ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 

+-+-+-+-+-+-+-+29 เรื่องร้านยาน่ารู้ (ก็ได้ไม่รู้ก็ได้) +-+-+-+-+-+-+-+-+-+

ฉบับสมบูรณ์ ปรับปรุงจากที่เขียนครั้งแรกเมื่อ 2 วันที่แล้ว


ร้านปันยา เปิดมาครบ 5 เดือนแล้วครับ



เป็น 5 เดือนที่เหนื่อยยากลำบากตรากตรำ และได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย
มากยิ่งกว่าตอนลงเรียนวิชาธุรกิจสมัยอยู่มหาวิทยาลัยเสียอีก
แม้คนรอบกายต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากพูดถึงความขี้เกียจ ผมถือเป็นมือวางอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
แต่ในช่วงแรกที่เปิดร้านใหม่ๆ ไม่รู้ว่าวิญญาณเด็กสอบเอนทรานส์ที่ไหนมาเข้าสิง ช่วงนั้นผมทำงานจนแทบไม่ได้กินข้าวกินปลา แถมได้นอนแค่วันละ 4-5 ชม. จนน้ำหนักลดไปถึง 3 กก. (ถือว่ามากแล้วสำหรับผม ซึ่งตั้งแต่เรียนจบมาเส้นกราฟน้ำหนักก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)
หมายเหตุ – สำหรับทุกท่านที่เป็นห่วง อยากจะบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมเลิกขยัน กลับมาขี้เกียจเหมือนเดิมตั้งแต่ขึ้นเดือนที่ 2 แล้ว

ทุกวันนี้ร้านก็เริ่มอยู่ได้ อนาคตของร้านยังพอเห็นแสงรำไรอยู่บ้าง ใช่ว่าจะริบหรี่ไปซะหมดเหมือนชีวิตรักผม
แม้ทุกวันนี้ร้านจะยังไม่กำไรหรือขาดทุน (สรุปว่าที่ทำมาทั้งหมดเท่าทุน...แล้วที่ผ่านมา...เพื่ออะไรเนี่ย)
แต่สิ่งที่ผมได้กลับคืนมานั้น...มากมาย ได้มา มากมาย (กรุณานึกภาพเป็นเสียงพี่บี้ร้องเพลง) ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่หาซื้อตามศูนย์การค้าที่ไหนไม่ได้
จะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นกำไรชีวิตได้เหมือนกัน

ผมมีโอกาสได้เจอผู้คนมากมายหลากหลายวงการ ทั้งที่มาดีและมาร้าย แต่โลกนี้ยังคงน่าอยู่สำหรับผมเพราะคนที่มาร้ายมีน้อยกว่าคนที่มาดี มากๆ

ผมได้รับประสบการณ์ชีวิตจากการสะสางปัญหาแปลกๆ (แต่จริง) มากมาย
ผมได้เป็นเจ้านายของตัวเอง ซึ่งคนที่ผมต้องเอาใจคือลูกค้าซึ่งนั่นก็คือคนทั่วไป ไม่ใช่ต้องมาคอยเอาใจคนที่กุมอำนาจนิสัยเอาใจยากเพียงไม่กี่คน

ผมมีเวลาว่างมากพอที่จะได้อ่านหนังสือที่อยากอ่านและที่ซื้อดองเอาไว้นานปี ล่าสุดผมอ่าน "เหมืองแร่" ของอาจินต์ ปัญจพรรค์จบแล้วหลังจากซื้อมาดองเค็มได้ 4-5 ปีและเกือบคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้อ่านจบแล้ว
(ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความฝันที่จะได้อ่านเพชรพระอุมาจบครบทุกเล่ม คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม)

ผมได้ดูหนังที่ค้างและดองเอาไว้หลายร้อยเรื่อง (ตัวเลขจริง ไม่ได้โม้) หนังหลายเรื่องอย่าง Gandhi, I Don’t Want to Sleep Alone, 400 Blows หรือดอกฟ้าในมือมาร เป็นหนังที่ผมคงจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการหยิบมาดูแน่นอนถ้าผมยังอยู่ในกทม. (แต่ตอนนี้ผมดูหนังพวกนี้ครบหมดแล้ว และหนังของยาสึจิโร่ โอสุคือเป้าหมายต่อไป)

แต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะมีแต่ข้อดีแฮปปี้โอลัลล้าแต่เพียงอย่างเดียว ข้อเสียหลักๆ ที่ผมคิดออกก็คือ ผมออกไปข้างนอกได้น้อยลง และเพื่อนผมก็เหมือนยิ่งรู้ยิ่งแกล้ง เพราะตอนที่ผมมีเวลาว่าง สามารถออกไปเที่ยวที่ไหนก็ได้แต่ตอนนั้นกลับไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวกับผม แต่พอผมออกไปไม่ได้ กลับมีคนชวนไปเสม็ด บาหลี หลวงพระบาง พม่า หลายที่เต็มไปหมด (วิธีนี้แก้ได้โดยบอกเพื่อนผมให้มาเที่ยวเชียงใหม่ให้หมด)
อีกอย่างคือ ผมเจอเพื่อนเก่าที่อยู่กทม.น้อยลง ยิ่งบางคนที่แต่งงานแต่งการมีครอบครัวไปแล้ว โอกาสเจอกันก็คงเหลือแค่ในงานแต่งงานหรืองานศพของใครบางคนเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องแสงสี หรือกิจกรรมบันเทิง ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเชียงใหม่มีกิจกรรมบันเทิงมากมายไม่แพ้ในกทม.
ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง – ที่มีให้เลือก 2 เจ้าคือ เมเจอร์ ไม้เบื่อไม้เมาของผม เพราะพี่แกชอบฉวยโอกาสขึ้นราคาหนังบลอกบัสเตอร์จาก 120 เป็น 140 บาท (ราคาโรงหนังต่างจังหวัดหรือนี่ แพงchipหาย) แถมยังถอดหนังออกจากโรงเร็วมาก วีรกรรมที่ผมยังไม่ลืมของโรงนี้คือ ลดรอบนางไม้ให้เหลือ 2 รอบภายในวันฉาย 3 วันแรก ถอดอนุบาลเด็กโข่งออกจนหมดเกลี้ยงภายในอาทิตย์ที่สอง และทุ่มโรงหนังทุกโรงให้กับ Transformers 2!
ส่วนโรงหนังอีกที่นั่นคือ วิสต้า ซึ่งก็สุดๆ อีกเช่นกัน นั่นคือ คนน้อยแบบสุดๆ ประสบการณ์การดูหนังที่มีเพื่อนร่วมโรงน้อยที่สุดของผม 2 อันดับแรกก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ นั่นคือ ตอนมาดูเรื่อง 8 วันแปลกคน (มีเพื่อนร่วมโรงอยู่ 2 คน) และ The Spiderwick Chronicles (อันนี้มากขึ้นมาหน่อย คือ 3 คน)

ส่วนอาหารการกินก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารเหนือ อาหารใต้ ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาลี ฝรั่งเศส ข้าวต้ม หมูกระทะ จิ้มจุ่ม ชาบูชาบู ข้าวซอย เค้ก นม เหล้า เรียกได้ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าไม่มีที่กินแต่ไม่รู้จะเลือกกินอะไรมากกว่า
ส่วนร้านหนังสือ ร้านหนังดีๆ ร้านขายของดีๆ ก็หายห่วงเพราะมีให้เลือกซื้อมากมาย
ส่วนผับ ร้านอาหารฮิปๆ นี่ไม่ต้องห่วงอีกเช่นกัน เพราะต่อให้เป็นซอยเปลี่ยวหรือตำแหน่งที่ไม่สมควรแม้จะมีบ้านคน ก็ยังอุตส่าห์มีร้านอาหารฮิปๆ ตั้งอยู่จนได้ (ผมลองคำนวนเล่นๆ ว่า ถ้าคิดจะกินร้านอาหารเหล่านี้วันละร้านให้หมด กว่าจะครบคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี)

ชีวิตตอนนี้ พูดได้เต็มปากว่า แม้จะมีสุขบ้างทุกข์บ้างแต่ก็ยังอยูในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

สาเหตุที่ผมเขียนเรื่องเหล่านี้ เพราะแอบรู้สึกว่า เขียนบลอกมาก็ตั้งหลายปี แต่กลับไม่ค่อยเขียนเรื่องใกล้ตัวผมพวกนี้เลย อย่าว่าแต่เรื่องร้านยาเลย ขนาดเขียนเรื่องความรู้เกี่ยวกับยาอย่าง ยาคุมใช้ยังไง ยาเหน็บเหน็บนานเท่าไรผมก็ไม่เคยเขียนถึงแม้แต่ประโยคเดียว
และเป็นเพราะไม่ค่อยบอกใครเท่าไร ทำให้เวลาคนในบลอกถามว่าจบอะไรมา พอผมบอกให้ลองเดาก็มักจะเดาไม่ถูก บ้างก็ตอบว่า รัฐศาสตร์ นิเทศ อักษร ยิ่งถ้าเห็นตัวจริงก็มีแต่คนเดาว่า ถ้าไม่เป็นวิศวะก็สถาปัตย์ไปเลย
พอเฉลยว่าเป็นเภสัช ก็มักจะมีคนตกใจ แถมบางคนนึกว่าผมอำเล่นเสียอีก (บางคน ยังคิดว่าจนป่านนี้ผมยังอำไม่เลิก)

เนื่องจากกลัวว่าจะเรียนแล้วไม่ได้ใช้ (เขียนบลอก) เลยขออนุญาตนำวิชาชีพที่ผมอุตส่าห์ตรากตรำเรียนมาตลอด 5 ปี และเป็นสาขาวิชาที่เผาผลาญชีวิตวัยรุ่นของผมเสียจนหมดสิ้น มาใช้หากินเล็กน้อย

และเรื่องเหล่านี้ ก็คือเรื่องเล่า 29 เรื่องที่ผมได้เรียนรู้จากการทำร้านยาในเชียงใหม่
ซึ่งมีหลากหลายแนว ทั้งแนวลึกลับ ตลก สืบสวน สยองขวัญ รัก อีโรติค ดราม่า แอคชั่น แอบเสิร์ด รวมอยู่ในเรื่องเดียว
เรียกได้ว่ามั่วไม่แพ้หนังพจน์ อานนท์เลยทีเดียว
ถือซะว่าอ่านเพลินๆ และเป็นเกร็ดความรู้เผื่อใครจะลองเปิดร้านยา หรือไปซื้อยาจะได้ไม่โดนคนขายหลอกเอาได้

ข้อมูลพวกนี้อาจมีบางอย่างคลาดเคลื่อน โปรดอย่ายึดถือเป็นสรณะ และไม่ควรนำไปอ้างอิงในบทความงานวิจัยที่ไหนทั้งสิ้น

และนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอยู่ร้านขายยา 29 ข้อครับ






1.ยาที่ทำกำไรดีที่สุดในร้าน ไม่ใช่ไทลินอล ไม่ใช่อีโน แต่เป็นยาคุมฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในสินค้าที่ทำให้ผมมีกินมีใช้อยู่ถึงทุกวันนี้ คิดว่าถ้าวันใดได้ไปเจอผู้คิดค้นยานี้เป็นคนแรก จะเอาดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบไหว้ด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างซาบซึ้ง

2.ส่วนยาที่ขายดีที่สุด คือ ไทลินอล อีโน ทิฟฟี่ ดีคอลเจน แอนตาซิล มายบาซิน สเตร็ปซิล แต่อย่าไปหวังพึ่งกำไรกับพวกนี้มาก เพราะได้ส่วนแบ่งกำไรเท่าอวัยวะเพศมด เรียกได้ว่า ขายยาพวกนี้ให้ตายก็ไม่รวย (แต่โบราณเขาว่าอย่าหมิ่นเงินน้อย เงินบาทเดียวตูก็เอาวะ)

3.สินค้าที่มีกำไรเทียบกับต้นทุนสูงที่สุดคือ อาหารเสริม ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าท่านเข้าร้านแล้วจะชอบมีพนักงานเชียร์ให้ซื้ออาหารเสริมคู่กันไปด้วย

4.ลูกค้าที่มาซื้อยาแก้อักเสบชนิดที่ต้องกินติดต่อกันสองแผง ถ้าลูกค้าซื้อไปแค่แผงเดียว ร้อยละ 90 จะทำตัวหายสาบสูญ ไม่กลับมาซื้อแผงที่สองกินต่ออีกเลย

5.ช่วงนี้ไข้หวัด 2009 ระบาด ทำให้ผ้าปิดจมูกขายดีมาก ช่วงที่พีกๆ นี่ มีลูกค้ามาถามหาซื้อทุก 5 นาที มาถามบ่อยจนผมคิดจะไปยืมจักรเย็บผ้าร้านข้างๆ มาเย็บหน้ากากขายเองแล้ว

6.เช่นเดียวกับหน้ากากลายการ์ตูนที่มีแต่คนถามหาซื้อ แต่ผมไม่รู้จะไปหาที่ไหน เคยคิดจะไปซื้อสีมาเพนต์เองอีกเช่นกัน แต่กลัวราคาตก (ไม่เพ้นท์ 10 บาท เพ้นท์ไปแล้วราคาตกเหลือ 5 บาท) เลยหยุดความคิดนี้ไปโดยปริยาย

7.ร้านขายยาที่เชียงใหม่ มีมากพอๆ กับร้านเน็ทและร้านกาแฟ คือ มีทุกตรอกซอกซอย บางอาณาบริเวณที่ไม่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ก็ดันมีร้านยาบางร้านไปเปิดเฉยเลย

8.แต่ส่วนใหญ่ร้านยาที่เชียงใหม่ปิดเร็ว ถ้าเทียบว่าคนเชียงใหม่นอนกันดึกขนาดไหน
เชียงใหม่เป็นเมืองที่เหมาะกับคนนอนดึก เพราะมีร้านเน็ทที่เปิด 24 ชม. เยอะมาก แถมมีเธคที่ปิดหลังตี 2 แทบทุกที่
(หมายเหตุ-เพื่อนผมเคยพาไปเที่ยวเธคตอน 4 ทุ่ม เพื่อนสัญญาว่า เธคปิดจะกลับทันทีไม่ไปต่อ แต่ผมกลับหารู้ไม่ว่า เธคนี่ปิด 6 โมงเช้า)ดังนั้น หลังเที่ยงคืนจึงเป็นเวลาของร้านปันยาในการกอบโกย

9.เคยพยายามใช้หลักการวิเคราะห์ธุรกิจ คำนวนว่า วันไหน ช่วงเวลาไหน ช่วงไหนของเดือนที่ขายดี เพื่อจะได้เตรียมสินค้าและบุคลากรให้พร้อมสรรพ แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับหาหลักยึดอะไรไม่ได้ เพราะช่วงเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนที่คนควรเยอะบางทีคนกลับน้อย ปลายเดือนที่คนควรจะน้อยบางทีคนก็กลับเยอะพรวดพราดซะอย่างนั้น
เป็นร้านที่ยอดขายพลิกผันไปมาจนคุณบัญชา ชุมชัยเวทย์ก็ยังวิเคราะห์หลักเศรษฐกิจไม่ถูก

10.แต่ใช่ว่าจะคาดเดาไม่ถูกเลย เพราะความจริงก็มีหลักใหญ่ๆ อยู่บ้าง เช่น ถ้าวันไหนขายดีตอนบ่ายๆ วันนั้นลูกค้าจะมามากตลอดทั้งวัน
ช่วงหน้าฝนยาแก้หวัดจะขายดี
หน้าร้อนยาแก้ท้องเสีย ยาโรคกระเพาะจะขายดี ช่วงหน้าหนาวยาหอบชหืดจะขายดี
ช่วงวันวาเลนไทน์ ปีใหม่ หรือวันลอยกระทง เตรียมยาคุมฉุกเฉินสต๊อกไว้ได้เลย ส่วนวันรุ่งขึ้นก็เตรียมชุดตรวจตั้งครรภ์เอาไว้ด้วยอีกอย่าง


11.ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ผมจะลนมาก เพราะสินค้าในร้านยังมีน้อยอยู่ แล้วลูกค้าชอบมาถามหาสินค้าที่เราไม่มี จะเปลี่ยนเอาเป็นตัวเดียวกันแต่เป็นยี่ห้ออื่นให้ก็ไม่เอา บางทีเตรียมไว้ 10 ยี่ห้อ พี่แกจะเอายี่ห้อที่ 11 พอของ1ไม่มีแรกๆผมก็ชอบมานั่งเครียด แต่ตอนหลังมองเป็นเรื่องขำๆ มีก็มี ยึดหลัก "Let it be" (แปลเป็นไทยว่า ช่างแม่ง) ไม่มีก็บอกไม่มี แล้ววันหลังค่อยไปหามาใส่ในร้าน

12.แต่ยิ่งเอายาเข้าร้านมากขึ้นเท่าไร นั่นก็หมายถึงเม็ดเงินจำนวนมากขึ้นที่ลงไปด้วย ช่วง 3 เดือนแรก กำไรที่ผมได้หมดไปกับการหายามาเติมในสต๊อกให้เต็มทั้งหมด แต่ขนาดลงไปเยอะแล้ว ทำอย่างไร ยาในร้านก็ยังดูแหว่งๆ วิ่นๆ ดูไม่เยอะสะใจวัยรุ่นอยู่ดี
ซึ่งก็เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้ เพราะสินค้าประเภทยามีขนาดเล็ก ต่อให้รวมยาเป็นพันเม็ด ขนาดของมันก็ยังไม่เท่าชาเขียว 1 ขวดเลย
ยิ่งเมื่อคิดว่าถ้าจะทำให้สต๊อกเต็มร้านจะต้องใช้เงินไม่รู้กี่ล้าน สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยให้สต๊อกยามันดูแหว่งๆ วิ่นๆ แบบนี้ต่อไป

13.สินค้าที่ขายตัดราคากันน่ากลัวที่สุดคือ ยาคุมกำเนิดทั่วไป ตัดราคากันจนบางยี่ห้อขายแล้วได้กำไรเท่ากับยาดมโป๊ยเซียน เหตุเพราะมันเป็นยาที่ต้องกินประจำ ส่วนใหญ่เภสัชจะถือว่า ยอมได้กำไรน้อยแต่ได้ลูกค้าประจำดีกว่า

14.เคยถกกับเพื่อนที่เป็นสถาปัตย์ เขาบอกว่า ตัวการสำคัญตัวการหนึ่งในการสร้างทัศนะอุจาดให้กับชุมชน นั่นคือ ร้านขายยา เพราะร้านยาหลายร้าน ชอบเอาป้ายคำว่า "ขายยา" ขนาดเท่ากระด้ง 10 อันรวมกันมาทำไฟสว่างจ้าเกินเหตุแขวนเอาไว้หน้าร้าน จนเพื่อนสถาปัตย์ผมบอกว่า เขาขอประท้วงแบบเงียบๆ ด้วยการอุดหนุนเฉพาะร้านขายยาที่ทำป้ายว่า "ขายยา" ขนาดเล็กๆ พองามเท่านั้น

15.สิ่งที่เราคิดไว้ อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป
เช่น เราคิดว่าสินค้าตัวนี้ขายดีแน่นอน ตอนสั่งมาสั่งมาซะเว่อร์ แต่พอเอาเข้าจริงกลับขายไม่ออก
ตรงกันข้าม สินค้าบางอย่าง เราเอามาแบบงั้นๆ พอเอาเข้าจริงกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
และเมื่อเวลาเปลี่ยน สถานะการณ์ก็เปลี่ยนได้ อย่างเช่น สมัยก่อนยาฟ้าทะลายโจรเป็นสินค้าที่ขายไม่ออก ดองอยู่ในร้านมาหลายเดือน แต่พอเป็นข่าวปุ๊บ กลับกลายเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทันที

16.ร้านยาเป็นประเภทของร้านที่แอบสืบราคาคู่แข่งยากมาก เพราะยาจะตั้งอยูที่หลังเคาน์เตอร์ จะชะโงกไปดูราคาเลยก็ดูไม่ดี สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีสืบราคาแบบคลาสสิค นั่นคือ แอบถามจากลูกค้าเอาดื้อๆ ซะเลย

17.ร้านยาเป็นสถานที่ยอดนิยมมากๆ สำหรับการมาขอแลกเงินหรือแตกแบงค์ย่อย ส่วนใหญ่เวลาลูกค้ามีแบงค์พันแล้วต้องการแตกเหรียญก็มักจะมาซื้อหมากฝรั่ง ยาพารา หรือวิตามินซีที่ร้าน
ผมเคยประสบโศกนาฏกรรมเจอแบงค์พัน 5 ใบใน 5 นาทีมาแล้ว น้ำตาแทบไหล สุดท้ายก็เลยต้องเอาแบงค์พันทั้ง 5 ใบไปซื้อหมากฝรั่งที่ 7-11 อีกที (อารมณ์เหมือนห่วงโซ่อาหารยังไงชอบกล)

18.นอกจากนั้นแล้ว ร้านยายังเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คนมักจะมาขอเงิน ไม่ว่าจะเป็นขอค่ารถกลับบ้าน กระเป๋าเงินหาย ไม่มีเงินกินข้าว ถ้าไม่มากมายอะไรผมก็จะให้ และถ้าใครที่เอาเงินเราไปแล้วบอกว่าจะเอามาคืนให้ทีหลัง ผมพบว่า ร้อยทั้ง 100 ไม่เคยมีใครกลับเอามาคืนให้เลย (ไม่รู้ว่าผมซวยคนเดียวหรือเปล่า)

19.เช่นเดียวกับลูกค้าที่สั่งยาทิ้งไว้แล้วบอกว่าจะกลับมาเอา จะมีที่กลับมาเอาจริงๆ ประมาณร้อยละ 30 เห็นจะได้

20.มีลูกค้าบางคนเข้ามาขอซื้อยาที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้ อย่างเช่น ยาแก้นอนกรน ยาแก้สะอึก ยาแก้หาวบ่อย ยาเสน่ห์ (อันหลังนี่มีมาถามจริงๆ ไม่ได้มุข) หรือยาที่ไม่มีในร้านขายยาเช่น ยาเบื่อหมา ยาฆ่าหญ้า ยากันยุง แม้กระทั่งน้ำยาล้างจาน (อันหลังมีคนมาถามบ่อยจนผมต้องรับมาขายจริงๆ



21.แล้วก็มียาบางอย่างที่มีคนมาถามหาซื้อบ่อยมาก แต่ที่ร้านไม่มีขาย (และจะไม่เอามาขาย เพราะกลัวบาปและกลัวติดคุก) นั่นคือยาทำแท้ง

22.หญิงสาวที่มาซื้อยาคุมฉุกเฉิน หรือยาทำแท้ง ร้อยละ 80 จะหน้าตาดี

23.ตามหลักทฤษฎีในทางการแพทย์ ไม่มี “ยาล้างไต” แบบที่ลูกค้าชอบไปซื้อกินหลังจากกินเหล้าเสร็จ พวกนี้เป็นความรู้แบบผิดๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเอามาปลูกฝังในหมู่ประชาชน(ตั้งแต่เขียนมา ข้อนี้ดูมีสาระสุด 555)

24.อำนาจการตลาดและโฆษณามีผลจริงๆ เพราะขนาดยายี่ห้ออื่นขายถูกกว่าตั้งเยอะ แต่ลูกค้าก็ยังถามหาซื้อแต่ยี่ห้อไทลินอล ทิฟฟี่ อีโน สเตร็ปซิล จนพวกนี้กลายเป็น มาม่า แฟ้บ โอวัลตินในโลกของวงการยาไปแล้ว
(และมุข "นี่ม่ายช่ายไทลินอลนะ" ก็ยังถูกลูกค้านำมาเล่นบ่อยๆ จนผมเลิกขำไปกับมุขนี้เรียบร้อยแล้ว)

25.ยาบางตัวผมเพิ่งมารู้จักตอนทำร้านนี่แหละ อย่าง ยาตรากิเลน พลังแรด ยากระษัยเส้น เพราะยาพวกนี้เป็นความรู้ที่อยู่นอกตำรา ไม่มีในบทเรียน

26.ได้เรียนรู้ทฤษฎีสุดคลาสสิคที่ว่า ไม่ว่าจะลูกค้าจะทำตัวงี่เง่าหรือไร้วุฒิภาวะแค่ไหน สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ ท่องจำกฎ 2 ข้ออันสุดแสนจะเก่าแก่เอาไว้ นั่นคือ
1.ลูกค้าถูกเสมอ
2.ถ้ามีข้อสงสัย กลับไปอ่านข้อที่ 1

27.หลังจากประชาสัมพันธ์ร้านตัวเองผ่านอินเตอร์เน็ททั้งอีเมลล์-บลอก-hi5-webboard-facebook-multiply-twitter (ใช้สื่อคุ้มจริงๆ เลยผม...เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ได้ต้นแบบมาจากการประชาสัมพันธ์หนังเรื่อง The Blair Witch Project)
วันดีคืนดีก็อยากสำรวจดูว่า ร้านเรามีการพูดถึงในโลก cyberspace บ้างหรือเปล่า เลยเอาชื่อ “ปันยา” ไป search ใน google ตอนแรกดีใจเพราะมีผลการค้นหาขึ้นมามากมาย แต่ก็ดีใจเก้อเพราะ คำส่วนใหญ่ที่ขึ้นมามีแต่คำว่า “เทปันยากิ” และ “อานันท์ ปันยารชุน”...อนิจจา

28.เคยอ่านบทสัมภาษณ์คุณตัน โออิชิ เขาบอกว่าคุณตันจำหน้าลูกค้าคนที่มาซื้อของของร้านเขาเป็นคนแรกได้ อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า ผมเองก็เช่นกันเพราะหน้าพี่ที่มาซื้อเจเล่ไลท์ 5 บาทคนนั้นยังติดตาผมอยู่เลย แม้ทุกวันนี้ผมไม่เคยเจอเขาอีกเลย (ความจริงพี่เขาอาจจะเป็นคนสุไหงโกลกที่บังเอิญผ่านมาเชียงใหม่พอดี) แต่ถ้าเจอเขาอีก ผมจะแจกวิตามินซีให้กินฟรีๆ ตลอดชีพเลย (ดูน้อยไปไหม)

29.ข้อสุดท้าย ผมอยากจะพูดถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดในแวดวงเภสัชร้านขายยาในปัจจุบันนี้ คือเรื่อง"เภสัชแขวนป้าย"
"เภสัชแขวนป้าย" คือสถานการณ์ที่เภสัชเอาชื่อไปแขวนที่ร้านยาประเภทที่1 (ประเภทที่มียาอันตราย) แล้วส่งเรื่องไปว่ามีเภสัชปฏิบัติการอยู่ที่นี่จริงๆ แต่ความจริงแล้ว เภสัชไม่เคยอยู่ คนทื่ขายจริงๆ ไม่ใช่เภสัช เขาแค่เอาชื่อเภสัชมาหลอก และเภสัชก็ยอมให้เอาชื่อไว้เพราะหวังกับเงินเล็กๆ น้อยๆ
ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านก็ต้องเคยเจอครับ ไม่เชื่อลองนึกถึงเร็วๆ นี้ ตอนที่ไปซื้อยาอันตรายแล้วมีเด็กหรือใครที่ไหนไม่รู้ที่ไม่ใช่เภสัชมาจ่ายยาให้หรือเปล่า
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ นอกจากจะส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับบริการทางสุขภาพที่ดี เหมาะสม ปลอดภัยแล้ว ยังส่งผลเสียต่อวิชาชีพนี้ด้วย (อันนี้ขอบ่นเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับวิชาชีพเล็กน้อย )
สำหรับเรื่องนี้ มีคนกล่าวไว้ดีกว่าผม ผมจึงขออนุญาต quote บางประโยคจาก //www.pharmacafe.com มาให้ได้อ่านกัน

“เพราะคนทั่วไปก็ไม่ได้แยกแยะร้านยาออกจากวิชาชีพเภสัชกรสักเท่าไหร่ กลายเป็นว่าการปล่อยให้คนที่ไม่มีวิชาชีพมาจ่ายยาแทนเราแล้วก็ทำเรื่องไม่ดีๆก็เป็นการทำลายวิชาชีพไปด้วย กระทบไปถึงเภสัชกรทุกคนไม่ว่าจะอยู่สายไหน"
"เมื่อเช้าก็ดูข่าวช่อง9 เค้าก็พูด เป็นอะไรก็อย่าไปหาหมอตี๋ซื้อยากินเอง ให้ไปหาหมอ เช้ามาก็เจอเลยคนเป็นลมพิษมาซื้อยาปากก็พูดไป ว่าจะไปหาหมอฉีดยา พอดีหมอไม่เปิดเลยต้องมาซื้อยากินเอง โถ แค่ลมพิษปื้นเดียวเนี่ยนะ”
“ปัญหาในตอนนี้มันต้องมองทั้งระบบ และจุดที่ทำให้วิชาชีพมันตกต่ำสุดก็เรื่องแขวนป้าย เพราะมันกระทบกับความก้าวหน้าอย่างมากทั้งทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของร้านยา แต่เป็นเรื่องของทุกคน ไม่มีความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชนทั้งๆ ที่เรามีความรู้เยอะ แต่ประชาชนยังไม่ค่อยมีความมั่นใจ จะต้องไปถามแพทย์ดีกว่า... "
“เค้าจะตัดร้านยาออกไปจากระบบการกระจายยาของประเทศไทยแล้ว ทั้งๆที่ร้านยาน่าจะเป็นหน่วยพื้นฐานที่สุดในการกระจายยาสู้ผู้บริโภค และคัดกรองผู้ป่วยเพื่อแบ่งเบาภาระของระบบสาธารณสุข แต่ตอนนี้เค้าต้องให้เป็นหน้าที่ของ PCUแทน”


ผมยังจำบทความใน a day เล่มนึงได้ ในคอลัมน์ ordinary people หัวข้อเกี่ยวกับยา
เชื่อไหมว่าคนที่เขา สัมภาษณ์ทั้ง 4 คน ไม่มีเภสัชอยู่เลย (ขนาดคนจ่ายยาที่เขาไปถามยังไม่ใช่เภสัชเลย)
ผมอ่านแล้วอดห่อเหี่ยวใจไม่ได้
ในเมื่อมาตรการตรวจตราทางด้านนี้ของสาธารณสุขยังทำได้ไม่รัดกุม สุดท้ายก็ต้องหวังพึ่งลูกค้าที่ไปซื้อยาอย่างท่านผู้อ่านทุกท่านแหละครับ
ถ้าเจอเภสัชแขวนป้ายร้านไหน หรือคนที่จ่ายยาไม่ใช่เภสัชแต่ดันเอายาอันตรายมาขาย รบกวนแจ้งสำนักงานสาธารณสุขในจังหวัดของท่านด้วยนะครับ (หมายเลขโทรศัพท์ดูจาก google ได้ ส่วนที่กทม.แจ้งได้ที่อย.)
ขอจบการบ่นแต่เพียงเท่านี้...แหะๆๆ


ใครมีข้อสงสัยหรืออย่างแลกเปลี่ยนความเห็น ก็มาเข้ามาเม้นต์กันได้นะครับ





 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2552
57 comments
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 8:35:36 น.
Counter : 31561 Pageviews.

 

ชอบอ่านเรื่องร้านขายยาค่ะ
ได้ความรู้ดี วันหลังจะมาอ่านอีกนะคะ

 

โดย: JJ IP: 203.146.8.165 23 กรกฎาคม 2552 9:27:25 น.  

 

เจ้าของบล๊อคเขียนได้น่ารักจริงเพราะมันเป็นเรื่องจริงทั้งน้าน

 

โดย: แวะมาค่ะ IP: 118.172.86.127 23 กรกฎาคม 2552 10:28:19 น.  

 

อ่านแล้วเพลินเลยค่ะ

 

โดย: aomenjoy IP: 61.19.51.101 23 กรกฎาคม 2552 10:41:50 น.  

 

แอบเข้ามาอ่านจ้า จขบ.ท่าทางจะอารมณ์ดีน่าดู
ขายดิบขายดีนะคะ ^^

 

โดย: mon IP: 117.47.114.185 23 กรกฎาคม 2552 10:52:06 น.  

 

แวะเข้ามาอ่านคะ เห็น topic น่าสนใจดี
พอดีเคยติดเภสัช มช แล้วแต่ไม่เอา ตอนนี้คิดอยากกลับไปเรียนแต่ไม่ทันแล้ว

 

โดย: ตรงทั้งน้าน IP: 58.8.192.20 23 กรกฎาคม 2552 10:55:32 น.  

 

ถ้ามีโอกาสจะแวะไปอุดหนุน

 

โดย: หยุดหัวใจไว้ที่เชียงใหม่ IP: 202.149.25.235 23 กรกฎาคม 2552 11:28:21 น.  

 

กร๊ากกกก เห็นด้วยๆๆ

น้องชายเราเฝ้าร้านมันก็เข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร เอาแบงค์พันไปแลกอีกต่อ (แต่มันแลกตำรวจบนสถานีอะ ร้านน้องเราอยู่ตรงหน้า รร อนุบาลฯ หลังวัดเจดีย์หลวง)

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 23 กรกฎาคม 2552 12:03:12 น.  

 

อา... เอ็นทรี่นี้เรตติ้งดีแฮะ

เขียนเล่าได้สนุกดีครับ บางด้านก็น่าอิจฉา (การเป็นนายตัวเอง มีเวลาดูหนัง) บางด้านก็น่าเห็นใจ (ต้องอยู่เฝ้าร้าน และลุ้นกับยอดขาย) เดี๋ยวอ่านที่จะมาเขียนต่อแล้วจะมาเม้นใหม่นะครับ

ว่าแต่ เปิดขายดึกๆไม่กลัวโจรมั่งเหรอ...

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 202.134.119.218 23 กรกฎาคม 2552 13:55:09 น.  

 

ชอบค่ะ ได้ความรู้ดีด้วย
ทำงานเป็นเภสัชร้านยาเหมือนกันค่ะ

แต่ยังไม่มีเงินเปิด

ไว้ขอคำปรึกษาบ้างนะค่ะ

 

โดย: บางส้มเปรี้ยว 23 กรกฎาคม 2552 14:35:46 น.  

 

5555 ตลก "เทปันยากิ" กับ "อานันท์ ปันยารชุน" พี่กุ๊กหนอพี่กุ๊ก

ว่าแต่ "ยาทำแท้ง" นี่มันทำงานยังไงเนี่ย - -* เข้าไปขับเลือดออกมาเฉยๆเลยงี้รึเปล่าหว่า

 

โดย: nanoguy IP: 161.200.31.132 23 กรกฎาคม 2552 16:34:57 น.  

 

555
เห็นด้วยกับหลายๆ ข้อค่ะ โดยเฉพาะเรื่องแตกแบงค์ ที่ร้านลูกค้าชอบซื้อวิตามินซี 5 บาท แล้วให้แบงค์พัน บางวันมีทอนก็โอเค แต่ถ้ามากันหลายๆ คน ก็ลำบากเหมือนกัน

ปล.จขบ เขียนได้สนุกดีค่ะ ว่างๆ มะแวะมาแชร์ประสบการณ์อีกนะคะ

 

โดย: naenae' 23 กรกฎาคม 2552 18:45:21 น.  

 

เขียนได้สนุกดีจัง อ่านไป อมยิ้มไป
ถ้ามีโอกาสไปเชียงใหม่จะแวะไปที่ร้าน ปันยา นะ
... แต่คงต้องนึกให้ดีๆ ว่าจะไปซื้อยาอะไร ถึงจะดูแตกต่างไปจากลูกค้าส่วนใหญ่ จนคุณฟ้าดิน ต้องเอามาอัพไว้ในบล็อก (หวังขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย)

ยังไง ก็ขอให้ต่อจากนี้ ร้านปันยา ขายดี มีกำไร...

 

โดย: eatandotto IP: 202.53.198.82 24 กรกฎาคม 2552 17:29:14 น.  

 

คุณ JJ>
แล้วมาอ่านบ่อยๆ นะครับ ทุกอาทิตย์ยิ่งดี (พูดอย่างกับผมอัพบลอกบ่อย ฮ่าๆๆ)

คุณแวะมาค่ะ>
อย่าเพิ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ หึๆๆ

คุณaomenjoy>
เพลิน พรมแดนหรือเปล่าครับ (มุขนี้ ช่างกล้าเล่น...)

คุณmon>
ขายดีหรือไม่ดีก็ยังอารมณ์ดีอยู่ครับ (ยิ้มทั้งน้ำตา)

คุณตรงทั้งน้าน>
ผมก็เลือกเภสัชมช.ไว้เช่นกันครับ แต่ไม่ติด...
ความจริงคะแนนถึง แต่ดันเอาไปใส่ไว้ลำดับที่หลังๆ เลยติดคณะที่เลือกไว้แรกๆ แทน แอบเสียดาย เกือบจะได้มาอยู่เชียงใหม่ตั้งแต่ยังเอ๊าะๆ หนุ่มๆ หล่อๆ อยู่แล้วเชียว แฮ่ม

คุณหยุดหัวใจไว้ที่เชียงใหม่>
หวังว่าโอกาสนั้นจะมาถึงในเร็ววันนะครับ

คุณแพนด้ามหาภัย>
เดี๋ยวประชาชนมาเห็น เขาจะนึกว่าแอบส่งสินบนให้ตำรวจนะครับ ฮ่าๆๆ

คุณแฟนผมฯ>
แสดงว่าคุณแฟนผมมาไม่ทัน สมัยยุคที่บลอกผมยังรุ่งเรือง ตอนนั้นคอมเมนต์แต่ละ entry ของผมไม่ต่ำกว่า 40 ความเห็น ขออนุญาตโม้ ฮ่าๆๆ (ซึ่งที่เยอะขนาดนั้น เพราะตอนนั้นผมบ้าพลัง ไปเมนต์ให้บลอกของทุกคนทุกวันอย่างบ้าเลือด ต่างจากตอนนี้ ที่เดือนนึงจะไปเม้นต์ให้บลอกคนอื่นสัก 2-3 บลอก...ช่างขี้เกียจจริงๆ)
ปล.ไม่กลัวโจรครับ เพราะเวลาโจรมาเห็นหน้าเจ้าของร้าน อาจนึกว่าเป็นพวกเดียวกัน (มีหน้าตาเป็นอาวุธ)

คุณนางส้มเปรี้ยว>
ได้เลยครับ

คุณnanoguy>
เรื่องยาทำแท้งนี่ ต้องคุยกันหลังไมค์ แหะๆๆ
ส่วนเรื่อง google มีอีกคำที่ขึ้นมาก็คือ คำว่า ปั่นยาดอง ไม่รู้มันไปโยงกับปันยาได้ยังไง...

คุณ naenae>
วิตามินซี 5 บาทยังดี ผมเคยเจอมาซื้อปลาสเตอร์ 0.50 สตางค์แล้วจ่ายด้วยแบงค์พันมาแล้ว ฮือๆๆ

คุณ eatandotto>
มาขอซื้อยาใจสิคับ จำได้แน่นอน (อนุญาตให้ไปอ้วกได้ ฮ่าๆๆ)

 

โดย: ฟ้าดิน 25 กรกฎาคม 2552 5:46:22 น.  

 

ต้องขออภัย ช่วงนี้ ที่ผมห่างหายไปจากบลอกนานพอสมควร เป็นเพราะว่างานยุ่งมาก...



แหะๆๆ เมื่อกี้ผมโม้ครับ
บอกความจริงดีกว่า ที่หายไปเพราะตอนนี้ผม ติด facebook กับ twitter งอมแงมเลยครับ อยากเลิกติดมากๆ ใครรู้วิธีจั่งซี่มันต้องถอน ช่วยบอกกระผมที...

ส่วนใครที่ติด FB กับ twitter พอๆ กับ ผมก็ขอเชิญได้ที่

www.twitter.com/birdwithnolegs
www.facebook.com/birdwithnolegs

ขอฝาก hi5 ร้านปันยาอีกอัน

www.hi5.com/midnightpharmacy

แล้วเจอกันครับ

 

โดย: ฟ้าดิน 25 กรกฎาคม 2552 5:52:00 น.  

 

หวาย... ไอ้ 71 เม้นนั่นมันได้มาจากการแช่ทิ้งไว้เป็นเดือนครับ (บล็อคที่เค้าป๊อบจริงๆครึ่งวันก็ได้แล้ว)

ผมไม่ได้ตั้งใจจะประชดคุณฟ้าดินนะครับ แต่เห็นจากบล็อคที่แล้วหรือบล็อคก่อนหน้าโน้น (สุราสุขสันต์) ที่ผมชอบในเนื้อหาสาระมากๆแต่เหมือนมีเสียงตอบรับน้อย ก็กลัวว่าคุณฟ้าดินจะเซ็งจนเลิกเขียนไปซะก่อน แต่ได้อ่านคำตอบวันนี้ก็สบายใจแล้ว เป็นอันว่าผมห่วงมากไปเอง

มีคนชวนผมไปเล่น Facebook อยู่เหมือนกันครับ แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ว่าเล่นแล้วจะเสพติดเหมือนคุณฟ้าดิน ลำพังเล่นบล็อคกับโหลดบิทนี่ก็จมอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นวันๆแล้ว เดี๋ยวรอให้ผมได้ทำงานอย่างคุณฟ้าดินก่อน จะเล่นมันทุกอย่างเลย

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 222.123.188.235 25 กรกฎาคม 2552 11:12:14 น.  

 

กำไรน่ะเหรอ มองไปรอบๆ ตัวสิครับ ของที่อยู่บนเชลฟ์ทั้งหลายนั่นละครับคือส่วนของกำไร T_T เป็นธรรมดาของร้านค้าปลีกครับ ต้องรออีกสักพักครับจึงจะเห็นกำไรเป็นเม็ดเงินแบบมากๆ ยังไงก็ขอให้กิจการรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

ว่าแต่ชีวิตที่ได้ดูหนัง อ่านหนังสือมากๆ อย่างนี้ก็ดีไปอีกแบบนะครับ

ป.ล. 1 เดี๋ยวปลายๆ ปีต้องไปเชียงใหม่อย่างน้อยๆ ก็ 2 ครั้งแน่ะครับ
ป.ล. 2 ไม่ได้ขายถุงยางเหรอครับ

 

โดย: เอกเช้า IP: 124.122.79.11 26 กรกฎาคม 2552 0:36:16 น.  

 

^
^
คุณเอกจะไปซื้อถุงยางถึงเชียงใหม่เลยเหรอครับ 555++

เข้ามาตามอ่านเรื่องเภสัชแขวนป้าย ได้ความรู้ดีมากครับ ถ้าผมเจอร้านยาลักษณะแบบนี้ในระยองจะรีบบอกแม่ทันทีเลย (แม่ผมทำงานอยู่สสจ.ครับ)

 

โดย: แฟนผมฯ IP: 112.142.209.183 26 กรกฎาคม 2552 15:59:04 น.  

 

บางข้อมูลน่าตกใจ และไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
ชื่อร้าน "ปันยา" น่ารักดีนะคะ ^^

 

โดย: nanida 26 กรกฎาคม 2552 19:07:23 น.  

 

+ เง้ออออ! มาดึกไปหน่อย ไว้ผมค่อยมาเม้นต์แบบละเอียดตามข้ออีกทีนะครับ ... แต่วันนี้ขอมาตกใจก่อนว่า คุณฟ้าดินจบเภสัชรึเนี่ย?!? (ก่อนหน้านี้ผมก็แอบสงสัยว่าทำไมถึงคิดเปิดร้านยา ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง) ... เพราะถ้าไม่บอก ผมยังนึกว่าจบพวกรัฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์ หรืออักษร ไปโน่นอ่ะครับ (อนุมานเอาจากแนวคิดและเนื้อหาในบล็อก)

+ ให้ข้อมูลได้เก๋มากครับ ได้ทั้งความรู้, สาระ และบันเทิงครบเซ็ตเยย ... ว่าแต่ทำไมต้องมี 29 ข้อด้วยอ่ะครับ (เท่าเลขรุ่นตอน ป.ตรี ของผมเลยนะเนี่ย) หรือว่าคิดออกเท่านี้พอดี แหะๆ

 

โดย: บลูยอชท์ 27 กรกฎาคม 2552 1:58:49 น.  

 

อยากเห็นรูปร้านจังคะ

 

โดย: wawa IP: 124.120.119.144 29 กรกฎาคม 2552 4:42:01 น.  

 

แอบถามนิดนึงน้าคะ ขายได้วันละเท่าไรคะ เปิดเวลาไหนคะ แอบอยากรู้นิดนึง

 

โดย: wawa IP: 124.120.119.144 29 กรกฎาคม 2552 4:44:12 น.  

 

ก็กะไว้เหมือนกันนะว่าปัญหา "เภสัชแขวนป้าย" มันจะต้องเป็นอะไรประมาณนี้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผู้ประกอบสัมมาชีพ ทั้งหลาย จะมั่นคงหนักแน่นอยู่ในจรรยาบรรณ และมองข้ามเรื่อง "พาณิชย์" ไปได้ (บ้าง) ซะทีนะ

 

โดย: eatandotto IP: 117.47.197.72 29 กรกฎาคม 2552 21:31:34 น.  

 

คุณแฟนผม + คุณเอกเช้า>
ไม่ต้องกลัวเสียเที่ยวครับ ซื้อเสร็จแล้วเดี๋ยวผมพาไปใช้ต่อเลย (คห.ติดเรต ฮ่าๆๆ)

คุณบลูยอชท์>
พยายามจะให้เป็น 30 ข้ออยู่เหมือนกัน แต่คิดอีกข้อไม่ออก เลยเป็น 29 ข้อห้วนๆ แบบนี้แหละ

คุณ nanida>
ขอบคุณครับ

คุณ wawa>
เรื่องแบบนี้ต้องหลังไมค์ครับ
ดูอีเมลล์ผมได้ที่ profile นะครับ

คุณeatandotto>
หวังพึ่งจรรยาบรรณอย่างเดียวคงไม่ได้ล่ะครับ ก็ต้องอยู่ที่ผู้บริโภคด้วยแหละครับ ว่าจะต่อต้าน ไม่ซื้อยาร้านที่แขวนป้ายด้วยไหม

 

โดย: ฟ้าดิน 29 กรกฎาคม 2552 23:49:14 น.  

 

เขียนเรื่องที่ใกล้ตัวนี่สนุกจริงๆ

 

โดย: grappa IP: 58.9.191.109 31 กรกฎาคม 2552 9:04:23 น.  

 

ขอขำข้อสิบ กับ สิบเจ็ด ดังๆๆๆๆๆๆนะคะ

 

โดย: belle IP: 61.47.16.194 11 สิงหาคม 2552 12:56:34 น.  

 

ได้เลยครับ

 

โดย: ฟ้าดิน 17 สิงหาคม 2552 18:57:31 น.  

 

ผ่านไปเห็นบ่อยๆตั้งแต่เริ่มมาเปิด เห็นเภสัชแล้วแรกๆก็ดูหน้าเหมือนโจรมาขายยาเหรอ พอได้มาอ่านเรื่องในนี้โดยบังเอิญ ก็ได้รู้ว่าเก่งจริงๆสำหรับ เภสัชท่านนี้........ก็เป็นกำลังใจให้อยู่บริการไปนานๆ......อยากเปิดแต่ยังไม่มีทุน

 

โดย: ผ่าน IP: 202.29.60.211 31 สิงหาคม 2552 10:02:12 น.  

 

เพิ่งเห็น group นี้ เรตติ้งดีใช้ได้ ขอให้ขายดิบขายดีเน้อ

 

โดย: calcium_kid 31 สิงหาคม 2552 17:57:42 น.  

 

มันเป็นธรรมดาของชีวิตนะน้องไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ 100%หรอกมีแต่เราต้องทำให้ดีที่สุดพี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเปิดร้านยาเหมือนกันหลังจากที่เป็นเภสัชร้านยาใหญ่ๆ 6ปี ทำงานโรงพยาบาลเอกชน 1 ปี สิ่งที่น้องเขียนมาพี่คิดว่าร้านยาทุกร้านคงจะเคยพบเจอเหมือนๆกัน พี่กำลังหา idea ปรับปรุงร้านอยู่พอดีเลย idea ร้านยาแบบ ART ของน้องโดนใจพี่เข้าเต็มเปาเลย พี่ขอแบ่งปันไปปรับปรุงร้านบ้างนะ สู้ๆสู้ๆครับพี่น้องเภสัช ถ้าอยากมีรายได้เสริมพี่แนะนำได้นะ รับรองงานถูกกฏหมาย ถ้าสนใจ เมลพี่ nukvomika@hotmail.com

 

โดย: พี่กอล์ฟ rx'33 CMU IP: 118.172.2.119 7 กันยายน 2552 16:51:13 น.  

 

อ่านแล้วชอบค่ะ อ่านแล้วเหมือนสะท้อนเห็นตัวเอง เพิ่งเปิดร้านได้ 9 เดือนที่หัวหิน สถานการณ์ไม่แตกต่าง แต่ก็เป็นกำลังใจให้นะคะ สิ่งนึงที่เราต่างก็รู้ดีคือ สิ่งที่เราได้รับมันมากกว่าคำว่ากำไรแต่มันคือกำไรชีวิต

 

โดย: nui IP: 117.47.36.28 16 กันยายน 2552 23:59:32 น.  

 

แวะมาทักทายค่ะ
อ่านไปยิ้มไป
เขียนหนังสือได้สนุกจังเลยค่ะ

มาแอดเฟรนส์ด้วยล่ะ
ว่าจะแอดตั้งแต่ปีที่แล้ว...
ก็มัวแต่ว่าจะ...อยู่จนถึงวันนี้ล่ะค่ะ

ปลา่ยปีนี้คงไ้ด้ทักทายกันนะคะั
อิอิอิ...

 

โดย: คนที่ช่วยตั้งชื่อร้านยา (สเลเต ) 8 ตุลาคม 2552 10:12:06 น.  

 

ชอบครับอ่านสนุกดี
ผมเรียนเภสัชอยู่ครับ
พอดีจะเข้ามาหาหัวข้อทำงานเกี่ยวกับร้านยา ได้อะไรไปมากมาย (ความสนุกนะ)

 

โดย: Littlechild IP: 172.168.1.217, 180.183.144.175 7 ธันวาคม 2552 2:32:28 น.  

 

ที่มิลานมีร้านยาแทบทุกหัวมุมถนน แถมป้ายจะใหญ่โต มีไฟกระพริบสีเขียว เหมือนกันแทบทุกร้าน

ร้านยาที่นี่หาได้ง่ายกว่า 7-11 เพราะจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็น 7-11 ที่นี่เลย

 

โดย: Marquez 23 ธันวาคม 2552 4:10:33 น.  

 

ผมกะัลังจะเปิดร้านที่หาดใหญ่
คิดชื่อร้านว่า ปันยา เหมือนกัน
เวงกำ ลองหาดูในเน็ต ดันมีซะนี่ บังเอิญจิงๆ แล้วแบบนี้ผมจะใช้ชื่อนี้ได้ปะ เหอๆๆๆ

 

โดย: kakashi IP: 117.47.179.4 15 มกราคม 2553 12:36:52 น.  

 

อ่านสนุก เพลินมากๆค่ะ ขอให้ขายดีๆนะคะ จะเป้นกำลังใจให้ คิดดี ทำดีแค่นี้ก้อถือเป็นกำไรชีวิตแล้ว

 

โดย: เภสัช มอ ชอ IP: 180.180.61.119 29 มกราคม 2553 21:10:51 น.  

 

อ่านสนุกดีค่ะ
อ่านไปขำไป
ขำไปกลิ้งไป
(เว่อเนอะ)
ถ้าเกิดได้ไปแถวนั้(ไม่รู้เมื่อไหร่)
จะแวะไปซื้อปีโป้
ว่าแต่มีขายรึเปล่า

 

โดย: แอ้ (pan_aeraymond ) 23 กุมภาพันธ์ 2553 15:56:47 น.  

 

ว้าวๆๆ...แวะมาเจอด้วยไม่ได้ตั้งตัว

สนุกดีค่ะพี่ ^^*

เขียนเรื่องใกล้ตัวรอบหน้าอาจต้องเล่าถึงนศ.ฝึกงานเนาะว่าไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้างรึป่าวเอ่ย??

เจอกันใน FB ค่ะ...

 

โดย: MyMind IP: 202.28.68.62 12 มิถุนายน 2553 21:41:59 น.  

 

ร้านชื่อเดียวกันเลยค่ะ...แต่นี่อยูสุราดเปิดมาปีนึงแล้วค่ะ...ทุกข้อตรงใจเลย

 

โดย: คนสุราด IP: 223.205.209.183 6 มีนาคม 2554 22:06:42 น.  

 

เขียนได้...อ่านสนุกดีครับพี่...รับผู้แทนยามั้ยครับ...ผมจะไปเปิดบัญชีครับ...ขอบคุณมากครับ...

 

โดย: คนแถวนี้... IP: 180.183.157.31 12 กรกฎาคม 2555 11:07:57 น.  

 

ร้านอยู่ท่ี่ไหนในเชียงใหม่คะ ว่างจะไปอุดหนุน

ชื่อน่ารักมาก

 

โดย: คุณแม่พันไมล์ IP: 49.49.6.232 12 กันยายน 2555 21:50:14 น.  

 

สนุกมากครับ อ่านแล้วได้อารมณ์เหมือนกำลังดู tv หรือหนังสั้น แบะได้รู้อีกมุมหนึ่งของร้านยา ผมเป็น detail ยา ได้พบเจอผู้คนในแวดวงการแพทย์ก็บ่อย detail มี่เป็นเภสัชก็เยอะ เห็นด้วยกับเรื่องการแขวนป้าย ซึ่งไม่ควรจะทำ ยังไงเป็นกำลังใจให้นะครับผม

ปล. ผมไม่ได้จบเภสัช แต่โชคดีที่มีโอกาสได้ทำงานตรงนี้ และผมสัญญาว่าจะตั้งอยู่ในจรรยาบรรณของอาชีพนี้ครับ
ขอบคุณครับ

 

โดย: คนหาดใหญ่ IP: 113.53.47.231 13 กันยายน 2555 21:19:37 น.  

 

หนูกำลังจะเรียนจบ pharmD ตอนนี้ปี 6แล้วค่ะ แพลนว่าจะเปิดร้านยา แวะมาอ่านดู ก็ขำดีคะ

เทปันยากิฬฬฬอานัน ปันยารชุน
ฮ่าๆๆๆๆๆ

 

โดย: badzbenz IP: 101.51.148.218 12 พฤศจิกายน 2555 4:24:35 น.  

 

เห็นด้วยหลายข้อเลย
เขียนได้สนุกดี

 

โดย: hanger IP: 171.5.151.136 25 พฤศจิกายน 2555 15:50:05 น.  

 

ทำไมลงท้ายด้วยครับทุกคำแต่รูปที่มาโพสดันเป็นผู้หญิง หรือว่านายเป็น!!!

 

โดย: เด็กเหลือขอ IP: 110.77.227.189 25 พฤศจิกายน 2555 23:58:49 น.  

 

10 ยามหัศจรรย์ อมตะขาบ อีโน 28a ทิฟฟี่ ดีคอลเจน กษัยเส้น ยากวาด ผงพิเศษ ยาขม อมเสือแผ่น

หุหุ

 

โดย: - - IP: 58.11.255.106 24 ธันวาคม 2555 17:28:48 น.  

 

ธุรกิจร้านยาเป็นอะไรที่แปลกกว่าธุรกิจอื่น
1. แข่งกันลดราคา ต้นทุนจะปรับขึ้นแค่ไหน กรูไม่สน เพราะถ้าไม่ลดราคากลัวลูกค้าหนี ไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง พวกอีโก้สูงหน่อยก็ อ้างว่าเพื่อคุณธรรมแก่ประชาชนตาดำๆ ใครขายตามราคาป้ายข้างกล่องหรือลดราคาน้อยๆ ก็พวกเอาเปรียบผู้บริโภค แต่....หมอเปิดคลินิก ไม่เคยมีคลินิกไหนตัดราคากันเลย จะบวกเกินราคาป้ายไปอีก ด้วยซ้ำ
2. บ.original และ บ.local mademที่ ดังๆทั้งหลายขยัน...ขึ้นราคาส่งเกือบทุก 3เดือน ทั้งที่ไม่ได้มีต้นทุนที่แท้จริงสูงขนาดนั้น เช่น Counter pain 30 Gm ส่ง 36 บ ราคาป้าย 44 บ ต้นทุนการผลิตจริงเท่าไร จะอ้างเรื่องทุนรีเสริชก็คงฟังไม่ขึ้น ทุนนะไม่น่าเกิน 5 บ/หลอดด้วยซ้ำ หรือพวกยาคุมทั้งหลาย ตั้งราคาส่งแพงเกินจริง เรียกว่า งานนี้ขายแล้ว บ.ผู้ผลิตรวยลูกเดียว ส่วนคนกลาง คือพวกร้านยา ก็ยังบ้าจี้ตัดราคา เพราะกลัวขายกันไม่ออกอีก กำไรก็คงน้อยไปอีก.. ทนกันต่อไป
3. มีชมรม องค์กรซ้ำซ้อนเยอะแยะ สมาคมร้านยา ชมรมร้านยา ทำอะไรได้บ้างมีอาจต่อรองอะไรบ้าง นอกจากจะจัดกินเลี้ยงโต๊ะจีน จับของรางวัลไปในแต่ละปี
นี่แหละธุรกิจร้านยาในประเทศนี้ ............ คราวนี้มาดูธุรกิจร้านยาในประเทศที่เขาพัฒนาแล้วบ้าง เช่น ประเทศเดนมาร์ค
1.ราคายาถุกกำหนดให้ขายเท่ากันทั่ว ประเทศ เพราะ มีองค์การที่เข้มแข็งต่อรองราคาส่งกับ บ.ผู้ผลิต
2.จำนวนและความหนาแน่นของร้านยามีความเหมาะสมแปรตามจำนวนประชากรแต่ละพื้นที่ และมีการรักษาระยะห่างแต่ร้าน ไม่ใช่เปิดติดกันเป็นดอกเห็ด หรือรูเล็กน้อยๆมั่วไปหมด ใครพอใจตรงไหนก็เปิด
3.คนไข้ต้องนำใบสั่งยามาซื้อที่ร้านเท่านั้น และราคาเดียวกันหมด ส่วนค่าปรึกษาก็มี pharmacist fee แต่.....ของประเทศไทย อยากจะซื้อทิฟฟี่ สักแผง ก็มาบอกอาการซะยืดยาวให้เสียเวลาซักอาการอยู่นาน พอจัดเสร็จ บอกมีทิฟฟี่ไหม จะซื้อทิฟฟี่แผงเดียวก็ขาย เภสัชจะพูดอะไรต่อไปได้ ถ้ายังคิดกันว่า ลูกค้าคือ พระเจ้า ...
4.มีการควบคุมการขยายตัวของร้านยาไม่ให้เกินความจำเป็น ถ้าบริเวณไหนพท.เต็มแล้วก็จะไม่อนุญาติให้เปิดร้านขึ้นใหม่ จนกว่าร้านเดิมเลิกกิจการ จึงจะมีพท.ว่าง แต่ประเทศไทย ไม่มีข้อจำกัดตรงนี้ ทำให้มีร้านมาก จนต้องง้อคนซื้อ

 

โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.251.68 5 มกราคม 2556 20:51:44 น.  

 

เพิ่มยามหัศจรรย์
พรเป่าคอ ยานัตถุ์ ไพรานา เสือ 11 ตัว

1. ปกติคนที่ลดราคา ตัดราคา คือคนที่เปิดสงครามราคาเข้าสู่ red ocean ยอมเฉือนเนื้อตัวเอง ยิ่งเฉือนมาก ยิ่งเจ็บมาก เลือดไหลไม่หยุด คนที่อยู่รอดคือคนที่มี
-สายป่านยาว ทุนหนา เงินบนหน้าตักมีเยอะ อดทนรอได้หลายๆปี สี่ปี เจ็ดปี สิบปี
- เปิดมานาน ตึกของตัวเอง มีลูกค้าเก่าเยอะ เป็นร้านขายส่ง

ร้านค้าที่ต้องการจับกลุ่มนี้ คือกำลังจับกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่า price sensitive (ลูกค้าที่ไม่มีวันซื่อสัตย์ ยึดติดกับร้านใดๆ) ถ้าคุณไม่มีสา่ยป่านยาวๆ ทุนหนาๆ หรือชื่อเสียงแบบโลตัส บิ๊กซี แล้วละก็ ร รอ รอ วันเจ๊ง ปิดกิจการได้เลย

2.ยาบางตัว เช่น counterpain tiffy decolgen ถือว่าโฆษณามากๆ ให้ลูกค้ามาเรียก ร้านยาก็ขยันตัดราคา ทางที่ดีคือ เลิกขายยาตัวที่เราขายแล้วทุกข์ใจ เก็บไว้ให้บริษัทขายเอง (ก่อนจะทำตามขอให้แน่ใจก่อนว่า ร้านคุณ ตัวคุณพร้อมแล้ว) ถ้าเงินเดือนเภสัช เฉลี่ยคือสามหมื่น เท่ากับต้องขาย counterpain 30g จำนวน5000 หลอด หรือขาย ทิฟฟี่ ดีคอลเจน 15000 แผงต่อเดือน ขณะที่แพทย์ เงินสามหมื่น เท่ากับการตรวจคนไข้สักร้อยคน อะไรดูเป็นไปได้มากกว่ากัน

3.ลูกค้าทุกคนไม่ใช่พระเจ้า ต้องเป็นลูกค้าที่ดี มีกำไรอย่างพอเพียง = พระเจ้า

4.สินค้าหรือบริการใดๆ ที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้ตามต้นทุน เงินเฟ้อ แสดงว่าไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีความสำคัญ จะมีหรือไม่มีกิจการ ร้านของคุณบนโลกใบนี้ ลูกค้าเค้าก็ไม่รู้สึกอะไร ไปซื้อไปหาที่อื่นแทนก็ได้

เภสัชกรเอง ใช่ว่าเก่งกาจเรื่องยา ตำราเรียน แล้วจะค้าขายเก่ง การค้าขายเป็นศิลปะ ไม่ใช่หลักการทางวิทยาศาสตร์
การเปิดร้านยา คือ การค้าขาย+วิชาการ+วิชาชีพ

การที่จะให้คนไข้นำใบสั่งยาจากแพทย์คลีนิค รพเอกชน มาซื้อยาที่ร้านขายยา นั้น อีก 100 ปีก็ยังไม่เกิด เป็นเรื่องยากพอๆกับที่จะให้เภสัชกรในประเทศทุกคนนัดหยุดงาน แล้วมารวมตัวกันที่กระทรวง เพื่อประท้วงเรื่องนี้

 

โดย: - - IP: 124.120.224.27 7 มกราคม 2556 20:59:30 น.  

 

1.แต่ที่เห็นมาก็ยอมลดลงราคาตามใจคนซื้อเกือบทุกร้าน เพราะกลัวขายไม่ออกกัน กลัวคนซื้อด่าว่าขายแพงบ้างละเดี๋ยวเสียภาพลักษณ์ของร้าน จริงๆราคาป้ายมีเท่าไรก็ขายไปตามนั้นก็จบให้มันเท่าทุกร้าน ไม่เห็นร่วมมือกันยืน ราคาหรือ ขึ้นราคาเหมือนธุรกิจอื่นๆ มี แต่บ้าจี้ลดราคา โดยเฉพาะยาคุม ที่บ.ผู้ผลิตขึ้นเอาๆ แต่คนขายขึ้นปุ๊ป อธิบายไป คนซื้อก็ไม่สน กรูเคยซื้อราคานี้จะทำไม แล้วสะบัดตรูดเดินออก..
จะทุนหนา มีตึกเป็นของตัวเอง แล้วมุ่งแต่ตัดราคา ก็เป็นการกระทำดูไร้สาระอยู่ดี ลงทุนก็สูง Margin ก็ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไปลงทุนค้าขายอย่างอื่นยังดีกำไรกว่าเยอะ

2.ยาพวกโฆษณาเยอะ ที่คุณกล่าวมา ก็เป็น เชิงทษฎีที่ไม่มีคนยอมทำ มันไม่มีใครทำได้จริงสักร้าน (ยกเว้น อย่าเปิดร้านขายยา) ทำไมร้านยาทุกร้านไม่ร่วมมือกันไม่ขายของพวกนี้ ก็จะมีอำนาจต่อรอง ?? ...ก็ทำไม่ได้อีก เพราะมีคน บางจำพวกชอบเก็บกินเศษเล็กเศษน้อยแบบนี้ ส่วนพวกชมรมอาม๊าที่จัดทั้งทั้งหลาย เคยทำไรได้บ้างนอกจากจัดเลี้ยง..ประจำปี แลัวก็กล่าวสุนทรพจน์สดุดีใครต่อใคร บนเวที พร้อม บ.ข้ามชาติที่เป็นสปอนเซอร์จัดงาน

3.เห็นด้วย

4.ถูกต้อง

5.อีก 1000 ปีก็ยังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับระบบแบบต่างประเทศ ตราบใดที่อำนาจต่อรองยังคงเป็นของแพทย์อย่างทุกวันนี้ และผู้ที่ที่มีอำนาจในกระทรวงสาธารณสุขยังคงเมินเฉย ต่อเรื่องพวกนี้(แต่เห็นเบิกงบเดินไปดูงานทุกปี กลับมาก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง นอกจากเขียนรายงานเพื่อเบิกค่าเดินทาง)

 

โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.250.107 9 มกราคม 2556 17:50:05 น.  

 

คำแนะนำ ถ้ายังอยู่ในประเทศนี้ (ความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน กันเอาเอง)
1..ถ้าอยากเรียนนานๆ 6 ปีไปเรียนสาขาอื่นเถอะ จบมารายได้ดีกว่ากันเยอะทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น

2.เบื่อปัญหาตัดราคา ลูกค้างี่เง่า ต้องอยู่โยงเฝ้าร้าน เหมือนติดคุกกลายๆ อย่าเลือกเปิดร้าน ..ไปทำงานกับ บ.เอกชนจะดีกว่า

3.ถ้าคิดว่าแค่นี้คุ้มค่าแล้วกับการลงทุนเรียนมา5- 6ปี อนาคตจะมีกิจการเป็นของตนเอง มีรายได้พอค่ากับข้าว ไปวันๆ จงเลือก เรียนเภสัชแล้วมาเปิดร้าน

4.ถ้าคิดว่าอยากมีอาชีพที่ รายได้เพิ่มไปเรื่อยๆมั่นคง และดูทิศทางการขยายตัวของร้านยาข้ามชาติที่เริ่มรุกคืบเข้ามาไล่บี้ร้านเล็ก เหมือนครั้งห้างค้าปลีกใหญ่ ไล่บี้ร้านโชว์ห่วย ทุกขณะ ..... จงอย่าเรียนเภสัชเด็ดขาด .เพราะกว่าคุณจะเรียนจบ คงจะไม่เหลือพท.ให้คุณยืนบนสนามของร้านขายยาแล้ว

4.ถ้าคิดว่า ฉันรักวิชานี้ ฉันมีอุดมการณ์ แบบอุดมคติ มีความพอเพียง จงเลือกไปเถอะเพื่อความสุขของตัวคุณเอง อย่างน้อยก็ได้สัมผัสจินตนาการในช่วงที่คุณเรียนในรั้วมหาลัย

 

โดย: เบิกฟ้า IP: 110.49.250.107 9 มกราคม 2556 17:53:31 น.  

 

อ่านแล้วสนุกดีครับ

 

โดย: อุดม IP: 183.89.251.248 30 เมษายน 2556 10:28:17 น.  

 

ขอซื้อยาแก้อกหัก มีขายบ้าง ป่ะ 555555

 

โดย: ชอบอ่ะ IP: 27.55.11.143 4 พฤษภาคม 2556 20:17:58 น.  

 

ได้รับความรู้มากเป็นเภสัชกรที่น่ารักอารมณ์ดี ขออนิสงส์จากการให้ความรู้เป็นธรรมทานขอให้ร้านปันยามีแต่เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปนะคะ/คุณแม่ว่าที่เภสัชกร

 

โดย: Penninowz IP: 115.67.5.226 9 ตุลาคม 2556 5:07:36 น.  

 

ชอบคะ ร้านอยู่แถวบ้านพี่ตอนกลับบ้านต้องขับรถผ่านทุกวัน เป็นกำลังใจให้นะคะ

 

โดย: เขียวมะกอก IP: 223.204.66.84 13 ตุลาคม 2557 10:18:52 น.  

 

พี่คงยังไม่มีเมียใช่ไหมหน้าโหดๆเก่งๆอย่างนี้

 

โดย: f IP: 183.88.23.184 27 พฤศจิกายน 2557 9:31:10 น.  

 

ชอบข้อเขียนคุณมาก สนุก สมจริง ชิงพื้นที่ความสนใจ ได้สาระ
เห็นเฟซ ปันยาฟาร์มาซี ที่เมืองท่องเที่ยว เป็นแฟรนไชส์คุณหรือเปล่าคะ

 

โดย: ดร.เภสัช IP: 101.109.220.219 6 กรกฎาคม 2558 14:48:44 น.  

 

เขียนได้ดีมากครับ ขอชื่นชม ส่วนที่พี่เกี่ยวข้องพี่รับจะไปดำเนินการครับ

 

โดย: พี่โอ่ง IP: 1.1.172.99 28 กันยายน 2559 9:30:17 น.  

 

กำลังจะเปิดร้านยา แล้วคิดชื่อร้านนี้พอดีเลยค่ะ 555 แต่คนละจังหวัดนะคะ

 

โดย: Boom IP: 49.229.53.176 21 มิถุนายน 2561 18:22:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.