ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) วันนี้(21 พ.ค.)กลุ่มเครือข่ายผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) พร้อมด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เดิมกว่า 20 คน เดินทางมายังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อร่วมเจรจาหาข้อยุติกรณีการรับนักเรียนชั้น ม.4 ของโรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) โดยมีนายพิชิต สุกัญนาญ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ เป็นตัวแทน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการที่ต่างประเทศ เข้าร่วม พร้อม นายบุญทัน ดอกไธสง ในฐานะนักวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (นิด้า) และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
นายพิชิต กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ได้กำชับก่อนเดินทางไปราชการ ว่าให้แก้ไขปัญหาโดยนึกถึงเด็กเป็นสำคัญ และต้องหาที่เรียนให้แก่นักเรียนให้ได้ ซึ่งการหารือครั้งนี้มีข้อยุติที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย และในวันที่ 22 พ.ค. เวลา 09.00 น. รมว.ศึกษาธิการ จะร่วมประชุมกับกลุ่มเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนบดินทรเดชาฯ อีกครั้งก่อนจะเปิดแถลงข่าว ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าการออกมาประท้วงหรือเรียกร้องเด็กนักเรียนจะได้ที่นั่งเรียนทุกคน เพราะต้องเป็นไปตามกฎ กติกาและหลักเกณฑ์ที่วางไว้
ด้าน ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า หวั่นใจว่ากรณีโรงเรียนบดินทรเดชาฯ จะเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนอื่นลุกขึ้นมาบ้าง ซึ่งขณะนี้การรับนักเรียนก็ลงตัวไปแล้ว 95% เขตพื้นที่ใดที่มีปัญหาก็ได้มีการอธิบายและทำความเข้าใจกันแล้ว เราจึงพยายามที่จะแก้ปัญหาครั้งนี้ให้เป็นการแก้ไขที่ยั่งยืน และในกรณีที่เกิดขึ้นในปีนี้คงต้องนำบทเรียนไปทบทวนนโยบาย และแนวปฏิบัติการรับนักเรียนเข้าเรียนชั้น ม.4 ในปีต่อไป
นายปัญญา แก้วกียูร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า นายสุชาติได้โทรศัพท์มาขณะประชุมและแสดงความห่วงใยในเรื่องนี้แต่ไม่ได้ระบุว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของโรงเรียน และยังไม่ได้ระบุว่าจะช่วยเหลือเด็กอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เมื่อเร็วๆนี้ นายสุชาติได้ลงนามคำสั่งแต่งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริง มี ปลัดกระทรวงเป็นประธาน โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่าจากกรณีภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ของชาติได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการศธ.และกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียนโรง เรียนบดินทรเดชาฯ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนังสือทั้งสองฉบับได้ขอเรียกร้องสิทธิให้นักเรียนที่จบชั้นม.3 จากโรงเรียนบดินทรเดชาฯได้เรียนต่อม.4และอ้างว่าถ้าจะเข้าเรียนได้ต้องจ่าย เงินในอัตรารายละ 2-3 แสนบาทดังนั้นเพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวและให้ความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่ายจึง ทั้งนี้ตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงด่้วยโดยขณะนี้ได้ลง พื้นที่หาข้อมูลกันแล้วและคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตามการตั้้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้ไม่ได้ตั้งสอบผอ.โรงเรียนบดินทรเดชาฯเ ป็นเพียงการหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(สะพานหัวช้าง) นายมงคลกิตติ์ สุขสิทารานนท์ เลขาธิการคณะกรรมการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นของชาติ ( ภตช.)และเครือข่ายผู้ปกครอง เดินทางมายื่นหนังสือต่อพ.ต.อ.สีหนาถ ประยูรรัตน์ เลขาปปง. เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบบัญชี ทรัพย์สิน และความเคลื่อนไหวในการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาที่อาจจะมีการเรียกรับสินบน (แป๊ะเจี๊ย) เพื่อให้เด็กได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาพร้อมแนบรายชื่อโรงเรียนที่เข้าข่ายอาจจะมีการทุจริตเรียกรับเงินจำนวน 20 โรงเรียนโดยมีพ.ต.ท.สุนัย หาเรือนพืชน์ ผู้เชี่ยวเฉพาะด้านกฎหมาย(ปปง.) เป็นผู้รับเรื่อง
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นของชาติ(ภตช.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายผู้ปกครองทั่วประเทศว่าได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากโรงเรียนต่างๆในระดับชั้นมัธยมศึกษา(ม.1-ม.4) ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำที่มีการแข่งขันสูงได้เรียกค่าแป๊ะเจี๊ย จากผู้ปกครองเป็นเงินมากทำให้นักเรียนที่เป็นบุตรหลานมิได้เข้าเรียนตามศักยภาพของตนเองจำนวน 20 โรงเรียน
มีผู้ปกครองที่ถูกเรียกเงินและบางรายที่ได้จ่ายเงินไปแล้วต่ำสุด 2 แสนบาทเตรียมเข้าให้ข้อมูลต่อปปง.และเป็นพยานบุคคล สำหรับหลักฐานนั้นบางรายมีบัญชีที่มีการถอนเงินออกเพื่อนำไปจ่ายให้เพื่อแลกกับการที่บุตรหลานได้เข้าเรียน แต่คงไม่มีหลักฐานการรับเงินเนื่องจากจ่ายกันเป็นเงินสดบางรายมีนายหน้าที่เป็นผู้ปกครองด้วยกัน หรือแม้กระทั่งสมาคมผู้ปกครองก็ตาม หลังจากนี้จะต้องขอให้เจ้าหน้าที่จัดให้อยู่ในกระบวนการคุ้มครองพยานเนื่องจากกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ส่วนเรื่องที่ทางผอ.โรงเรียนบดินทร์เดชา จะรับเด็กกลับเข้าเรียนนั้นจะต้องรอดูความชัดเจน แต่ก็ยังคงตั้งศูนย์รับร้องเรียนเพื่อระงับโครงการแป๊ะเจี๊ยยังต้องดำเนินการอยู่ข้างทำเนียบอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้ให้กับเด็กอีกจำนวนมาก นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อ
ด้านพ.ต.ท.สุนัย กล่าวว่า จะต้องนำเรื่องเข้าสู่คณะอนุกรรมการพิจารณาความผิดว่าเข้าข่ายความผิดมูลฐานหรือไม่ และจะแจ้งให้ทราบเรื่องต่อไป และจะต้องขอให้ผู้ปกครองที่ถูกเรียกรับเงินเข้าให้ข้อมูลพร้อมหลักฐานด้านการเงินที่มีการถอนเพื่อพิจารณาด้วย