Group Blog
 
 
มีนาคม 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
"ธีรยุทธ" ชำแหละ "ระบอบทักษิณ"

เป็นบทวิเคราะห์ของผู้ที่ได้ชื่อว่า ขาประจำเสื้อกั๊ก ของทักษิณ บทความนี้เปิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2547

ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ มกราคม 2548 ( ครั้งนั้น ทรท.สามารถได้สส.เข้ามาในสภา 375 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง )

แต่ก็ไม่สามารถนำพาสภาผู้แทนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ต้องยุบสภาในวันที่ 24 มีนาคม 2549 ( อายุสภาเพียง 1 ปี กับ 2 เดือน )



......................................................................

"ธีรยุทธ" ชำแหละ "ระบอบทักษิณ" การเมืองแบบ"GMO" สายพันธุ์ใหม่"ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์"
รายงาน มติชนรายวัน วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9636

หมายเหตุ - เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองของนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้หัวข้อเรื่อง "4 ปี ระบอบทักษิณ ก้าวสู่การเมืองระบอบเผด็จการพรรคเดียวของไทยรักไทย มุ่งยึดสัมปทานประเทศ" ที่อาคาร 60 ปี ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ท่าพระจันทร์ เมื่อบ่ายวันที่ 27 กรกฎาคม

-----------------------------------------

(1) การปฏิรูปการเมืองล้มเหลวเพราะเกิดการเมืองแบบตัดต่อพันธุกรรม (GMO)

"เกิดสายพันธุ์ใหม่ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์"

การปฏิรูปการเมืองในปี 2540 มุ่งหวังสร้างระบบการเมืองใหม่ แต่กลับได้การเมืองแบบไทยรักไทย เป็นเสมือน "ทายาทอสูร"(Monstrous baby) ที่เกิดมาใหญ่โตพิกลพิการ และปิตุฆาตผู้ให้กำเนิดตัวเองด้วยการทำลายล้างเจตนารมณ์ปฏิรูปการเมืองเกือบหมด ดังนี้คือ

ปฏิรูปการเมืองต้องการทำลายคอร์รัปชั่น แต่ปัจจุบันคอร์รัปชั่นขยายตัวทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ

ปฏิรูปการเมืองต้องการสร้างฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง แต่กลับได้รัฐบาลเข้มแข็งเกินไป จนกำลังเป็นระบอบเผด็จการพรรคเดียว

ปฏิรูปการเมืองต้องการสร้างอค์กรตรวจสอบของสังคม แต่ถูกยึดโดยกลุ่มการเมืองใหม่และเก่าหมด

ปฏิรูปการเมืองต้องการสลายการเมืองแบบกลุ่มอุปถัมภ์-อิทธิพลท้องถิ่น แต่ไทยรักไทยกลับใช้เทคโนโลยีชั้นสูงดึงกลุ่มวังน้ำเย็น กลุ่มวังบัวบาน กลุ่มวังพญานาค กลุ่มสุชาติ-เนวิน กลุ่มชลบุรี กลุ่มชาติพัฒน์ เข้ามาร่วมในลักษณะเป็นองค์กรใหม่ที่ตกแต่งพันธุกรรม

คือกลายเป็น การเมืองแบบ GMO (Geretieally Modified Organization) เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองใหม่แต่คนละเจตนากับการปฏิรูปการเมือง โดยภาพรวมการเมืองเก่าเป็นยี้ท้องถิ่น แต่การเมืองใหม่จะพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ขึ้นเป็น "ยี้ท้องถิ่นผสมยี้อินเตอร์"






Create Date : 21 มีนาคม 2549
Last Update : 21 มีนาคม 2549 20:34:02 น. 9 comments
Counter : 644 Pageviews.

 
การก่อตัวระบอบเผด็จการพรรคเดียว

2.1 การเมืองเก่าตกยุค พรรคและนักการเมืองเก่ายังไม่ตระหนักว่า โครงสร้างอำนาจ โครงสร้างการเมือง โครงสร้างสังคม และค่านิยมในสังคมได้เปลี่ยนไป จนเกิดระบบการเมืองใหม่ที่พิกลพิการขึ้น การไม่ตระหนักรู้ว่า ตัวเองตกยุคอาจทำให้พรรคการเมืองเก่าสูญพันธุ์เป็นเพียงพรรคตัวประกอบ

ที่กล่าวว่า การเมืองเก่าตกยุคก็เพราะยังอยู่กับปัญหาความขัดแย้งโครงสร้างกลุ่มอิทธิพลผลประโยชน์ท้องถิ่น ส่วนผู้นำ เนื่องจากต้องคอยระวังเผด็จการทหารจึงเลือกผู้ที่มีฐานะทัดเทียมทหาร จากอดีตข้าราชการเทคโนแครต ชนชั้นสูง คนมีชื่อเสียงดี

อาทิ ม.ร.ว.เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช พจน์ สารสิน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ชวน หลีกภัย ซึ่ง บริหารประเทศตามกรอบที่วางโดยข้าราชการและสภาพัฒน์ (bureaucratic politics) ซึ่งพิสูจน์จากวิกฤติเศรษฐกิจ และการแข่งขันระดับโลกที่เข้มข้นในปัจจุบันว่าไม่ได้ผล

2.2 แนวโน้มการเมืองใหม่

(ก) "การเมืองใหม่คือการยึดอำนาจโดยกลุ่มทุนใหญ่" ในอดีตกลุ่มทุนใหญ่ทำหน้าที่สนับสนุนการเมืองเก่าของทหาร และนักการเมืองจากภูมิภาคท้องถิ่นต่างๆ เมื่อการเมืองเก่าล้มเหลวเพราะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง การคอร์รัปชั่น และวิกฤตเศรษฐกิจ

กลุ่มทุนใหญ่จึงฉวยประโยชน์จากรัฐธรรมนูญใหม่ก้าวสู่อำนาจได้ ด้วยการสร้างพันธมิตรแบบ Synergy และ Synmoney อย่างเปิดเผยชัดเจนขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มทุนโทรคมนาคม และสื่อสาร ขยายตัวเข้าสู่กลุ่มสื่อ และบันเทิง กลุ่มเกษตรการค้า พลังงานยานยนต์ ก่อสร้างแต่ก็มีคุณูปการคือการสนองความต้องการสังคม ด้วยการเสนอการบริหารแบบการเมืองนำราชการ (Business-ledpolities)

"กลุ่มทุนใหญ่ของไทยรักไทยเป็นทุนอภิสิทธิ์หรือทุนกาฝากรัฐที่เติบโตจากการผูกขาดทรัพยากรรัฐ หรือการเอื้อประโยชน์จากนโยบายรัฐมากกว่าการแข่งขัน" พวกเขาจึงปลื้มปีติกับการได้ยึดกุมอำนาจรัฐโดยตรง จึงมุ่งสร้างระบบพรรคเดียว ไม่ให้คุณค่าการถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย

ยิ่งผู้นำไทยรักไทยไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ความโปร่งใส หรือธรรมาภิบาล ก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชมสนับสนุน ของทุนเหล่านี้ ซึ่งคุ้นเคยกับการทับซ้อนผลประโยชน์รัฐ-เอกชน อยู่แล้ว

"นโยบายไทยรักไทยโดยรวมแล้วเอื้อต่อทุนมากกว่ารากหญ้า" 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยรักไทยเน้นการเกื้อหนุน ทุนอภิสิทธิ์หรือทุนกาฝากรัฐ ไทยรักไทยใช้วงเงินประมาณ 7.8 แสนล้านให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) แก้หนี้เสีย มีโครงการอภิมหาโปรเจ็กต์

เช่น สร้างเมืองใหม่ ขนส่งมวลชน รวม 2 ล้านล้าน กองทุนวายุภักษ์หนุนตลาดหุ้นประมาณ 1 แสนล้าน กองทุนสาธารณูปโภค 7 แสนล้าน

ขณะที่ชาวบ้านได้จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคปีละ 6 หมื่นล้าน กองทุนหมู่บ้าน 7 หมื่นล้าน โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 15,000 ล้าน โครงการแจกเงินหลังสุดสองหมื่นล้าน ต่างกันประมาณ 20 เท่า

"นโยบายประชานิยมแก่นแท้ ก็คือ ประชามาร์เก็ตติ้ง ที่ส่งผลเสียด้านศีลธรรม บริโภคนิยม การขาดประสิทธิภาพ คุณภาพของประชาชน" นโยบายประชานิยมของทักษิณมีลักษณะเป็นโครงการย่อยๆ ช่วงสั้นๆ เช่น กองทุนหมู่บ้านให้ขาดแก่หมู่บ้านก้อนเดียว แต่ชาวบ้านต้องหมุนเงินจากแหล่งอื่นมาเวียนเทียนหนี้ทำให้ตัวเลขหนี้เสียน้อยกว่าความจริงอย่างมาก

โครงการเอื้ออาทร 12 โครงการ ล้มเลิกไปส่วนหนึ่ง (คอมพิวเตอร์) ล้มเหลวชะลอตัวมีปัญหาด้านคุณภาพ (บ้าน แอร์ โทรทัศน์ แท็กซี่เอื้ออาทร)

นอกจากนี้ ยังนโยบายการตลาดที่หวือหวา แต่ล้มเหลวเงียบหายไป เช่น อีลิทการ์ด 1 โรงเรียน 1 อำเภอ 1 ครัวเรือน 1 บ่อน้ำ 1 อำเภอ 1 ปอเนาะ 1 ตำบล 1 ฟาร์ม

นอกจากนี้ นโยบายสงครามยาเสพติด ชะลอตัวหลังฆ่าตัดตอนรายย่อยไป 2,500 ศพ การกวาดล้างคอร์รัปชั่น และปัญหาภาคใต้เลื่อนเส้นตายแล้วหลายหน

นโยบายขายฝันระดับโลก เช่น ซื้อลิเวอร์พูล ครัวไทยครัวโลก ศูนย์กลางอาหารโลก ศูนย์กลางพลังงาน กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น การสร้างแบรนด์เนม

ที่รอประเมินผล ก็คือดีทรอยแห่งเอเชีย SMEs ที่ได้ผลน้อย เช่น OTOP (ยอดขายมาจากธุรกิจเดิมที่มีมานานแล้ว) ประชามาร์เก็ตติ้งจึงไม่ใช่นโยบายแนวสวัสดิการถาวร ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวในด้านการศึกษา วิจัย หรือการพัฒนาชุมชน

แต่มุ่งกระตุ้นการบริโภค กระตุ้นกิเลสของชาวบ้านเป็นระยะๆ เช่น ล็อตเตอรี่รางวัลพิเศษ 30 ล้าน แจ๊กพอตหวยบนดิน 100 ล้าน หวยลิเวอร์พูล 1,000 ล้าน

(ข) ไทยรักไทยใช้ยุทธศาสตร์ 3 ระดับ คือ รวมกำลังส่วนหัว โดดเดี่ยวส่วนกลาง อุปถัมภ์ส่วนล่าง เพื่อสร้างการเมืองพรรคเดียว ดังนี้

(1) ส่วนบนใช้ยุทธวิธี "ซิเนอร์จี้ ซินมันนี ซินเซเวอรี" (Synsavoury) ธุรกิจกลุ่มแกนของพรรคให้เข้มแข็ง

(2) ส่วนกลางใช้ "ยุทธวิธีตัดหัวตัดตีน" แยกสลายทอนกำลังอำนาจการเมืองส่วนกลาง ทั้งอำนาจของกลุ่มนักเลือกตั้ง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม

"ยุทธวิธีตัดหัว" ที่กระทำต่อนักการเมืองท้องถิ่นกลุ่มต่างๆ คือกดดันทำลายผู้สนับสนุนด้านเงินทุนแล้วควบรวมมาเป็นพวก ที่กระทำต่อนักเคลื่อนไหวทางสังคมคือการดิสเครดิต อุดมการณ์ ต่อนักวิชาการใช้วิธีการทำลายความชอบธรรมทางวิชาการด้วยการโปรโมตวิชาการแบบซีอีโอ คู่มือคิดคู่มือปฏิบัติให้โตเร็ว รวยเร็ว กำไรเร็ว ชูความรู้บูรณาการแบบเทียมๆ ขึ้นมาแข่งกับความรู้แนววิชาการซึ่งเน้นแบบองค์รวม การวิเคราะห์รากเหง้า และเหตุปัจจัยหลายมิติ

"ยุทธวิธีตัดตีน" กลุ่มการเมืองท้องถิ่น กลุ่มเคลื่อนไหวเอ็นจีโอใช้การขายตรงนโยบายประชานิยม ที่กระทำต่อนักวิชาการ นักวิจารณ์ ก็คือการตัดพื้นที่สื่อในการแสดงความคิดเห็น

ยุทธวิธีสร้างโครงสร้างการเมืองใหม่เหล่านี้ได้ผลชัดเจนในกรณีกลุ่มการเมืองท้องถิ่นต่างๆ นับตั้งแต่ กิจสังคม เสรีธรรม ความหวังใหม่ จนถึงกลุ่มหลังสุดคือ กรณีกลุ่มบุรีรัมย์ ชลบุรี โคราช

(3) สำหรับชาวบ้าน "เจาะลึกไปที่ค่านิยมเชิงวัตถุ" อาจกล่าวได้ว่า พฤติกรรมในการลงคะแนนเสียงของคนไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์การเมือง แต่ขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางวัตถุ ผลประโยชน์จากความผูกพันในระบบอุปถัมภ์หรืออื่นๆ รวมทั้งค่านิยมที่ต่างๆ กันคือ คนรวยคาดการณ์แบบเก็งกำไร คนชั้นกลางอยู่กับความคิดปฏิบัตินิยมแบบเป็นไป คนจนอยู่กับความฝันการคาดหวัง จึงนิยมแทงหวย เสี่ยงโชค

สำหรับชาวบ้าน นโยบายกองทุนหมู่บ้าน พักหนี้เกษตรกร แจกเงิน SML ของไทยรักไทย ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเหมือนกับถูกหวยโดยไม่ต้องแทง

พฤติกรรมของรัฐบาลนี้เป็นการอุปถัมภ์เชิงนโยบายคือการใช้เงินส่วนรวมเพื่อเกิดประโยชน์กับตนเอง มีผลเท่ากับการซื้อเสียงในระบบ แต่ชาวบ้านไทยๆ จะมองเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทนโดยที่ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว "เศรษฐีหมื่นล้านมาหาข้าวกินร่วมกับชาวบ้านแบบมื้อต่อมื้อ กินเสร็จรอให้คนอื่นมาจ่ายเงินแล้วยังขอห่อกลับบ้าน"

(ค)"การเมืองพรรคเดียวจะนำไปสู่เผด็จการบุคคล ระบบญาติกาธิปไตยหรือคณาธิปไตย" ระบบอุปถัมภ์เชิงนโยบายต่อชาวบ้านเป็นพื้นฐานที่มั่นคง ของระบอบเผด็จการพรรคเดียว ที่ผ่านมาของหลายประเทศ พรรคแอลดีพีในญี่ปุ่นครองอำนาจ 46 ปี พรรคก๊กมินตั๋งในไต้หวัน 53 ปี พรรคอัมโนในมาเลเซีย 47 ปี พรรค PAP ในสิงคโปร์ 45 ปี และพรรคคองเกรสในอินเดีย 45 ปี

เผด็จการพรรคเดียวของไทยรักไทย จึงน่าจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเลือกตั้งสมัยหน้า และจะอยู่ได้ในช่วงระยะยาวพอสมควร ระบบพรรคเดียวในทุกประเทศมักเป็นระบบ "เผด็จการ" ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ "เผด็จการโดยกลุ่มคณาธิปไตย" หรือ "เผด็จการโดยบุคคล" ที่มักกลายเป็นญาติกาธิปไตยหรือสองอย่างผสมผสานไปพร้อมๆ กัน

ปัญหาการเมืองในอนาคตที่จะเกิดคือ ปัญหาการสืบทอดทายาททางการเมืองว่า จะเป็นในหมู่พวกพ้องหรือในหมู่เครือญาติ ซึ่งขณะนี้ก็มีบุคคลในสกุลผู้นำขยายบทบาทอย่างมาก ทั้งในภาคธุรกิจ ราชการ การเมืองและสังคม

ญาติกาธิปไตยที่เกิดในญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทยในสมัยถนอม-ประภาส มักสร้างปัญหาเป็นวิกฤตการเมือง สังคมได้ในช่วงท้ายๆ



โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:35:12 น.  

 
(3) แนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจ

3.1 เศรษฐกิจ Thaksinocrny มีเป้าหมายยึดสัมปทานประเทศเพื่อผลตอบแทนไว แต่ไม่ใส่ใจคุณภาพประเทศ

ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ เศรษฐกิจเอเชียผูกพันกันมากขึ้น เศรษฐกิจไทยฟื้นจากวิกฤตได้ 2 ปี แต่อนาคตจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจภูมิภาค และจีนเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีปัจจัยที่น่าห่วงเกิดขึ้นหลายด้านคือ การส่งออกอาจจะไม่สดใสอย่างที่เคยหวัง ภาคที่ฉุดนำการเติบโตเกือบทั้งหมดเป็นภาคธุรกิจที่เป็นพวกพ้อง ผูกพันเกี่ยวข้องกับกลุ่มนำของไทยรักไทย จนอาจเรียกเศรษฐกิจ "Thaksinomics" ได้ใหม่ว่าเป็น "Thaksinocrony"

ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐอยู่ในข่ายการขาดวินัยการคลังที่ร้ายแรง ซึ่งจะทำให้เครดิตของประเทศเสียหาย การเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน นโยบายฆ่าตัดตอน ผู้นำชาวบ้านถูกสังหาร ปัญหาภาคใต้ โรคซาร์ส ไข้หวัดนก มีแนวโน้มยืดเยื้อ จนชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้

สิ่งสำคัญที่คนไทยต้องตระหนักอีกอย่างคือ ปรัชญาเศรษฐกิจการเมืองของไทยรักไทย ก็คือ "การขอเปลี่ยนจากสัญญาบริหารประเทศ 4 ปี ไปเป็นสัมปทานประเทศ 30 ปี" โดยจะเพิ่มค่าเช่า และจ่ายโบนัสอย่างงามแก่ประชาชนทุกๆ 4 ปี

จากนั้นก็จะนำประเทศบางส่วนไปให้เช่าช่วงบ้าง ซับคอนแทรกซ์บ้าง ส่วนเนื้อๆ ของประเทศก็จะนำเข้าตลาดหุ้นภายในภายนอกเพื่อสร้างกำไรอย่างงาม

ส่วนงบประมาณหรือภาษีอากรประชาชนก็ขออาสาเป็นนายวาณิชธนกิจหรือกองทุนรวมบริหารให้ โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยประจำแบบที่ประชาธิปัตย์เคยบริหารมา คนไทยต้องสังเกตว่า พวกนักสัมปทานไม่มีประสบการณ์ต้านการผลิต การวิจัยพัฒนาคุณภาพเอง อาศัยการซื้อเทคโนโลยี โนวฮาว และทำมาร์เก็ตติ้งเพื่อขายบริการอย่างเดียว

ดังเห็นได้ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดของทักษิณอยู่กับการเน้นการบริโภค โดยไม่ได้เน้นด้านการผลิต คุณภาพการผลิต ประสิทธิภาพ ธรรมาภิบาล ฐานความรู้และการวิจัยของประชากร และภาคธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขัน การด้อยคุณภาพในที่สุด

ความสามารถในการบริหารจัดการของทักษิณจะเกิดประโยชน์อย่างมาก ถ้ามุ่งสร้างประเทศ และประชาชนให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเสียก่อน หรือมุ่งกระทำไปพร้อมๆ กันแต่เน้นที่คุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นหลักก็ได้

3.2 "ยุคสมัยรัฐบาลทักษิณคนไทยต้องสมาทานเบญจคอร์รัปชั่น"

ปัญหาสังคมที่รุนแรงที่สุด ที่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงในอนาคตคือ การคอรัปชั่น ในยุครัฐบาลทักษิณ เราอาจจะมองพัฒนาการของคอร์รัปชั่นได้จาก 2 มุม คือ มุมคุณภาพ และมุมปริมาณ

ก. "มุมมองด้านคุณภาพของการคอร์รัปชั่น" ได้พัฒนาคุณภาพสูงขึ้นเป็น เบญจคอร์รัปชั่น คือ

(1) การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย

(2) "การคอร์รัปชั่นบูรณาการ" ซึ่งร่วมมือกันทุกระดับ เช่น พรรคเสนอปรัชญาการบริหารประเทศแบบดิจิตอล รัฐมนตรีก็สนองนโยบาย ลูกน้องจัดการให้ บริษัทประมูลฮั้วกัน ข้าราชการให้ความร่วมมือ ดังที่ปรากฏในข่าวที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดโปงขึ้น

(3)"การคอร์รัปชั่นแบบผลประโยชน์ทับซ้อน" ซึ่งเป็นคอร์รัปชั่นเชิงซ้อน จัดการตามกฎหมายได้ลำบาก เช่น การทับซ้อนระหว่างรัฐกับเอกชน เช่น รัฐบาลเยือนต่างประเทศแต่เจรจาธุรกิจให้บางกลุ่ม ทำข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศแต่เอื้อแก่บางธุรกิจ เช่น เปิดเสรีกับออสเตรเลียได้หมึกไม่ทันแห้ง บริษัทยักษ์ใหญ่เกษตรก็บินไปลงนามข้อตกลงทางการเกษตรได้ทันที

การทับซ้อนระหว่างส่วนตัวกับส่วนรวม เช่น เจรจาซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ตัวเองได้ผลประโยชน์ในรูปเครดิตแต่จะใช้เงินรัฐหรือประชาชน การทับซ้อนในเชิงการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ได้ประโยชน์ทางการเมือง เช่น การจับกุม ดำเนินคดี คู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเลือกปฏิบัติ

(4)"คอร์รัปชั่นเชิงช่องว่างระหว่างสังคมไทยกับระบบโลก" กลุ่มทุนใหญ่ได้เปรียบในการฉวยประโยชน์จากช่องว่างในการเข้าถึงข้อมูล และทิศทางการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพราะอำนาจรัฐของประเทศจำกัดลง ไม่สามารถควบคุมธุรกิจข้ามชาติ การทำสัญญาข้ามชาติ การเสี่ยงภาษี โยกย้ายเงินกระจายเงิน การซื้อขายตลาดล่วงหน้า และ Derivative ยิ่งนักธุรกิจเป็นนักการเมืองกุมอำนาจรัฐเองก็ยิ่งฉกฉวยประโยชน์ได้มาก

ช่องว่างทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสื่อสาร เช่น การกดอัดความถี่แตกลูกคลื่น เช่น เปิดทีวีช่อง 11/1-11/8

ช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกฎหมายไทยตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงโลกยังติดยึดอยู่กับการทำถูกกฎระเบียบ ก็คือ ถูกกฎหมาย สังคมไทยไม่มีการควบคุมนอกเหนือกฎหมาย (extra-judicial control) เช่น การควบคุมทางสังคม ศีลธรรมที่เข้มแข็งพอ

รัฐบาลทักษิณ เน้นจุดอ่อนนี้อย่างมากดังจะเห็นได้จาก การดึงนักเทคโนแครตด้านกฎหมายเข้าช่วยงาน และแก้ปัญหาเกือบทุกด้าน

(5)"การคอร์รัปชั่นทางศีลธรรม" คือการกร่อนทำลายการยึดมั่นในศีลธรรมเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมการแทงหวย พนัน ธุรกิจนอกระบบให้เป็นธุรกิจในระบบ

รัฐบาลทักษิณทำให้เส้นแบ่งทางคุณธรรมในสังคมไทยพร่ามัวไปหมดเกือบทุกด้าน เช่น ส่งเสริมธุรกิจผิดศีลธรรม เช่น หวยแต่เอารายได้ส่วนหนึ่งไปทำความดีคือให้ทุนการศึกษาเด็ก

การก่อหนี้สาธารณะซึ่งเป็นการเอาเงินอนาคตมาใช้ ก็คือ การใช้เงินของลูกหลาน ถ้ามากเกินขอบเขตก็จะเหมือนเป็นการโกงลูกหลานตัวเอง รัฐบาลทั่วโลกถือเป็นเรื่องทางศีลธรรม และวินัยการคลังที่ต้องระวังแต่รัฐบาลทักษิณภูมิใจที่ได้ก่อหนี้และปลูกฝังค่านิยมแบบรวยเร็ว ไม่เน้นสมดุลหรือระมัดระวังเรื่องความเสี่ยงในอดีตคนไทยสมาทานเบญจศีล ในยุคสมัยรัฐบาลปัจจุบันเราคงต้องสมาทาน "เบญจคอร์รัปชั่น" แทน

ข."มุมมองด้านปริมาณของการคอร์รัปชั่น การคอร์รัปชั่นยุคนี้เป็นแบบ SML และ T" คือ การคอร์รัปชั่นทุกขนาดทั้งเล็ก (ระดับผู้นำท้องถิ่น หัวคะแนน) กลาง (ระดับนักการเมือง กินคอมมิสชั่น ค่าปรึกษาโครงการ) ใหญ่ (เชิงนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน) และยังเป็นแบบหนา (T, thick) คือการโกงกินอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย ไม่ฟังเสียงสังคมหรือสำนึกคุณธรรม ขอให้อยู่ในอำนาจ และถูกระเบียบก็พอ

"สรุปก็คือ เล็กก็เอา กลางก็เอา ใหญ่ก็เอา และหนาด้วย"



โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:36:14 น.  

 
(4)"แนวโน้มสังคม และพรรคการเมืองไทย"

4.1"อนาคตพรรคการเมือง ฝ่ายค้านอ่อนแอ"

"ไทยรักไทย"มุ่งสร้างตัวเป็นสถาบันครอบนำเบ็ดเสร็จ (Hegemonic หรือ total institution) คุมวิสัยทัศน์ และความรู้ของสังคม คุมกลไกกฎหมาย ราชการ องค์กรตรวจสอบ ครอบนำชาวบ้านโดยผ่านนโยบายการขยายสมาชิก และเครือข่าย แต่ไทยรักไทยดำเนินนโยบายการเมืองผิดพลาดที่ตั้งเป้าจะให้ได้ ส.ส.เกิน 400 เสียงเพื่อไม่ให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเลย ซึ่งเป็นการปรามาสพลังชนชั้นกลางและพลังประชาธิปไตย จนน่าจะเกิดขบวนคัดค้านขึ้นในช่วงเลือกตั้ง

"จึงคาดว่าไทยรักไทยจะได้ ส.ส.เขตไม่ถึง 320 และปาร์ตี้ลิสต์ไม่ถึง 80 ตามที่ตั้งเป้า เนื่องจากสูญเสียที่นั่งใน กทม.และแก่ผู้สมัครที่เด่นบางเขต"

"ประชาธิปัตย์" 4 ปีที่ผ่านมาของการเปลี่ยนผ่านมาสู่การเมืองใหม่ ไม่ได้ทำให้ประชาธิปัตย์ตระหนักแต่อย่างใด ยังต่อสู้ขัดแย้งในเชิงความคิด และกลุ่มก๊กแบบเก่า (factional politice) ประชาธิปัตย์ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกหัวหน้าพรรคและการเสนอนโยบายใหม่ จึงนำไปสู่ภาวะเสื่อมความนิยมจนเกิดการแตกแยกภายใน

ก่อนการเลือกตั้งสมัยหน้าถ้าประชาธิปัตย์ไม่ยอมปฏิรูปตัวเองจริงจังเพื่อหาผู้นำ และนโยบายที่สดใหม่ขึ้นมาเพื่อดึงเอาเสียงพลังประชาธิปไตย ชนชั้นกลาง เพื่อรักษาฐานเสียงเดิมในภาคใต้ และ กทม. ก็จะตกที่นั่งลำบาก เป็นเพียงพรรคขนาดกลางเล็กประมาณ 80-85 เสียง

ทางแก้คือ "บัญญัติ" ควรเปิดทางให้ "อภิสิทธิ์" ซึ่งไม่ควรจะหลบฉากแต่ควรออกมาเป็นแม่ทัพในการเลือกตั้งที่จะถึง ซึ่งจะเป็นการเคี่ยวกรำตัวเองจนมีโอกาสได้รับศรัทธาจากชาวบ้านมากขึ้น

"มหาชน"โดยโครงสร้างเกิดจากกลุ่มการเมือง กลุ่มอิทธิพล กลุ่มธุรกิจ และผลประโยชน์ท้องถิ่น ที่ถูกบีบคั้นจากไทยรักไทยอย่างแรง แต่ยึดศักดิ์ศรีไม่ยอมกลืนเลือด (แบบกลุ่มชลบุรีหรือกลุ่มโคราช) จึงได้จัดตั้งพรรคของตนขึ้นมาสู้ โดยโครงสร้างและวิธีคิดจึงไม่ใช่ทางเลือกใหม่

อย่างไรก็ตาม พรรคนี้ดึงดูดบุคลากรรุ่น 14 ตุลาได้จำนวนหนึ่ง และนำเสนอนโยบายที่เป็นระบบเพื่อแข่งกับไทยรักไทยได้ ถ้าประชาธิปัตย์ไม่ปรับอะไรเลย มีโอกาสที่พรรคนี้จะดึงเสียงชนชั้นกลาง พลังประชาธิปไตยที่ไม่พอใจไทยรักไทยไปได้บ้าง แต่ทั้งนี้ พล.ต.สนั่น ,วัฒนา ฯลฯ ต้องมอบบทบาทให้คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

"ชาติไทย" น่าจะรักษาฐานเสียงเดิมได้จำนวนหนึ่ง คือในราว 15-20 ที่นั่ง

"รวมแล้วพรรคฝ่ายค้านจะอ่อนแอ ทั้งในด้านความคิด บุคลากร ฐานะทรัพยากร จะมีที่นั่งรวมเพียงประมาณ 100 กว่าเสียง และในสมัยหน้าไทยรักไทยก็จะกดดันชาติไทย และมหาชนให้สลายตัว และเข้าร่วมรัฐบาลตามยุทธวิธีเดิมที่ใช้ในช่วงสมัยแรกได้ง่ายดายอีกด้วย"

4.2 "ความขัดแย้งหลักทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างไทยรักไทยกับภาคประชาสังคม"

ก.กลุ่มทุนมืออาชีพ กลุ่มชนชั้นสูง ที่ไม่พอใจรัฐบาลทักษิณจะเพิ่มมากขึ้น จากความต่างทั้งด้านอุดมการณ์ ค่านิยม และผลประโยชน์ แต่กลุ่มนี้จะไม่มีพลังกดดันรัฐบาลมากนัก

ข.ใน 4 ปีข้างหน้า บารมีทักษิณน่าจะเพิ่มพูนขึ้นในกลุ่มธุรกิจใหญ่ กลุ่มนักการเมือง และชาวบ้าน แต่จะสวนทางเป็นขาลงแบบดิ่งลงเหวในหมู่บ้านปัญญาชน ชนชั้นกลาง สื่อมวลชนโดยรวม กลุ่มองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสังคมต่างๆ รวมทั้งสื่อ ผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศด้วย

มายาคติเรื่องฝีมือความรู้หรือการจัดการแบบซีอีโอจะเสื่อมลงเพราะคนมองเห็นชัดมากขึ้นว่าใช้ไม่ได้กับทุกเรื่อง เช่น การแก้ไขหวัดนก กรณีภาคใต้ แต่ความเสื่อมจะอยู่ในแวดวงที่มีการศึกษาระดับหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้น "ผลคือระยะห่างระหว่างไทยรักไทย และภาคสังคมจะมากขึ้นไทยรักไทยจะยังเน้นเพียงอำนาจ กลไกการเมือง และชาวบ้าน โดยไม่แคร์ต่อเสียงชนชั้นกลางหรือเสียงสังคมทั่วไป"

ค.ใน 4 ปีข้างหน้า ภาคสังคม สื่อ นักวิชาการ องค์กรเคลื่อนไหว จะมีบทบาทเข้มข้นในการคัดค้านไทยรักไทย อาจมีการผนึกกำลังเป็นแนวร่วมมากขึ้นเพราะปัญญาชน ชนชั้นกลาง และสื่อไทยมีประเพณีต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมายาวนาน จะเป็นกำลังและเป็นคู่ขัดแย้งหลักกับไทยรักไทยในอนาคต

ประเด็นที่สู้อาจไม่ได้เริ่มต้นค้านระบบเผด็จการพรรคเดียว แต่จะเป็นเรื่องการคอรัปชั่น การเอื้อผลประโยชน์พวกพ้อง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งสังคมขนานใหญ่ได้

"จากนั้นจะขยายไปสู่การต้านเผด็จการพรรคเดียว การเผด็จอำนาจโดยบุคคล คาดว่าโดยรูปธรรมอาจจะมี การรณรงค์ไม่ออกเสียงให้ไทยรักไทย (non-TRT voting campain) ตั้งแต่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คราวนี้หรือการเลือกตั้งคราวหน้า และท้ายที่สุดน่าจะเป็นการรณรงค์จนถึงขั้นการชุมนุมเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง"

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองว่า ไทยรักไทยจะเป็นสถาบันการเมืองหนึ่งในอนาคต สังคมไทยก็อาจจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปภายในพรรคให้เป็นประชาธิปไตย ให้มีกระบวนการผลิตนโยบายเป็นเชิงสถาบันมากขึ้น หรือ จากล่างสู่บนมากขึ้น

"ฝ่ายค้านเองอาจทำตัวให้มีคุณูปการสร้างสรรค์การเมืองไทย ด้วยการปฏิรูปตัวเองอย่างจริงจัง การทำแนวร่วมเป็นพันธมิตรด้วยอุดมการณ์ที่ต่างไปจากแนวทุนอภิสิทธิ์-ประชามาร์เก็ตติ้งของไทยรักไทย"



โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:37:42 น.  

 
คาดว่าโดยรูปธรรมอาจจะมี การรณรงค์ไม่ออกเสียงให้ไทยรักไทย (non-TRT voting campain) ตั้งแต่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คราวนี้หรือการเลือกตั้งคราวหน้า และท้ายที่สุดน่าจะเป็นการรณรงค์จนถึงขั้นการชุมนุมเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง"


ธีรยุทธ์ บุญมี
28 กรกฎาคม 2547


โดย: Can (ไทเมือง ) วันที่: 21 มีนาคม 2549 เวลา:20:39:32 น.  

 
ส.ส. สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ภาษาอังกฤษเรียกว่า MP (Member of Parliament)

ประชาชน ภาษาอังกฤษเรียกว่า MOP (Member of Public) หรือ อ่านว่า ม๊อบ เหมือนคำว่า Mob

วันนี้เราบรรลุแล้วว่า ผู้บรรญัติศัพท์อังกฤษ ฉลาดและมองการไกล ให้สองกลุ่มนี้คานอำนาจกันด้วย จงใจหรือเปล่า???

คุณเป็นใคร เลือกข้างไหน คุณควรรู้ตัวคุณเอง ถามตัวเองคุณเป็นประชาชนไทยหรือเปล่า คุณไม่สงสัยเลยเหรอ ว่าคนเป็นแสนๆ โง่ขนาดนั้นเชียวหรือ ใครกันที่โง่???????

คนที่เป็นประชาชน และไปเข้าข้างทักษิณ คุณคือคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าคุณเป็นใคร คุณควรไปตรวจสมอง เหมือนคุณทักษิณ นั่นแหละ เพราะเค้าก็คือคนที่ไม่สามารถ แบ่งแยก ผลประโยชน์ของ ประเทศชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัวได้อีกต่อไป ถ้าคุณสงสัยว่า ดิฉันรู้ได้ไง ก็ไปอ่านข้อความข้างบน ก็ประชาชน Member of Public ออกมาถามคุณนี่ไง คุณไม่ตอบ...ไม่ต้องมีหมอดูมาดูหรอก ครั้งนี้ ประวัติศาสตร์จริงๆ และคนจะมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


โดย: Thai in England IP: 81.1.99.46 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:0:45:31 น.  

 
คูณThai in England ครับไม่ใช่คนเลือกทักษิณโง่หรือคนต่อต้านโง่หรอกครับ ความจริงคนไทยที่เมืองไทยรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่เราไม่มีทางเลือก ถามว่าปัจจุบันระหว่าง ทรท.และ ฝ่ายค้านคนจะเลือกใคร ผมคิดว่าทรท.ยังเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในองค์ประกอบรวม ความจริงเราอยากเห็นมิติใหม่ของฝ่ายค้านแต่ฝ่ายค้านเองก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นแค่เพียงพรรคระดับท้องถิ่นยังไม่สามารถก้าวข้ามเป็นพรรคระดับชาติได้ และไม่มีทางเลือกที่สามอีก ดังนั้นฝ่ายอื่นควรจะนำเอาด้านดีของบทความนี้ไปปรับปรุงเพื่อประชาชนจะได้มีพรรคการเมืองที่ดีกว่าทรท.และฝ่ายค้านปัจจุบัน พอถึงวันนั้นจะไม่มีคนจำใจโง่ในประเทศนี้อีกต่อไป


โดย: navaka IP: 202.28.103.100 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:1:18:35 น.  

 
หามาดิคนพรรคไหนที่ดีกว่าปัจจุบัน
จะให้สนธิมาครองประเทศมั้ยครับบคุณทั้งหลาย
หรือจะเอาคุณจำลองดีอ่า จะได้ตายกันเยอะ ๆ เลย
สะใจมั้ยละคนรักประชาธิปไตยทั้งหลาย


โดย: ปป IP: 202.22.11.35 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:8:05:17 น.  

 
อาจานสติเฟื่องออกมาดูโลกปัจจุบัน แล้วตามให้ทันด้วย
อย่ามัวแต่บ้าวิชาในตำรา ไม่เท่หรอกนะ ถ้าจะคิดประดิษฐ์
คำพูด ก็ด่า ปชป สิวะมันเล่นเกมไม่เลิกนอกสภาด้วย


โดย: ม๊อบกรู IP: 58.147.45.161 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:10:41:02 น.  

 
ถ้าสังคมมันทำให้เราสูญเสียอัตลักษณ์ ก็ควรถอยออกมา

ใครอยากพบคนราชดำเนินผู้ประท้วงความอยุติธรรม

เชิญที่ ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด

//ithai.awardspace.com/forums/index.php

คุณ Can ไทเมือง ประจำที่นั่นทุกวัน พร้อม ๆ ชาวราชดำเนินเกือบ ๆ 300 คน


โดย: 000 IP: 58.8.106.179 วันที่: 4 เมษายน 2549 เวลา:5:45:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไทเมือง
Location :
อุบลราชธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ไทเมือง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.