|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
"ธีรยุทธ" ชำแหละ "ระบอบทักษิณ"
เป็นบทวิเคราะห์ของผู้ที่ได้ชื่อว่า ขาประจำเสื้อกั๊ก ของทักษิณ บทความนี้เปิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2547
ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ มกราคม 2548 ( ครั้งนั้น ทรท.สามารถได้สส.เข้ามาในสภา 375 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง )
แต่ก็ไม่สามารถนำพาสภาผู้แทนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ต้องยุบสภาในวันที่ 24 มีนาคม 2549 ( อายุสภาเพียง 1 ปี กับ 2 เดือน )
......................................................................
"ธีรยุทธ" ชำแหละ "ระบอบทักษิณ" การเมืองแบบ"GMO" สายพันธุ์ใหม่"ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์" รายงาน มติชนรายวัน วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9636
หมายเหตุ - เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้หัวข้อเรื่อง "4 ปี ระบอบทักษิณ ก้าวสู่การเมืองระบอบเผด็จการพรรคเดียวของไทยรักไทย มุ่งยึดสัมปทานประเทศ" ที่อาคาร 60 ปี ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ท่าพระจันทร์ เมื่อบ่ายวันที่ 27 กรกฎาคม
-----------------------------------------
(1) การปฏิรูปการเมืองล้มเหลวเพราะเกิดการเมืองแบบตัดต่อพันธุกรรม (GMO)
"เกิดสายพันธุ์ใหม่ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์"
การปฏิรูปการเมืองในปี 2540 มุ่งหวังสร้างระบบการเมืองใหม่ แต่กลับได้การเมืองแบบไทยรักไทย เป็นเสมือน "ทายาทอสูร"(Monstrous baby) ที่เกิดมาใหญ่โตพิกลพิการ และปิตุฆาตผู้ให้กำเนิดตัวเองด้วยการทำลายล้างเจตนารมณ์ปฏิรูปการเมืองเกือบหมด ดังนี้คือ
ปฏิรูปการเมืองต้องการทำลายคอร์รัปชั่น แต่ปัจจุบันคอร์รัปชั่นขยายตัวทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ
ปฏิรูปการเมืองต้องการสร้างฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง แต่กลับได้รัฐบาลเข้มแข็งเกินไป จนกำลังเป็นระบอบเผด็จการพรรคเดียว
ปฏิรูปการเมืองต้องการสร้างอค์กรตรวจสอบของสังคม แต่ถูกยึดโดยกลุ่มการเมืองใหม่และเก่าหมด
ปฏิรูปการเมืองต้องการสลายการเมืองแบบกลุ่มอุปถัมภ์-อิทธิพลท้องถิ่น แต่ไทยรักไทยกลับใช้เทคโนโลยีชั้นสูงดึงกลุ่มวังน้ำเย็น กลุ่มวังบัวบาน กลุ่มวังพญานาค กลุ่มสุชาติ-เนวิน กลุ่มชลบุรี กลุ่มชาติพัฒน์ เข้ามาร่วมในลักษณะเป็นองค์กรใหม่ที่ตกแต่งพันธุกรรม
คือกลายเป็น การเมืองแบบ GMO (Geretieally Modified Organization) เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองใหม่แต่คนละเจตนากับการปฏิรูปการเมือง โดยภาพรวมการเมืองเก่าเป็นยี้ท้องถิ่น แต่การเมืองใหม่จะพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นเป็น "ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์"
Create Date : 21 มีนาคม 2549 |
Last Update : 21 มีนาคม 2549 20:34:02 น. |
|
9 comments
|
Counter : 644 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:35:12 น. |
|
|
|
โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:36:14 น. |
|
|
|
โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:37:42 น. |
|
|
|
โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:39:32 น. |
|
|
|
โดย: Thai in England IP: 81.1.99.46 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:0:45:31 น. |
|
|
|
โดย: navaka IP: 202.28.103.100 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:1:18:35 น. |
|
|
|
โดย: ปป IP: 202.22.11.35 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:8:05:17 น. |
|
|
|
โดย: ม๊อบกรู IP: 58.147.45.161 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:10:41:02 น. |
|
|
|
โดย: 000 IP: 58.8.106.179 วันที่: 4 เมษายน 2549 เวลา:5:45:35 น. |
|
|
|
| |
|
|
2.1 การเมืองเก่าตกยุค พรรคและนักการเมืองเก่ายังไม่ตระหนักว่า โครงสร้างอำนาจ โครงสร้างการเมือง โครงสร้างสังคม และค่านิยมในสังคมได้เปลี่ยนไป จนเกิดระบบการเมืองใหม่ที่พิกลพิการขึ้น การไม่ตระหนักรู้ว่า ตัวเองตกยุคอาจทำให้พรรคการเมืองเก่าสูญพันธุ์เป็นเพียงพรรคตัวประกอบ
ที่กล่าวว่า การเมืองเก่าตกยุคก็เพราะยังอยู่กับปัญหาความขัดแย้งโครงสร้างกลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ท้องถิ่น ส่วนผู้นำ เนื่องจากต้องคอยระวังเผด็จการทหารจึงเลือกผู้ที่มีฐานะทัดเทียมทหาร จากอดีตข้าราชการเทคโนแครต ชนชั้นสูง คนมีชื่อเสียงดี
อาทิ ม.ร.ว.เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช พจน์ สารสิน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ชวน หลีกภัย ซึ่ง บริหารประเทศตามกรอบที่วางโดยข้าราชการและสภาพัฒน์ (bureaucratic politics) ซึ่งพิสูจน์จากวิกฤติเศรษฐกิจ และการแข่งขันระดับโลกที่เข้มข้นในปัจจุบันว่าไม่ได้ผล
2.2 แนวโน้มการเมืองใหม่
(ก) "การเมืองใหม่คือการยึดอำนาจโดยกลุ่มทุนใหญ่" ในอดีตกลุ่มทุนใหญ่ทำหน้าที่สนับสนุนการเมืองเก่าของทหาร และนักการเมืองจากภูมิภาคท้องถิ่นต่างๆ เมื่อการเมืองเก่าล้มเหลวเพราะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง การคอร์รัปชั่น และวิกฤตเศรษฐกิจ
กลุ่มทุนใหญ่จึงฉวยประโยชน์จากรัฐธรรมนูญใหม่ก้าวสู่อำนาจได้ ด้วยการสร้างพันธมิตรแบบ Synergy และ Synmoney อย่างเปิดเผยชัดเจนขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มทุนโทรคมนาคม และสื่อสาร ขยายตัวเข้าสู่กลุ่มสื่อ และบันเทิง กลุ่มเกษตรการค้า พลังงานยานยนต์ ก่อสร้างแต่ก็มีคุณูปการคือการสนองความต้องการสังคม ด้วยการเสนอการบริหารแบบการเมืองนำราชการ (Business-ledpolities)
"กลุ่มทุนใหญ่ของไทยรักไทยเป็นทุนอภิสิทธิ์หรือทุนกาฝากรัฐที่เติบโตจากการผูกขาดทรัพยากรรัฐ หรือการเอื้อประโยชน์จากนโยบายรัฐมากกว่าการแข่งขัน" พวกเขาจึงปลื้มปีติกับการได้ยึดกุมอำนาจรัฐโดยตรง จึงมุ่งสร้างระบบพรรคเดียว ไม่ให้คุณค่าการถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย
ยิ่งผู้นำไทยรักไทยไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ความโปร่งใส หรือธรรมาภิบาล ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชมสนับสนุน ของทุนเหล่านี้ ซึ่งคุ้นเคยกับการทับซ้อนผลประโยชน์รัฐ-เอกชน อยู่แล้ว
"นโยบายไทยรักไทยโดยรวมแล้วเอื้อต่อทุนมากกว่ารากหญ้า" 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยรักไทยเน้นการเกื้อหนุน ทุนอภิสิทธิ์หรือทุนกาฝากรัฐ ไทยรักไทยใช้วงเงินประมาณ 7.8 แสนล้านให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) แก้หนี้เสีย มีโครงการอภิมหาโปรเจ็กต์
เช่น สร้างเมืองใหม่ ขนส่งมวลชน รวม 2 ล้านล้าน กองทุนวายุภักษ์หนุนตลาดหุ้นประมาณ 1 แสนล้าน กองทุนสาธารณูปโภค 7 แสนล้าน
ขณะที่ชาวบ้านได้จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคปีละ 6 หมื่นล้าน กองทุนหมู่บ้าน 7 หมื่นล้าน โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 15,000 ล้าน โครงการแจกเงินหลังสุดสองหมื่นล้าน ต่างกันประมาณ 20 เท่า
"นโยบายประชานิยมแก่นแท้ ก็คือ ประชามาร์เก็ตติ้ง ที่ส่งผลเสียด้านศีลธรรม บริโภคนิยม การขาดประสิทธิภาพ คุณภาพของประชาชน" นโยบายประชานิยมของทักษิณมีลักษณะเป็นโครงการย่อยๆ ช่วงสั้นๆ เช่น กองทุนหมู่บ้านให้ขาดแก่หมู่บ้านก้อนเดียว แต่ชาวบ้านต้องหมุนเงินจากแหล่งอื่นมาเวียนเทียนหนี้ทำให้ตัวเลขหนี้เสียน้อยกว่าความจริงอย่างมาก
โครงการเอื้ออาทร 12 โครงการ ล้มเลิกไปส่วนหนึ่ง (คอมพิวเตอร์) ล้มเหลวชะลอตัวมีปัญหาด้านคุณภาพ (บ้าน แอร์ โทรทัศน์ แท็กซี่เอื้ออาทร)
นอกจากนี้ ยังนโยบายการตลาดที่หวือหวา แต่ล้มเหลวเงียบหายไป เช่น อีลิทการ์ด 1 โรงเรียน 1 อำเภอ 1 ครัวเรือน 1 บ่อน้ำ 1 อำเภอ 1 ปอเนาะ 1 ตำบล 1 ฟาร์ม
นอกจากนี้ นโยบายสงครามยาเสพติด ชะลอตัวหลังฆ่าตัดตอนรายย่อยไป 2,500 ศพ การกวาดล้างคอร์รัปชั่น และปัญหาภาคใต้เลื่อนเส้นตายแล้วหลายหน
นโยบายขายฝันระดับโลก เช่น ซื้อลิเวอร์พูล ครัวไทยครัวโลก ศูนย์กลางอาหารโลก ศูนย์กลางพลังงาน กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น การสร้างแบรนด์เนม
ที่รอประเมินผล ก็คือดีทรอยแห่งเอเชีย SMEs ที่ได้ผลน้อย เช่น OTOP (ยอดขายมาจากธุรกิจเดิมที่มีมานานแล้ว) ประชามาร์เก็ตติ้งจึงไม่ใช่นโยบายแนวสวัสดิการถาวร ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวในด้านการศึกษา วิจัย หรือการพัฒนาชุมชน
แต่มุ่งกระตุ้นการบริโภค กระตุ้นกิเลสของชาวบ้านเป็นระยะๆ เช่น ล็อตเตอรี่รางวัลพิเศษ 30 ล้าน แจ๊กพอตหวยบนดิน 100 ล้าน หวยลิเวอร์พูล 1,000 ล้าน
(ข) ไทยรักไทยใช้ยุทธศาสตร์ 3 ระดับ คือ รวมกำลังส่วนหัว โดดเดี่ยวส่วนกลาง อุปถัมภ์ส่วนล่าง เพื่อสร้างการเมืองพรรคเดียว ดังนี้
(1) ส่วนบนใช้ยุทธวิธี "ซิเนอร์จี้ ซินมันนี ซินเซเวอรี" (Synsavoury) ธุรกิจกลุ่มแกนของพรรคให้เข้มแข็ง
(2) ส่วนกลางใช้ "ยุทธวิธีตัดหัวตัดตีน" แยกสลายทอนกำลังอำนาจการเมืองส่วนกลาง ทั้งอำนาจของกลุ่มนักเลือกตั้ง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม
"ยุทธวิธีตัดหัว" ที่กระทำต่อนักการเมืองท้องถิ่นกลุ่มต่างๆ คือกดดันทำลายผู้สนับสนุนด้านเงินทุนแล้วควบรวมมาเป็นพวก ที่กระทำต่อนักเคลื่อนไหวทางสังคมคือการดิสเครดิต อุดมการณ์ ต่อนักวิชาการใช้วิธีการทำลายความชอบธรรมทางวิชาการด้วยการโปรโมตวิชาการแบบซีอีโอ คู่มือคิดคู่มือปฏิบัติให้โตเร็ว รวยเร็ว กำไรเร็ว ชูความรู้บูรณาการแบบเทียมๆ ขึ้นมาแข่งกับความรู้แนววิชาการซึ่งเน้นแบบองค์รวม การวิเคราะห์รากเหง้า และเหตุปัจจัยหลายมิติ
"ยุทธวิธีตัดตีน" กลุ่มการเมืองท้องถิ่น กลุ่มเคลื่อนไหวเอ็นจีโอใช้การขายตรงนโยบายประชานิยม ที่กระทำต่อนักวิชาการ นักวิจารณ์ ก็คือการตัดพื้นที่สื่อในการแสดงความคิดเห็น
ยุทธวิธีสร้างโครงสร้างการเมืองใหม่เหล่านี้ได้ผลชัดเจนในกรณีกลุ่มการเมืองท้องถิ่นต่างๆ นับตั้งแต่ กิจสังคม เสรีธรรม ความหวังใหม่ จนถึงกลุ่มหลังสุดคือ กรณีกลุ่มบุรีรัมย์ ชลบุรี โคราช
(3) สำหรับชาวบ้าน "เจาะลึกไปที่ค่านิยมเชิงวัตถุ" อาจกล่าวได้ว่า พฤติกรรมในการลงคะแนนเสียงของคนไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์การเมือง แต่ขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางวัตถุ ผลประโยชน์จากความผูกพันในระบบอุปถัมภ์หรืออื่นๆ รวมทั้งค่านิยมที่ต่างๆ กันคือ คนรวยคาดการณ์แบบเก็งกำไร คนชั้นกลางอยู่กับความคิดปฏิบัตินิยมแบบเป็นไป คนจนอยู่กับความฝันการคาดหวัง จึงนิยมแทงหวย เสี่ยงโชค
สำหรับชาวบ้าน นโยบายกองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร แจกเงิน SML ของไทยรักไทย ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเหมือนกับถูกหวยโดยไม่ต้องแทง
พฤติกรรมของรัฐบาลนี้เป็นการอุปถัมภ์เชิงนโยบายคือการใช้เงินส่วนรวมเพื่อเกิดประโยชน์กับตนเอง มีผลเท่ากับการซื้อเสียงในระบบ แต่ชาวบ้านไทยๆ จะมองเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทนโดยที่ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว "เศรษฐีหมื่นล้านมาหาข้าวกินร่วมกับชาวบ้านแบบมื้อต่อมื้อ กินเสร็จรอให้คนอื่นมาจ่ายเงินแล้วยังขอห่อกลับบ้าน"
(ค)"การเมืองพรรคเดียวจะนำไปสู่เผด็จการบุคคล ระบบญาติกาธิปไตยหรือคณาธิปไตย" ระบบอุปถัมภ์เชิงนโยบายต่อชาวบ้านเป็นพื้นฐานที่มั่นคง ของระบอบเผด็จการพรรคเดียว ที่ผ่านมาของหลายประเทศ พรรคแอลดีพีในญี่ปุ่นครองอำนาจ 46 ปี พรรคก๊กมินตั๋งในไต้หวัน 53 ปี พรรคอัมโนในมาเลเซีย 47 ปี พรรค PAP ในสิงคโปร์ 45 ปี และพรรคคองเกรสในอินเดีย 45 ปี
เผด็จการพรรคเดียวของไทยรักไทย จึงน่าจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเลือกตั้งสมัยหน้า และจะอยู่ได้ในช่วงระยะยาวพอสมควร ระบบพรรคเดียวในทุกประเทศมักเป็นระบบ "เผด็จการ" ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ "เผด็จการโดยกลุ่มคณาธิปไตย" หรือ "เผด็จการโดยบุคคล" ที่มักกลายเป็นญาติกาธิปไตยหรือสองอย่างผสมผสานไปพร้อมๆ กัน
ปัญหาการเมืองในอนาคตที่จะเกิดคือ ปัญหาการสืบทอดทายาททางการเมืองว่า จะเป็นในหมู่พวกพ้องหรือในหมู่เครือญาติ ซึ่งขณะนี้ก็มีบุคคลในสกุลผู้นำขยายบทบาทอย่างมาก ทั้งในภาคธุรกิจ ราชการ การเมืองและสังคม
ญาติกาธิปไตยที่เกิดในญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทยในสมัยถนอม-ประภาส มักสร้างปัญหาเป็นวิกฤตการเมือง สังคมได้ในช่วงท้ายๆ