วิบากกรรมจะหมดลงเมื่อใด
1. วิบากกรรมส่งผลจนหมดกำลัง เหมือนต้นไม้ที่ให้ผลจนหมดอายุมันก็ตาย เหมือนลูกปืนที่ยิงออกจากปากกระบอก พอหมดกำลังมันก็ตก
2.ขอขมา และอโหสิกรรมกันเอาไว้ ประเพณีการขอขมาเริ่มต้นจากพระอรหันต์ โดยเฉพาะสาวกที่ใกล้ชิดกับพระพุทธองค์เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลานะ พระนางพิมพา ก่อนที่พระสาวกเหล่านี้จะปรินิพพาน จะเข้าไปทูลลา พระพุทธองค์ปรินิพพาน โดยกราบขอขมา เป็นเพราะพระอรหันต์เหล่านี้ทรงอภิญญา ท่านระลึกชาติเห็นว่าในอดีตชาติ เคยสร้างบารมีกับพระบรมโพธิสัตว์ คนมีกิเลสกับคนมีกิเลสสร้างความดีด้วยกัน อาจกระทบกระทั่งล่วงเกิน โดยเจตนาหรือไม่เจตนา ต่อหน้าหรือลับหลัง ก็เลยถือโอกาสก่อนจะเข้านิพพานมาขอขมาให้เห็นเป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง
เพราะฉะนั้นการขอขมาจึงเข้ามาในประเพณีของสังคมไทยตั้งแต่วันปีใหม่ วันสงกรานต์ ก็ขอขมา จะบวชก็ขอขมา จะตายก็ขอขมา วิบากกรรมหนักก็จะทำให้เบาลง ที่เบาก็มลายหายกันไป
3. สั่งสมบุญให้มากๆ อธิษฐานจิตให้ไปตัดรอนวิบากกรรมให้เบาบางลง
ที่มา: หนังสือวงจรชีวิต พระครูธรรมธรไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
Create Date : 09 มกราคม 2555 |
Last Update : 9 มกราคม 2555 17:12:45 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1554 Pageviews. |
|
|
|
ข้อที่1 กรรมจะส่งผลจนกว่ามันจะหมดกำลัง เป็นข้อเตือนใจว่า ทุกคนเป็นทายาทของกรรมที่ตนทำไว้ ทำดีหรือชั่วก็ตามจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น
ผู้ที่ประสบทุกข์ ต้องทนกล้ำกลืนอยู่ เพราะเหตุแห่งกรรมชั่ว เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็อาจเป็นเครื่องปลุกปลอบใจตนว่าอย่างน้อย วิบากที่ตนกำลังเสวยอยู่ก็ได้ถูกไถ่ถอนไปอีกขั้น อุปมาเหมือนคนใช้หนี้ หนี้ย่อมเหลือน้อย
ผู้ที่ประสบสุขจะได้ข้อคิดว่า กำลังใช้บุญเก่า ซึ่งกำลังหมดไป ต้องแสวงหาบุญใหม่
2. เป็นทางออกที่จะชำระหนี้บาปให้ลดน้อยลง
3. เป็นทางออกที่จะสร้างบุญบารมีใหม่ ให้วิบากกรรมไม่ดี
ไม่มีโอกาสส่งผล หรือตามส่งผลไม่ทัน จนกระทั่งบารมีมากพอกลายเป็นอโหสิกรรม คือ กรรมที่ไม่มีโอกาสส่งผล
ทั้งยังส่งผลให้เจริญรุดหน้า จนถึงขั้นบรรลุมมรรคผล พระนิพพานได้
หวังว่าจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติและเครื่องปลุกปลอบใจ เมื่อต้องทนทุกข์ค่ะ