someday we write , someday we wrong









พบเจอกันทั้งชุดนอน : นึกจินตนาการในชาตินี้ พานพบเจอจริงในชาติหน้า

คุณเคยจินตนาการถึงการได้พบเจอกับผู้คนที่คุณรู้จักในอินเตอร์เน็ตบ้างไหมครับ
สมมุติว่าหากวันนึงคุณบังเอิญได้เจอคนที่คุณคุ้นเคยกันในจากเว็บบอร์ดที่เล่นประจำ เพื่อนบล็อกที่มาเม้นต์คุยกันบ่อยๆ หรือคู่เม้าส์ขาประจำยามออน msn ขึ้นมา การพบเจอกันครั้งนั้นจะเป็นยังไงครับ ผมหมายถึงจะคุณจินตนาการออกไหมว่าจะเจอกันที่ไหน แต่ละคนแต่งตัวยังไง รู้ได้ไงว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พูดคุยอะไรกันบ้าง ไล่ยาวไปถึง...แล้วตกลงเค้าคนนั้นจะมีบุคลิกเหมือนที่เราพบเจอบนหน้าจอคอมพ์ไหมนะ... ...

ผมเคยจินตนาการนะครับ...ถึงเรื่องทำนองนี้ ^^ และข้างล่างลงไปนี้คือจินตนาการที่ว่าครับ
จินตนาการ....ที่บอกเล่าถึงตอนที่ผมได้บังเอิญไปพบเจอกับเพื่อนที่เล่นบล็อกและออน msn คุยกัน






เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งครับ ท่ามกลางอากาศขมอุ่นๆและสายลมเย็นหวานๆ
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาร์เตอร์จองตั๋วรอเวลาที่รถไฟจะมาจอดเทียบเพื่อพาผมไปยังหมู่เกาะพีพี...จังหวัดกะบี่ (คือแม้ในชีวิตจริงผมจะจมอยู่แต่บ้าน แต่ในจินตนาการนี่ผมออกท่องเที่ยวเป็นงานอดิเรกเลยครับ 555+) และไม่ใช่แค่จะเที่ยวเก่งกว่าในความเป็นจริงเท่านั้น เพราะในจินตนาการนั้น...ผมเป็นคนที่มีกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเองซะด้วย...ไฮโซใช่ย่อย...

แต่ไม่จำเป็นต้องเอากล้องมาทิ่มหน้าและกดซูมดูให้วุ่นวาย เพราะแค่ตาเปล่าของผมก็สามารถบอกได้แล้วว่ารอบๆตัวผมนั้นมีผู้คนรอเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมอยู่แค่ไม่กี่ชีวิต มีเก้าอี้ว่างเปล่ามากมายได้โอกาสอู้งานไม่ต้องคอยรับน้ำหนักก้นใคร ว่าแล้วผมจึงค่อยๆลิ้มรสชาติความสงบ นั่งฟังเสียงความเงียบงัน และมองดูความว่างเปล่าอย่างเพลิดเพลิน แต่แล้วอารมณ์สันโดษของผมก็ถูกรบกวน (...ในที่นี้หมายถึงผมถูกเบื้องบนขอร้องให้หยุดรักสันโดษสักครู่อย่างสุภาพ พลางชี้นิ้วให้ผมมองดูผู้หญิงที่กำลังเดินลากระเป๋าผ่านไปอย่างเร่งรีบแทน...) ผมมองตามนิ้วของเบื้องบน(หรือที่ใครต่อใครเรียกในอีกชื่อว่าพรหมลิขิต)ที่ขีดให้ผมบังเอิญเงยหน้ามาพบเจอกับเธอ ...ว่าแล้วผมก็ยกกล้องขึ้นและถ่ายภาพของเธอไว้...

แสงแฟลตจากกล้องของผมสว่างวาบไปทั่วทั้งสถานีรถไฟราวกับเทพซูสเผลอทำสายฟ้าตกจากเมฆลงตรงนั้นพอดี แต่สบายใจได้ครับไม่มีใครถูกฟ้าผ่าหรือได้รับบาดเจ็บ...จะมีก็แต่ผมที่กำลังจะเสียชีวิต!! เพราะทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นจับได้ว่าผมถ่ายรูปของเธอ เธอก็ออกอาการแบบบอกบุญไม่รับพระสงฆ์อย่าขวาง แยกเขี้ยวทำหน้าดุ และเดินตรงดิ่งมายังผมด้วยความเร็วที่ต่อให้ผมทิ้งสัมภาระทั้งหมดเพื่อวิ่งหนีก็คงไม่พ้นระยะทำลายล้างของเธออยู่ดี





“นายถ่ายรูปชั้นเหรอ!!”
เธอตระหวาดถามเสียงดุ ผมตัวสั่นและหวาดกลัว ส่วนคนอื่นๆในสถานีกำลังจะได้เห็นคดีอาชญากรรม
“ครับ” ผมตอบพลางยกกล้องให้เธอดูผลงาน...ภายในนั้นบรรจุภาพของเธอ 1 ภาพถ้วนเป็นหลักฐานมัดตัวผมซึ่งคาดว่าหลักฐานนี้คงเดินทางไปถึงมือศาลเตี้ยเรียบร้อยแล้ว คณะลูกขุนจึงลงความเห็นว่าผมสมควรตาย และส่งเธอคนนี้มาหักคอผมแบบไม่ต้องรอลงอาญา
“เสียมารยาทมาก” เธอด่าก่อนฆ่าคงกะจะให้ผมทรมานก่อนตาย “คิดอยากจะถ่ายก็ถ่ายเลยเหรอไง คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ห๊า! เคยคิดจะขอก่อนสักคำหรือก็เปล่า อย่าอยู่ซะดีมั้ง!!!” ผมแอบชอบตอนเธอด่ามากกว่าตอนที่เธอบอกจะว่าลงมือ
“เดี๋ยวสิๆ ผมไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย...ผมแค่ทำไปตามหน้าที่” ผมพยายามอธิบาย “คุณน่าจะเข้าใจผมนะ” ผมพูดพลางก็ชี้ไปที่หน้าอกของเธอ. ..ใจเย็นๆครับผมไม่ได้คิดลามก เพราะระหว่างนิ้วของผมกับหน้าอกของเธอนั้นมันมีมวลของอากาศ ระยะห่างราว 30 นิ้ว และกล้องถ่ายรูปที่เธอคล้องคอไว้ขวางกั้นอยู่

“คุณน่าจะเข้าใจนะ...เพราะคุณก็มีกล้อง”
ผมพูดราวกับใบ้ปริศนา เธอเลยทำหน้างุนงงและสับสน ส่วนคนอื่นๆในสถานีทำท่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นเลือด

“ไหนลองอธิบายมาสิ”
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมขอยืมกล้องของคุณหน่อยได้ไหมครับ”
ในใจผมคิด ถ้าแผนทางวิชาการนี้ไม่ได้ผล ผมจะปฏิบัติการณ์โยนกล้องนี้ไปทางซ้ายแล้วรับวิ่งหนีไปทางขวาแทน
“อ้ะ!!” เธอส่งกล้องให้แบบไม่เต็มใจอย่างแรง แต่ผมไม่มีเวลามาถือสา เพราะต้องรีบกดหาหลักฐานอะไรก็ได้ในกล้องตัวนั้นเพื่อจะได้นำไปแก้ต่างในชั้นศาล(เตี้ย)ให้เร็วที่สุด

ด้วยเวลาเพียงไม่นาน และแล้วผมก็พบ... .... ........





“นี่ภาพอะไรครับ” ผมถามพลางส่งกล้องให้เธอดูภาพที่เธอถ่ายและเก็บไว้ในเมอโมรี่การ์ด
“ตายายคู่นึง” เธอตอบแบบส่งๆ “ทำไม รู้จักเหรอไง อ๋อ...นี่จะอ้างว่าตัวเองเป็นลูกคนใหญ่คนโตหรือไง!!”

เอ้า...ไปกันใหญ่แล้วแม่คุณ...

“ไม่ๆ คือผมจะถามคุณว่าคุณรู้จักคุณตาคุณยาย 2 คนนี้ไหม”
“ไม่รู้จัก” เธอตอบเร็ว
“เคยคุยกับพวกท่านมาก่อนหรือเปล่า”
“ก็ไม่เคย ไม่เคยไปกินข้าวด้วยกันแล้วก็ไม่เคยไปบ้านพวกเขาด้วย จะถามหาใยแมงมุมไปทำไมเนี่ย”
“คือ...ถ้าคุณไม่รู้จักกับ 2 คนนี้ ไม่เคยพูดคุยกับเขา และเอ่อ...ไม่เคยไปดินเนอร์และเยี่ยมพวกเขาที่บ้านมาก่อน แบบนี้ผมจะสรุปเหมาๆเอาได้ไหมว่า คุณถือวิสาสะถ่ายรูปของพวกเขามาโดยไม่ได้เอ่ยปากขอก่อน?”

ทันใดนั้น...เธอทำหน้าเหมือนคนกำลังเคี้ยวอะไรอยู่ในปากเลยไม่อยากจะพูดให้ตัวเองเสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร
ว่าแล้วผมก็กดเลื่อนหาภาพในกล้องของเธอต่อไปเรื่อยๆ ... ... ...





“แล้วรูปนี้ล่ะ รู้จักนักดนตรีข้างถนนในรูปนี้ไหม” เธอส่ายหน้าช้าๆราวกับไม่ค่อยจะอยากส่าย
“แล้วผู้หญิงที่หันหลังอยู่ล่ะ” เธอส่ายหน้าต่อในจังหวะเดิม “ฮึม...” ผมคำรามในลำคอ





“แล้วคนทั้งตลาดนี่ล่ะ” เธอพยักหน้าตอบว่า “ไม่” อย่างต่อเนื่องและทิ้งตัวลงนั่งก้มหน้าข้างๆผม
“แล้วนั่นจักรยานใคร” เธอเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมแบบหาเรื่องราวกับจะพูดว่า “จะไปรู้แม่มึงเหรอ!”





“แล้วนี่ล่ะ” ผมถาม ส่วนเธอรีบเด้งตัวขึ้นจากพนักเก้าอี้ราวกับพบเจอช่วงเวลาแห่งชัยชนะ
“นี่มันแค่ใบไม้นะ ว้ายๆ ไม่ใช่คนสักหน่อย”
“แค่ใบไม้? มองจากมุมผมนี่ ภาพนี้เหมือนคุณไปลักพาตัวมันมา รุมซ้อมมันจนมันบาดเจ็บสาหัส หักคอมันทิ้งจนมันต้องลงไปกองกับพื้น แล้วเอาน้ำสาดใส่มันพร้อมๆกับพูดว่า “ตื่นขึ้นมาทำหน้าสดชื่นหน่อยสิ จะถ่ายรูปแล้ว!!” อะไรประมาณนั้นเลย” เธอฟังแล้วทำหน้าทำหน้าตาเหมือนโมเม้นต์แห่งชัยชนะได้ผ่านพ้นไปแล้ว “’นี่ๆ...ผมขอจับคุณซ้อม สาดน้ำใส่ และถ่ายรูปบ้างได้ไหม” ผมพูดแล้วหัวเราะส่วนเธอพยายามจะแย่งกล้องกลับไปให้จงได้!





“นี่อะไรเนี่ย...นี่ฆ่าดอกไม้ตายแล้วยังไม่พอยังแต่งศพมันอีกเหรอ”
“แต่งศพอะไร?”
“ก็เหมือนเวลามีคนตายแบบตัวไปทางหัวไปทางแล้วเราจ้างผู้เชี่ยวชาญมาแต่งศพให้สวยๆ ใบหน้าดูดีมีเลือดฝาด หวีผมจนเรียบ สวมสูทดีๆอะไรอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกันเลย เอาศพดอกไม้ที่ตายแล้วมาแต่งใหม่...นี่ขอมันก่อนถ่ายหรือก็เปล่าแถมยังไม่เคารพศพมันอีก คนอาราย...ใจร้าย” เธอทำหน้างงๆเหมือนมีอะไรจะเถียงแต่คิดไม่ออกว่าจะเถียงอะไร(?)






“เอาเข้าไป...ต้นไม้ก็ไม่รอด ดอกไม้ก็ไม่เว้น นี่สัตว์น้ำก็ไม่สน สัตว์ใหญ่ก็ยังจะเอาอีก”
“ก้อ...ก้อ...ก้อ” เธอพยายามจะสวน
“ไม่ต้องมาก้อเลย นี่ได้ขอพวกมันก่อนหรือเปล่าว่าจะถ่ายรูปพวกมันน่ะ”
“จะไปขอได้ยังไง พวกมันเข้าใจภาษาคนซะที่ไหน”
“อ๋อ...งั้นแบบนี้ผมก็เดินไปถ่ายรูปคนญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องขอเลยสิ เพราะพวกเขาคงไม่เข้าใจภาษาไทย...ใช่ไหม”
“แง่ง!!!” เธอจะกัดผมครับ!! ผมสาบานได้เธอจะกัดผมจริงๆ!!!

(ปล กล้องของเธอระบุชื่อไฟล์รูปภาพของปูเสฉวนเอาไว้ว่า “จะหนีไปไหน” ซะด้วย...นางยักษ์จริงๆยายคนนี้...)






ผมหันไปจ้องหน้าเธอทันทีที่พบเจอ 2 ภาพนี้ ...ส่วนเธอพยายามหลบตาทั้งไม่จ้องกลับ ไม่กัด ไม่ตอบ ไม่พูดด้วยใดๆทั้งสิ้น...จวบจนตัวเธอเองคงทนความเงียบไม่ไหวเลยเป็นฝ่ายยอมพูดขึ้นเองว่า

“เออๆ!! เข้าใจประเด็นแล้วอยากจะถ่ายก็ถ่ายไปเลย เอากล้องคืนมา!!!” เธอคงนึกกำลังเสียใจที่ตัดสินใจเดินมาเอาเรื่องผม

เพราะในจินตนาการนั้น...ผมเถียงชนะเสมอครับ ^^





“ไม่นะ ผมไม่ได้หมายความว่าพวกเรามีสิทธิ์ถ่ายภาพทุกคนได้เพียงเพราะเรามีกล้อง” ผมยังไม่ยอมคืนกล้องให้กับเธอ “คือผมหมายถึงการถ่ายภาพแบบไร้จรรยาบรรณมันก็มี แบบพวกแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิงอะไรแบบนั้น”

“แล้วที่นายแอบถ่ายรูปชั้นมันเป็นแบบไหน”

“คืองี้ มันเหมือนกับพระเจ้าประธานพรมาให้มนุษย์หลงรักโลกใบนี้ ทีนี้ก็มอบหน้าที่ให้กับมนุษย์ทุกผู้ที่มีกล้องในการเก็บภาพสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นหากภาพของเราไม่ได้ไปทำร้ายใคร พวกเราก็มีหน้าที่ต้องเก็บภาพต่อไป กลับกันถ้าคนที่มีกล้อง” ผมใช้นิ้วชี้ชี้ค้างไว้ที่เธอ 2 วิและหันนิ้วกลับมาชี้ตัวเองอีก 1 วิ “พบเจอความสวยงามแล้วดันไม่ยอมยกกล้องขึ้นมาถ่ายมันเอาไว้สิ นั่นถือว่าทั้งบาปและบกพร่องต่อหน้าที่ที่ได้รับจากพระเจ้าเลยก็ว่าได้“

“ขนาดนั้นเลย...” เธอทำหน้าเหมือนคนที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังคุยกับคนบ้า และพยายามจะหาทางหนีให้เร็วที่สุด

“แน่นอนสิ” ผมยังยืนยันว่าตัวเองบ้าต่อไป “สมมุติว่าถ้าคุณไม่กดชัตเตอร์...ผมจะได้รู้ได้ยังไงว่าความรักของคุณตาคุณยายที่มีหน้าตาเหมือนคนใหญ่คนโตคู่นึงยังคงหวานชื่นกันดีอยู่” เธอหัวเราะเล็กๆจนเกิดรอยยิ้มที่มุมปาก “มันเหมือนกับที่คุณได้เก็บภาพของนักร้องที่มองหาความฝันตามถนนกับหญิงสาวที่พยายามช่วยเติมเต็มความฝันนั้นมาให้ผมได้ดู เหมือนกับตอนคุณเก็บหลักฐานการคงอยู่ของต้นไม้และดอกไม้เอาไว้ให้คงอยู่เหนือกาลเวลา และเหมือนกับภาพปูเสฉวน ลิงในกรง และชายหนุ่มบนชายหาด…ภาพทั้งหมดในกล้องนี้จึงช่วยยืนยันแล้วว่าคุณได้ทำหน้าที่ไว้อย่างดีเยี่ยม”

“คุณพบเจอสิ่งสวยงามแล้วใจรักที่พระเจ้าได้มอบให้ก็ดลให้คุณอยากที่จะบันทึกวันเวลาเหล่านี้เอาไว้“

“เพราะพวกเรา(คนที่มีกล้อง)เป็นเหมือนคนที่บันทึกและจูงมือพาอดีตมายังปัจจุบัน เหมือนคนที่หยุดวันเวลาไว้ชั่วนิรันดร์ เหมือนคนที่คงความสวยงามไว้ตลอดกาล นี่คือพวกเรา...ผู้คนที่ใช้ความนิ่งของภาพในการบรรยายสิ่งที่เคลื่อนไหวให้ออกมาเป็นเสียงดนตรีแห่งอารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ อดีตกาล และจินตนาการ”





พอพูดจบผมก็ยื่นกล้องคืนให้กับเธอ พลางยกกล้องของตัวเองขึ้นในระดับสายตา...โดยคราวนี้ผมถามก่อน...
“ทีนี้ให้ผมทำหน้าที่ได้หรือยัง” ผมถามและเขย่ากล้องในมือเบาๆ เพื่อให้ได้เธอเข้าใจว่า ด้วยกล้องตัวนี้...ผมจึงมีหน้าที่ต้องจับภาพทุกความสวยงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า


เมื่อเธอพยักหน้าตอบคำถาม ผมจึงกดชัตเตอร์รับคำตอบ... ... ...



แชะ




























…...



Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 15 เมษายน 2553 15:23:14 น. 12 comments
Counter : 1503 Pageviews.

 
อ่านจนจบ ชอบการเขียนของ คุณมากเลยครับ
อ่านเเล้วสนุกมากครับ...จะติดตามผลงานต่อไปฮะ...


โดย: เสี้ยวขาวฯ IP: 82.124.65.113 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:28:20 น.  

 
วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ผมก็อายุเท่าคุณแล้วครับ


โดย: beerled IP: 58.9.134.184 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:08:02 น.  

 
ใครว่า...มนุษย์ หยุดเวลาไม่ได้....
สิ่งประดิษฐ์ทีช่วยหยุดเวลาของมนุษย์ ...ก็คือ "กล้อง" บันทึกภาพ นั่นแหละ....

แต่การหยุดเวลา "คน" เนี่ยเราไม่ค่อยถนัดนัก

ตอนที่ไปอบรมถ่ายภาพ...ผู้สอนก็บอกว่า...
หากจะให้ได้ภาพดี...เราก็ต้องออกปากกับแบบ....ว่าเรากำลังต้องการอะไร ....
มือสมัครเล่นอย่างเรา...ก็ไม่กล้าเอ่ยปากซะอีก....ถ้าเป็นคนแปลกหน้า

ภาพคนแปลกหน้า....ของเรา
จึงเป็นภาพแอบถ่าย....ใช้กล้องซูมเอา...ไม่รู้เป็นไงนะ
เรามักจะเลือกถ่ายภาพลักษณะนั้น แบบขาว-ดำ

เราชอบบทสรุปของคุณ ...


“เพราะพวกเรา(คนที่มีกล้อง)เป็นเหมือนคนที่บันทึกและจูงมือพาอดีตมายังปัจจุบัน เหมือนคนที่หยุดวันเวลาไว้ชั่วนิรันดร์ เหมือนคนที่คงความสวยงามไว้ตลอดกาล นี่คือพวกเรา...ผู้คนที่ใช้ความนิ่งของภาพในการบรรยายสิ่งที่เคลื่อนไหวให้ออกมาเป็นเสียงดนตรีแห่งอารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ อดีตกาล และจินตนาการ”



โดย: นัทธ์ วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:26:51 น.  

 
Such a romantic story!


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:1:09:43 น.  

 
โห โรแมนติคซะ.... คอมเม้นส์ไม่ถูกเหมือนกันครับ 55+

หากแต่มันเกิดขึ้นในชีวิตจริงก็คงจะดี... คุณชุดนอนว่าไหม?


โดย: BloodyMonday วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:13:10:09 น.  

 
อ๊าย..ย..ย..รูปสุดท้าย
เจ้าตัวเค้าเต็มใจให้จริงเหรอ
น่ารักมากๆ..แบ๊วได้อีกนะ..คนอะไร
ฝากคุณชุดนอนไปบอกด้วย..น่ารักจัง

ว้าว..ว..ว.. อ่านจบไป อนหายใจอย่างออบอุ่น
น่ารักจัง..จินตนาการของคุณ..อ่านไปยิ้มไป


ด้วยความยินดีค่ะ..หากจะเข้าร่วมกิจกรรม


โดย: nikanda วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:7:00:37 น.  

 
หญิงสาวในจินตนาการของคุณชุดนอนนี่โหดแบบน่ารัก
คล้าย My sassy girl จริงๆ อิอิ

เป็นการนำภาพถ่ายมาเช่นเล่าเรื่องได้น่ารักมากๆ เลยค่า
แต่เอ ไม่กล้าเอ่ยนามหญิงสาวคนนั้น ณ ที่แห่งนี้
เพราะไม่แน่ใจว่ายินดีให้เปิดเผยรึเปล่าหนอ จุ๊ๆๆ


โดย: BeCoffee วันที่: 3 มีนาคม 2552 เวลา:7:05:54 น.  

 
ชอบมากเลยครับ ตรงท่อนที่บอกว่า "มันพูดภาษาคนไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีจิตใจ"


โดย: กานต์ IP: 119.42.98.47 วันที่: 6 มีนาคม 2552 เวลา:8:53:23 น.  

 
หวานเอ๋ย เชิญที่เฉลิมไทยหน่อย

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7617512/A7617512.html

ขี้เกียจใส่ลิงค์ แต่เคยทำแล้วน่ะ


โดย: beerled IP: 58.9.130.224 วันที่: 12 มีนาคม 2552 เวลา:7:21:37 น.  

 
หายไปนานเสียจริงๆครับ


โดย: BloodyMonday วันที่: 14 มีนาคม 2552 เวลา:13:28:26 น.  

 
เธอน่ารักจังค่ะ ..... (รูปสุดท้ายอ่ะ)


โดย: wujirab วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:17:41:30 น.  

 
พี่ชุดนอนนี้เป็นคนโรแมนติดตั้งแต่อดีตจนมาปัจจุบันจริงๆน๊า //ยืนบ่นหน้าบ้าน แล้วค่อยๆเดินจากไปเงียบๆ...


โดย: กระต่ายน้อย IP: 182.53.117.40 วันที่: 11 ธันวาคม 2556 เวลา:0:53:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอรบกวนทั้งชุดนอน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
26 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ขอรบกวนทั้งชุดนอน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.