นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.ปชป. ยกต้นทุน ชาวนาไทย ประจานรัฐ เพิ่มประมาณ 1 เท่าตัว หลังจำนำข้าว แนะ“ยิ่งลักษณ์”ดู 3 ส่วน เร่งแก้ไข หากทำต่อ จี้ ยอมรับความจริง

วันที่ 23 มิ.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคำชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะทำงาน เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ที่ยืนยันว่า จะเดินหน้าทำต่อ และสาเหตุที่ทำให้โครงการนี้ เสียหายขาดทุน เกิดจากข้าราชการว่า เป็นการบิดเบือนความจริง เพราะการกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด ทำให้บริหารล้มเหลว จนนำไปสู่การขาดทุนมหาศาล เพราะ มีการทุจริตคอรัปชันครบวงจร

ดังนั้น รัฐบาลต้องเลิกโยนบาปให้ข้าราชการ เพราะความผิดพลาดเกิดจากความเชื่อที่ว่า กำหนดราคารับจำนำข้าวสูงจะดึงราคาข้าวในตลาดโลกให้สูงตาม ซ้ำ มีการทุจริต บริหารล้มเหลวก็ยิ่งทำให้ขาดทุนซ้ำซากยิ่งเมื่อลดราคาจำนำข้าวลงเหลือ 12,000 บาทต่อตัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อชาวนามากขึ้น สร้างความเสียหายมาก จนประชาชนยอมรับไม่ได้ รวมถึงนักวิชาการ หรือ แม้แต่ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเอง หรือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ก็เพราะเห็นว่า ทำให้เกิดผลกระทบในหลายด้าน

นายองอาจ กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจความเห็นของประชาชน เห็นว่า โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลล้มเหลว ก่อให้เกิดความเสียหาย นายกฯ จึงต้องตั้งสติทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในฐานะที่เป็นนายกฯ และ ประธาน กขช.ที่มีหน้าที่โดยตรง อย่าโยนความผิดให้ใคร เพราะคนที่ท้วงติงล้วนมีเจตนาดี อยากให้ชาวนาไทย ได้ประโยชน์เต็มที่ ไม่ใช่ตกในมือคนอื่น หากจะเดินหน้าโครงการนี้ ต่อก็ต้องยอมรับความจริง และปรับปรุงแก้ไขปัญหาการทุจริตให้ดีขึ้น ไม่ใช่เลวร้ายลงเหมือนที่เป็นอยู่เช่นในปัจจุบันนี้

นายกฯ จึงต้องดูใน 3 ส่วนคือ 1. ต้องพิจารณาว่า การซื้อข้าวของรัฐบาล ที่เป็นพ่อค้าซื้อแพงไม่สามารถระบายออกได้ในราคาที่ซื้อมาแต่ต้องขายขาดทุนเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไปหรือไม่ 2. งบประมาณที่ต้องหมดไปกับการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพเกิดช่องว่างให้หาประโยชน์โดยมิชอบจะมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร 3. งบประมาณที่ถูกนำไปเล่นแร่แปรธาตุให้ตกไปอยู่ในกระเป๋าของพ่อค้า นักการเมืองและข้าราชการบางคน นายกฯ ไม่เคยส่งสัญญาณที่จะแก้ปัญหานี้

ซึ่งพรรคยืนยันว่า รัฐบาลมีสิทธิ์ดำเนินนโยบายเพื่อส่วนรวม แต่ไม่มีสิทธิ์ทำนโยบายที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ไม่ใช่งบฯ 100% ชาวนาได้แค่ 30% อีก 70% คนอื่นได้ประโยชน์นายกฯ อย่าปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับความจริงนี้ เพราะปัญหายังคงอยู่

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคมอบหมายให้ ส.ส. ไปตรวจสอบข้อมูลในหลายพื้นที่ หลังรัฐบาลประกาศลดราคารับจำนำจาก 15,000 บาท ต่อตันเหลือ 12,000 บาท พบว่า ค่าใช้จ่ายของชาวนา ก่อนจะมีการรับจำนำ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4,500 บาทต่อไร่

แต่ขณะนี้ ต้นทุนการผลิตของชาวนาพุ่งเพิ่มขึ้นไปเกือบ 9,000 บาทต่อไร่ ปัจจัยที่เพิ่มขึ้น คือ ค่าเช่าจาก 1,000 เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อไร่ ปุ๋ยคอกจาก 8 บาทเป็น 30 บาท ต่อถุง ค่าแรงพ่นยากำจัดศัตรูพืช 100 บาทเป็น 250 บาทต่อถัง ค่าจ้างคนงานเก็บข้าวดีดที่ในมากับพันธุ์ข้าวจาก 150 บาท เพิ่มเป็น 300 บาทต่อไร่ ค่าปั่นนาคือการปั่นดินให้อยู่ในสภาพพร้อมทำนาจาก 180 บาทเป็น 300 บาทต่อไร่ ค่าทำเทือกจาก 180 บาท เพิ่มเป็น 250 บาทต่อไร่ค่าพันธุ์ข้าวจาก 550 บาท เพิ่มเป็น 750 บาทต่อถุง ค่าแรงหว่านข้าวเดิม 30 บาทเพิ่มเป็น 60 บาทต่อไร่ ค่ายาฆ่าหญ้าวัชพืชจาก 75 บาทเป็น 150 บาท

ค่าแรงฉีดยา 30 บาทเพิ่มเป็น 60 บาทต่อไร่ และค่ายาคุมหญ้าวัชพืช 50 บาทเพิ่มเป็น 70 บาทต่อไร่ ค่าปุ๋ยเคมีเดิม 800 บาทเป็น 1,500 บาทต่อไร่ค่าแรงใส่ปุ๋ยเคมีเดิม 30 บาท เป็น 60 บาทต่อไร่ค่ายาบำรุงข้าวและฮอร์โมนเดิม 650 บาทเพิ่มเป็น 900 บาทต่อไร่ ค่าแรงพ่นยาบำรุงข้าว 30 บาทเป็น 60 บาทต่อไร่ ค่าน้ำมันสูบน้ำเข้านาไม่มีความเปลี่ยนแปลง ค่ารถเกี่ยวข้าวและบรรทุกไปจำนำจาก 400 บาท เพิ่มเป็น 600 บาทต่อไร่ เฉลี่ยค่าใช้จ่ายของชาวนาเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว

มีคำถามถึงรัฐบาลว่า สาเหตุที่ค่าใช้จ่าายเพิ่ม เพราะพ่อค้ารู้ว่าชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นจึงเพิ่มราคาต้นทุนเหล่านี้ แต่ในขณะนี้ชาวนามีรายได้ลดลงตามนโยบายรัฐบาล แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นไปแล้วไม่ได้ลดตามลงมาด้วย ฉะนั้น รัฐบาลจะช่วยเหลือชาวนาอย่างไร เพราะเป็นผลพวงจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลและยังไม่เห็นทางออกว่า รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมต้นทุนนี้ให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมก่อนที่จะมีโครงการจำนำข้าว 15,000 บาทอย่างไร.