Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
30 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
ทำไมพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงดังๆ หลายๆ องค์ จึงมีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกัน





ทำไมพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงดังๆ หลายๆ องค์ จึงมีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่เป็นรูปปั้นของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน บางทีมีคนกล่าวว่าพระพุทธรูปกินสินบน เพราะอยากได้อะไรต้องบนบานศาลกล่าว จึงจะสำเร็จ อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหลือแต่รูปปั้นจะช่วยได้จริงหรือ?


คำตอบ: พวกเราทั้งพระภิกษุและฆราวาสหลายท่าน ยังมีความเข้าใจไขว้เขวอยู่มากในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธรูป

เอาอย่างนี้ก่อน อย่าเพิ่งพูดไปถึงเรื่องการบนบานศาลกล่าวอะไรเลย อยากฝากข้อคิดเอาไว้เรื่องกราบพระ พวกเราจำนวนพันที่มานั่งอยู่ที่นี่ ถ้าจะแบ่งประเภทของผู้ที่กราบพระพุทธรูป พระธรรมกายองค์นี้แหละ เรากราบพร้อมๆ กัน เป็นจำนวนพันคน แต่ผลที่แต่ละคนได้รับไม่เหมือนกัน สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1. ประเภทยิ่งกราบยิ่งฉลาด

2. ประเภทยิ่งกราบยิ่งเมื่อย

3. ประเภทบางคนยิ่งกราบยิ่งโง่

ประเภทยิ่งกราบยิ่งฉลาด คนพวกนี้จะคิดก่อนกราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุณธรรมความดีอะไร ฉันจึงต้องกราบ อ๋อ...เมื่อสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เมื่อกว่า 2500 ปีก่อนโน้น พระองค์ทรงมีพระปัญญาธิคุณเป็นเลิศเลย พูดภาษาชาวบ้านว่า ทรงเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุด ในยุคสมัยที่มนุษย์จะสามารถฉลาดได้ จึงได้ตรัสรู้ธรรม ฉะนั้นเราจะกราบพระปัญญาธิคุณของพระองค์

กราบแล้วนึกอย่างไร? ก็นึกว่านับแต่นี้ไปเราจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะทางธรรมจะลงมือปฏิบัติจริงให้รู้ ให้เห็นธรรมะ สร้างปัญญาตามพระองค์ อย่างนี้กราบครั้งหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาส่วนหนึ่ง

พอจะกราบครั้งที่ 2 ก็คิดว่าพระองค์ทรงมีความดีอะไรอีก อ๋อ..ทรงมีพระกรุณาธิคุณเป็นเยี่ยม ตรัสรู้แล้วไม่ทรงหวงวิชา ยอมเหนื่อยสั่งสอนชาวโลกอยู่ถึง 45 ปี แล้วยังสอนวิธีถ่ายทอดพระศาสนามาจนกระทั่งถึงพวกเรา พระองค์ทรงมีพระกรุณาธิคุณอย่างนี้จะไปหาได้จากที่ไหน กราบครั้งที่ 2 ก็ฉลาดเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ก่อนจะกราบครั้งที่ 3 ก็คิดอีกว่า พระองค์ทรงมีความดีอะไรอีก อ้อ..ทรงมีพระบริสุทธิคุณเป็นเยี่ยม จะหาใครๆ ที่มีความบริสุทธิ์เสมอเหมือนพระองค์ไม่มีเลย เมื่อตรัสรู้แล้วไม่ทรงคิดร้าย พูดร้าย หรือทำร้ายใครเลย มีแต่ทรงคิดดี พูดดี ทำดีตลอด มิหนำซ้ำยังทรงบัญญัติศีลเอาไว้เพื่อให้พวกเราได้ปฏิบัติ และมีความบริสุทธิ์ตาม เพราะฉะนั้นพอจะกราบพระก็เตือนตัวเองด้วยว่า นับแต่นี้ไปเราจะต้องรักษาศีลให้เยี่ยมเลย แล้วก็ตั้งใจกราบ

กราบอย่างนี้เรียกว่ายิ่งกราบยิ่งฉลาด ผลบุญจากการกราบอย่างนี้ จะเตือนตัวเราให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป มรรคผลนิพพานก็คงไม่ไกลเราแล้ว

ประเภทที่ 2 ยิ่งกราบยิ่งเมื่อย พวกนี้ไม่เคยศึกษา ไม่เคยคิดพิจารณาอะไรทั้งนั้น เห็นเขากราบ ฉันก็กราบบ้าง กราบอย่างนี้ได้อะไรบ้าง ก็ได้แต่ความเมื่อย เพราะฉะนั้นคนฉลาดต้องศึกษาด้วยว่ากราบพระทำไม?

ประเภทที่ 3 ยิ่งกราบยิ่งโง่ พวกนี้พอจะกราบพระปุ๊บเขาก็นึกเหมือนกัน แต่นึกว่า “หลวงพ่อ ตอนนี้ก็ปลายเดือนแล้วขอเลข 2 ตัวเถอะ เงินมันขาดกระเป๋า” เขาขอเลขท้าย 2 ตัว ไปแทงหวง ซึ่งจัดเป็นการพนัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจัดการพนันว่าเป็นอบายมุข อบายมุข แปลว่า ทางนำไปสู่ความฉิบหาย ฉะนั้นคนที่พอ กราบพระแล้วขอเลขท้าย 2 ตัว ก็เท่ากับบอกว่า หลวงพ่อขอให้ฉันฉิบหายเร็วๆ นะ อย่างนี้เรียกว่ายิ่งกราบยิ่งโง่

พวกเราชาวพุทธ ถ้าจะกราบพระ ขอให้กราบแบบประเภทที่ 1 คือ ยิ่งกราบยิ่งฉลาดเพิ่มมากขึ้นนะ

ส่วนการที่คนเราไปบนบานศาลกล่าวกัน ไปกราบพระตามที่ต่างๆ กัน แล้วได้ผลตามที่เขาบนบานศาลกล่าวบ้าง ไม่ได้บ้างก็มี คนที่ได้นั้นความจริงเขาได้เพราะอะไร

เขาได้เพราะบุญที่ทำไว้ในอดีตถึงคราวจะให้ผล ไม่ใช่เพราะพระพุทธรูปองค์นั้นองค์นี้ให้ บุญของเขามี อุปมาเหมือนฝนที่ตกจากฟ้า เราเป็นเจ้าของโอ่งน้ำ พอกราบพระ ใจก็เปิดกว้าง เหมือนเปิดฝาโอ่ง น้ำฝน คือ บุญที่เราได้ทำไว้แล้ว ก็ถึงแก่เราเต็มร้อย

ส่วนคนที่ไม่ได้ผล ก็เพราะว่าไม่เคยทำบุญทำทานเอาไว้เลย แต่ว่าจะเอาผลของบุญ จะเป็นไปได้อย่างไร ธรรมดาแล้วคนปลูกถั่วก็ได้กินถั่ว ปลูกงาก็ได้งานะ เพราะพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน พระพุทธรูปย่อมจะต้องศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่ที่ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็คือตัวเรานี่แหละ เรายังไม่ได้ตั้งใจละชั่ว ประพฤติชอบทำความดี กลั่นใจให้ผ่องใส ตามที่พระองค์ตรัสสอน เราจึงต้องมาเกิด มาทำมาหากินจนตัวเป็นเกลียวอย่างนี้

เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ไปรักษาศีลให้เยี่ยม นั่งสมาธิ(Meditation)ให้ตัวตั้งปัญญาทางธรรมก็สั่งสมกันเข้าไป ถ้าอย่างนี้พระพุทธรูปซึ่งท่านศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว จะยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น

ส่วนตัวเราถ้าทำตามอย่างที่ว่านี้ สั่งสมบุญบารมีมากเข้าๆ ตัวเราเองก็ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา คราวนี้คิดจะทำอะไรก็สำเร็จ แล้วตอนนั้นก็ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวขอใครอีก

ที่สำคัญขอเตือนไว้ว่าไม่ควรไปพูด ล่วงเกินพระพุทธรูปว่ากินสินบน เท่ากับแกว่งปากหาบาปแท้ๆ นะลูกนะ



พระธรรมเทศนาพระภาวนาวิริยคุณ


Create Date : 30 มกราคม 2555
Last Update : 30 มกราคม 2555 18:44:46 น. 1 comments
Counter : 2358 Pageviews.

 


โดย: amulet108 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:3:05:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อุ่นอาวรณ์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.