|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
+-+-+-+-+-+-+-+29 เรื่องร้านยาน่ารู้ (ก็ได้ไม่รู้ก็ได้) +-+-+-+-+-+-+-+-+-+
ฉบับสมบูรณ์ ปรับปรุงจากที่เขียนครั้งแรกเมื่อ 2 วันที่แล้ว
ร้านปันยา เปิดมาครบ 5 เดือนแล้วครับ
เป็น 5 เดือนที่เหนื่อยยากลำบากตรากตรำ และได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย มากยิ่งกว่าตอนลงเรียนวิชาธุรกิจสมัยอยู่มหาวิทยาลัยเสียอีก แม้คนรอบกายต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากพูดถึงความขี้เกียจ ผมถือเป็นมือวางอันดับต้นๆ เลยทีเดียว แต่ในช่วงแรกที่เปิดร้านใหม่ๆ ไม่รู้ว่าวิญญาณเด็กสอบเอนทรานส์ที่ไหนมาเข้าสิง ช่วงนั้นผมทำงานจนแทบไม่ได้กินข้าวกินปลา แถมได้นอนแค่วันละ 4-5 ชม. จนน้ำหนักลดไปถึง 3 กก. (ถือว่ามากแล้วสำหรับผม ซึ่งตั้งแต่เรียนจบมาเส้นกราฟน้ำหนักก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) หมายเหตุ สำหรับทุกท่านที่เป็นห่วง อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมเลิกขยัน กลับมาขี้เกียจเหมือนเดิมตั้งแต่ขึ้นเดือนที่ 2 แล้ว
ทุกวันนี้ร้านก็เริ่มอยู่ได้ อนาคตของร้านยังพอเห็นแสงรำไรอยู่บ้าง ใช่ว่าจะริบหรี่ไปซะหมดเหมือนชีวิตรักผม แม้ทุกวันนี้ร้านจะยังไม่กำไรหรือขาดทุน (สรุปว่าที่ทำมาทั้งหมดเท่าทุน...แล้วที่ผ่านมา...เพื่ออะไรเนี่ย) แต่สิ่งที่ผมได้กลับคืนมานั้น...มากมาย ได้มา มากมาย (กรุณานึกภาพเป็นเสียงพี่บี้ร้องเพลง) ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่หาซื้อตามศูนย์การค้าที่ไหนไม่ได้ จะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นกำไรชีวิตได้เหมือนกัน
ผมมีโอกาสได้เจอผู้คนมากมายหลากหลายวงการ ทั้งที่มาดีและมาร้าย แต่โลกนี้ยังคงน่าอยู่สำหรับผมเพราะคนที่มาร้ายมีน้อยกว่าคนที่มาดี มากๆ
ผมได้รับประสบการณ์ชีวิตจากการสะสางปัญหาแปลกๆ (แต่จริง) มากมาย ผมได้เป็นเจ้านายของตัวเอง ซึ่งคนที่ผมต้องเอาใจคือลูกค้าซึ่งนั่นก็คือคนทั่วไป ไม่ใช่ต้องมาคอยเอาใจคนที่กุมอำนาจนิสัยเอาใจยากเพียงไม่กี่คน
ผมมีเวลาว่างมากพอที่จะได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านและที่ซื้อดองเอาไว้นานปี ล่าสุดผมอ่าน "เหมืองแร่" ของอาจินต์ ปัญจพรรค์จบแล้วหลังจากซื้อมาดองเค็มได้ 4-5 ปีและเกือบคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้อ่านจบแล้ว (ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความฝันที่จะได้อ่านเพชรพระอุมาจบครบทุกเล่ม คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม)
ผมได้ดูหนังที่ค้างและดองเอาไว้หลายร้อยเรื่อง (ตัวเลขจริง ไม่ได้โม้) หนังหลายเรื่องอย่าง Gandhi, I Dont Want to Sleep Alone, 400 Blows หรือดอกฟ้าในมือมาร เป็นหนังที่ผมคงจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการหยิบมาดูแน่นอนถ้าผมยังอยู่ในกทม. (แต่ตอนนี้ผมดูหนังพวกนี้ครบหมดแล้ว และหนังของยาสึจิโร่ โอสุคือเป้าหมายต่อไป)
แต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะมีแต่ข้อดีแฮปปี้โอลัลล้าแต่เพียงอย่างเดียว ข้อเสียหลักๆ ที่ผมคิดออกก็คือ ผมออกไปข้างนอกได้น้อยลง และเพื่อนผมก็เหมือนยิ่งรู้ยิ่งแกล้ง เพราะตอนที่ผมมีเวลาว่าง สามารถออกไปเที่ยวที่ไหนก็ได้แต่ตอนนั้นกลับไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวกับผม แต่พอผมออกไปไม่ได้ กลับมีคนชวนไปเสม็ด บาหลี หลวงพระบาง พม่า หลายที่เต็มไปหมด (วิธีนี้แก้ได้โดยบอกเพื่อนผมให้มาเที่ยวเชียงใหม่ให้หมด) อีกอย่างคือ ผมเจอเพื่อนเก่าที่อยู่กทม.น้อยลง ยิ่งบางคนที่แต่งงานแต่งการมีครอบครัวไปแล้ว โอกาสเจอกันก็คงเหลือแค่ในงานแต่งงานหรืองานศพของใครบางคนเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องแสงสี หรือกิจกรรมบันเทิง ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเชียงใหม่มีกิจกรรมบันเทิงมากมายไม่แพ้ในกทม. ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง ที่มีให้เลือก 2 เจ้าคือ เมเจอร์ ไม้เบื่อไม้เมาของผม เพราะพี่แกชอบฉวยโอกาสขึ้นราคาหนังบลอกบัสเตอร์จาก 120 เป็น 140 บาท (ราคาโรงหนังต่างจังหวัดหรือนี่ แพงchipหาย) แถมยังถอดหนังออกจากโรงเร็วมาก วีรกรรมที่ผมยังไม่ลืมของโรงนี้คือ ลดรอบนางไม้ให้เหลือ 2 รอบภายในวันฉาย 3 วันแรก ถอดอนุบาลเด็กโข่งออกจนหมดเกลี้ยงภายในอาทิตย์ที่สอง และทุ่มโรงหนังทุกโรงให้กับ Transformers 2! ส่วนโรงหนังอีกที่นั่นคือ วิสต้า ซึ่งก็สุดๆ อีกเช่นกัน นั่นคือ คนน้อยแบบสุดๆ ประสบการณ์การดูหนังที่มีเพื่อนร่วมโรงน้อยที่สุดของผม 2 อันดับแรกก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ นั่นคือ ตอนมาดูเรื่อง 8 วันแปลกคน (มีเพื่อนร่วมโรงอยู่ 2 คน) และ The Spiderwick Chronicles (อันนี้มากขึ้นมาหน่อย คือ 3 คน)
ส่วนอาหารการกินก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารเหนือ อาหารใต้ ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาลี ฝรั่งเศส ข้าวต้ม หมูกระทะ จิ้มจุ่ม ชาบูชาบู ข้าวซอย เค้ก นม เหล้า เรียกได้ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าไม่มีที่กินแต่ไม่รู้จะเลือกกินอะไรมากกว่า ส่วนร้านหนังสือ ร้านหนังดีๆ ร้านขายของดีๆ ก็หายห่วงเพราะมีให้เลือกซื้อมากมาย ส่วนผับ ร้านอาหารฮิปๆ นี่ไม่ต้องห่วงอีกเช่นกัน เพราะต่อให้เป็นซอยเปลี่ยวหรือตำแหน่งที่ไม่สมควรแม้จะมีบ้านคน ก็ยังอุตส่าห์มีร้านอาหารฮิปๆ ตั้งอยู่จนได้ (ผมลองคำนวนเล่นๆ ว่า ถ้าคิดจะกินร้านอาหารเหล่านี้วันละร้านให้หมด กว่าจะครบคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี)
ชีวิตตอนนี้ พูดได้เต็มปากว่า แม้จะมีสุขบ้างทุกข์บ้างแต่ก็ยังอยูในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
สาเหตุที่ผมเขียนเรื่องเหล่านี้ เพราะแอบรู้สึกว่า เขียนบลอกมาก็ตั้งหลายปี แต่กลับไม่ค่อยเขียนเรื่องใกล้ตัวผมพวกนี้เลย อย่าว่าแต่เรื่องร้านยาเลย ขนาดเขียนเรื่องความรู้เกี่ยวกับยาอย่าง ยาคุมใช้ยังไง ยาเหน็บเหน็บนานเท่าไรผมก็ไม่เคยเขียนถึงแม้แต่ประโยคเดียว และเป็นเพราะไม่ค่อยบอกใครเท่าไร ทำให้เวลาคนในบลอกถามว่าจบอะไรมา พอผมบอกให้ลองเดาก็มักจะเดาไม่ถูก บ้างก็ตอบว่า รัฐศาสตร์ นิเทศ อักษร ยิ่งถ้าเห็นตัวจริงก็มีแต่คนเดาว่า ถ้าไม่เป็นวิศวะก็สถาปัตย์ไปเลย พอเฉลยว่าเป็นเภสัช ก็มักจะมีคนตกใจ แถมบางคนนึกว่าผมอำเล่นเสียอีก (บางคน ยังคิดว่าจนป่านนี้ผมยังอำไม่เลิก)
เนื่องจากกลัวว่าจะเรียนแล้วไม่ได้ใช้ (เขียนบลอก) เลยขออนุญาตนำวิชาชีพที่ผมอุตส่าห์ตรากตรำเรียนมาตลอด 5 ปี และเป็นสาขาวิชาที่เผาผลาญชีวิตวัยรุ่นของผมเสียจนหมดสิ้น มาใช้หากินเล็กน้อย
และเรื่องเหล่านี้ ก็คือเรื่องเล่า 29 เรื่องที่ผมได้เรียนรู้จากการทำร้านยาในเชียงใหม่ ซึ่งมีหลากหลายแนว ทั้งแนวลึกลับ ตลก สืบสวน สยองขวัญ รัก อีโรติค ดราม่า แอคชั่น แอบเสิร์ด รวมอยู่ในเรื่องเดียว เรียกได้ว่ามั่วไม่แพ้หนังพจน์ อานนท์เลยทีเดียว ถือซะว่าอ่านเพลินๆ และเป็นเกร็ดความรู้เผื่อใครจะลองเปิดร้านยา หรือไปซื้อยาจะได้ไม่โดนคนขายหลอกเอาได้
ข้อมูลพวกนี้อาจมีบางอย่างคลาดเคลื่อน โปรดอย่ายึดถือเป็นสรณะ และไม่ควรนำไปอ้างอิงในบทความงานวิจัยที่ไหนทั้งสิ้น
และนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอยู่ร้านขายยา 29 ข้อครับ
1.ยาที่ทำกำไรดีที่สุดในร้าน ไม่ใช่ไทลินอล ไม่ใช่อีโน แต่เป็นยาคุมฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในสินค้าที่ทำให้ผมมีกินมีใช้อยู่ถึงทุกวันนี้ คิดว่าถ้าวันใดได้ไปเจอผู้คิดค้นยานี้เป็นคนแรก จะเอาดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบไหว้ด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างซาบซึ้ง
2.ส่วนยาที่ขายดีที่สุด คือ ไทลินอล อีโน ทิฟฟี่ ดีคอลเจน แอนตาซิล มายบาซิน สเตร็ปซิล แต่อย่าไปหวังพึ่งกำไรกับพวกนี้มาก เพราะได้ส่วนแบ่งกำไรเท่าอวัยวะเพศมด เรียกได้ว่า ขายยาพวกนี้ให้ตายก็ไม่รวย (แต่โบราณเขาว่าอย่าหมิ่นเงินน้อย เงินบาทเดียวตูก็เอาวะ)
3.สินค้าที่มีกำไรเทียบกับต้นทุนสูงที่สุดคือ อาหารเสริม ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าท่านเข้าร้านแล้วจะชอบมีพนักงานเชียร์ให้ซื้ออาหารเสริมคู่กันไปด้วย
4.ลูกค้าที่มาซื้อยาแก้อักเสบชนิดที่ต้องกินติดต่อกันสองแผง ถ้าลูกค้าซื้อไปแค่แผงเดียว ร้อยละ 90 จะทำตัวหายสาบสูญ ไม่กลับมาซื้อแผงที่สองกินต่ออีกเลย 5.ช่วงนี้ไข้หวัด 2009 ระบาด ทำให้ผ้าปิดจมูกขายดีมาก ช่วงที่พีกๆ นี่ มีลูกค้ามาถามหาซื้อทุก 5 นาที มาถามบ่อยจนผมคิดจะไปยืมจักรเย็บผ้าร้านข้างๆ มาเย็บหน้ากากขายเองแล้ว
6.เช่นเดียวกับหน้ากากลายการ์ตูนที่มีแต่คนถามหาซื้อ แต่ผมไม่รู้จะไปหาที่ไหน เคยคิดจะไปซื้อสีมาเพนต์เองอีกเช่นกัน แต่กลัวราคาตก (ไม่เพ้นท์ 10 บาท เพ้นท์ไปแล้วราคาตกเหลือ 5 บาท) เลยหยุดความคิดนี้ไปโดยปริยาย
7.ร้านขายยาที่เชียงใหม่ มีมากพอๆ กับร้านเน็ทและร้านกาแฟ คือ มีทุกตรอกซอกซอย บางอาณาบริเวณที่ไม่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ก็ดันมีร้านยาบางร้านไปเปิดเฉยเลย
8.แต่ส่วนใหญ่ร้านยาที่เชียงใหม่ปิดเร็ว ถ้าเทียบว่าคนเชียงใหม่นอนกันดึกขนาดไหน เชียงใหม่เป็นเมืองที่เหมาะกับคนนอนดึก เพราะมีร้านเน็ทที่เปิด 24 ชม. เยอะมาก แถมมีเธคที่ปิดหลังตี 2 แทบทุกที่ (หมายเหตุ-เพื่อนผมเคยพาไปเที่ยวเธคตอน 4 ทุ่ม เพื่อนสัญญาว่า เธคปิดจะกลับทันทีไม่ไปต่อ แต่ผมกลับหารู้ไม่ว่า เธคนี่ปิด 6 โมงเช้า)ดังนั้น หลังเที่ยงคืนจึงเป็นเวลาของร้านปันยาในการกอบโกย
9.เคยพยายามใช้หลักการวิเคราะห์ธุรกิจ คำนวนว่า วันไหน ช่วงเวลาไหน ช่วงไหนของเดือนที่ขายดี เพื่อจะได้เตรียมสินค้าและบุคลากรให้พร้อมสรรพ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับหาหลักยึดอะไรไม่ได้ เพราะช่วงเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนที่คนควรเยอะบางทีคนกลับน้อย ปลายเดือนที่คนควรจะน้อยบางทีคนก็กลับเยอะพรวดพราดซะอย่างนั้น เป็นร้านที่ยอดขายพลิกผันไปมาจนคุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ก็ยังวิเคราะห์หลักเศรษฐกิจไม่ถูก
10.แต่ใช่ว่าจะคาดเดาไม่ถูกเลย เพราะความจริงก็มีหลักใหญ่ๆ อยู่บ้าง เช่น ถ้าวันไหนขายดีตอนบ่ายๆ วันนั้นลูกค้าจะมามากตลอดทั้งวัน ช่วงหน้าฝนยาแก้หวัดจะขายดี หน้าร้อนยาแก้ท้องเสีย ยาโรคกระเพาะจะขายดี ช่วงหน้าหนาวยาหอบชหืดจะขายดี ช่วงวันวาเลนไทน์ ปีใหม่ หรือวันลอยกระทง เตรียมยาคุมฉุกเฉินสต๊อกไว้ได้เลย ส่วนวันรุ่งขึ้นก็เตรียมชุดตรวจตั้งครรภ์เอาไว้ด้วยอีกอย่าง 11.ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ผมจะลนมาก เพราะสินค้าในร้านยังมีน้อยอยู่ แล้วลูกค้าชอบมาถามหาสินค้าที่เราไม่มี จะเปลี่ยนเอาเป็นตัวเดียวกันแต่เป็นยี่ห้ออื่นให้ก็ไม่เอา บางทีเตรียมไว้ 10 ยี่ห้อ พี่แกจะเอายี่ห้อที่ 11 พอของ1ไม่มีแรกๆผมก็ชอบมานั่งเครียด แต่ตอนหลังมองเป็นเรื่องขำๆ มีก็มี ยึดหลัก "Let it be" (แปลเป็นไทยว่า ช่างแม่ง) ไม่มีก็บอกไม่มี แล้ววันหลังค่อยไปหามาใส่ในร้าน
12.แต่ยิ่งเอายาเข้าร้านมากขึ้นเท่าไร นั่นก็หมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากขึ้นที่ลงไปด้วย ช่วง 3 เดือนแรก กำไรที่ผมได้หมดไปกับการหายามาเติมในสต๊อกให้เต็มทั้งหมด แต่ขนาดลงไปเยอะแล้ว ทำอย่างไร ยาในร้านก็ยังดูแหว่งๆ วิ่นๆ ดูไม่เยอะสะใจวัยรุ่นอยู่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้ เพราะสินค้าประเภทยามีขนาดเล็ก ต่อให้รวมยาเป็นพันเม็ด ขนาดของมันก็ยังไม่เท่าชาเขียว 1 ขวดเลย ยิ่งเมื่อคิดว่าถ้าจะทำให้สต๊อกเต็มร้านจะต้องใช้เงินไม่รู้กี่ล้าน สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยให้สต๊อกยามันดูแหว่งๆ วิ่นๆ แบบนี้ต่อไป
13.สินค้าที่ขายตัดราคากันน่ากลัวที่สุดคือ ยาคุมกำเนิดทั่วไป ตัดราคากันจนบางยี่ห้อขายแล้วได้กำไรเท่ากับยาดมโป๊ยเซียน เหตุเพราะมันเป็นยาที่ต้องกินประจำ ส่วนใหญ่เภสัชจะถือว่า ยอมได้กำไรน้อยแต่ได้ลูกค้าประจำดีกว่า
14.เคยถกกับเพื่อนที่เป็นสถาปัตย์ เขาบอกว่า ตัวการสำคัญตัวการหนึ่งในการสร้างทัศนะอุจาดให้กับชุมชน นั่นคือ ร้านขายยา เพราะร้านยาหลายร้าน ชอบเอาป้ายคำว่า "ขายยา" ขนาดเท่ากระด้ง 10 อันรวมกันมาทำไฟสว่างจ้าเกินเหตุแขวนเอาไว้หน้าร้าน จนเพื่อนสถาปัตย์ผมบอกว่า เขาขอประท้วงแบบเงียบๆ ด้วยการอุดหนุนเฉพาะร้านขายยาที่ทำป้ายว่า "ขายยา" ขนาดเล็กๆ พองามเท่านั้น
15.สิ่งที่เราคิดไว้ อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป เช่น เราคิดว่าสินค้าตัวนี้ขายดีแน่นอน ตอนสั่งมาสั่งมาซะเว่อร์ แต่พอเอาเข้าจริงกลับขายไม่ออก ตรงกันข้าม สินค้าบางอย่าง เราเอามาแบบงั้นๆ พอเอาเข้าจริงกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และเมื่อเวลาเปลี่ยน สถานะการณ์ก็เปลี่ยนได้ อย่างเช่น สมัยก่อนยาฟ้าทะลายโจรเป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ดองอยู่ในร้านมาหลายเดือน แต่พอเป็นข่าวปุ๊บ กลับกลายเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทันที
16.ร้านยาเป็นประเภทของร้านที่แอบสืบราคาคู่แข่งยากมาก เพราะยาจะตั้งอยูที่หลังเคาน์เตอร์ จะชะโงกไปดูราคาเลยก็ดูไม่ดี สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีสืบราคาแบบคลาสสิค นั่นคือ แอบถามจากลูกค้าเอาดื้อๆ ซะเลย
17.ร้านยาเป็นสถานที่ยอดนิยมมากๆ สำหรับการมาขอแลกเงินหรือแตกแบงค์ย่อย ส่วนใหญ่เวลาลูกค้ามีแบงค์พันแล้วต้องการแตกเหรียญก็มักจะมาซื้อหมากฝรั่ง ยาพารา หรือวิตามินซีที่ร้าน ผมเคยประสบโศกนาฏกรรมเจอแบงค์พัน 5 ใบใน 5 นาทีมาแล้ว น้ำตาแทบไหล สุดท้ายก็เลยต้องเอาแบงค์พันทั้ง 5 ใบไปซื้อหมากฝรั่งที่ 7-11 อีกที (อารมณ์เหมือนห่วงโซ่อาหารยังไงชอบกล)
18.นอกจากนั้นแล้ว ร้านยายังเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คนมักจะมาขอเงิน ไม่ว่าจะเป็นขอค่ารถกลับบ้าน กระเป๋าเงินหาย ไม่มีเงินกินข้าว ถ้าไม่มากมายอะไรผมก็จะให้ และถ้าใครที่เอาเงินเราไปแล้วบอกว่าจะเอามาคืนให้ทีหลัง ผมพบว่า ร้อยทั้ง 100 ไม่เคยมีใครกลับเอามาคืนให้เลย (ไม่รู้ว่าผมซวยคนเดียวหรือเปล่า)
19.เช่นเดียวกับลูกค้าที่สั่งยาทิ้งไว้แล้วบอกว่าจะกลับมาเอา จะมีที่กลับมาเอาจริงๆ ประมาณร้อยละ 30 เห็นจะได้
20.มีลูกค้าบางคนเข้ามาขอซื้อยาที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้ อย่างเช่น ยาแก้นอนกรน ยาแก้สะอึก ยาแก้หาวบ่อย ยาเสน่ห์ (อันหลังนี่มีมาถามจริงๆ ไม่ได้มุข) หรือยาที่ไม่มีในร้านขายยาเช่น ยาเบื่อหมา ยาฆ่าหญ้า ยากันยุง แม้กระทั่งน้ำยาล้างจาน (อันหลังมีคนมาถามบ่อยจนผมต้องรับมาขายจริงๆ
21.แล้วก็มียาบางอย่างที่มีคนมาถามหาซื้อบ่อยมาก แต่ที่ร้านไม่มีขาย (และจะไม่เอามาขาย เพราะกลัวบาปและกลัวติดคุก) นั่นคือยาทำแท้ง
22.หญิงสาวที่มาซื้อยาคุมฉุกเฉิน หรือยาทำแท้ง ร้อยละ 80 จะหน้าตาดี
23.ตามหลักทฤษฎีในทางการแพทย์ ไม่มี ยาล้างไต แบบที่ลูกค้าชอบไปซื้อกินหลังจากกินเหล้าเสร็จ พวกนี้เป็นความรู้แบบผิดๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเอามาปลูกฝังในหมู่ประชาชน(ตั้งแต่เขียนมา ข้อนี้ดูมีสาระสุด 555)
24.อำนาจการตลาดและโฆษณามีผลจริงๆ เพราะขนาดยายี่ห้ออื่นขายถูกกว่าตั้งเยอะ แต่ลูกค้าก็ยังถามหาซื้อแต่ยี่ห้อไทลินอล ทิฟฟี่ อีโน สเตร็ปซิล จนพวกนี้กลายเป็น มาม่า แฟ้บ โอวัลตินในโลกของวงการยาไปแล้ว (และมุข "นี่ม่ายช่ายไทลินอลนะ" ก็ยังถูกลูกค้านำมาเล่นบ่อยๆ จนผมเลิกขำไปกับมุขนี้เรียบร้อยแล้ว)
25.ยาบางตัวผมเพิ่งมารู้จักตอนทำร้านนี่แหละ อย่าง ยาตรากิเลน พลังแรด ยากระษัยเส้น เพราะยาพวกนี้เป็นความรู้ที่อยู่นอกตำรา ไม่มีในบทเรียน
26.ได้เรียนรู้ทฤษฎีสุดคลาสสิคที่ว่า ไม่ว่าจะลูกค้าจะทำตัวงี่เง่าหรือไร้วุฒิภาวะแค่ไหน สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ ท่องจำกฎ 2 ข้ออันสุดแสนจะเก่าแก่เอาไว้ นั่นคือ 1.ลูกค้าถูกเสมอ 2.ถ้ามีข้อสงสัย กลับไปอ่านข้อที่ 1
27.หลังจากประชาสัมพันธ์ร้านตัวเองผ่านอินเตอร์เน็ททั้งอีเมลล์-บลอก-hi5-webboard-facebook-multiply-twitter (ใช้สื่อคุ้มจริงๆ เลยผม...เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ได้ต้นแบบมาจากการประชาสัมพันธ์หนังเรื่อง The Blair Witch Project) วันดีคืนดีก็อยากสำรวจดูว่า ร้านเรามีการพูดถึงในโลก cyberspace บ้างหรือเปล่า เลยเอาชื่อ ปันยา ไป search ใน google ตอนแรกดีใจเพราะมีผลการค้นหาขึ้นมามากมาย แต่ก็ดีใจเก้อเพราะ คำส่วนใหญ่ที่ขึ้นมามีแต่คำว่า เทปันยากิ และ อานันท์ ปันยารชุน...อนิจจา
28.เคยอ่านบทสัมภาษณ์คุณตัน โออิชิ เขาบอกว่าคุณตันจำหน้าลูกค้าคนที่มาซื้อของของร้านเขาเป็นคนแรกได้ อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า ผมเองก็เช่นกันเพราะหน้าพี่ที่มาซื้อเจเล่ไลท์ 5 บาทคนนั้นยังติดตาผมอยู่เลย แม้ทุกวันนี้ผมไม่เคยเจอเขาอีกเลย (ความจริงพี่เขาอาจจะเป็นคนสุไหงโกลกที่บังเอิญผ่านมาเชียงใหม่พอดี) แต่ถ้าเจอเขาอีก ผมจะแจกวิตามินซีให้กินฟรีๆ ตลอดชีพเลย (ดูน้อยไปไหม)
29.ข้อสุดท้าย ผมอยากจะพูดถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดในแวดวงเภสัชร้านขายยาในปัจจุบันนี้ คือเรื่อง"เภสัชแขวนป้าย" "เภสัชแขวนป้าย" คือสถานการณ์ที่เภสัชเอาชื่อไปแขวนที่ร้านยาประเภทที่1 (ประเภทที่มียาอันตราย) แล้วส่งเรื่องไปว่ามีเภสัชปฏิบัติการอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ความจริงแล้ว เภสัชไม่เคยอยู่ คนทื่ขายจริงๆ ไม่ใช่เภสัช เขาแค่เอาชื่อเภสัชมาหลอก และเภสัชก็ยอมให้เอาชื่อไว้เพราะหวังกับเงินเล็กๆ น้อยๆ ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านก็ต้องเคยเจอครับ ไม่เชื่อลองนึกถึงเร็วๆ นี้ ตอนที่ไปซื้อยาอันตรายแล้วมีเด็กหรือใครที่ไหนไม่รู้ที่ไม่ใช่เภสัชมาจ่ายยาให้หรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ นอกจากจะส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับบริการทางสุขภาพที่ดี เหมาะสม ปลอดภัยแล้ว ยังส่งผลเสียต่อวิชาชีพนี้ด้วย (อันนี้ขอบ่นเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับวิชาชีพเล็กน้อย ) สำหรับเรื่องนี้ มีคนกล่าวไว้ดีกว่าผม ผมจึงขออนุญาต quote บางประโยคจาก //www.pharmacafe.com มาให้ได้อ่านกัน
เพราะคนทั่วไปก็ไม่ได้แยกแยะร้านยาออกจากวิชาชีพเภสัชกรสักเท่าไหร่ กลายเป็นว่าการปล่อยให้คนที่ไม่มีวิชาชีพมาจ่ายยาแทนเราแล้วก็ทำเรื่องไม่ดีๆก็เป็นการทำลายวิชาชีพไปด้วย กระทบไปถึงเภสัชกรทุกคนไม่ว่าจะอยู่สายไหน" "เมื่อเช้าก็ดูข่าวช่อง9 เค้าก็พูด เป็นอะไรก็อย่าไปหาหมอตี๋ซื้อยากินเอง ให้ไปหาหมอ เช้ามาก็เจอเลยคนเป็นลมพิษมาซื้อยาปากก็พูดไป ว่าจะไปหาหมอฉีดยา พอดีหมอไม่เปิดเลยต้องมาซื้อยากินเอง โถ แค่ลมพิษปื้นเดียวเนี่ยนะ ปัญหาในตอนนี้มันต้องมองทั้งระบบ และจุดที่ทำให้วิชาชีพมันตกต่ำสุดก็เรื่องแขวนป้าย เพราะมันกระทบกับความก้าวหน้าอย่างมากทั้งทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของร้านยา แต่เป็นเรื่องของทุกคน ไม่มีความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชนทั้งๆ ที่เรามีความรู้เยอะ แต่ประชาชนยังไม่ค่อยมีความมั่นใจ จะต้องไปถามแพทย์ดีกว่า... " เค้าจะตัดร้านยาออกไปจากระบบการกระจายยาของประเทศไทยแล้ว ทั้งๆที่ร้านยาน่าจะเป็นหน่วยพื้นฐานที่สุดในการกระจายยาสู้ผู้บริโภค และคัดกรองผู้ป่วยเพื่อแบ่งเบาภาระของระบบสาธารณสุข แต่ตอนนี้เค้าต้องให้เป็นหน้าที่ของ PCUแทน
ผมยังจำบทความใน a day เล่มนึงได้ ในคอลัมน์ ordinary people หัวข้อเกี่ยวกับยา เชื่อไหมว่าคนที่เขา สัมภาษณ์ทั้ง 4 คน ไม่มีเภสัชอยู่เลย (ขนาดคนจ่ายยาที่เขาไปถามยังไม่ใช่เภสัชเลย) ผมอ่านแล้วอดห่อเหี่ยวใจไม่ได้ ในเมื่อมาตรการตรวจตราทางด้านนี้ของสาธารณสุขยังทำได้ไม่รัดกุม สุดท้ายก็ต้องหวังพึ่งลูกค้าที่ไปซื้อยาอย่างท่านผู้อ่านทุกท่านแหละครับ ถ้าเจอเภสัชแขวนป้ายร้านไหน หรือคนที่จ่ายยาไม่ใช่เภสัชแต่ดันเอายาอันตรายมาขาย รบกวนแจ้งสำนักงานสาธารณสุขในจังหวัดของท่านด้วยนะครับ (หมายเลขโทรศัพท์ดูจาก google ได้ ส่วนที่กทม.แจ้งได้ที่อย.) ขอจบการบ่นแต่เพียงเท่านี้...แหะๆๆ
ใครมีข้อสงสัยหรืออย่างแลกเปลี่ยนความเห็น ก็มาเข้ามาเม้นต์กันได้นะครับ
Create Date : 23 กรกฎาคม 2552 |
|
57 comments |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 8:35:36 น. |
Counter : 31561 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: JJ IP: 203.146.8.165 23 กรกฎาคม 2552 9:27:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: แวะมาค่ะ IP: 118.172.86.127 23 กรกฎาคม 2552 10:28:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: aomenjoy IP: 61.19.51.101 23 กรกฎาคม 2552 10:41:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: mon IP: 117.47.114.185 23 กรกฎาคม 2552 10:52:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตรงทั้งน้าน IP: 58.8.192.20 23 กรกฎาคม 2552 10:55:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: หยุดหัวใจไว้ที่เชียงใหม่ IP: 202.149.25.235 23 กรกฎาคม 2552 11:28:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 23 กรกฎาคม 2552 13:55:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy IP: 161.200.31.132 23 กรกฎาคม 2552 16:34:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: naenae' 23 กรกฎาคม 2552 18:45:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: eatandotto IP: 202.53.198.82 24 กรกฎาคม 2552 17:29:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 25 กรกฎาคม 2552 5:46:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 25 กรกฎาคม 2552 5:52:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: แฟนผมฯ IP: 222.123.188.235 25 กรกฎาคม 2552 11:12:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: เอกเช้า IP: 124.122.79.11 26 กรกฎาคม 2552 0:36:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: แฟนผมฯ IP: 112.142.209.183 26 กรกฎาคม 2552 15:59:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanida 26 กรกฎาคม 2552 19:07:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 27 กรกฎาคม 2552 1:58:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: wawa IP: 124.120.119.144 29 กรกฎาคม 2552 4:42:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: wawa IP: 124.120.119.144 29 กรกฎาคม 2552 4:44:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: eatandotto IP: 117.47.197.72 29 กรกฎาคม 2552 21:31:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 29 กรกฎาคม 2552 23:49:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa IP: 58.9.191.109 31 กรกฎาคม 2552 9:04:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: belle IP: 61.47.16.194 11 สิงหาคม 2552 12:56:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 17 สิงหาคม 2552 18:57:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผ่าน IP: 202.29.60.211 31 สิงหาคม 2552 10:02:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่กอล์ฟ rx'33 CMU IP: 118.172.2.119 7 กันยายน 2552 16:51:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: nui IP: 117.47.36.28 16 กันยายน 2552 23:59:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนที่ช่วยตั้งชื่อร้านยา (สเลเต ) 8 ตุลาคม 2552 10:12:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: Littlechild IP: 172.168.1.217, 180.183.144.175 7 ธันวาคม 2552 2:32:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: Marquez 23 ธันวาคม 2552 4:10:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: kakashi IP: 117.47.179.4 15 มกราคม 2553 12:36:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: เภสัช มอ ชอ IP: 180.180.61.119 29 มกราคม 2553 21:10:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: MyMind IP: 202.28.68.62 12 มิถุนายน 2553 21:41:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนสุราด IP: 223.205.209.183 6 มีนาคม 2554 22:06:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนแถวนี้... IP: 180.183.157.31 12 กรกฎาคม 2555 11:07:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณแม่พันไมล์ IP: 49.49.6.232 12 กันยายน 2555 21:50:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนหาดใหญ่ IP: 113.53.47.231 13 กันยายน 2555 21:19:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: badzbenz IP: 101.51.148.218 12 พฤศจิกายน 2555 4:24:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: hanger IP: 171.5.151.136 25 พฤศจิกายน 2555 15:50:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กเหลือขอ IP: 110.77.227.189 25 พฤศจิกายน 2555 23:58:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: - - IP: 58.11.255.106 24 ธันวาคม 2555 17:28:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.251.68 5 มกราคม 2556 20:51:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: - - IP: 124.120.224.27 7 มกราคม 2556 20:59:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.250.107 9 มกราคม 2556 17:50:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.250.107 9 มกราคม 2556 17:53:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุดม IP: 183.89.251.248 30 เมษายน 2556 10:28:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชอบอ่ะ IP: 27.55.11.143 4 พฤษภาคม 2556 20:17:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: Penninowz IP: 115.67.5.226 9 ตุลาคม 2556 5:07:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: เขียวมะกอก IP: 223.204.66.84 13 ตุลาคม 2557 10:18:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: f IP: 183.88.23.184 27 พฤศจิกายน 2557 9:31:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดร.เภสัช IP: 101.109.220.219 6 กรกฎาคม 2558 14:48:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่โอ่ง IP: 1.1.172.99 28 กันยายน 2559 9:30:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: Boom IP: 49.229.53.176 21 มิถุนายน 2561 18:22:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ได้ความรู้ดี วันหลังจะมาอ่านอีกนะคะ