* ดังเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง พระภิกษุรูปนี้มีบุญที่ได้เกิดร่วมยุคสมัยเดียวกับพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมวินัย มีศีลบริสุทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์ อยู่ในวัดก็ช่วยงานวัด ปัดกวาดลานวัด มีชีวิตอยู่ใต้ร่มเงาบวรพระพุทธศาสนา วันหนึ่ง ท่านได้ออกไปทำธุระนอกวัด เมื่อกลับมาก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เดินทางมาแต่ไกลเหงื่อก็โทรมกาย กลับเข้าวัดก็ตรงไปที่วิหาร คิดว่าจะไปพักให้หายเหนื่อย ก็เอนกายลงนอนบนอาสน์สงฆ์ ที่ตนเองเคยปัดกวาดเช็ดถูอยู่เป็นประจำ จึงมิได้คิดอะไรมากเพราะคุ้นเคยกับสถานที่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากมาเหนื่อยๆ พอเอนหลังลงก็ผลอยหลับไป เหงื่อที่ไหลเยิ้มก็เปรอะเปื้อนอาสน์สงฆ์ ครั้นตื่นขึ้นก็ไม่ได้ทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ด้วยกรรมเพียงเท่านั้น โดยที่ตัวไม่คิดว่าจะเป็นกรรม แต่กลับมีผลต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำให้ในภพชาตินั้น แม้ท่านจะเพียรพยายามปฏิบัติธรรมเพียงไรก็ไม่ได้บรรลุธรรม ในขณะเดียวกัน สาธุชนทั่วไปที่มาวัดเมื่อได้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ต่างก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันจำนวนมาก แต่ตัวท่านอยู่วัดแท้ๆ เป็นพระผู้ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยกลับไม่มีธรรมะอะไร แม้คุณวิเศษเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ได้บรรลุ จึงหงุดหงิดขัดเคืองตนเอง ทั้งๆ ที่อุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่
ที่น่าสนใจคือ เมื่อละโลกไปแล้วไปบังเกิดเป็นยักษ์ และเป็นยักษ์ชั้นต่ำอาศัยอยู่ตามกองขยะใกล้กับประตูนอกหมู่บ้านคยา ซึ่งเป็นที่ทิ้งขยะของชาวบ้าน มีทั้งหยากเยื่อ ซากวัว ซากควาย และซากสุนัขที่ตายแล้ว เขาก็โยนทิ้งลงไปกองอยู่ตรงนั้น ที่อยู่ของยักษ์ตนนี้ก็มีวิมานอย่างชนิดหยาบๆ ไม่ประณีต สถิตอยู่ใกล้ๆ กับกองขยะนั่นเอง ได้รับแต่กลิ่นเหม็นทุกวัน บรรยากาศสิ่งแวดล้อมก็ไม่ดี อาหารก็ไม่ประณีต ได้อาหารจากกองขยะที่เขาเอาไปทิ้งนั่นแหละ
และที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นคือ รูปร่างของยักษ์ตนนี้น่าเกลียดน่ากลัว ทั้งไม่น่าดู ไม่น่าเข้าใกล้ ตัวโตใหญ่ ตามตัวมีปุ่มมีปมเหมือนเป็นหูด มีผิวหยาบกร้านเหมือนหนังจระเข้ ขรุขระไม่ราบเรียบเหมือนหลังคากระเบื้อง มีศีรษะโต ลูกนัยน์ตาถลน หน้าก็กะดำกะด่าง มือและเท้ามีสีดำอมแดง แต่บริเวณท้องมีสีดำอมเขียว ดูแล้วแปลกๆ และที่โดดเด่นคือ จะมีขนแข็งทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณแผ่นหลัง ขนจะมากเป็นพิเศษ ทั้งยาวและแข็ง จึงมีชื่อว่า สูจิโลมะยักษ์ ซึ่งแปลว่ายักษ์ที่มีขนแข็งยาว
เหตุที่มาเกิดเป็นยักษ์เพราะว่า เป็นคนขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย และที่มีผิวหยาบกร้าน มีขนแข็งยาวโดยเฉพาะที่ด้านหลัง เพราะไปนอนบนอาสน์สงฆ์ ทั้งที่ร่างกายเปรอะเปื้อน ทำให้ของสงฆ์สกปรก จึงมาเกิดเป็นยักษ์ชั้นต่ำ แทนที่จะเป็นยักษ์ชั้นกลางหรือชั้นสูง นี่คือกรรมที่ไม่เคารพเอื้อเฟื้อไม่รักษาสมบัติของสงฆ์ ไม่ว่าจะเกิดในภพใดหรือเกิดเป็นอะไร ก็จะเป็นบุคคลชั้นต่ำ
แต่ยักษ์ตนนี้ก็ยังถือว่ามีบุญ ที่เคยบวชเป็นพระในบวรพระพุทธศาสนา ซึ่งที่ผ่านมาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในภาวะที่เป็นยักษ์อย่างนั้นอยู่ถึงหนึ่งพุทธันดร เมื่อบุญเก่าตามมาทัน ภาพของยักษ์นี้เข้าไปในข่ายพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระพุทธองค์จึงมีดำริที่จะเสด็จไปโปรด แต่ก็ต้องไปปราบทิฏฐิที่เย่อหยิ่งจองหอง และนิสัยที่แข็งกระด้างก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราจะไปปราบยักษ์ด้วยวิธีการใด เอาไว้เรามาติดตามกันต่อไป
เราจะเห็นได้ว่า เรื่องของการกระทำที่ได้ล่วงเกินผิดพลาดไปด้วยความไม่รู้ ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่คิดว่าจะเป็นบาปกรรมอะไร แต่ว่าวิบากกรรมที่เกิดขึ้นนั้น มีผลยิ่งใหญ่อย่างที่เราเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน เราจึงต้องมาศึกษา และทำความเข้าใจให้ดีในเรื่องกฎของการกระทำนี้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ไปทำผิดพลาด บางเรื่องถ้าเราไม่รู้พลั้งเผลอไปทำก็อาจมีอันตรายถึงชีวิต และกรรมที่พลาดไปก็ยังต้องไปชดใช้กันอีกยาวนานในปรโลก ฉะนั้นให้มีสติ สำรวมระวังกันให้ดี ชีวิตเราจะได้ปลอดภัยทั้งจากภัยในอบาย และภัยในสังสารวัฏ แต่ดีที่สุด ต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้ ชีวิตเราจะได้ปลอดภัยอย่างแท้จริง