เป็นที่เข้าใจในหมู่ชาวสวนยางในอดีตว่า หากจะใช้สารเคมีเร่งน้ำยางจะต้องใช้กับต้นยางพาราที่จะโค่นภายใน 1 - 2 ปี แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม เมื่อสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร มีผลงานวิจัยที่ยืนยันออกมาแล้วว่า เกษตรกรชาวสวนยางสามารถใช้สารเคมีเร่งน้ำยางได้ในทุกช่วงของการให้ผลผลิต ตั้งแต่เริ่มเปิดกรีดจนกระทั่งใกล้จะโค่นทิ้ง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ความเหมาะสมและพันธุ์ยางด้วย นางพิศมัย จันทุมา นักวิชาการเกษตร ระดับชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เผยว่า ปัจจุบันสารเคมีเร่งน้ำยางที่เกษตรกรชาวสวนยางนิยมใช้ มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด เช่น อีเทรล อีเท็กซ์ ซีฟ่า โปรเทล เป็นต้น ซึ่งจะให้สารออกฤทธิ์ที่ชื่อว่าเอทธิฟอน โดยใช้ในอัตราความเข้มข้น 2.5% ด้วยการผสมน้ำ แล้วใช้ทาหรือหยดลงบนรอยกรีดทุกๆ สองเดือน สามารถทำให้ได้รับผลผลิตเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเดิม 30% ซึ่งวิธีการนี้สามารถใช้ได้กับต้นยางพาราที่อายุยังน้อย ตั้งแต่เริ่มเปิดกรีดไปจนกว่าจะโค่นทิ้ง ในส่วนของข้อดีของการใช้สารเร่งน้ำยางจะช่วยย่นระยะเวลาการกรีดลง ปกติจะกรีดทุกวัน ก็จะเปลี่ยนมาเป็นวันเว้นวันหรือกรีดวันเว้นสองวัน แต่ได้ปริมาณน้ำยางเท่าเดิม เจ้าของสวนจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้ แล้วก็ไม่มีผลกระทบต่อต้นยางพารา หากทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี ซึ่งขณะนี้วิธีดังกล่าวก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย สำหรับอีกรูปแบบ เป็นการใช้แก๊สเอทธิลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนพืชที่อยู่ในรูปของแก๊ส ซึ่งเหมาะกับต้นยางพาราอายุมากหรือใกล้จะโค่นทิ้ง เป็นการเพิ่มฮอร์โมนหรือแก๊สเอทธิลีน ความเข้มข้น 68 - 99% เข้าสู่เปลือกยางและท่อน้ำยาง โดยจะใช้ร่วมกับอุปกรณ์ให้ฮอร์โมนหรือแก๊ส ในปัจจุบันอุปกรณ์การให้ฮอร์โมน มีอยู่หลายแบบ เช่น RRIMFLOW (ริมโฟลว์) AGROBASE (อโกรเบส) และ LET I (เลท ไอ) เป็นต้น แต่โดยหลักการแล้วจะเหมือนกัน คือ จะมีการติดตั้งอุปกรณ์ให้ฮอร์โมนหรือแก๊สไว้ใกล้ๆ รอยกรีด และมีการอัดฮอร์โมนเข้าสู่อุปกรณ์นี้ 6 - 15 วันต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ที่ติดตั้งดังกล่าวด้วย ส่วนการกรีดนั้นจะใช้รอยกรีดสั้น มีความยาว 1/8 ของลำต้นหรือประมาณ 4 นิ้ว โดยกรีดวันเว้นสองวันหรือเว้น 48 - 72 ชั่วโมง เพื่อให้ต้นยางสามารถสร้างน้ำยางมาทดแทนได้ทัน โดยวิธีการใช้แก๊สนั้นจะทำให้น้ำยางไหลนานประมาณ 13 - 15 ชั่วโมง ทำให้ได้ผลผลิตน้ำยางเพิ่มขึ้น แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีนอกจากจะทำให้ผลผลิตลดลงแล้วยังเป็นอันตรายกับต้นยางได้ และยังมีผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำยาง ได้แก่ ปริมาณเนื้อยางแห้งลดลง เป็นต้น สำหรับรูปแบบการเร่งน้ำยางด้วยวิธีการใช้แก๊สนั้น จะไม่แนะนำให้เกษตรกรใช้ โดยเฉพาะต้นยางพาราที่อายุยังน้อย หรือเริ่มเปิดกรีด เพราะจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวนี้จะเป็นการดึงน้ำจากส่วนต่างๆ ของลำต้นมาใช้มากเกินไป จะทำให้เปลือกแตกและแห้ง ไม่สามารถทำการกรีดต่อไปได้ บางครั้งอาจถึงขั้นต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งถาวรในที่สุดทำให้สูญเสียโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตน้ำยาง เพราะวิธีการนี้จะเหมาะสำหรับต้นยางพาราที่มีอายุมากหรือใกล้จะโค่นทิ้งเท่านั้น รายละเอียดอื่นๆ ยังมีอีก หากเกษตรกรที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา โทร. 038 136 225 - 6 ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 |
แต่ยังไม่เคยใช้สารเร่งน้ำยางเลย หุหุ
ไม่แน่ใจว่าหากใช้สารเร่งน้ำยางไปแล้ว
จะทำให้อายุในการกรีดยางลดน้อยลงไปหรือป่าว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ
เด่วจะเอาข้อมูลนี้ไปให้พี่สาวดูว่าสนใจป่าว แห่ะๆ