เปิดในนักเรียนไทยที่อพยพจากประเทศอียิปต์ หลายคนระบุ ดีใจที่ได้กลับมาเจอคนในครอบครัว พร้อมเล่าถึงความเป็นอยู่ ท่ามกลางความหวาดกลัว และลำบากแต่ยังดีที่มีอินเทอร์เน็ต สื่อสารกับโลกภายนอก โดยหลายคนยืนยันที่จะกลับไปศึกษาต่อเมื่อสถานการณ์สงบ...

ทันทีที่เครื่องบินโบอิ้ง 747-400 ของการบินไทย เที่ยวบินพิเศษที่ TG 8477 นำนักเรียนไทยและคนไทยที่อพยพออกมาจากประเทศจากอียิปต์จำนวน 368 คน บินตรงจากนครดูไบ กลับสู่แผ่นดินเกิดอย่างปลอดภัย หลังใช้เวลาเดินทางยาวนานถึง 11 ชั่วโมง นับตั้งแต่ออกมาจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ วินาทีแรกที่นักเรียนไทยหลายคนพบหน้าบุคคลในครอบครัว ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครองที่เดินทางมารอรับ ต่างโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่น เพื่อถ่ายทอดความห่วงใย และความคิดถึง ที่มีต่อกัน เพราะหลายคนไม่ได้พบหน้าครอบครัวมานานเกือบ 2 ปี การเดินทางกลับเมืองไทย วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่หลายครอบครัวรอคอย พร้อมๆ กับความรู้สึก "โล่งอก" ทันทีที่เป็นหน้าบุตรชายเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย

นายอาลี มังประเสริฐ ชาวมุสลิม ย่านประเวศ ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื้นตัน ไม่ต่างจาก ธนากร มังประเสริฐ บุตรชาย ที่เดินทางไปศึกษาศาสนา ที่อียิปต์ และไม่ได้กลับบ้านมานานถึง 1 ปี 8 เดือน บอกกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า เมื่อเห็นหน้า "พ่อ" รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก เพราะแผ่นที่ดินเขาจากมากำลังลุกเป็นไฟ ที่พักของเขาอยู่ใกล้จุดที่ีมีการประท้วงกันมากที่สุด ภาพที่เห็นจากที่พักสร้างความตื่นตระหนก และอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย

นักศึกษาไทยวัย 18 ปี กล่าวต่อว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์รุนแรง ผมเห็นกับตา เห็นมีการยิงประชาชน และทหารใช้แก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุมด้วย ผมถ่ายคลิปวิดีโอไว้ด้วยเพราะตอนเกิดเหตุจลาจล กำลังลงไปกดเอทีเอ็ม แต่ตู้ปิดและเจอกับเหตุการณ์พอดี ธนากร เล่าถึงช่วงเวลาตึงเครียดในอียิปต์ ผมพักอยู่ในย่านนูรุ้ลค้อตต๊อปป ใกล้กับจุดที่มีการชุมนุมประท้วงมาก แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะนักศึกษาไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การออกนอกบ้านค่อนข้างลำบาก เพราะมีช่วงเวลาเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกเคหสถาน จึงตัดสินใจกลับบ้าน แม้ตอนแรกจะลังเล เพราะเป็นห่วงการเรียน แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ครอบครัวเป็นห่วงมากไปกว่านี้ จึงเลือกกลับมากกว่าอยู่

"ตอนแรกก็ 2 จิต 2 ใจ ถ้าจะอยู่ต่อก็คิดว่าอาจอันตรายมากกว่านี้ เรียกว่ากันไว้ดีกว่า เพราะตอนเดินทางกลับที่สนามบินก็มองเห็นรถถังมาจอดอยู่แล้ว ขณะที่ประชาชนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็พร้อมที่จะลุกฮือ และที่บ้านบอกให้กลับด้วย และเมื่อเดินทางกลับถึงแผ่นดินเกิด รู้สึกว่าเขาตัดสินใจถูกแล้ว เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น และพร้อมจะกลับไปเมื่อเหตุการณ์สงบ เพื่อศึกษาเล่าเรียนให้จบตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนเพื่อนๆ ของเขาก็เดินทางกลับมาหมดแล้วเช่นกัน เพราะหลายคนเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง และห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัว" ธนากร กล่าว

ขณะที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกลางกรุงไคโร ของอียิปต์ในครั้งนี้ นักศึกษาไทยโชคดีที่ไม่ขาดการติดต่อกับครอบครัว เพราะไม่มีการตัดการสื่อสาร โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตที่พวกเขาใช้เป็นสื่อหลักในการติดต่อกับโลกภายนอก สำหรับพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนไทยด้วยกัน และติดต่อกับคนที่เมืองไทย ทำให้ไม่รู้สึกถูกตัดขาด และไม่หวาดกลัวจนเกินไป

ด้าน นายนรินทร์ เริงจินดา นักศึกษาไทยอีกหนึ่งคน ที่อาศัยอยู่ในกรุงไคโร เคยผ่านเหตุการณ์นองเลือดที่อียิปต์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน เขาไปศึกษาเล่าเรียนที่นั่นมานานถึง 4 ปี นรินทร์ บอกกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ว่า ตัดสินใจเดินทางกลับสู่อ้อมอกของครอบครัว ด้วยความรู้สึกที่ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน แม้ตัวเขาจะไม่ได้ออกไปเผชิญหน้ากับการปะทะ แต่ข่าวที่ได้ยิน ภาพที่เห็นทางยูทูบ เสียงปืนและเสียงระเบิดที่ได้ยินจากในบ้านพักตลอดเวลา ทำให้เป็นกังวล และตัดสินใจเดินทางกลับ

"ผมไม่ได้ออกจากบ้านนานเป็นเดือนๆ เพราะทางการประกาศเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน และประกาศเตือนห้ามออกนอกบ้านเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัยจึงอยู่แต่ในที่พัก อาหารการกินหาซื้อเอาใกล้ๆ พอหาได้ แต่ราคาอาหารก็แพงขึ้นเรื่อยๆ" นรินทร์ เผยถึงสภาพความเป็นอยู่ที่อียิปต์

นักศึกษาไทยรายนี้ เล่าอีกว่า ทราบข่าวจากเพื่อนฝูงและคนรู้จักว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าครั้งก่อน และตัวเองไม่รู้สึกผิดหวังที่เดินกลับบ้านมาพบหน้าครอบครัว ที่รอคอยต้อนรับการกลับบ้าน ทำให้รู้สึกอุ่นใจกว่า และยังสร้างความพอใจให้กับบุคคลอันเป็นที่รักด้วย และเมื่อเหตุการณ์สงบลง ก็จะกลับไปอีกครั้ง เพราะเชื่อว่า สถานการณ์น่าจะคลี่คลายลงอย่างแน่นอน เพราะการประท้วงเริ่มขยับออกไปรอบนอกไคโรแล้ว

เช่นเดียวกับนักศึกษาหญิงชาวมีนบุรีอีกราย ที่ไปศึกษาในอียิปต์ได้เพียง 1 ปี ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะกลับไปเรียนต่อ เมื่อเหตุการณ์ที่นั่นสงบลง และที่พักของเธอห่างไกลจากจุดปะทะ เพียงแต่การใช้ชีวิตไม่สะดวกเหมือนที่เคยเป็น เพราะมีการปิดถนนหลายจุด บางแห่งรถประจำทางหยุดวิ่ง การเดินทางไปเรียนลำบาก

"บางที ออกจากบ้านมาแล้ว ถึงจุดที่ปิดถนน รถเมล์ก็หยุดวิ่งทันที และโรงเรียนก็ปิด ทำให้ไม่ได้เรียนต้องกลับมาบ้านพัก และอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่เพราะผู้คนไม่ออกไปข้างนอก" นักศึกษาหญิงกล่าว

วันนี้เธอเดินทางกลับมาพร้อมญาติพี่น้องที่ไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์ เพื่อความปลอดภัย และทำให้ครอบครัวสบายใจ แม้ว่าจะติดต่อกันได้ทางโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต แต่หัวอกคนเป็นแม่ ก็ยังกังวลไม่น้อย

มารดาของนักศึกษารายนี้ เล่าให้ "ไทยรัฐออนไลน์" ฟังว่า ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวเหตุการณ์ประท้วง เป็นห่วงลูกสาวมาก แต่เมื่อโทรศัพท์พูดคุยกัน ลูกยังมีน้ำเสียงแจ่มใส ทำให้คลายกังวลไปได้บ้าง แต่ให้เลือกได้เธอให้ลูกกลับมาบ้านก่อนดีกว่า

ขณะที่ บรรดานักศึกษาไทยหลายชีวิตที่ "ไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ส่วนใหญ่ใช้ทุนของครอบครัวไปศึกษาเล่าเรียนทำให้พวกเขามุ่งมั่น ที่จะกลับไปเรียนต่อ เมื่อสถานการณ์ที่อียิปต์กลับคืนสู่ภาวะปกติ

แต่สำหรับคนที่ใช้ทุนของรัฐบาลในการศึกษาเล่าเรียน หลายคน "เปลี่ยนใจ" ไม่เดินทางกลับมา เพราะกังวลว่า จะไม่สามารถใช้ทุนของรัฐกลับไปศึกษาเล่าเรียนอีกครั้ง เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศทราบปัญหาแล้ว และนายปรีดา เชื้อผู้ดี ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลนักศึกษากลุ่มนี้ด้วยการอำนวยความสะดวกให้พวก เขาได้กลับบ้านเหมือนคนอื่นๆ และได้กลับไปเรียนอีกครั้ง เพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สำหรับตัวเลขล่าสุดนักศึกษาไทยในอียิปต์ทั้งหมด 1,500 คน แสดงความจำนงที่จะเดินทางกลับแล้ว 700 คน ที่เหลือขอประเมินสถานการณ์ต่อไปอีกระยะ.