+-+-+-+-+-+-+-+-+ขอแนะนำนิตยสารที่ผมชอบอ่านในช่วงนี้ ฉบับสมบูรณ์+-+-+-+-+-+-+-+-+
ีupdate 19 ธันวาคม 2552 - แก้ไขคำผิด
ขอคั่นเรื่องไปเที่ยวพม่าด้วยเรื่องนี้ก่อน เดี๋ยวจะกลับมาเขียนต่อแน่นอน ไม่แท้งกลางคันครับ เชื่อถือได้ (เหรอ-)
เห็นคุณแฟนผมตัวดำ เขียนถึงเรื่องนิตยสารที่เขาอ่านเป็นประจำ เมื่อประมาณหลายเดือนที่แล้ว
ก็พลันเกิดแรงบันดาลใจ อยากเขียนถึงนิตยสารที่ผมชอบอ่านบ้าง แต่พอเวลาผ่านไป แรงบันดาลใจที่เคยตึงก็กลับกลายเป็นหย่อนยาน จนกว่าจะรื้อฟื้นแรงบันดาลใจกลับคืนมาได้ ก็ไปเข้าไปเกือบจะสิ้นปี หวังว่า คงไม่มีคำว่าสาย สำหรับ รักแท้ เอ๊ย สำหรับการอัพบลอกเรื่องนี้ นะครับ
สาเหตุที่อยากเขียนถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะ ตัวผมถือว่า เป็นคนนึงที่อ่านนิตยสารค่อนข้างมาก เรียกได้ว่ามากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว (อันนี้เริ่มโอเว่อร์แล้ว) มีอยู่ช่วงนึงของชีวิต ผมซื้อนิตยสารที่ผมอ่าน เก็บเอาไว้ทุกเล่มไม่ว่าจะเป็นเล่มที่อ่านทุกหน้า หรือเล่มที่อ่าน 3 บรรทัดแล้ววาง เก็บไว้จนประสบปัญหา อย่างแรกคือ ไม่มีที่เก็บ อย่างที่สองก็คือ อ่านไม่ทัน (แค่ นิตยสารสารคดี เล่มเดียว ผมก็ใช้เวลาอ่านเกือบครึ่งเดือนแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงวารสารโคตรหนาอย่าง GM หรือฟ้าเดียวกัน ที่ในชาตินี้ไม่เคยอ่านจบเลยสักเล่ม) ซึ่งพอจะอ่านเล่มเก่าให้จบเสียหน่อย เล่มใหม่ดันออกวางแผงแล้วซะงั้น ก็เลยต้องเลือกอ่านนิตยสารเล่มใหม่ซึ่งมีเนื้อหาใหม่ๆ ก่อน เนื้อหาเก่าๆ เก็บไว้อ่านทีหลังก็ได้ ก็เลยเกิดเป็นวงจรอุบาทว์ อ่านนิตยสารอะไรก็ไม่เคยจบเล่มสักที แถมช่วงหลังๆ ยังมีกิจกรรมให้ทำยามว่าง อย่างเช่น เล่นคอมพิวเตอร์ หรืออ่านนิยาย ก็ยิ่งทำให้เวลาในชีวิตยิ่งหดหาย ไม่เหลือเวลาให้อ่านหนังสือมากเข้าไปใหญ่ หลังๆ ก็เลยตัดไฟแต่ต้นลม เลือกซื้อนิตยสารเฉพาะหัวที่ชอบอ่านจริงๆ ส่วนเล่มอื่น คงต้องให้มันเป็นเล่มที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจ พลาดไม่ได้จริงๆ จึงจะซื้อมา
เนื่องจากบริเวณที่ผมอยู่อาศัย มีร้านหนังสือเช่าค่อนข้างมาก ยิ่งทำให้ประหยัดงบประมาณในการซื้อนิตยสารไปได้อีกมาก หนังสือบางเล่มที่ผมไม่ได้อ่านละเอียดมากมายหรือนำมาอ่านซ้ำ ผมก็มักจะเปลี่ยนเป็นเช่าอ่านแทน หรือบางเล่ม ผมก็ยืนอ่านตามแผงหนังสือหรือที่ 7-11 เอาดื้อๆ เสียเลย หนังสือในกลุ่มเคราะห์ร้ายเหล่านี้ ได้แก่ มติชนสุดสัปดาห์, Zoo Magazine ซึ่งเหมาะกับการยืนอ่านมาก แหะๆๆ
ในเมื่ออ่านมามากขนาดนี้ ผมก็เลยขอเขียนถึงนิตยสารที่ผมติดตาม มีติบ้างชมบ้าง ก็อย่าโกรธเคียง ถือซะว่ารักดอกจึงบอกมาแล้วกันนะครับ
นิตยสารที่ผมอ่านประจำ มีดังต่อไปนี้ครับ
ภาพจาก //www.magazinedee.com
Filmax
-เป็นนิตยสารที่ผมชื่นชอบที่สุดในตอนนี้ ชอบมากกว่าไบโอสโคปหรือ a day เสียอีก
-ที่น่าชื่นชมอีกอย่าง คือ เวลาวางแผงเชื่อถือได้ Filmax ออกวางแผงไม่เคยเกินวันที่ 10 ของเดือนเลย
-แต่มีข้อเสีย คือ ทางนิตยสารไม่มีเวบไซต์, facebook, บลอก หรือหนทางติดตาทางโลกอินเตอร์เนทเลย ทำให้ไม่สามารถเช็คเวลาออกวางแผงที่แน่นอนได้ ถ้าอยากรู้ว่าออกหรือยัง ต้องออกไปเช็คที่แผงหนังสือสถานเดียว
-แม้ราคาหนังสือ 90 บาทจะค่อนข้างแพง แต่ก็ถือว่ามีคุณภาพสมราคา (หลายครั้งคุณภาพในเล่มก็คุ้มเกินราคามากขึ้นไปอีก) เป็นนิตยสารไม่กี่้เล่ม ที่ผมสามารถอ่านได้ทุกหน้า โดยไม่วางทิ้งไปก่อน
-แนะนำหนังไม่ตลาดจ๋าจนเกินไปแบบ Entertain แต่ก็ไม่อาร์ทจ๋า เหมือน bioscope จนคนอ่านจูนไม่ติด หนังสือจึงค่อนข้างแมสสำหรับนักดูหนังทั่วไป
-จุดน่าติของนิตยสารเล่มนี้ก็คือปก ซึ่งค่อนข้างแย่ ทื่อๆ เหมือนจับมาตัดแปะ ดูไม่ค่อยมีศิลปะเท่าไร (เทียบกับบรรดานิตยสารเกี่ยวกับหนังทุกหัวแล้ว filmax ถือว่าปกแย่ที่สุด) แต่คิดอีกทีก็ถือว่าปกฮาร์ดเซลล์ดี เห็นปกปุ๊บรู้ปั๊บเลยว่าจะขายหนังเรื่องนี้
-เป็นนิตยสารที่เดาทางปกง่ายมาก ว่าจะต้องเอาหนังแอคชั่นสักเรื่อง ไม่ก็หนังของ united ซึ่งเป็นนายทุนของนิตยสารขึ้นปก ซึ่งปกติ หนังที่ขึ้นปกนิตยสารเล่มนี้จะไม่ค่อยซ้ำเรื่องกับใคร แต่พอบทจะชน ก็ชนกันเปรี้ยงเลย อย่างเล่มเดือนที่ใช้รูปเดียวกับ Bioscope
-สกู๊ปในเล่ม ข้อมูลยิบย่ิอยละเอียดมาก แต่ถึงกระนั้นก็อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งสกู๊ปที่ออกมาบ้าพลังขนาดนี้ ดูแล้วรู้เลยว่าต้องใช้เวลาทำนานและทุ่มเทขนาดไหน สกู๊ปบางเรื่อง อย่าง Coco avant Channel หรือเชอร์ล็อค โฮล์ม อ่านจบแล้ว สามารถเตรียมตัวไปแข่งรายการแฟนพันธุ์แท้ได้เลย บางอันก็เขียนเจาะลึกในรายละเอียดมากราวกับจะเอาไปลงในวารสาร อ่าน หรือ วิภาษา ยังไงยังงั้น
-คาดเดาได้ง่ายว่า สกู๊ปใหญ่เล่มหน้าจะมีอะไร เช่น ถ้ามีหนังซูเปอร์ฮีโร่ หรือมีหนังที่สร้างมาจากการ์ตูน จะต้องเป็นฝึมือของคุณอลงกรณ์ที่ลงมือเขียน
-พูดถึงคอลัมน์บ้าง filmax มีข้อดีตรงที่ มีคอลัมนิสต์ที่เ็ป็นศูนย์หน้าตัวจี๊ด เรียกแฟนคลับได้หลายคน อย่าง เจ๊ง้อฯ ผมอยู่ข้างหลังคุณ ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่คนอ่านมักจะเปิดอ่านเป็นหน้าแรกๆ เสมอ แต่น่าเสียดาย ที่ช่วงหลังๆ เจ๊ง้อ ได้เขียนน้อยเกินไป (และไม่ค่้อยจิกกัดเหมือนเก่าแล้ว) ส่วนพี่มอลลี่ เขียนไม่ค่อยแซบเหมือนเดิม (เหมือนให้ PR หนังมาเขียนเอง) คุณผมอยู่ข้างหลังคุณยังเขียนดีเหมือนเดิม ส่วนคอลัมน์ของนราก็อ่านแล้วเพลิดเพลินดี (สงสัยผมจะชินกับการเขียนออกทะเลของแกแล้ว) ส่วนบทวิจารณ์ของคุณมโนธรรม, คุณกัลปพฤกษ์ สารภาพว่าผมไม่เคยเข้าใจแกเลย แหะๆๆ
-คอลัมน์ 10 อันดับหนังในดวงใจ เลือกคนมาสัมภาษณ์ได้ดี น่าสนใจ (เพราะใจกล้ามากที่สัมภาษณ์อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา)
-ดีวีดีของขวัญ promotion สำหรับคนที่สมัครเป็นสมาชิกเริ่มยั่วใจมากขึ้นทุกที ตอนนี้ผมกำลังหยอดกระปุก เพื่อเตรียมสมัครสมาชิกอยู่ -นิตยสารดีวันดีคืน ขายดี มีสปอนเซอร์ ดูวี่แววแล้วไม่น่าจะมีชะตากรรมต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแบบ Pulp แน่นอน
Bioscope
-เป็นผลงานที่ผมติดตามมาตั้งแต่เล่มเล็ก จนบัดนี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว (เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ) ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่เล่มบางเปลี่ยนเป็นเล่มหนา สันกาวเปลี่ยนเป็นเย็บมุงหลังคา และคิดว่าคงจะมีการเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ
-เป็นหนังสือที่มีโฆษณาน้อยมากจนน่าใจหาย แต่ก็น่าดีใจที่หนังสือยังสามารถออกมาได้เรื่อยๆ (โดยไม่เจ๊ง)
-เนื้อหาในเล่มเหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องหนังในเชิงลึกและคนทำหนัง (ซึ่งผมสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว) ส่วนใครจะว่าเหมือนอ่านหนังสือเรียน ผมกลับไม่มีปัญหาในเีรื่องนี้ (ไม่รู้เป็นเพราะอ่านหนังสือวิชาการมากจนมีภูมิต้านทาน เลยรู้สึกว่าไบโอสโคปเบาไปเลย)
-ผมชอบ bioscope ตรงที่เนื้อหามักเขียนถึงภาพรวม องค์รวม ไม่ใช่ว่าฉบับนึงก็เจาะสกู๊ปหนังเรื่องนึง แบบ routine ซึ่งนั่นทำให้ผมสามารถหยิบ bioscope มาอ่านได้ซ้ำๆ มากกว่านิตยสารหนังเล่มอื่น
-ข้อดีอีกอย่าง คือ มักจะนำหนังแปลกๆ ซึ่งหาอ่านจากที่อื่นได้ยากมาเขียนถึง ซึ่งทำให้หนังสือมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร ไม่จำเป็นต้องตามเล่มอื่น แต่อาจจะมีข้อเสียตรงที่ ผู้อ่านส่วนใหญ่อาจไม่อ่านเข้าใจ ไม่เกิดความสนใจในการอ่าน หรือถ้าผู้อ่านบางท่านเกิดอ่านบทความที่เขียนถึงหนังเรื่องนั้นแล้วชอบ เขาก็ไม่สามารถไปหาหนังเรื่องนั้นดูได้
-แต่ถ้าเป็นสกู๊ปหนังตลาด ต้องขอบอกว่า สู้เล่มอื่นไม่ได้สักเท่าไร เพราะเนื้อหาสกู๊ปหนังตลาดทาง bioscope ทำออกมาได้ไม่ลึกมาก เหมือนจะฉีกตัวก็ฉีกได้ไม่สุดๆ ทำให้หลายครั้งเจอสกู๊ปที่แน่นกว่าของ Filmax หรือ Starpics เป็นตัวเปรียบเทียบก็ทำให้สกู๊ปนั้นๆ ของ bioscope ดูด้อยกว่าเล่มอื่นพอสมควร(นี่อาจจะเป็นอคติของผมเอง คือ ผมจะรู้สึกว่า ถ้าเป็นหนังตลาดมากๆ มีหลายครั้งที่กองบก.จะทำแบบ Half-Hearted หรือไม่ทุ่มใจเขียนลงไปอย่างเต็มที่)
-ปกของ Bioscope ทำออกมาสวย น่าหยิบ น่าสะสม โดยเฉพาะช่วงปีที่แล้วที่เขาทำภาพปกเป็นภาพวาด ผมชอบมาก ส่วนรูปเล่ม ช่วงแรกๆ ผมไม่ค่อยชอบรูปเล่มแบบมุงหลังคาสักเท่าไร แต่ช่วงหลังกลับเริ่มรู้สึกชอบแล้ว สงสัยช่วงนี้จะชอบอะไรที่ back to simple
-สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร ในไบโอสโคป คือคอลัมน์ point of view ในส่วนท้ายๆ เล่ม เพราะอ่านยาก ทำความเข้าใจยาก และแต่ละคอลัมน์ล้วนแต่มีความคล้ายคลึงกันซะส่วนใหญ่ บางคอลัมน์ก็มึนสำนวนผู้เขียนมากกว่าตัวเนื้อสารที่เขาต้องการจะสื่อเสียอีก ผมคิดว่า ถึงคุณจะเขียนถึงเรื่องยากๆ ก็ำสามารถเรียบเรียงออกมาให้เป็นเรื่องง่ายได้ (ยกตัวอย่างบทความอ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ใน หนังสือ "อ่านไม่เอาเรื่อง" ที่อ่านเพลินมากทั้งๆ ที่เนื้อหายากจนบางเรื่องผมก็เอาไปอธิบายต่อไม่ค่อยถูกเหมือนกัน)
-และสิ่งที่ขาดไปใน bioscope สำหรับผม คือ ศูนย์หน้าตัวจี๊ด ไม่มีคอลัมน์ไหนใน bioscope ที่ดึงดูดให้ผมเปิดอ่านก่อนเลย ส่วนใหญ่จะเป็นแนวเปิดผ่านๆ เจออันไหนก็อ่าน
-ขอบ่นส่งท้ายว่า ผมเบื่อ Sex Issue มาก ทำมาทุกปีเลย อยากให้ลองนำเสนอเรื่องอื่นบ้างที่น่าสนใจบ้าง (ไม่ได้บอกว่า เรื่องเพศไม่น่าสนใจ แต่หลังๆ bioscope นำเสนอได้ไม่แปลกใหม่และผมคิดว่ายังมีเรื่องอื่นที่น่านำเสนอมากกว่า)
-ติมาเยอะ ขอชมปิดท้ายอีกทีว่า การที่นิตยสารที่ดีและมีเนื้อหาแปลกใหม่อย่าง bioscope สามารถอยู่รอดได้ในการแข่งขันทางนิตยสารที่สูงแบบนี้ ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และขอลุ้นให้ทำนิตยสารน้ำดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ
A Day
-ถ้าเปรียบนิตยสารเป็นดั่งคนรัก A Day ก็คงเปรียบเหมือนคนรักที่เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก เพราะผมหยุดอ่าน A Day ไปหลายครั้งมาก นั่นคือ เริ่มอ่านช่วงบก.วงศ์ทนง หยุดอ่านช่วงบก.วชิรา กลับมาอ่านใหม่ช่วงบก.ทรงกลด และหยุดอ่านในช่วงที่ผมรู้สึกว่า A Day ค่อนข้างตัน และกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งในช่วงหลังๆ ซึ่งผมคิดว่า A Day กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้ง
-ช่วงหลังๆ A Day เลือก Main Course ได้เด็ดขาดและน่าสนใจมากขึ้น (ไม่ใช่ประเภท...ทำเพื่ออะไร อย่างเล่ม 48 main course ฉบับนี้แม่เยอะ) หลายเล่มเห็นปกหรือ main course ว่าเป็นเรื่องอะไรก็น่าสนใจ ชวนให้หยิบไปจ่ายเงินแล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านก่อน เช่น ฉบับธรรมะ ฉบับจดหมาย ฉบับเชียงใหม่ ฉบับ DIY
-แต่น่าเสียดายที่ในหลายฉบับ เนื้อหาใน main course เองกลับไม่น่าสนใจเท่าที่คิดไว้ อย่างเช่น ฉบับจดหมาย ซึ่งตอนแรกผมคาดหวังว่าจะได้อ่านถึงเรื่องราวของการส่งจดหมายในรูปแบบต่างๆ แบบเยอะจุใจมากกว่านี้ แต่พอเอาเข้าจริงเนื้อหาใน main course กลับเป็นการเอาจดหมายรูปแบบต่างๆ มาลงให้ดูเท่านั้น หรือฉบับแฟชั่นที่ถ่ายภาพทีมงานแฟชั่น บวกกับสัมภาษณ์นิดหน่อย ซึ่งส่วนตัว ผมชอบเนื้อหาแน่นๆ เหมือนในเล่มเพลงเพื่อชีวิต เล่มจิมมี่ เลี่ยว หรือเล่มมุสลิมมากกว่า
-แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องยกนิ้วให้ เมื่อคิดว่า พวกเขาสามารถทำหนังสือที่มีเนื้อหาเยอะๆ และครอบคลุมขนาดนี้ออกมาได้ภายในเวลาเดือนเดียว ซึ่งดูแล้วทีมงานที่ทำต้องใช้พลังในการทำอย่างมาก
-ผมคิดว่า คอลัมน์ของ A Day น่าสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับสมัยก่อนซึ่งมีคอลัมน์ที่น่าติดตามมาก น่าติดตามจนผมต้องพลิกอ่านเป็นหน้าแรกๆ เวลาที่ได้รับหนังสือมา (อย่างเช่นคอลัมน์ของแทนไท ประเสริฐกุลหรือวินทร์ เลียววาริณ) แต่ในตอนนี้ก็ยังมีบางคอลัมน์ที่ผมชอบอยู่ อย่างเช่น คอลัมน์ของนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ที่จิกกัดสังคมไทยได้อย่างสุดฮาและเมามันมาก กับคอลัมน์หนูมาลุยของมาลี ที่อ่านแล้วรู้สึกโลกสดใสขึ้นเป็นกอง
-ช่วงหลังๆ A Day ออกช้ามาก ออกเกือบปลายเดือน บางเล่มก็ออกเกือบวันที่ 31 ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะตกเดือนแล้ว ซึ่งนั่นก็ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ถ้าเหล่า Event ต่างๆ ที่ลงใน A Day จะไม่ใด้เป็น Event ของเดือนนั้นๆ ซึ่งกว่าหนังสือจะวางแผง มันก็ผ่านไปแล้ว บางทีเปิดหนังสือเห็นงานนี้น่าสนใจ อยากไปมาก แต่พอเห็นวันที่แสดง อ้าว ผ่านไปแล้วเกือบอาทิตย์นี่นา เซ็งเป็ดกันไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้ ด้วยการเปลี่ยน Event ในเล่มให้เป็นของเดือนหน้า หรือออกหนังสือให้ไวขึ้นกว่าเดิม (แต่ช่วงหลังๆ เหมือนว่านิตยสารจะออกเร็วขึ้น...นิดนึงแล้ว)
Starpics
-เป็นนิตยสารที่รูปเล่มดี มีภาพดาราและโปสเตอร์สวยๆ อยู่ในเล่มมากมาย เหมาะสำหรับคนที่ชอบสะสมอะไรสวยๆ งามๆ
-แม้สกู๊ปใน Starpics จะมีเนื้อหาเยอะ และอ่านแล้วรู้เลย ว่าคนเขียนทำการบ้านมาหนักและต้องใช้พลังงานสูงแค่ไหนกว่าจะเขียนเสร็จแต่ละเรื่อง แต่สกู๊ปของ Starpics กลับอ่านไม่สนุกแหรือน่าติดตามเท่า Filmax อันนี้อาจเป็นที่รสนิยมส่วนตัวของผม แต่ผมคิดว่า สาเหตุอาจเกิดจาก Starpics เลือกเรื่องเขียนที่ไม่น่าสนใจ อีกทั้งบทความยังยาวเกินไปและไม่มีจุด focus เหมือนเขียนไปเรื่อยๆ จนทำให้รู้สึกเหนื่อยเมื่ออ่านจบ
-Starpics มีคุณภาพที่แปรผันสูง เล่มไหนดีก็ดีใจหาย อ่านได้ 2-3 รอบ (ผมชอบเล่ม Michael Jackson มาก) เล่มไหนไม่ดี ก็แทบจะโยนทิ้งเลย
-แต่ที่ดีและรักษาคุณภาพคงเส้นคงวา คือ บทวิจารณ์หนังคลาสสิคของประวิทย์ แต่งอักษร ซึ่งผมมักจะใช้เป็นตัวอย่างเวลามีคนถามว่า บทวิจารณ์หนังที่ดีเป็นอย่างไร เป็นคอลัมน์ที่ผมเปิดอ่านเป็นหน้าแรกเสมอ
-นิตยสารนี้ยังเป็นแหล่งรวมนักวิจารณ์ฝีมือดีหลายคน ทั้งวาริณ นิลศิริสุข, ชญานิน เตียงพิทยากร, ธนพล, วิโรจน์ ฯลฯ บทวิจารณ์หนังใน Starpics อ่านแล้วได้น้ำได้เนื้อ มีเนื้อหาสาระ และที่ผมชอบคือ มีหลักการในการเขียน ใช้อ้างอิงได้
-แม้จะมีหลายคนบอกว่า คุณสมเกียรติชอบตอบจดหมายเวิ่นเว้อ แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบสไตล์การตอบจดหมายของคุณสมเกียรติมาก เพราะตอบได้ยาวสะใจ บางทีคนถามเขียนมา 2 บรรทัด คนตอบตอบไป 30 บรรทัดก็มี (ส่วนตัวผมชอบคนตอบจม.ยาวๆ มากกว่าสั้นๆครับ) แถมอ่านเพลินๆ เหมือนมีคุณอามาเล่าความหลังให้ฟัง
-เล่มที่ผมมักจะเก็บสะสมไว้ คือเล่มปักษ์หลังเดือนมกราคม ของทุกปี เพราะมีบทความสรุปความเคลื่อนไหวของวงการหนังในรอบปีที่ผ่านมา และมีการให้กองบก.ทุกคนเขียนถึงหนัง ผู้กำกับ นักแสดง และเหตุการณ์ที่ตัวเองชอบในแต่ละปี อ่านแล้วเหมือนเป็นการทบทวนตัวเองกลายๆ
Entertain
-ติดตามมาตั้งแต่สมัยคุณประไพพรรณ คุณตีตั๋ว (เก่าได้อีก) ติดตามมาเรื่อยๆ จนมาตัดสินใจเลิกซื้อ เอาเมื่อเขาขึ้นราคาเป็น 30 บาท และเปลี่ยนเป็นรายปักษ์
-ถ้าคุณเป็นคนไม่เล่นอินเตอร์เน็ท แต่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหนังที่รวดเร็วฉับไว เอนเตอร์เทนจะเป็นนิตยสารหนังที่เหมาะกับคุณมาก แต่ผมไม่ใช่คนที่มีลักษณะแบบข้างบน ผมจึงไม่ชอบ เอ็นเตอร์เทน ในยุคนี้อย่างสิ้นเชิง ทั้งแปลผิด เอามาแต่ข้อมูลล้วนๆ บทวิจารณ์ค่อนข้างแย่ (แต่ตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะนักวิจารณ์คนก่อนไม่ได้เขียนแล้ว-ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้)
-ผมชอบบทวิจารณ์ของนพปฎล พลศิลป์ เพราะเขียนมีหลักการ เขียนตรง และกล้าแสดงความคิดเห็น (แม้บางครั้งจะไม่ตรงกับความคิดของผมสักเท่าไร) และบทความของคุณคิบุงก็อ่านแล้วได้ความรู้ดีเพราะนำบรรยากาศจากต่างแดนมาเล่้าให้ฟัง ส่วนคอลัมน์อันเนื่องจากคนทำหนังก็อ่านแล้วเพลิดเพลินมาก ทำให้ได้รู้ว่า ผู้กำกับหลายท่านเขียนหนังสือดีมาก (แต่ที่แน่ๆ คือหลายท่านเขียนหนังสือดีกว่าคอลัมนิสต์ของ entertain เสียอีก)
-ราคานิตยสาร 30 บาทถือว่า ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับรูปเล่มและเนื้อหา อีกทั้งผมยังไม่ค่อยชอบตัวเนื้อกระดาษ 4 สีของนิตยสารสักเท่าไร ดูแปลกๆ ไม่ค่อยน่าเก็บยังไงไม่รู้
-ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารอินเตอร์เน็ทเข้าถึงทุกชุมชน ใครๆ ก็รู้ข่าวหนังจากเวบต่างประเทศ หรือจาก facebook แบบนี้ ถ้า entertain ยังมีลักษณะเป็นหนังสือ fast food ไม่ใช่หนังสือที่หยิบมาอ่านได้ซ้ำๆ แบบนี้ ผมเกรงว่า อนาคตของนิตยสารเล่มนี้น่าเป็นห่วง
-ว่าแล้วก็นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ผมมักจะรอเอนเตอร์เทนเล่ม summer fall preview อย่างใจจดใจจ่อ แต่ในตอนนี้ที่ผมมักสามารถหาอ่านข้อมูลของหนังจากอินเตอร์เน็ทได้อย่างง่ายดาย นั่นก็ำให้เล่มพิเศษเหล่านี้หมดความหมายสำหรับผมไปเลย
ขอพูดถึงนิตยสารอื่นๆ ที่อ่านเล็กน้อย
มติชนสุดสัปดาห์
-เป็นนิตยสารที่ผมติดตามอ่านฟรีมาตลอด (ถ้าคนทำรู้ เขาจะรู้สึกยังไงเนี่ย) สมัยก่อนอ่านที่ห้องสมุดคณะ เรียนจบแล้วเปลี่ยนมาอ่านที่ห้องสมุดประชาชน พอย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ย้ายมายืนอ่านที่ 7-11 แถวบ้าน แต่ช่วงหลังๆ หันมาอ่านที่ ร้านเล่า แทน (ที่ร้านเขาจะมีมติชนสุดสัปดาห์วางไว้ที่โต๊ะ ในร้าน ผมมักจะไปนั่งอ่านฟรี อ่านจบแล้วก็ออกมาเลยโดยไม่ได้ซื้ออะไร - ขอประจานตัวเองเล็กน้อย แหะๆๆ) แสดงให้เห็นว่า มติชนสุดสัปดาห์เป็นนิตยสารที่หาอ่านได้ง่ายมาก -อาจเป็นเพราะด้วยมุมมองทางการเมืองของผม ที่ทำให้ผมอ่าน section การเมืองของนิตยสารเล่มนี้ได้อย่างสบายใจ (ขออภัยที่ขอพูดถึงการเมืองเล็กน้อย-ช่วงหลังๆ ผมไม่สามารถทำใจอ่านเนชั่นสุดสัปดาห์ได้อีกแล้ว สู้ให้อ่านเวบผู้จัดการไปเลยยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ด่ากันตรงๆ ทื่อๆ ดี) -คอลัมน์ที่ผมติดตามอ่านทุกสัปดาห์ มีคอลัมน์ของหนุ่มเมืองจันท์, นิ้วกลม, ประชา สุวีรานนท์, คำ ผกา, วินทร์ เลียววาริณ นอกจากนั้นแล้ว ไม่ค่อยได้ติดตามอ่านเท่าไร เพราะลึกซึ้งเกินไป ผมไม่สามารถตามทันจริงๆ
Hamburger
-ตั้งแต่ Hamburger เปลี่ยนโฉมใหม่ ทำให้ตอนนี้ผมอ่านนิตยสารเล่มนี้น้อยลงมากๆๆ จนแทบจะเรียกได้ว่า เลิกอ่านไปเลย (จากที่เมื่อก่อน ตอนราคา 49 บาท ผมซื้อเก็บทุกเ่ล่ม อ่านทุกหน้า) -ผมคิดว่า ถือเป็นการปรับโฉมหนังสือที่ทำร้ายจิตใจผู้อ่านที่สุด จากหนังสือที่พูดถึงวงการบันเทิงอย่างมีสาระ กลายมาเป็นหนังสือจับฉ่าย เอาแฟชั่นผู้หญิงหรือสกู๊ปการแต่งตัวมาใส่ในเล่ม แล้วเอาเนื้อหาเกี่ยวกับวงการบันเทิง หรือบทวิจารณ์เบียดๆ เอาไว้ข้างหลังเหมือนเป็นลูกเมียน้อย ซึ่งทำให้ผู้อ่านเก่าแก่อย่างผมรู้สึกเหมือนโดนถีบหัวส่งอย่างยิ่ง -แต่รูปโฉมใหม่ก็ใช่ว่าจะแย่นะครับ มีบทความที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น บทสัมภาษณ์ที่ยังได้น้ำได้เนื้ออยู่ หนัง-เพลง-หนังสือในดวงใจ และแฟชั่นที่ถ่ายออกมาได้แปลกตาดี
Happening
-เนื้อหาน่าสนใจมาก มีเนื้อหาที่ไม่พบจากที่อื่น เช่น ละครเวที ติดที่ราคาแพงไปนิด -แต่เนื่องจากในเชียงใหม่ ผมไม่สามารถหาร้านเช่าหนังสือที่มี Happening ให้เช่า และผมไม่สามารถยืมเพื่อนคนไหนอ่านได้เลย เพราะไม่มีใครซื้อ ทำให้เวลาที่เห็นว่า Happening เล่มไหนน่าสนใจมากๆ ผมจะควักกระเป๋าซื้อทันทีโดยไม่ลังเล
สีสัน
-ชอบในความ Old School ของหนังสือเ่ล่มนี้ บางทีเห็นหนังสือเล่มไหนทำรูปเล่มล้ำสุดขอบจักรวาลหรือจัดอาร์ทเวิร์คเวียนหัว พอมาอ่านสีสันอดรู้สึกดีไปกับความ เรียบง่าย ของมันไม่ได้ -ส่วนที่ผมชอบอ่าน คือ บทบก.ของคุณทิวา (ซึ่งผมขอชมว่า เป็นบทบก.ที่กวน teen ที่สุดในประเทศไทย) บทวิจารณ์หนังของคุณนรา-อ.ประวิทย์-สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์, คอลัมน์ของชาติ กอบจิตติ (เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะคุณชาติขอลาไปเขียนนิยาย-ซึ่งก็ยังไม่ออกเสียที), และคอลัมน์หน้าสุดท้ายของคุณวรพจน์ ประพนธ์พันธุ์ ซึ่งเขียนได้มันมากๆ (ผมเชื่อว่า ใน 20 คนต้องมีสัก 1 คนที่เคยสับสนเขากับวรพจน์ พันธุ์พงศ์มาแล้ว) -เล่มที่ผมตามเก็บทุกปี คือ เล่มที่มี 5 ชอบ 5 ไม่ชอบของนักวิจารณ์ ซึ่งจากการถามเพื่อนฝูงหลายคน ทำให้ทราบว่า ส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อสีสัน ปีละเล่ม ซึ่งคือเล่มนี้น่ะแหละ
สารคดี
-แม้จะไม่เคยอ่านจบสักเล่ม แต่ก็นับถือในคุณภาพ และความสามารถในการประคองตัวให้อยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ -สารคดี เป็นนิตยสารที่หาอ่านง่าย ตามห้องสมุดทั่วไป แต่ถ้าเล่มไหนผมสนใจ ผมมักจะซื้อเก็บเลย เพราะเนื้อหาในเล่มต้องตั้งใจอ่านอย่างมาก ไม่สามารถอ่านในห้องสมุดชิวๆ เหมือนอ่านมติชนสุดสัปดาห์ได้ -โดยรสนิยมส่วนตัว ผมมักจะชอบซื้อสารคดีเล่มที่เกี่ยวกับประวัติบุคคลสำคัญ ประวัติศาสตร์ หรือเกี่ยวกับเรื่องการเมือง (สารคดีฉบับ 6 ตค. เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้) แต่ถ้าเป็นเล่มเกี่ยวกับชีวิตตุ่นปากเป็ดแยงซีเกียง เม่นทะเล นกเงือกแบบนี้ผมแทบจะไม่แตะเลย
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ อ่านนิตยสารอะไรกันบ้าง
Create Date : 17 ธันวาคม 2552 |
|
21 comments |
Last Update : 19 ธันวาคม 2552 8:19:13 น. |
Counter : 5368 Pageviews. |
|
|
|