Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
2 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
ท้าวความเรื่องเก่า..ก่อนจะเล่าเรื่องงานปัจจุบัน




       จั่วหัวเรียกน้ำลายจากท่านผู้อ่านไปเมื่อบล็อกก่อนด้วยของกิน เป็นขนมจีนน้ำเงี้ยวของโปรด พร้อมด้วยหัวข้อที่ตั้งใจจะเขียนบล็อกตอนต่อไป ปุ่นดีใจนะคะเนี่ยที่มีหลายคนสนใจนำเหนอเข้ามาว่าอยากให้เขียนเรื่องอะไรหลาย ๆ เรื่องที่ปุนสนใจนั้น หนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตเรา ๆ ท่าน ๆ มันเป็นปัจจัยสำคัญให้ชีวิตดำเนินต่อไป ใครน้อเคยบอกไว้ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข



ย้อนหลังไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนที่เด็กหญิงปุ่นยังเป็นเด็ก พอมีใครมาถามว่าเด็กหญิงปุ่นอยากเป็นอะไร เด็กหญิงปุ่นตอบทันทีว่า อยากเป็นอะไรก็ได้ที่รวย ที่หาเงินได้เยอะๆ คงจะเป็นเพราะเห็นพ่อแม่ทำงานหนัก เห็นภาระที่หนักอึ้งในการเลี้ยงดูพวกเรา บ้านเราแม้จะไม่เรียกว่าจน แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงลูกแบบให้สบาย ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง เช่นว่า อายุแปดขวบก็ต้องเริ่มตื่นเช้ามาช่วยแม่ทำกับข้าว ช่วยงานบ้าน ช่วยงานแม่ที่เปิดร้ายขายของชำ  เครื่องอำนวยความสะดวกที่ข้างบ้านเขามีกันไปชาตินึงแล้ว  แบบเครื่องซักผ้า โทรศัพท์ เครื่องทำน้ำอุ่น พวกเราเพิ่งจะมาซื้อให้แม่ตอนโต ๆ กันแล้ว (คิดดู)   ตอนนั้นไอ้คำพูดที่ว่า เรียนในสิ่งที่ใจรัก ทำงานที่ตัวเองชอบ นั้น มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่แทบจะไม่มีวันเป็นจริงได้ ปุ่นเห็นตัวอย่างของคนทำงานศิลปะที่ทำในสิ่งที่ใจรัก (แต่ไม่ทำเงิน) มีชีวิตแบบแขวนบนเส้นด้าย ก็เอ่อม เอ๊ มันจะใช่เหรอวะ อย่ากระนั้นเลย เอาความจริงเป็นที่ตั้งดีกว่า ตั้งเข็มไปทำอะไรก็ได้ที่มันจะทำให้เรามีวิชาเลี้ยงชีพต่อไป 





 


 คิดได้ดังนั้น หลังจบมอสาม ก็พาตัวเองไปเรียนพาณิชย์ เพราะที่บ้านค่อนข้างหัวโบราณ พ่อขู่ไม่ให้เรียนต่อ ให้อยู่เป็นเพื่อนแม่ ปุ่นก็ตายห่านแล้ว ให้ชั้นดักดานอยู่ที่บ้านเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก เลยเลือกเรียนอะไรที่สามารถหยุดหางานทำได้ ไม่ต้องเรียนยาวแบบสายสามัญ เผื่อพ่อไม่ส่งเรียนจริง ๆ ตอนนั้นโรงเรียนที่เรียนเป็นลูกหม้ออยู่ เป็นโรงเรียนที่ดีมาก บอกได้เลยว่าสำหรับปุ่นแล้ว เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในอำเภอเลยทีเดียว ขอออกชื่อนิดนึง โรงเรียนศิริมาตย์เทวี ซึ่งเป็นทีที่ปุ่นได้สะสมความรู้(โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) บ่มเพาะความคิด ตอนอยู่ศิริมาตย์ก็ธรรมด้า ธรรมดา แต่ว่าตอนไปเรียนพาณิชย์เนี่ย เรียกได้ว่าเป็นคนเรียนเก่งคนนึงเลยทีเดียว นึกออกป่่ะ บ้านเรา สายพาณิชย์ เทคนิคก็หลักสูตรไม่ยากเท่าสายสามัญ  มีอยู่เทอมนึงปุ่นอ่านหนังสือนิด ๆ หน่อย ๆ ได้เกรด ๓.๘๕ คิดดู      







         ทีนี้เรียนจบแล้วก็ต่อสิคะ แบบว่าเรียนต่อเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาอยู่บ้าน ก็ดันสอบได้ที่ราชมงคลสอบติดตอนปวส. บัญชี แล้วเปลี่ยนไปเรียนไอที ตอนป.ตรี จบออกมาตอนวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แต่โชคดีที่หน้าตาดี (แหวะ) และได้ภาษา ก็ยังได้งานทำ ตั้งแต่เดือนมีนาปี 40 ปุ่นก็ไม่เคยขอเงินแม่อีกเลย แต่งานที่ได้ ปุ่นยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ใช้ความรู้ซักเท่าไหร่ เป็นงานที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ขอให้คล่องแคล่ว ใช้ภาษาได้ แต่โอกาสที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปนั้นแทบไม่มีเลย


         ทำได้หนึ่งปีกว่าเลยหางานใหม่ คราวนี้เป็นงานด้าน Material Planning งานก็คือจัดซื้ออะไหล่ของเล่น ให้กับบริษัทผลิตของเล่นสัญชาติอเมริกันบริษัทนึง  ชื่อเป็นฝรั่งก็จริง แต่ระบบภายในยังเป็น จีน มาเลย์ ฮ่องกงกันอยู่เลย ช่วงแรก ๆ เป็นช่วงที่รู้สึกทุกข์ทรมานมาก อาจจะเป็นเพราะไม่เคยชินกับงาน ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ ทำอะไรก็ผิดไปหมด แล้วเพื่อนร่วมงานก็...เป็นลักษณะทำงานตัวเองให้ดีที่สุด แต่อย่าให้มีปัญหา ถ้าพลาดมาจับได้ว่าใครทำผิดก็รับไป ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นคนเนกาทีฟมาก เห็นอะไรก็เกลียดไปหมด ทำงานก็จะปัดให้ความผิดเป็นของคนอื่นให้มากที่สุด เรียกว่าต้องพิมพ์อีเมล์มาจับผิดกันเลยทีเดียว คุณภาพชีวิตก็เลวมาก ตื่นหกโมงขึ้นรถบริษัทไปทำงานที่บางปู เช่าห้องเล็ก ๆ อยู่ที่บางนา กว่าจะไปถึงก็ชั่วโมงนึง กินข้าวโรงงาน มื้อละสิบเอ็ดบาท เรียกว่ากินกันตายกันไป วันธรรมดารู้สึกว่าชีวิตแร้นแค้นมาก วัน ๆ เห็นแต่ผนังโรงงาน กับผนังห้องเช่า ตอนเย็นซื้อกับข้าวตลาดนัด (อันนี้เป็นสิ่งดีที่สุดอย่างนึงของบ้านเรา) เสาร์อาทิตย์ก็โน่นไปหาพี่ชายในเมือง บางทีก็ไปเที่ยวกับเพื่อน หลังสวน ข้าวสาร อาร์ซีเอ เรียกว่าลุยมาหมดแล้ว



อันนี้รูปเฟิร์นโบราณ หงิก ๆ ดีมั๊ยคะ   


 ทำงานเปลี่ยนบริษัทฯ ไป เปลี่ยนบริษัทฯมา ก็เริ่มมีประสบการณ์ ทำงานไม่ผิดพลาดแล้ว จนอายุยี่สิบหกได้ไปชุบตัวที่บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารที่มีชื่อจากยุโรปแห่งนึง จากนั้นก็ได้เพิ่มค่าตัวตัวเองเป็นตัวเลขที่น่าพอใจมาก แต่ชีวิตตอนนั้น มันนรกสิ้นดีค่ะท่านผู้ชม เพราะว่า งานมันค่อนข้างจะเครียดเพราะเดิมพันด้วยเงินและชื่อเสียงของบริษัท ก็ถ้วยแดงที่คุณ ๆ ใช้ดื่มกาแฟกันนั่นแหละค่ะ  ทำงานไป ระวังหลังไป ไม่ให้ใครมาแทงได้ ไม่ใช่ว่าทำงานเก่งอย่างเดียว ต้องเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมมนุษย์ด้วย จากบริษัทที่สองที่ว่าร้าย ๆ แล้ว ที่นี่ร้ายลึกกว่าเยอะ คนที่ทำงานด้วยจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ จบเมืองนอกกันก็เยอะ แล้วเหลี่ยมคูก็เยอะไปด้วย  ซื้อของมีปัญหาก็โดนมาร์เก็ตติ้งประนาม หัวหน้าขู่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่ามาร์เก็ตติ้งคอนเฟิร์มงานช้า  เปลี่ยนระบบตรวจของ หรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ จัดซื้อก็ต้องพร้อมที่จะตั้งรับ ต้องเช็คได้ เถียงได้ว่าชั้นไม่ผิด ไอ้คนนั้นแหละผิด แล้วต้องเหยียบคนเป็น ต้องโบ้ยได้เก่ง ๆ ต้องหาหลักฐานเก่ง ๆ ต้องคิดให้รอบคอบ ต้องพรีเซ้นท์เก่ง ๆ     



  ตอนนั้นจำได้ว่าเครียดมากและอ้วนมาก ทำงานถึงสองทุ่ม กลางวันกินสองจานบวกไอติมแมคโดนัลด์ที่อยู่ใต้ตึก เป็นที่ที่ทีมเรามานั่งสุมหัวนินทาหัวหน้า และหาทางรอดให้ทีมตัวเอง วันศุกร์ปาร์ตี้ค่ะ หาเงินได้เยอะนี่คะ ใช้สิคะ บัตรเครดิต เครื่องสำอางค์แบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ  ก็อยู่ใกล้ออฟฟิศแค่ข้ามถนน สิ้นเดือนมาใช้หนี้บัตรเครดิต จ่ายค่าเช่าให้แม่ ใช้จ่ายแล้วยังมีเงินเก็บบ้าง เรียกว่ามีเงินในกระเป๋าเรื่อย ๆ แบบว่าลาทีความจน  แต่คุณภาพชีวิตเลวมาก กินอาหารที่อร่อยแต่ห่างไกลจากคุณค่ามาก ช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ได้เข้าสังคมกับเพื่อนหลาย ๆ ชาติ โดยเฉพาะฝรั่งเศส ตอนนั้นปุ่นไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่อาลิยองซ์ จนจบระดับกลาง ตอนนั้นเองก็เริ่มถามตัวเองว่า เอ มันใช่สิ่งที่เราจะทำไปจนตายรึเปล่าเนี่ย คำตอบคือ ไม่ใช่เลย แล้วเราอยากทำอะไรล่ะ ตอนนั้นตอบตัวเองว่า ชอบทำอาหารอ่ะ กับชอบเรียนภาษา อย่างอื่นไม่รู้และ คิดว่าการเริ่มจะไปทำงานด้านอาหารมันคงไม่ง่าย แล้วงานทำครัวเป็นงานหนัก ค่าตอบแทนต่ำ นอกจากจะมีความสามารถมากๆ เป็นเชฟ แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องสั่งสมประสบการ์ณมากมาย เรียนจบจากสถาบันอาหารในระดับหนึ่ง เทียบกับที่หาได้ตอนนั้นการจะเปลี่ยนสายอาชีพนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย






 
                   อยู่ได้ปีครึ่งก็ได้ออฟเฟอร์ให้ไปทำบริษัทที่มีโปรดักท์คล้าย ๆ กัน ที่นั่นเองเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารู้ว่า แม้ไม่ได้ทำงานที่ใจรัก แต่ขอให้รักงานที่ทำ มีผลงานเป็นความภูมิใจ มันก็ทำให้มีความสุขได้ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ค่อนข้างแฟร์ ให้ค่าตอบแทนสูงสมกับงาน และให้พนักงานทางใจหลายอย่าง คือดูแลให้คนในองค์กรทำงานแบบช่วยเหลือกันแก้ปัญหา ไม่ใช่โยนความผิดให้อีกฝ่ายไม่แก้ปัญหาปัญหามันก็อยู่ที่เดิม สามปีที่ทำงานที่นี่ปุ่นได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย ที่สำคัญคือ Attitude วิธีคิดที่เปลี่ยนไป ทำให้มองงานแต่ละอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้น ตอนนั้นก็คิดว่าลงตัวแล้วล่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานที่เรารัก แต่มีเวลาให้ตัวเอง เสาร์อาทิตย์ก็มีเวลาทำอาหาร ซื้อกับข้าว วันธรรมดาก็ยังตื่นมาทำกับข้าวห่อไปกินที่ทำงาน กินแล้วมั่นใจว่าปลอดภัยไร้สารพิษ มีเวลาไปเรียนโยคะ ไปเข้ายิม



        จนเมื่อเจอว่าที่สามีในอนาคต เจ้านายตอนนั้นก็เตรียมเสนอตำแหน่งให้แล้ว แต่ก็เลือกที่จะเปลี่ยนเข็ม ตามสามีมาอยู่ต่างประเทศ 


ตอนหน้า พบกับชีวิต(งาน)ที่เปลี่ยนไป



ปล. รูปประกอบมาจากที่ไปทริปถ่ายรูปกับ เคล้าซ์ หนุ่มเยอรมันอายุห้าสิบ อิอิ รูปสุดท้าย สงสัยกันใช่มั๊ยล่าว่ามันคืออะไร มันคือแอ๊บเปิ้ลสตรูเดิ้ล เป็นของหวานชื่อดังจากออสเตรีย ไส้ทำจากแอ๊บเปิ้ลกับซินนามอน ราดด้วยวานิลลาซอสกับน้ำเชื่อมค่ะ

         








Free TextEditor




Create Date : 02 มิถุนายน 2553
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 12:31:12 น. 13 comments
Counter : 1061 Pageviews.

 
เจิมดิ อิอิ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:13:27:05 น.  

 
โอย...ขำตัวเองฟร่ะ ลืมตัวว่าอยู่ที่ออฟฟิศ เจิมดอกแรกไปแล้ว พอจะเม้นท์ดอกที่สอง ด้วยความที่อ่านทุกเม็ด ดูรูปทุกมุม ใช้เวลานานไปหน่อย เลยทำเอาเบลอ นั่งพิมพ์อยู่นั่น พิมพ์ไปสองสามตัว อ้าว ทำไมเป็นภาษาปะกิต กดเปลี่ยนภาษา (เหมือนตอนอยู่บ้าน) เอ๊ะ...ทำไมยังเป็นภาษาปะกิตอยู่อีก อ๋อออออออออออออออออออ ชั้นพิมพ์ไทยไม่ได้นี่หว่า ต้องกลับไปพิมพ์ผ่านเว็บพิมพ์ไทยอีกที

มิเสียแรงที่แฟนขับด้านหน้าขอไปเนอะ ชอบมากที่สุดเลยบล็อกนี้ อ่านมันส์ อ่านเพลิน จำได้ว่าตอนเราไปจกข้าวเหนียวส้มตำด้วยกัน ปุ่นก็เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ไปแล้วเนอะ พอมาอ่านบล็อกนี้แล้ว รู้สึกว่าที่ปุ่นเล่ามามัน คร่าว ไปหน่อยมั้ย
บล็อกนี้เล่าละเอียดมาก ทั้งลักษณะงาน ลักษณะคน รวมไปถึงความรู้สึกของปุ่นเอง เออ...อ่านแล้วชอบอ่ะ

เป็นการทำงานที่น่ากลัวเนอะ ต้องห้ำหั่นกันขนาดนั้น ป้าเปลี่ยนงานมาเป็นสิบที่แล้ว อาจจะเจอมรสุมหมานุดบ้างประปราย แต่ด้วยความที่ไม่เก่ง ไม่เชี่ยว ไ่ม่มีความสุขในการไปห้ำหั่นกับหมานุดเหล่านั้น ป้าเลยมักจะยกธงขาว ยอมแพ้ ลาออกไปซะก่อนแทบทุกครั้ง ปุ่นเก่งอ่ะ รับมือได้ตอนไปทำงานปุ่นต้องใส่เสื้อเกราะกันโดนแทงป่าวเนี่ย อิอิ

รออ่านต่อตอนหน้าว่าพอพระเอกขี่ม้าขาวมารับไปอยู่ด้วยเนี่ย ทำอีท่าไหนถึงได้กลายมาเชฟ มาเป็นอาจารย์ มาเป็น food stylist แบบตอนนี้ได้เนอะ

ป.ล. ปุ่นเชื่อมั้ยว่า เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ป้าถึงขนาดคิดว่าจะเลิกเล่นบล็อก หรือไม่ก็ปิดไม่ให้มีเม้นท์แล้ว ด้วยความที่เราไม่เอนจอยในการตามไปอ่านบล็อกชาวบ้านอีกต่อไป (แต่ยังอยากเขียนบล็อกอยู่นะ กร๊ากกกส์)

คือบล็อกที่ตัวเองเป็นแฟนขับอยู่( ปุ่นก็รู้มั้งว่าป้าเป็นแฟนขับใคร) มันก็เลิกเขียนไปแล้ว มันเหมือนกับ บล็อกแก็งค์มันไม่มีอะไรดึงดูดใจฉันอีกแล้วอ่ะ

อาการเบื่อบล็อกแล้วของป้า มันก็คงแสดงออกอย่างทนโท่อ่ะนะ เล่นอัพบล็อกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ครั้งแบบนี้ เนี่ย

แต่คิด ๆ ไป เออ...มันก็มีบล็อกของน้อง ๆ เพื่อน ๆ สี่ซ้าห้าคนนี่แหละ ที่เรายังอยากติดตามอ่าน ติดตามเม้นท์ ติดตามความเป็นไปของพวกเค้าอยู่

อย่างตอนนี้ก็อยากอ่านบล็อกต่อไปของปุ่น แฟนขับมาปูเสื่อรอแล้วนะ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:13:57:39 น.  

 
ลืมเม้นท์ว่ารูปสวย ป้ามีเลนส์มาโครด้วยนะ ยังใช้ไม่เป็นเลย ถ้าปุ่นศึกษาอยู่ ว่าง ๆ มาสอนกันมั่งนะ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:14:01:14 น.  

 
ตามมาอ่านประสปการณ์ของจขกท.ค่ะ เจอรูปสวยๆอีก ไว้จะแวะมาใหม่นะคะ


โดย: น้องเหว่ง Super Toudou (Super Toudou ) วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:20:59:00 น.  

 
โห ชอบบล็อกนี้มาก ๆ ค่ะคุณปุ่น .... ดีใจที่ไม่พลาดค่ะ :)) ได้รู้จักเพื่อนที่น่ารักอีกคนแล้ว ....

ก่อนอื่นขอชมเรื่องรูปก่อน คุณปุ่นถ่ายได้สวยมากค่ะ แสงดีจัง เราทำไม่เป็น ฮา ... ไม่เคยอ่านคู่มือ เพราะไม่มีเวลา กดอย่างเดียว อิอิ .... ชอบภาพก็อกน้ำเป็นที่สุด มีมุมมองดีจังค่ะ ....


คุณปุ่นเขียนเรื่องราวและใส่ความคิดได้ละเอียดมาก ๆ ค่ะ มุมมองเรื่องงานเปลี่ยนมาได้เรื่อย ๆ เลยนะคะ ... พูดถึงเรื่องเรียนสายอาชีพ .... เราเคยแปลกใจและ "pre-judge" พวกเรียนสายอาชีพว่าไม่เก่ง แต่พอได้มารู้จักเพื่อน ๆ ของน้องสาว ที่เรียนสายนี้กัน เปลี่ยนใจค่ะ .... พวกนี้พอออกไปทำงานแล้วเก่งกัน ได้เป็นหัวหน้าคนก็เยอะเลย .... ยิ่งเขาได้กลับไปเรียน ป.ตรี ป. โทร เสริมท้าย เก่ง ๆ ค่ะ ยอมรับเลย ....


เรื่องที่ว่าเรียนในสายที่รักคงเป็นแค่อุดมคติ ก็เห็นด้วยกับคุณปุ่นนะ บ้านเราเด็กส่วนใหญ่เรียนในสายที่จะได้ออกไปทำงาน มีตังค์เยอะ ๆ เนาะ .... แต่เราเป็นพวกแหกคอกค่ะคุณปุ่น ไม่ใช่บ้านรวยนะ แต่ชอบพวกภาษามากกว่า ก็เลยเบี่ยงเบนมาสายศิลป์ ซึ่งก็แน่นอนว่า จบออกมาไม่มีวันรวย ยิ่งถ้าเข้าระบบราชการเนาะ แต่เพื่อน ๆ ก็รุ่งกันหลายคนเลยค่ะ เพราะโชคดีได้องค์กรดีอย่างที่ว่า .....


ช่วงแรกที่จบออกมา เรามีประสบการณ์ชีวิตเหมือนคุณปุ่นเลย งานหนัก คุณภาพชีวิตแย่ ได้ทำงานบริษัทก็ถือว่าใหญ่ แต่ระบบเป็นครอบครัวคนจีน ... ต่อให้มีวิศวกรเกิน 10 คน ก็ไม่เคยฟังเสียง ประมาณนั้น ชีวิตเครียด ๆ ๆ และเครียด ค่าตอบแทนก็ต่ำ .... หม่ำช่วงดึกเหมือนกันค่ะคุณปุ่น .... พัก 1 วัน คือวันอาทิตย์ มานั่งทำความสะอาดบ้านอีก หมดไปอีก 1/2 วัน เหลือ 1/2 วันนอนดูทีวี และก็เตรียมไปผจญชีวิตต่อในวันรุ่งขึ้น จำได้ว่าทนอยู่ 2 - 3 ปีมังคะ น้องเห็นพี่สาวอาการไม่ไดี .... พ่อ แม่ ด้วย ทุกคนลงความเห็น ออกเถอะ ... ไปได้งานสอนเด็กพานิชย์ซักระยะ ไม่ถึงปี ก็ยังไม่ชอบ สอบเป็นครู ยิ่งไม่ชอบ ฮ่ะฮ่ะ ... 2 เดือนเผ่น (ที่ไม่ชอบเพราะห่างไกลความสิวิไลซ์และเพื่อน ชอบงานสอนอยู่นะคะ แต่ความเสียสละไม่มีพอ) .... ทีนี้ก็มาสอบเข้าไปทำงานในระบบมหาลัย ทีนี้ชอบค่ะ ... ไม่ใช่งานสอนนะคะ แต่เป็นงานที่ต้องใช้ภาษา ติดต่อต่างชาติประมาณนั้น ชอบ สนุกมาก แต่เงือนเดือนน้อยตามประสาข้าราชการ ค่ะคุณปุ่น ตายมานั่งเรื่องราวของตัวเอง .... ไม่เคยเล่าที่ไหน แต่อ่านเรื่องราวของคุณปุ่นก็เกิดอยากเล่าซะงั้น :))


คุณปุ่นโชคดีจังที่สุดท้ายก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก มีความสุข ... งานบางทีก็ไม่จำเป็นต้องรวยมาก แต่ทำแล้วมีความสุข เราว่าเป็นกำไรชีวิตมาก ๆ เลยเนาะ ....

เอนจอยกับกิจกรรมประจำวันค่ะ .... ไว้คุยกันอีกนะคะ :)))



โดย: Tristy วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:23:03:13 น.  

 
ปล. เรื่อง Mascarpone Cheese ที่บ้านเราแพงจริง ๆ ค่ะ ประมาณ กว่า 2.7 เท่าของราคาครีมชีสธรรมดา ... ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 4 เหรียญ ประมาณ 250 กรัม มังคะ ในขณะที่ครีมชีสจะถูกมาก ๆ ถ้่าออนเซลก็แค่ $ 1.25 ... ปีที่แล้ว ได้ราคา $.99 ด้วยซ้ำค่ะ :))


โดย: Tristy วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:23:10:22 น.  

 
มาแระๆ แฟนขับ อิอิอิ มาแระ

อ่านๆๆๆ ที่ปุ่นเล่าไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่รู้จะพูดแทรกตรงไหนดี จนถึงที่ปุ่นบอกว่า... ตั้งแต่เดือนมีนาปี 40 ปุ่นก็ไม่เคยขอเงินแม่อีกเลย
อ่านแล้วมันบอกได้เลยว่า.. วันนั้นคงจะเป็นวันที่ทำให้ปุ่นภูมิใจมากๆ ล่ะสิท่า ถึงได้จำได้แม่นอย่างนี้ .. ใช่มะจ๊ะ
จริงๆ แล้ววันที่พี่โตสหยุดขอตังค์แม่ พี่ก็ภูมิใจมากมายเหมือนกันนะ (ถึงแม้ว่าจะยังอยู่บ้านแม่ก็เหอะ ) เพียงแต่ว่า.. ไม่รู้ทำไม พี่โตสจะเป็นอะไรที่....ไม่ค่อยจดจำเรื่องวันเวลาเท่าไหร่ล่ะปุ่น .. เหตุการณ์ในอดีตหลายๆ อย่างมันก็ยังอยู่ในความทรงจำของพี่โตสล่ะนะ แต่...หลายๆ ครั้งเวลานึกถึงเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ในอดีต แล้วพยายามคิดถึงวันเวลาแม้กระทั้งแค่ปีในช่วงนั้น พี่โตสก็จะ....อื่ม.... จำไม่ได้แล้วว่ะ .. แทบทุกครั้งไปเลยล่ะ .. พออะไรประมาณนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา พี่ก็เลยต้องใช้วิธีบันทึกเอาไว้ เพื่อมาช่วยเตือนความทรงจะของตัวเองเกี่ยวกับเวลา

พูดถึงภาษาอังกฤษกับการหางานทำ .. จำได้แม่นเลยว่า.. เคยมีครั้งนึงที่มีคนสิงคโปรคนนึงที่พี่โตสแทบจะไม่ได้รู้จักอะไรมันเลย (มันเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่อีกที) พอมันได้รู้ว่าพี่เรียนเอกภาษาอังกฤษ .. มันพูดจาดูถูกประมาณว่า.. แล้วเธอจะไปทำอะไรกินล่ะเนี่ย..
ซึ่งพี่ก็ตอบมันไปว่า.. ตั้งกะจบม.ปลายมา (จริงๆ แล้ว ปวช.) จนถึงวันนี้ (วันที่มันถามพี่) ชั้นได้งานทำ "อย่างง่ายๆ มากๆ" มาตลอดเลยล่ะ .. ซึ่งงานที่ทำตอนนั้นมันอาจจะไม่ใช่งานที่ดีเด่เลิศหรูอะไรมากนัก .. แต่... มันเป็นการเริ่มต้นสั่งสมประสบการณ์ไง... เนอะปุ่นเนอะ

อื่ม... ปุ่นเล่าชีวิตตอนทำงานที่บริษัทผลิตของเล่นอะไรนั่นแล้ว... พี่โตสอินน์มากๆ เลยล่ะ.. อ่านแล้วเห็นภาพและรู้สึกได้อย่างชัดเจนมากๆ เลยหนูปุ่นว่า.. ชีวิตอะไรประมาณนั้น มันเป็นอะไรที่..... "แน่นอนที่สุด" ว่าไม่มีใครอยาจะเจอะเจอเลยจริงๆ นะ

ไอ้เรื่องที่ปุ่นต้องต่อสู้ฟาดฟันกับเล่ห์เหลี่ยมเชิงมารทั้งหลายในบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารอะไรนั่น.. พี่โตสเคยได้ยินมาเหมือนกันนะ.. แต่มีครั้งนี้เนี่ยแหละได้ยินจากคนใกล้ตัวเลย (ที่ผ่านๆ มามีแต่ได้ยินเค้าว่ากันว่า) .. เหมือนในหนังไม่มีผิดเลยอ่ะปุ่น


จบแบบให้อารมณ์ค้างเหมือนหนังมากๆ เลยนะปุ่น
ยังไงก็อย่าให้อารมณ์คนอ่านค้างนานนักล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวตอนต่อไปมันจะต่อไม่ติดนะจิโบกไห่

เห็นเม้นท์บ้าเดซี่พูดเรื่องเบื่อๆ บล๊อก (แต่ยังอยากอัพอยู่) .. พี่โตสว่าโรคนี้มันน่าจะเรียกว่า "โรคอิ่มตัว" นะ และก็ดูท่าไอ้โรคๆ นี้เนี่ยมันจะระบาดไปทั่วเหมือนกันนะเนี่ย.. เพราะช่วงหลังๆ มานี่ เพื่อนๆ มีแต่หาย หรือไม่ก็ผลุบๆ โผล่ๆ ไปตามๆ กัน
ซึ่งสำหรับพี่โตสแล้ว พี่ชอบอารมณ์เล่นบล๊อกของพี่เองตอนนี้มากๆ เลยล่ะปุ่น คือมันเป็นอะไรที่...แน่นอนว่า "ไม่ติด" มันแล้ว มีเพื่อนน้อยๆ แต่ก็เต็มไปด้วยคุณภาพ.. มีอารมณ์เข้ามาอัพเข้ามาคุยเมื่อไหร่ก็เข้ามา ไม่มีการยึดติดอยู่กับมันเหมือนสมัยปีแรกๆ ที่เล่น


โดย: Chini วันที่: 3 มิถุนายน 2553 เวลา:8:11:01 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณปุ่น

กรี๊ดๆๆ ก่อนอื่นขอวี้ดว้ายกระตู้วู้ตามสไตล์คนแอ๊บไม่ค่อยอยู่ ฮ่าๆ ก็แบบว่าชอบบล็อกนี้อ่ะ เรื่อราวเริ่ดมากแถมภาพก็สุดยอดชอบภาพเฟิร์นและดอกที่สีชมพูที่สองดูคล้ายๆ ดอกโบตั๋นเลยค่ะ ชอบจริงๆ

พอมาที่เรื่องการทำงาน นึกภาพออกค่ะไม่อยากบอกว่าชีวิตรันทดเช่นกันแม้จะไม่ได้สัมผัสชีวิตโรงงานแต่ก็ความลำบากและอดทนเนี่ยมีพอๆ กันเลยค่ะ แถมเคยทำงานแบบสามสี่เดือนถึงได้รับเงินเดือนจะออกก็ออกไม่ได้ต้องรอเงินก่อนไม่งั้นตายแน่ช่วงนั้นเครียดจนผมหงอกเลยค่ะ คนไม่เคยลำบากจะไม่รู้ เฮ้อ เรื่องภาษาฝึกได้ดีจนมาทำงานที่สุดท้ายก่อนจะย้ายมาทำงานช่วยพี่สาวและมาเจอแฟนค่ะ งานหนักแต่ก็คุ้มกับประสบการณ์ที่ได้ ยังไงจะรอเรื่องต่อไปนะคะ

ปล.ขอบคุณสำหรับกำลังใจและความเข้าใจค่ะ ทุกวันนี้อยู่กับตัวเองและคนที่เข้าใจเราดีกว่าเนอะ เทคแคร์ค่ะ


โดย: Thairabian วันที่: 3 มิถุนายน 2553 เวลา:11:16:33 น.  

 
โหย...เข้าใจเลยค่ะปุ่นว่าทำงานแล้วไม่สนุกนี่มันทรมานแค่ไหน พี่ Jujastar โชคดีที่ได้เจอแต่ผู้ร่วมงานที่ดีและมีนายที่น่ารักมาโดยตลอด แต่ก็เคยเป็นที่ปรึกษาให้น้อง ๆ ที่มีปัญหาในที่ทำงานอยู่บ่อย ๆ เห็นใจเลยค่ะบางคนนี่เจออย่างขนานหนักแทบจะเป็นบ้าเลยค่ะ พี่ต้องหาวิธีปลอบและหางานใหม่ให้ทำไปเลยก็มี


โดย: Jujastar วันที่: 3 มิถุนายน 2553 เวลา:21:48:39 น.  

 
ที่เราทนที่บริษัทแรก .. (ความจริงทำจ็อบเล็ก ๆ นิดหน่อย สี่ห้าเดือนก่อน หลังจากเรียนจบค่ะ) .... เพราะตั้งอยู่ในจังหวัดบ้านเกิดค่ะคุณปุ่น ... ดีใจ พอเขาเรียก รีบทิ้งการหางานที่กรุงเทพ ฯ กลับมา .... เพราะไม่ชอบบรรยากาศชีวิตที่กรุงเทพฯ ค่ะ ... บ้านก็ไม่ต้องเช่า ด้วย พ่อสร้างให้อยู่กับน้อง ๆ ข้าวก็ให้ฟรี ๆ อิอิ .... ทุ่นค่าใช้จ่ายได้เยอะ ตอนนั้นแม้เงินเดือนจะน้อย มีเงินเหลือค่ะ เพราะชีวิตไม่ได้ไปไหนเลย อยู่กับงาน ใส่ยูนิฟอร์ม ไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปช้อป แต่เครียด ... วันหนึ่งเพื่อนมาเห็นสภาพ ... ตกใจ สมัยเรียนกับสมัยทำงาน เธอช่างแตกต่างกัน :))) .... ก็เลยชักชวนออก .......

------------------------------------------

ส่วนใหญ่เล่าเฉพาะเรื่องลูกที่บล็อกค่ะคุณปุ่น .... ที่พบกับคุณแฟน ก็ช่วงได้งานสุดท้ายค่ะคุณปุ่น .... พอดีเขาไปสอนที่มหาวิทยาลัยที่เราทำงานอยู่ เราก็เกี่ยวข้องกับงานเทคแคร์อาจารย์ชาวต่างชาติอยู่แล้ว ก็ช่วยสอนภาษาไทยให้เขาด้วย รู้จักกันสองปี ก็แต่งงาน แล้วย้ายมาอยู่อเมริกาค่ะ ....

ไว้จะคอยอ่านเรื่องตอนต่อไปของคุณปุ่นนะคะ :))


โดย: Tristy วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:10:34:18 น.  

 
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปิดเม้นท์ แต่ก็ตั้งใจว่าจะเข้ามาเยี่ยมเยียนน้อง ๆ เหมือนเดิม ถ้าเห็นอัพบล็อกใหม่ ก็จะพุ่งเข้ามาเจิมทันที

ขอแสดงความยินดีกับข่าวที่ไปสอดไว้ใต้ประตูบ้านนะจ๊ะที่รัก เรียกว่าพร้อมแล้วทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ คุณค่าที่คุณคู่ควร ฮ่า ฮ่า ไม่เกี่ยวกันเลยเนอะ แต่ก็อ่ะนะ ช่างคิดสรร สึนาม้ง สึนาแม้วอะไรกันจ๊ะ ทำเอาอิชั้นกลัวววววววววว

มีอะไร ก็ไปหยอดไว้ใต้ประตูเหมือนเคย ถ้าปุ่นอัพบล็อกใหม่-แล้วป้าเห็น ก็จะรีบแล่นเข้ามาอย่างที่บอก ไปละ ฟี๊วววววววววววววววววววววว


โดย: Oops! a daisy วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:10:34:45 น.  

 
คุณปุ่นคะ ต้นปาปีรุสของน้องเหว่งนี่ เลี้ยงไม่โตเลยค่ะ ไม่รู้จะทำไงดี คุณปุ่นว่าจะเกี่ยวกับที่ว่า ต้องหากระถางใหญ่กว่านี้มาใส่รึป่าวคะ รดน้ำไปเยอะ เหมือนกัน กลัวเค้าเน่าตายก่อนน่ะค่ะ อิอิๆๆ

เห็นแอ๊บเปิ้ลสตรูเดิ้ลแล้ว เกิดอาการขึ้นมาทันทีค่ะ หิวววววววววววววว ไว้จะแวะมาใหม่นะคะ


โดย: น้องเหว่ง Super Toudou (Super Toudou ) วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:14:45:25 น.  

 
โห ชีวิตปุ่นประสบการณ์เพียบเลยอ่ะ เก่งจัง

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ


โดย: asita วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:19:40:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bananarumba
Location :
โคโลญจ์ Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




จากเชียงราย ผ่านเชียงใหม่ ไปกรุงเทพ ปัจจุบันลงตัวอยู่ที่โคโลญจ์ มีความสุขดีเหมือนเป็นบ้านที่สอง
ผ่านชีวิตมาเกือบครึ่งคนแล้ว เขียนบล้อกมาหลายปี จากตอนแรกที่อยากเขียนเพราะต้องการแบ่งปันและอยากมีเพื่อน ตอนนี้จุดหมายในการเขียนเปลี่ยนไปเป็น เขียนเพราะใจอยากเขียน รู้สึกรักภาษาไทยเหมือนเป็นนางงามมิตรภาพ
กิจการปิ่นโตดำเนินไปด้วยดีค่ะ ขอขอบคุณที่สนใจคลิกเข้าไปดูเว็บไซด์นะคะ
Friends' blogs
[Add Bananarumba's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.