ทีนี้เรียนจบแล้วก็ต่อสิคะ แบบว่าเรียนต่อเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาอยู่บ้าน ก็ดันสอบได้ที่ราชมงคลสอบติดตอนปวส. บัญชี แล้วเปลี่ยนไปเรียนไอที ตอนป.ตรี จบออกมาตอนวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แต่โชคดีที่หน้าตาดี (แหวะ) และได้ภาษา ก็ยังได้งานทำ ตั้งแต่เดือนมีนาปี 40 ปุ่นก็ไม่เคยขอเงินแม่อีกเลย แต่งานที่ได้ ปุ่นยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ใช้ความรู้ซักเท่าไหร่ เป็นงานที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ขอให้คล่องแคล่ว ใช้ภาษาได้ แต่โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปนั้นแทบไม่มีเลย
ทำได้หนึ่งปีกว่าเลยหางานใหม่ คราวนี้เป็นงานด้าน Material Planning งานก็คือจัดซื้ออะไหล่ของเล่น ให้กับบริษัทผลิตของเล่นสัญชาติอเมริกันบริษัทนึง ชื่อเป็นฝรั่งก็จริง แต่ระบบภายในยังเป็น จีน มาเลย์ ฮ่องกงกันอยู่เลย ช่วงแรก ๆ เป็นช่วงที่รู้สึกทุกข์ทรมานมาก อาจจะเป็นเพราะไม่เคยชินกับงาน ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ ทำอะไรก็ผิดไปหมด แล้วเพื่อนร่วมงานก็...เป็นลักษณะทำงานตัวเองให้ดีที่สุด แต่อย่าให้มีปัญหา ถ้าพลาดมาจับได้ว่าใครทำผิดก็รับไป ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นคนเนกาทีฟมาก เห็นอะไรก็เกลียดไปหมด ทำงานก็จะปัดให้ความผิดเป็นของคนอื่นให้มากที่สุด เรียกว่าต้องพิมพ์อีเมล์มาจับผิดกันเลยทีเดียว คุณภาพชีวิตก็เลวมาก ตื่นหกโมงขึ้นรถบริษัทไปทำงานที่บางปู เช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ที่บางนา กว่าจะไปถึงก็ชั่วโมงนึง กินข้าวโรงงาน มื้อละสิบเอ็ดบาท เรียกว่ากินกันตายกันไป วันธรรมดารู้สึกว่าชีวิตแร้นแค้นมาก วัน ๆ เห็นแต่ผนังโรงงาน กับผนังห้องเช่า ตอนเย็นซื้อกับข้าวตลาดนัด (อันนี้เป็นสิ่งดีที่สุดอย่างนึงของบ้านเรา) เสาร์อาทิตย์ก็โน่นไปหาพี่ชายในเมือง บางทีก็ไปเที่ยวกับเพื่อน หลังสวน ข้าวสาร อาร์ซีเอ เรียกว่าลุยมาหมดแล้ว
อันนี้รูปเฟิร์นโบราณ หงิก ๆ ดีมั๊ยคะ
ทำงานเปลี่ยนบริษัทฯ ไป เปลี่ยนบริษัทฯมา ก็เริ่มมีประสบการณ์ ทำงานไม่ผิดพลาดแล้ว จนอายุยี่สิบหกได้ไปชุบตัวที่บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารที่มีชื่อจากยุโรปแห่งนึง จากนั้นก็ได้เพิ่มค่าตัวตัวเองเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก แต่ชีวิตตอนนั้น มันนรกสิ้นดีค่ะท่านผู้ชม เพราะว่า งานมันค่อนข้างจะเครียดเพราะเดิมพันด้วยเงินและชื่อเสียงของบริษัท ก็ถ้วยแดงที่คุณ ๆ ใช้ดื่มกาแฟกันนั่นแหละค่ะ ทำงานไป ระวังหลังไป ไม่ให้ใครมาแทงได้ ไม่ใช่ว่าทำงานเก่งอย่างเดียว ต้องเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมมนุษย์ด้วย จากบริษัทที่สองที่ว่าร้าย ๆ แล้ว ที่นี่ร้ายลึกกว่าเยอะ คนที่ทำงานด้วยจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ จบเมืองนอกกันก็เยอะ แล้วเหลี่ยมคูก็เยอะไปด้วย ซื้อของมีปัญหาก็โดนมาร์เก็ตติ้งประนาม หัวหน้าขู่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่ามาร์เก็ตติ้งคอนเฟิร์มงานช้า เปลี่ยนระบบตรวจของ หรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ จัดซื้อก็ต้องพร้อมที่จะตั้งรับ ต้องเช็คได้ เถียงได้ว่าชั้นไม่ผิด ไอ้คนนั้นแหละผิด แล้วต้องเหยียบคนเป็น ต้องโบ้ยได้เก่ง ๆ ต้องหาหลักฐานเก่ง ๆ ต้องคิดให้รอบคอบ ต้องพรีเซ้นท์เก่ง ๆ
ตอนนั้นจำได้ว่าเครียดมากและอ้วนมาก ทำงานถึงสองทุ่ม กลางวันกินสองจานบวกไอติมแมคโดนัลด์ที่อยู่ใต้ตึก เป็นที่ที่ทีมเรามานั่งสุมหัวนินทาหัวหน้า และหาทางรอดให้ทีมตัวเอง วันศุกร์ปาร์ตี้ค่ะ หาเงินได้เยอะนี่คะ ใช้สิคะ บัตรเครดิต เครื่องสำอางค์แบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ ก็อยู่ใกล้ออฟฟิศแค่ข้ามถนน สิ้นเดือนมาใช้หนี้บัตรเครดิต จ่ายค่าเช่าให้แม่ ใช้จ่ายแล้วยังมีเงินเก็บบ้าง เรียกว่ามีเงินในกระเป๋าเรื่อย ๆ แบบว่าลาทีความจน แต่คุณภาพชีวิตเลวมาก กินอาหารที่อร่อยแต่ห่างไกลจากคุณค่ามาก ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ได้เข้าสังคมกับเพื่อนหลาย ๆ ชาติ โดยเฉพาะฝรั่งเศส ตอนนั้นปุ่นไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่อาลิยองซ์ จนจบระดับกลาง ตอนนั้นเองก็เริ่มถามตัวเองว่า เอ มันใช่สิ่งที่เราจะทำไปจนตายรึเปล่าเนี่ย คำตอบคือ ไม่ใช่เลย แล้วเราอยากทำอะไรล่ะ ตอนนั้นตอบตัวเองว่า ชอบทำอาหารอ่ะ กับชอบเรียนภาษา อย่างอื่นไม่รู้และ คิดว่าการเริ่มจะไปทำงานด้านอาหารมันคงไม่ง่าย แล้วงานทำครัวเป็นงานหนัก ค่าตอบแทนต่ำ นอกจากจะมีความสามารถมากๆ เป็นเชฟ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องสั่งสมประสบการ์ณมากมาย เรียนจบจากสถาบันอาหารในระดับหนึ่ง เทียบกับที่หาได้ตอนนั้นการจะเปลี่ยนสายอาชีพนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อยู่ได้ปีครึ่งก็ได้ออฟเฟอร์ให้ไปทำบริษัทที่มีโปรดักท์คล้าย ๆ กัน ที่นั่นเองเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารู้ว่า แม้ไม่ได้ทำงานที่ใจรัก แต่ขอให้รักงานที่ทำ มีผลงานเป็นความภูมิใจ มันก็ทำให้มีความสุขได้ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ค่อนข้างแฟร์ ให้ค่าตอบแทนสูงสมกับงาน และให้พนักงานทางใจหลายอย่าง คือดูแลให้คนในองค์กรทำงานแบบช่วยเหลือกันแก้ปัญหา ไม่ใช่โยนความผิดให้อีกฝ่ายไม่แก้ปัญหาปัญหามันก็อยู่ที่เดิม สามปีที่ทำงานที่นี่ปุ่นได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย ที่สำคัญคือ Attitude วิธีคิดที่เปลี่ยนไป ทำให้มองงานแต่ละอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้น ตอนนั้นก็คิดว่าลงตัวแล้วล่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานที่เรารัก แต่มีเวลาให้ตัวเอง เสาร์อาทิตย์ก็มีเวลาทำอาหาร ซื้อกับข้าว วันธรรมดาก็ยังตื่นมาทำกับข้าวห่อไปกินที่ทำงาน กินแล้วมั่นใจว่าปลอดภัยไร้สารพิษ มีเวลาไปเรียนโยคะ ไปเข้ายิม
จนเมื่อเจอว่าที่สามีในอนาคต เจ้านายตอนนั้นก็เตรียมเสนอตำแหน่งให้แล้ว แต่ก็เลือกที่จะเปลี่ยนเข็ม ตามสามีมาอยู่ต่างประเทศ
ตอนหน้า พบกับชีวิต(งาน)ที่เปลี่ยนไป
ปล. รูปประกอบมาจากที่ไปทริปถ่ายรูปกับ เคล้าซ์ หนุ่มเยอรมันอายุห้าสิบ อิอิ รูปสุดท้าย สงสัยกันใช่มั๊ยล่าว่ามันคืออะไร มันคือแอ๊บเปิ้ลสตรูเดิ้ล เป็นของหวานชื่อดังจากออสเตรีย ไส้ทำจากแอ๊บเปิ้ลกับซินนามอน ราดด้วยวานิลลาซอสกับน้ำเชื่อมค่ะ