Aus den Augen, aus dem Sinn
มาเป็นภาษาเยอรมันกันอีกแล้ว คราวนี้ว่าด้วย Sprictwort ที่มันแปลประมาณว่า สำนวน แบบบ้านเรา วันนี้ขอเสนอสำนวนว่า Aus den Augen, aus dem Sinn แปลตรง ๆ ก็คงจะหมายความว่า ออกจากสายตา ก็ออกจากใจไปด้วยเลย ที่จริง มันเป็นคำตัดพ้อ คนพูดจะคิดว่า คนเราพอไม่เห็นหน้ากันก็ลืมกันไปเลยนะ เหมือนว่าคนพูดเป็นฝ่ายถูกกระทำยังไงไม่รู้
ขอเข้าเรื่องตัวเองเลย...เวลาที่ฉันใช้ชีวิตผ่านมา เจอคนเข้ามาในชีวิตก็เยอะแยะมากมาย ตั้งแต่อยู่เชียงราย ย้ายไปเรียนเชียงใหม่ ต่อปทุมธานี แล้วมาขายแรงงานอยู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร (สมเป็นนครเฟื่องฟ้าราตรี) มีทั้งเพื่อน ทั้งคนรู้จัก เยอะมากเพราะตอนเด็ก ๆ ชอบทำสถิติหาเพื่อนเพราะตะก่อนเป็นคนขี้เหงา สำเร็จมั่งไม่สำเร็จมั่ง บ้างก็ให้ความร่วมมือดี บ้างก็คบแล้วไม่เวิร์ค แต่ตอนยังเด็กก็ยังทู่ซี้คบให้มันแทงใจเล่น
ก่อนหน้านั้น ช่วงอายุสิบแปดถึงยี่สิบห้า ที่จริงก็ดูคนออกแล้วล่ะว่าใครมาดีมาร้าย แต่ด้วยความขี้เหงาแม้แต่ศัตรูก็ยังคบเป็นเพื่อน แต่ว่าคนในเมืองเนี่ยนะ เค้าเข้ามาในวัฐจักรชีวิตแล้วก็หมุนออกไป ทั้งๆ ตอนที่เจอกันที่ทำงานทุกวันก็ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมซี้กันดี พอลาออกจากที่ทำงานไปแล้ว ไม่มีหรอกที่จะเค้าโทรมาหา ตอนนั้นยังโง่อยู่ ยังโทรติดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้สายสัมพันธ์ขาด แต่พอเราไม่โทรไป เค้าก็ไม่โทรมา ก็เริ่มเรียนรู้ว่า คนเราจะเป็นเพื่อนกัน ให้เราเป็นฝ่ายเติมความรู้สึกดี ๆ ให้แต่ฝ่ายเดียว มันดูจะไม่ถูกต้อง ไม่สมดุล และรู้สึกว่าไม่แฟร์กับตัวเอง แล้วจะรู้สึกแย่กับตัวเองที่ไปคาดหวังให้เค้ามาเป็นเหมือนเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
พออายุเลยยี่สิบห้าเริ่มฉลาดขึ้นมานิ้ดนึง เริ่มรับมือกับคนแปลก ๆ เป็นแล้ว เปลี่ยนที่ทำงานมาสองสามที่ เริ่มเรียนรู้ว่า อย่าไปแคร์อะไร ๆ มากมาย ปล่อย ๆ วาง ๆ บ้าง ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ เริ่มเรียนรู้ที่จะบำบัดความเหงา ด้วยการทำความเข้าใจมัน เผชิญหน้ากับมัน (โดยมีหนังสือธรรมะหลายเล่มเป็นไฟฉายส่องทาง) ในที่สุดฉันก็เป็นดาวที่เปล่งรัศมีด้วยตัวเอง ฮ่า ฮ่า โดยไม่ต้องพึ่งพาความสุขจากการช็อปปิ้งมากมายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังชอบช็อปอยู่พอประมาณไม่เดือดร้อนใคร โดยไม่ต้องขวานขวายหาใครสักหลาย ๆ คนมาเป็นเพื่อน โดยไม่ต้องตกเป็นทาสของมือถือและคอมพิวเตอร์ ไม่มีเธอฉันก็อยู่ได้ และ โดยไม่ตกเป็นทาสของความรัก ผู้ชายนิสัยเห็นแก่ตัว ก็เลิก ๆ ไปไม่กลัวอยู่คนเดียว แต่กว่าจะมีวันนี้ ไม่ได้ใช้เวลาวันเดียว ฉันต้องใช้เวลาบ่มเพาะกำลังใจให้ตัวเอง พลังงานที่นอกจากจะใช้ไปในการทำงานแล้ว ยังใช้กับการค้นหาความหมายของชีวิต นี่ ว่าไปโน่น และที่สำคัญ ฉันพบว่าโยคะช่วยให้ฉันนิ่งขึ้น ใช้เวลากับตัวเองตรึกตรองสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ในปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว อาทิตย์ที่แล้ว และในที่สุด เมื่อจบวันฉันก็เรียนรู้ที่จะคิดประมวลผลลัพธ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแต่ละวัน ไม่หลับหูหลับตาใช้ชีวิตอีกต่อไป วันนี้ อายุสามสิบสี่ปีแล้ว ย้ายมาอยู่เยอรมัน ยิ่งแล้วใหญ่ คนไทยที่นี่ก็ใช่ว่าจะมีพื้นฐานเหมือนเรา มาจากร้อยพ่อพันแม่ แต่จับพลัดจับผลูมาอยู่ต่างประเทศก็ใช่ว่าจะเจริญตามประเทศที่อยู่ มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตัวฉันเอง มีบทเรียนมาแล้วจากเมืองไทย ใครที่จูนแล้วไม่ตรง ฉันก็เลือกที่จะอยู่ห่าง ๆ ทีนี้ฉันก็เข้าใจด้วยว่า แต่ละคนให้น้ำหนักความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนต่างกัน บางคนไม่เจอหน้าก็ถือว่าแล้วกันไป บางคนก็เข้าใจรักษาสมดุล ติดต่อกันไปมาสม่ำเสมอ โดยวางขอบเขตไม่ให้ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากไป ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ได้ถือว่ามีไม่เยอะ (แต่ฉันโชคดีที่เจอหลายคนแล้ว ดีจัง) การจะไปคาดหวังให้คนอื่นมาเหมือนตัวเองนั้น ก็ดูจะเห็นแก่ตัวมากไป เพื่อนกันขอให้รู้ว่าอยู่ไกลแค่ไหน ความเป็นเพื่อนก็ยังอยู่ การใช้เวลาที่ดีร่วมกัน มันก็เป็นมิตรภาพที่มีความหมายแล้ว
ซึ่งการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้น มันสนุกตรงที่หาสมดุลชีวิตเจอเนี่ยแหละ โดยให้โอกาสและเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของตัวเอง อยู่กับคนที่ฉันรักและแคร์ คนที่ไม่แคร์ฉันนั้นหรือ บางทีฉันก็แอบแคร์นิดหน่อย ก็ฉันยังเป็นคนอยู่นี่นะ พอจบวันคิดตกแล้ว (ขอยืมสำนวนป้าเดซี่มา) ตัดสินใจได้ว่า "ขอสะบัดบ็อบเดินจากไปเลยค่ะ" สำนวนที่ยกมานั้น อยากจะให้มองในอีกแง่นึงว่า คนพูดสำนวนนี้แต่มีทางเลือกที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำตลอดไป หรือเลือกที่จะเข้าใจมันแล้วเอ็นจอยชีวิตในแต่ละวัน แล้วคุณล่ะ........ คุณเลือกรึยังคะ
หนังสือแนะนำ: ชุดมองด้านใน ของ ท่านพุทธทาสภิกขุ และ เข็มทิศชีวิต ของ ฐิตินาถ ณ พัทลุง
Free TextEditor
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552 |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 20:33:35 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1030 Pageviews. |
|
|
เพื่อนที่เมืองไทยตอนนี้ที่คบกันมาเป็นสิบๆปี ก็เหลือเพียงเเค่สองคน ถึงจะน้อยเเต่ถ้าเพื่อนมีคุณภาพดี ก็อยากจะคบไว้นานๆ เเบบว่าตอนนี้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
/emo/emo21.gif>
จำไม่ได้ว่าเคยถามปุ่นไปหรือยังว่า ปุ่นเล่นโยคะโดยการเข้าสตูดิโอใช่ไหม พี่หาคอร์สถูกๆใกล้บ้านไม่มีเลย ก็เลยฝึกเอง ได้นิดๆหน่อย ช่วงนี้ก็ยังพยายามลดน้ำหนักอยู่เหมือนเดิม เเต่ไม่ได้ชั่งเเล้่วละว่าหนักเท่าไหร่ เอาเเบบว่าให้รู้สึกฟิตก็พอ อาทิตย์งดกินเนื้อสัตว์ งดได้สองวันเเล้ว พยายามซื้อเต้าหู้มาทำอาหารเเทน เพราะปกติเป็นคนเนื้อสัตว์ค่อนข้างมากที่เดียว อยากจะพยายามลดลง เพราะรู้สึก การย่อยเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่เเล้ว
ปุ่นสบายดีนะ วันนี้เเถวย้านพี่อากาศดีมากๆ มีเเดดออก เเต่ก็ยังหนาวอยู่ เเฟนพี่ไม่อยู่ มีการโทรมาสั่ง ห้ามขับรถไปไหนไกลๆ เพราะเค้ากลัวเรื่องนักโทษเเหกคุก ไม่รู้ตำรวจจับได้ยัง พี่ไม่ได้ตามข่าวเลย
ดูเเลสุขภาพด้วยจ๊ะ
ปล ขอโทษทีนะ เมนท์ยาวไปหน่อย
ตอนนี้พี่ตกเป็นทาศของคอมพิวเตอร์อ๊ะปุ่น เเต่โทรศัพท์นี่ไม่เท่าไหร่ ไม่มีก็อยู่ได้ เดือนๆนึงเเทบไม่ได้ใช้เลย บางทีเเบตหมด ลืมไว้ตรงไหนก็ยังหาไม่เจอ เเต่ตอนอยู่เมืองไทย บิลโทรศัพท์สูงสุดที่เคยทำสถิติ ก็ปาไปเกือบสองหมื่น ช่วงที่เเฟนพี่ย้ายกลับมาเยอรมันนี เเบบว่าคิดถึงเค้ามาก โทรวันละหลายรอบ สุดท้าย คนรับโทรศัพท์ต้องเป็นคนโอนเงินมาจ่ายบิลซะเอง