเรียงตามส่วนสูง มีพี่นำเชียร์อยู่ข้างหน้า มีพี่คอยคุมน้องๆทั้งขนาบข้างทั้งซ้ายขวา ส่วนข้างหลังก็จะเอาพวกตัวใหญ่ๆเสียงดังๆมาคอยตะคอกให้น้องๆกลัว ขณะที่ผมกำลังสูบบุหรี่มองเกมการเชียร์เพลินๆอยู่นั้นประตูหนีไฟก็เปิดออก เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เปิดเข้ามา เธอมองผมด้วยความตระหนกแบบที่ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ตรงนี้ ส่วนผมมองเธอเพราะเธอสวย เธอยังใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่ง เสื้อขาวมีรอยเปื้อนและยับที่น่าจะมาจากการหกล้มหรืออะไรสักอย่าง เธอยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบให้เธอ เธอทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆผมแล้วดึงซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋า


“พี่คะ ขอไฟหน่อยค่ะ”


ผมจุดบุหรี่ให้เธออย่างที่สุภาพบุรุษพึงกระทำแก่สุภาพสตรี เธอไม่รู้หรอกว่าผมเองก็เป็นน้องใหม่เหมือนกันเพราะผมไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแบบที่เด็กปีหนึ่งพึงกระทำ เสื้อนักศึกษานะใช่ แต่ผมใส่กับยีนและรองเท้าคอนเวอส เจาะหูสองข้าง เรียกได้ว่าผมมันเด็กแก่แดด การแต่งตัวอย่างนี้ กับการไม่ค่อยร่วมทำกิจกรรมทำให้บางครั้งเพื่อนในห้องมักจะไม่คุ้นหน้าผม คิดว่าผมเป็นพวกรุ่นพี่ที่ยังเรียนไม่ผ่านหรือเด็กซิ่ว บอกอีกครั้ง ผมมันก็แค่เด็กแก่แดด แต่เมื่อเธอเห็นผมเป็นรุ่นพี่ ผมก็คงต้องเล่นให้สมบทบาท


“น้องโดดซ้อมเชียร์หรือครับ เดียวพี่ฟ้องพี่เชียร์นะ” ผมหยอก


เธออัดควันเข้าไปเล็กน้อยแล้วจึงค่อยๆปล่อยออกทางจมูก


“เอาเลยค่ะ หนูเบื่อและก็ขี้เกียจจะเฟกอีกต่อไปแล้ว”


 เธอหันข้างให้ผม เท่าที่เห็นจากหน้าตา ผิวพรรณ และการพูดจา บอกได้เลยว่าเธอเป็นลูกคุณหนูแบบที่สับสนในตัวเองหน่อยๆ บางท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมสาวคนนี้จึงได้เริ่มบทสนทนากับผมได้อย่างง่ายดายนัก บอกได้เลยครับว่าสังคมการสูบบุหรี่ในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาลัยที่มีชื่อเสียงอันเต็มไปด้วยเด็กเนิร์ดอย่างสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตที่สูบบุหรี่หาได้น้อยมากจนเกือบสูญพันธุ์ ดังนั้นการได้พบกันในสถานรังลับคนสูบบุหรี่จึงเป็นดั่งบุพเพสันนิวาสอันมิอาจจะบดบังได้ และถ้าคุณอ่านไปเรื่อยๆจะรู้ว่าผมได้รู้จักเพื่อนสนิทอีกหลายคนก็จากการสูบบุหรี่เนี่ยล่ะ (ที่จริงถ้ารัฐบาลออกมาสนับสนุนให้สูบบุหรี่ผมก็คงจะเลิกมันไปเลย เพราะผมมันจอมแหกคอก)


“จะยากอะไรละครับ ก็แค่เป็นตัวของตัวเอง”


“ช่างมันเถอะ” เธอตอบ “แต่พี่เชื่อหรือเปล่า กว่าหนูจะโดดออกมาได้ หนูต้องแกล้งทำเป็นลม”


 อืมม เธอคนนั้นนั่นเอง....


“พี่อยู่ปีอะไรคะ?” เธอถามกลับมาบ้าง


“ปีสามครับ” ผมโม้เธอ


“ถามจริงนะคะพี่ หนูถามเพราะดูจากท่าทางพี่ก็เป็นคนใช้ได้ หนูอยากรู้ว่าพี่เบื่อบ้างหรือเปล่า” เธอคีบบุหรี่นิ่งเงียบครุ่นคิดไปแป๊บนึง “หนูหมายถึงที่นี่นะค่ะ สำหรับหนูแล้วมันเหมือนมีเด็กเนิร์ดจากทั้งโลกมารวมกัน แต่ละคนก็เอาแต่ถามคะแนนเอนท์กัน แปดสิบ เก้าสิบ เจอหน้าเพิ่งรู้จักกันก็คุยแต่เรื่องนี้ พี่ไม่เบื่อเลยหรอคะ แล้วพี่มีเพื่อนบ้างหรือเปล่าคะตอนนี้ คือแบบว่า... เห็นพี่ดูเหงาๆ”


ตอนนั้นผมนิ่งเงียบไปนานเพราะไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร ความจริงในใจผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าผมจะสามารถหาเพื่อนแถวๆนี้ได้ บางทีคนที่มีความชอบไม่เหมือนกันมาอยู่ด้วยกันมันก็ไม่สนุก ถ้าเป็นตอนนี้หมายถึงตอนที่ผมเขียนอยู่นี่ผมคงตอบเธอไปได้ว่าความเป็นตัวเรานานๆเข้ามันจะดึงดูดเพื่อนที่คล้ายๆเราได้เอง เช่นสังคมสูบบุหรี่ สังคมเที่ยวกลางคืน สังคมลอกการบ้าน สังคมพวกนี้ที่จะทำให้ผมรู้จักคนที่ไม่เคร่งเครียดเรื่องเรียนจนเกินไปนัก ทำให้หลังๆมาผมก็กลายเป็นคนที่มีเพื่อนค่อนข้างเยอะไปเลย


“พี่เข้าใจนะ” ผมพูดพร้อมกับอัดควันเข้าไปลึกๆ ยอมรับว่าความรู้ในตอนนั้นให้กำลังใจเค้าได้แค่นี้จริงๆ ผมมองเธอ ทุกอย่างของเธอดูเรียบร้อยสมเป็นลูกคุณหนูทุกอย่างยกเว้นแววตา เป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้ ดูซุกซนสุดๆไปเลย


“พี่คงเข้าใจนะคะว่าทุกข์ของหนูอยู่ตรงไหน” เธอมองไปยังลานเชียร์เบื้องล่าง เสียงเชียร์ยังคงก้องกังวาลด้วยเพลงเพียงไม่กี่เพลงแต่ดังซ้ำไปซ้ำมาไม่มีหยุด “พ่อหนูเคยเป็นศิษเก่าที่นี่ค่ะ เคยเป็นนายกสมาคมผู้ปกครองด้วยเพราะพี่ชายหนูก็เป็นศิษเก่าที่นี่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาไปต่อโทที่เยอรมันแล้ว เห็นไอ้ผู้ชายที่ยืนน้ำร้องเพลงนั่นไหมคะ?”


ผมมองตามที่นิ้วเรียวๆของเธอชี้ไป


“ที่ใส่แว่นนั่นละค่ะ ชื่อพี่เก่ง เป็นลูกเพื่อนพ่อ เขาก็เก่งสมชื่อนะคะ สอบเข้าเป็นที่สองของวิศวะ แต่โคตรเนิร์ดโคตรซื่อเลย พ่อหนูไปฝากฝังไว้กับพี่เขา หนูเลยโดดเชียร์ลำบาก อีกอย่างก็เป็นเพราะว่าพ่อหนูก็ไม่รู้เรื่องที่หนูสูบบุหรี่อะไรพวกนี้... หมายถึงพี่เข้าใจใช่ไหมคะ แบบว่าหนูต้องเฟกกับพ่อว่าหนูเป็นเด็กเรียน เด็กเรียบร้อย มันเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ ก็หนูยังขอเงินเขาอยู่นี่คะ”


“เมื่อกี้ ตอนที่หนูแกล้งทำเป็นลม พี่เค้าวิ่งเข้ามาอุ้มโวยวาย มือสั่นงกเลย บอกได้คำเดียวว่าซื่อบื้อมากๆ”


“สมัยนี้แล้วหนูไม่เชื่อหรอกนะคะว่าเด็กกิจกรรมพวกนี้จะอยากทำอะไรอย่างนี้จริงๆ หนูดูแต่ละคนรู้สึกว่าพวกนี้คงไม่ค่อยมีเพื่อน อยู่มัธยมคงเป็นเด็กเรียนเด็กดี เข้ามหาลัยเลยต้องโชว์พาว ใช้กิจกรรมหาเพื่อน หาแฟน มีอย่างที่ไหนคะ แต่งตัวเป็นเด็กแนวแต่คุยกันเฉพาะเรื่องเรียน มันน่าเบื่อและผู้ชายก็ดูไม่แมนเอาซะเลย”


“ว้า.... ขอโทษนะคะที่บ่นซะเยอะ หนูคงเก็บกดไปหน่อย” เธอลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นออกจากกระโปรง “เดี๋ยวหนูคงไปแล้วนะคะ ดีใจที่เจอพี่ เพราะคุยกับพี่สนุกมากเลย”


เธอพูดจบก็ยิ้มแล้วก็เปิดประตูเดินจากไปเฉยๆ ผมว่าตลกดีเพราะตั้งแต่เธอเข้ามานั่งที่นี่ผมพูดกับเธอแค่สามสี่ประโยคแต่เธอกลับบอกว่าผมคุยสนุก บางที่คู่สนทนาที่ดีคือคนที่ยอมรับฟังกระมัง เสียงเชียร์เงียบลงแล้ว ผมเดินเข้าไปในห้องสมุด เข้าไปหาอะไรอ่านต่อ สรุปแล้ว... ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าผมหน้าแก่นะครับ ที่สาวเธอเรียกพี่เพราะผมมันแก่แดดไปหน่อยเท่านั้นเอง


 


 


 


 


 




 

Create Date : 25 กันยายน 2552
4 comments
Last Update : 25 กันยายน 2552 18:03:03 น.
Counter : 398 Pageviews.

 

ชอบจัง อ่านสนุกมากเลย

ตรงชีวิตจังเลยค่ะ ^^

 

โดย: kirill 25 กันยายน 2552 19:13:20 น.  

 

หวังว่าคงเอาเรื่องดีๆ มาออกอย่างนะคุนพี่

 

โดย: ขง IP: 124.121.108.122 13 พฤศจิกายน 2552 12:17:27 น.  

 

ดีจัง อ่านของพี่สนุกมากเลย

 

โดย: อีฟ IP: 192.168.50.237, 58.10.93.202 14 พฤศจิกายน 2552 0:20:36 น.  

 

ขอเรียกว่าพี่ละกันนะค่ะ

พี่เขียนได้ดีมากเลยค่ะ

พอดีได้อ่านจากเว็บthaiwriter

จะเป็นกำลังใจให้นะค่ะ

 

โดย: เบียร์กะป๋อง IP: 111.84.84.221 17 มีนาคม 2553 23:32:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]