<<<<บ้านอะเดลยินดีต้อนรับจ้า>>>>
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
17 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
อมตภพ (รีไรท์) : บทที่ 6

กลิ่นดอกหญ้าหอมกรุ่นลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ สายลมละเอียดดังหวีดหวิวอยู่ข้างกาย แสงนวลทอลำจากจันทร์เสี้ยวสะท้อนประกายเรืองๆ ต้องแผ่นน้ำผิวบึง ความสงบแลระบายเหนือทุ่งกว้าง... ความมืดสลัวลางตรงหน้า คือสิ่งที่คุ้นเคย แต่ไยความรู้สึกยิ่งดำดิ่ง

'เอริน่า' ชื่อที่ไม่คุ้นเคย แม้ได้ยินแล้วหลายครั้ง แต่จะให้ยอมรับว่าเอริน่าเป็นร่างจุติแก้วตาดวงใจของพระองค์อย่างนั้นหรือ? แล้วนางคือกาเซียร์เช่นนั้นหรือ? ไม่ต้องการเช่นนั้นเลย ให้นางสูญสลายไปยังดีเสียกว่าต้องมารับรู้ว่า นางกำเนิดใหม่ แม้ใช่ดวงจิต แต่หาใช่น้องน้อยที่ถวิลหา...

ในความรู้สึกของโดเรียส เอริน่าเป็นได้เพียงตัวแทนของกาเซียร์ เป็นตัวแทนที่เหมือนน้องน้อยทุกอย่างแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะไม่มีทางเหมือน นางจะไม่มีทางเข้ามาแทนที่น้องน้อยของพระองค์ได้.. องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้ายังเชื่อว่าพระองค์ไม่มีทางรักร่างจุติใหม่ของกาเซียร์ได้ ไม่มีทางเลยจริงๆ

และนั่นดีแล้วหรือสำหรับนาง เพราะสิ่งที่เจ้าแห่งความมืดทรงตระหนักในเวลานี้คือ เอริน่าเป็นเนตรแห่งดวงดาว เป็นผู้จะชี้นำพระองค์สู่ความตาย... นี่ต่างหากที่พระองค์ต้องการจากร่างซึ่งใครต่อใครบอกว่าเป็นร่างจุติใหม่ของกาเซียร์

จะเป็นการโหดร้ายไปไหม ถ้านางต้องรับรู้ความรู้สึกของพระองค์เวลานี้ แต่จะว่าไปแล้ว นางเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ คงไม่หลงเหลือความทรงจำเก่าๆ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานต้องเจอกับซาตานร้ายเยี่ยงพระองค์ นางมีชีวิตใหม่ สิ่งรอบตัวนางล้วนสมบูรณ์แล้ว เป็นธิดาแห่งดวงดาวสูงที่ส่ง เป็นเนตรแห่งดวงดาวที่มีผู้คนต้องการ.. นางไม่มีทางใช่น้องน้อยของพระองค์อีกต่อไป ไม่ใช่เด็กน้อยขี้อ้อนที่ชีวิตทั้งชีวิตฝากไว้กับพระองค์อีกแล้ว... ไม่มีทางใช่กาเซียร์ของเจสเซอร์อีก... กาเซียร์จากพระองค์ไปนิจนิรันดร์แล้ว...

"จะ... เจสเซอร์...อย่าตายนะ... อย่าทิ้งกาเซียร์ไว้นะ...ไม่เอานะ!" เสียงเพ้อแผ่วแทรกเสียงลม รั้งความคิดคำนึงเจ้าของร่างกำยำที่ยืนอยู่หน้าชะโงกผาคืนสู่ความเป็นจริง นี่ก็อีกหนึ่ง ที่ทำให้เจ้าแห่งความมืดสับสนนัก แต่รู้สึกว่า โมนิคน้อยจะทำเอาภาพกาเซียร์ในความทรงจำดูเลือนรางเสียรูปทรงอย่างที่แทบรับไม่ได้

"ไม่ให้ตายนะ..ไม่ให้ตายนะ จะตายไม่ได้นะ"

โดเรียสกลับเข้ามาในโพรงเล็กที่เกิดจากก้อนหินซ้อนเกยกัน พอใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าอุ้มเด็กตัวจ้อยตะลอนอยู่กลางเมืองและใกล้พวกองครักษ์ปากมากของพระองค์ จะให้พวกซีเซล เฮเดรสเจอกับโมนิคไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอะไรจะยุ่งไปกันใหญ่ ความคิดของเจ้าแห่งความมืดตระหนักเช่นนั้น...

"ชิบิ!...โมนิคเป็นอะไร? "

"เพ้อเจ้าข้า...คงฝันร้าย..."

ร่างเล็กๆ นอนกระสับกระส่ายอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวโคร่ง ซึ่งผู้เป็นเจ้าของผ้าหนังเนื้อดีรีบตรงเข้าดูอาการเด็กตัวจ้อย... มือกำยำยกขึ้นรั้งมือเล็กซีดเซียวไว้ แต่เจ้าของร่างน้อยๆ ดูจะยิ่งเพ้อหนัก

นกน้อยสีส้มเฝ้ามองอย่างไม่ใคร่วางใจนัก ราชันแห่งความมืดตรงหน้านี้นอกจากทูลกระหม่อมกาเซียร์แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยเห็นพระองค์จะอ่อนโยนกับใครได้ เสียงทอดถอนหายใจแรงในเวลานี้ยืนยันชัดว่าฝืนหนักหนากับการจะปลอบประโลมเด็กตัวจ้อย

"อย่าตายนะ อย่าทิ้ง... ไว้คนเดียวนะ ไม่เอานะ... อย่าตายนะ ...ไม่ให้ตายนะ"

"โมนิค!... เจ้าพูดอะไร?...โมนิค!" พร่ำเรียกห่วงใย อาการหวาดผวาคล้ายสะดุ้ง ทำให้ผู้เฝ้าดูไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ จำต้องปลอบประโลม อุ้งมือใหญ่อบอุ่นทาบลงบนศีรษะน้อยๆ ลูบไล้เรือนผมที่หลุดรุ่ยออกจากผ้าโพก โดเรียสพยายามเต็มที่ หากท่าทางเก้กัง ห่วงโน้นกลัวนี่ของฝ่าบาทดูจะขัดใจนกตัวน้อยนัก

"กอดไว้สิเจ้าข้า" เสียงร้องจิ๊บดังมาจากซอกหินข้างก้อนแร่เรืองแสง ที่ให้ความสว่างแก่โพรงเล็กๆ นี้ได้เป็นอย่างดี

จะเรียกว่าเรืองแสงก็ไม่ใคร่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเป็นก้อนเชื้อเพลิงที่ฝ่าบาทของมันรวบรวมโดยการดึงจากใต้ดินมารวมเป็นก้อนและจุดไฟให้ความร้อนและใช้เทคนิคนิดหน่อยให้มันถ่ายเทความร้อนออกมาในรูปของแสงสว่าง

"กอดสิเจ้าข้า กอดทูลกระหม่อมน้อย ทรงปลอบสิเจ้าข้า!" ร้องบอกแรงขึ้น ถี่ขึ้น พร้อมกับโผนลงเกาะอยู่ข้างวรองค์กำยำ ราวกับจะกระตุ้นตามเสียงยุ

"น่า...กอดไว้สิเจ้าค่ะ กอดแน่นๆ แล้วก็กอดแน่นๆ กอดให้หายคิดถึง น่าเจ้าข้า..." นกน้อยกระโดดโหยงเหยงหมุนตัวติ้ว ระบำนกน้อยเริ่มบรรเลงอีกครั้งอย่างหารู้ไม่ว่าเสียงเจื้อยแจ้วของมันไปกระตุกฉนวนระเบิดลูกใหญ่เข้าอย่างจัง

"กอด ก๊อด กอด...อ้าว แล้ว ก็ กอด ก๊อด กอด .."

"เงียบไปเลยได้นกปากมาก!"

"จิ๊บ!" ระบำนกน้อยหยุดกึก ประมาณนักดนตรีโดนค้อนทุบหัว สลบลงทั้งวง

"ไปตายซะไป..." สาปส่งท้าย มองตาขวางๆ อย่างหาเรื่อง

"...ไม่นะ...เจ็บ...ไม่...โอ้ย....กะ....ไม่ได้ผิดสัญญานะ ไม่ได้ผิดสัญญา" อาการของเด็กตัวจ้อยไม่ใช่แค่เพ้ออีกแล้ว ร่างเล็กๆ ดูทุรนทุรายมากขึ้น ราวกับกำลังเผชิญกับความทรมานแสนสาหัส ไม่ใช่เป็นฝันร้าย หากเป็นความทนทุกข์จนเจียนตาย

"โมนิค...โมนิค!" ตะเบ็งเสียง พร้อมประคองร่างเล็กเขย่าเรียกสติ แต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ โมนิคยังคงหวาดกลัว กรีดร้อง เจ็บปวดมือเล็กๆ ที่กอดตัวเองเกร็งมากขึ้น ถ้อยโอดครวญสลับเสียงสะอื้นไห้ ยืนยันชัดเจนว่านี่หาใช่ความทรมานที่เกิดจากห้วงนิทราไม่

"รอยสัจจะ" โดเรียสตระหนักได้จากความวูบร้อนที่ซึมผ่านหัตถ์ ซึ่งสัมผัสแผ่นหลังเด็กตัวน้อย

"โอ้ย! ไม่พูดแล้ว ไม่คิดแล้ว... ไม่ทำอีกแล้ว ไม่ทำอีกแล้ว กลัวแล้ว!" ถ้อยคำที่พร่ำเพ้อ นั้นยืนยันชัดเจน โมนิคน้อยกำลังถูกผลแห่งสัจจะสนองโทษที่เด็กตัวจ้อยทำผิดข้อสัจจะ

"โมนิค" แขนเล็กๆ ถูกมือกำยำบีบแรงขึ้น การจะจัดการกับความเลวร้ายของรอยสัจจะ ก่อนอื่นต้องให้ผู้ถูกรอยสนองนั้น หลุดจากภวังค์ ถือครองสติเต็มที่ก่อนจึงจะทำการอื่นใดได้

"โธ่ ... เรียกไปก็เหนื่อยเปล่าเจ้าข้า กอดสิเจ้าคะ กอดไว้ในอ้อมพระกร รอยสัจจะกำลังทำร้ายโมนิคน้อย ความชั่วร้ายต้องลบล้างด้วยความชั่วร้าย ไม่มีอะไรชั่วร้ายเลวร้ายเทียบเท่าผู้ครอบครองเนตรสีน้ำเงินอีกแล้วเจ้าข้า"

"เจ้าว่าข้าเลวรึชิบิ!?"

"ทรงเข้าพระทัยว่าชมรึเจ้าข้า" นกน้อยยอกย้อนเสียงสูง จำได้ว่าคำประมาณนี้ซีเซลใช้บ่อยจึงแอบเอามาใช้บ้าง แล้วทุกครั้งที่ใช้ ก็ทำให้ฝ่าบาทของมันสะอึกทุกที และครั้งนี้ก็ไม่เว้น

"ชิ!" สบถ "ทำไมจึงต้องกอดยัยเปี๊ยกนี้ด้วย!" ถามประชดไม่ได้ต้องการคำตอบ

"ช่วยคนดีนะเจ้าค่ะ ... อย่างน้อยโมนิคน้อยก็มีส่วนคล้ายทูลกระหม่อมกาเซียร์!... ไม่ทรงสงสารรึเจ้าข้า นางเหมือนทูลกระหม่อมออกปานนี้ ชิบิรู้สึกว่ากำลังเห็นทูลกระหม่อมน้อยทรมานนะเจ้าข้า" นกน้อยสีส้มพยายามเกลี่ยกล่อม

"ไม่ใช่!... นางไม่ใช่กาเซียร์"

"ใครว่าใช่ละเจ้าข้า" ชิบิเค้นเสียง ร้องประชด "เจ้าหญิงน้อยผู้จะใช้นามเจ้าหญิงเอริน่าโน้นที่ใช่!..ท่านซีเซล ท่านเฮเดรส ท่านจ้าวลูซิเฟอร์ รวมไปถึงถ่ายทอดนิมิตอย่างเจ้าหญิงเอสฟาเนียร์ก็ยืนยัน"

วงหน้าคมตีเครียดขึ้นทันทีพร้อมคำที่นกน้อยพร่ำออกมา โดเรียสเจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก

"ช่วยด้วย!...เจ็บ..."

เจ้าของร่างเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้านี้คือใครกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงเล่นตลกหรือไร ทำไมทรงสร้างใบหน้านี้ขึ้นมาอีก แค่รับรู้ว่ามีคนที่มีรูปลักษณ์ละม้ายแม้นกาเซียร์ก็เจ็บปวดพอแล้ว นี่มีถึงสองคน และหนึ่งในนั้นยังมีสิ่งยืนยันว่าเป็นน้องน้อยของพระองค์

"ฝ่าบาท" นกน้อยอ้อนวอนเสียงอ่อน พยายามอีกครั้ง หากโดเรียสยังคงต่อต้าน

"ชิ!...ในฐานะที่เจ้า มีใบหน้าเหมือนกาเซียร์"

สุดท้ายก็ยอมอ่อนให้ หากนกน้อยชิบิเจ็บลึกกับคำพูดนั้น มันมองร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนฝ่าบาทของมัน ถ้าโมนิคได้ยินจะรู้สึกเช่นไร ทั้งที่รับรู้และเข้าใจดี แต่เหตุการณ์มันช่างเหมือนเมื่อครั้งที่องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าทำดีกับทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ โดเรียสทำดีด้วยเพราะสงสาร ให้รักด้วยสำนึกในผิดและแทนคุณ พระองค์ละอายต่อความทรมานที่ทูลกระหม่อมน้อยได้รับจากการเข้าใกล้เจ้าแห่งความมืด

เวลานี้ร่างเล็กๆ ซุกซบอยู่ในอ้อมแขนโดเรียส อุ้งมือกว้างดูอบอุ่นยกขึ้นประคอง พลางลูบไล้ปลอมโยนบนเรือนผมที่ปราศจากผ้าโพก ซึ่งเด็กตัวน้อยพันไว้เสมอ... ผ้าสีอ่อนเนื้อบางซึ่งกองอยู่ติดพื้นนี้กระมัง ที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กหญิงตัวจ้อยดูคล้ายเด็กชาย เพราะไม่มีเด็กหญิงบ้านไหนในบิ๊กเกรซเนว่าจะปกปิดความสวยงามที่ยืนยันความเป็นอิสตรีได้แทบทันทีอย่างเส้นผม

"กาเซียร์..." ที่คุ้นเคยแทรกแผ่วมาในห้วงนิทรา "กาเซียร์"

เสียงเรียกทำให้โมนิคลืมตาขึ้น แต่ฉงนนัก กาเซียร์ไม่ใช่ชื่อเธอ แต่ไยมีความรู้สึกเหมือนถูกเรียก ม่านตาหนักอื้อหากเจ้าตัวพยายามกระตุ้นสติ เบือนหน้าหาต้นเสียง

"เป็นยังไงบ้างคะ?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามห่วงใย ใบหน้าที่คุ้นเคยโน้มต่ำลง ดวงตาที่เคยจับจ้องเสมอนั้น บ่งบอกว่าเป็นใครคนหนึ่งที่เธอรู้จักดี และเวลานี้โมนิคน้อยตระหนักได้ว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นเป็น 'ปีศาจตาดุ' ที่ช่วยเธอเมื่อวันก่อน

"เจสเซอร์" โมนิคไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเธอจึงเอ่ยชื่อนั้นออกมา ถ้าจำไม่ผิดเธอรู้จักปีศาจตาดุในนามของโดเรียส แล้วเจสเซอร์ที่หลุดจากปากคือใครกัน

"อย่าพึ่งขยับสิคะ... กาเซียร์ยังไม่หาย นอนพักนะคะ ให้เฮเดรสมาดูอาการก่อน..." น้ำเสียงอ่อนโยนดูแตกต่างจากทุกครั้ง สัมผัสฝ่ามืออุ่นๆนั้นบ่งถึงความห่วงใย ริมฝีปากที่จรดลงบนเปลือกตาหนักอื้อทำให้โมนิคคิดได้เพียงว่า 'ใจดีจัง' นี่เป็นสิ่งเดียวที่เด็กตัวจ้อยตระหนักได้ในเวลานี้

"เจสเซอร์คะ ที่นี่ที่ไหน?" เสียงที่เปล่งออกมาจากปาก หากเด็กน้อยเผ่านาคารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเธอ แต่รู้ได้ว่ามันเป็นเสียงของกาเซียร์

โมนิคจึงนิ่งรับรู้เรื่องราว นี่อาจเป็นนิมิตจากสัมผัส เป็นเรื่องราวในอดีตของปีศาจตาดุ เป็นเรื่องราวในอดีตของเด็กผู้หญิงที่มีหน้าตาละม้ายแม้นเธอ เด็กหญิงที่ชื่อกาเซียร์

"ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์... ที่ปราสาทแก้วค่ะ"

"วังน้ำแข็งเหรอคะ?" กาเซียร์ถามเสียงสั่น โมนิครู้ว่าเด็กตัวน้อยซึ่งมีใบหน้าเหมือนเธอกำลังหวาดกลัว รับรู้ได้ว่าความทรงจำที่อยู่ในหัวของกาเซียร์เวลานี้น่าหวาดสะพรึงนัก

"เจสเซอร์" ความหวาดตระหนกประดังประเดเข้ามาในร่างเล็กๆ "เจสเซอร์... กาเซียร์กลัว"

โมนิคเองสัมผัสได้ถึงสิ่งที่กาเซียร์ต้องเผชิญ ภาพของสัตว์เลื้อยคลาน พิษร้าย ที่กองพะเนิน ยั้วเยี้ยไปหมด แสงไฟจากหินเรืองแสงในมือส่องสะท้อนให้เห็นรวงรังอสรพิษ งูตัวยาวนับหมื่นเกี้ยวก่ายกันกองเป็นภูเขาเลากา หลายต่อหลายตัวเลื้อยขึ้นผนังถ้ำสีทะมึน บางโยนตัวห้อยโตงเตงราวกับจะเหวี่ยงตัวเข้าตะครุบเหยื่อตัวน้อย...

"เจสเซอร์เลือด... เลือด เจสเซอร์เลือดเต็มไปหมดเลย..." โมนิครู้ว่าตัวเองกอดร่างกำยำไว้แน่น หวาดกลัวไม่ต่างกับกาเซียร์ รับรู้ได้ถึงสิ่งที่หลอกหลอนผู้ใช้ร่างเดียวกับเธอนั้น

"กาเซียร์... ไม่มีอะไรแล้วนะคะ ไม่มีอะไรแล้ว...พี่อยู่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว..." อ้อมแขนกำยำนั้นอบอุ่นนัก นิ้วที่ลูบไล้ปลอบโยนดูมั่นคงยืนยันชัดว่าสิ่งที่พร่ำออกมานั้นน่าเชื่อถือเพียงไร ถ้าอยู่ในอ้อมแขนนี้ แน่ใจได้ว่าเธอจะต้องปลอดภัย แต่โมนิคก็รู้ดีว่าปีศาจตาดุไม่ได้ปลอบประโลมเธอ น้ำเสียงอ่อนโยนนี้มีไว้สำหรับกาเซียร์ สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบไล้แผ่นหลังเวลานี้ประสงค์ให้อีกดวงจิตหนึ่งในร่างนี้คลายใจ

"ทำไมคนตายเยอะจัง เจสเซอร์ น่ากลัว น่ากลัว กาเซียร์กลัว..." เด็กตัวจ้อยพร่ำคำคลอเสียงสะอื้นไห้

"กาเซียร์หลับนะคะ คนดี" โมนิครับรู้ได้ว่ามีอำนาจบางอย่างถ่ายทอดจากมือใหญ่ๆ ซึ่งเอื้อมโอบศีรษะเล็กๆนั้น มันเป็นอำนาจที่กาเซียร์ไม่อาจผืนได้...

กาเซียร์หลับไปแล้วหากโมนิคยังคงรับรู้ รับรู้ว่ามีคนสองคนเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอนัก ทั้งๆ ที่กาเซียร์หลับไปแล้วแต่ไยโมนิคยังรับรู้ นั้นทำให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้รับรู้เรื่องราวผ่านตัวของกาเซียร์ หากเป็นอีกคนที่สัมผัสผิวเธออยู่...

"เชื่อหรือยังว่า การลบความทรงจำของกาเซียร์นั้นดีที่สุดแล้ว..." โมนิคแน่ใจแล้วว่ากำลังรับรู้เรื่องราวจากปีศาจตาดุ เพราะเธอไม่สามารถเห็นใบหน้าเจ้าของฝีเท้าที่ก้าวมาหยุดอยู่ด้านหลัง แต่เธอสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยไว้วางใจ มันเป็นภาพรางๆ เหมือนจะชัดเจนแต่กลับฝ่ามัว

"พระเจ้าค่ะ" สองเสียงตอบประสานหนักแน่น และยอมรับ

------------------

บรรยากาศซึ่งเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ เทือกเขาสูง ขาวโพลนไปด้วยละอองหิมะ ความเงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิต ไม่ต่างกับทุกสิ่งถูกแช่แข็งจนมิอาจไหวติง...

"เซเรส... เจ้าจะเล่นตลกอะไรกับข้า!?...จะทรมานข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน" เสียงตะโกน สะท้านความยะเยือกให้เคลื่อนไหวได้ ความเจ็บปวดที่กลั่นออกมาจากถ้อยคำ ความทรมานจนไม่อาจหยัดยืนอยู่ได้ เข่าที่ไม่เคยคิดจะจรดลงพื้นต่อหน้าผู้ใด เวลานี้ถูกฝังลงบนแผ่นหิมะขาวโพลน

"โดเรียส"

เสียงที่ส่งผ่าลำแสงรวิ ซึ่งแทงทะลุกลุ่มเมฆหนาได้เพียงไม่กี่ลำนั้น ทรงอำนาจยิ่ง

"เจ้าเห็นว่านี่เป็นการทรมานเช่นนั้นรึ?...ชีวิตอมตะ มนุษย์ล้วนต้องการ"

"แต่ไม่ใช่ข้า... ข้าไม่ต้องการ ข้าไม่ต้องการสิ่งที่เจ้ายื่นให้!" ตวาดลั่น ราวกับจงเกลียดจงชังสิ่งนั้นตนได้รับการยัดเยียดให้

"เจ้าไม่เคยสำนึกเลยโดเรียส" ผู้อยู่สูงเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน "ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจ้าทำผิด เจ้าก็ไม่เคยสำนึก บาปที่เจ้าได้ก่อ สมควรแก่การให้อภัยอย่างนั้นน่ะหรือ... มันไม่ง่ายไปหรือ ถ้าเจ้าจะได้รับการให้อภัย... แล้วชีวิตที่ถูกเจ้าคร่าไปล่ะ ใครกันจะให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา"

"ใช่!.. ข้ามันบาปนัก เลวนัก" เค้นเสียงประชด อย่างอัดอั้น "แต่...แต่กาเซียร์ผิดอะไร ทำไมต้องเป็นนาง ทำไมกาเซียร์ต้องโดนทำร้าย ทำไมต้องเป็นนางด้วย ไยไม่เป็นข้า เป็นข้าที่ถูกทรมาน เป็นข้าที่ต้องตาย!"

โมนิคเคยคิดเสมอว่าปีศาจตาดุ น่ากลัวนัก แต่นั่นยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของตอนนี้ ความเคียดแค้นชิงชังที่กลั้นกรองออกมาเป็นถ้อยคำ ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก

"เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือโดเรียส? เจ้าต้องการให้กาเซียร์มีสภาพเช่นเจ้าเวลานี้แน่หรือ? ต้องการให้นางเห็นเจ้าดับสลาย ให้นางมารับร่างไร้วิญญาณของเจ้าอย่างนั้นนะหรือ?... แน่ใจแล้วหรือโดเรียส?"

"เซเรส เจ้าไม่ต้องมาทำเหมือนเป็นคนลิขิตชีวิตข้า!..."

โมนิคแทบหยุดหายใจ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีผู้กล้าท้าทายอำนาจของผู้อยู่หลังม่านเมฆนั้น

"ข้าไม่ได้ลิขิตชีวิตของเจ้าเลยโดเรียส ไม่จำเป็นเลยที่ข้าจะเข้าไปลิขิตชีวิตของใคร แต่ละชีวิตแต่ละดวงวิญญาณต่างเดินไปตามทางที่ตัวเองลิขิต ความดีความชั่ว มนุษย์ต่างเลือกเอง ถ้าได้ดี มนุษย์ต่างยกย่องว่าเพราะตนประพฤติดี หากจะมีสักกี่คนที่คิดว่ามหาเทพอย่างข้าเป็นผู้ลิขิตให้พวกมัน.. ในทางกลับกัน ชีวิตใดแหลกเหลวต่ำช้า ต่างโยนความชั่วนั้นมาที่ข้า...จะมีสักกี่คนกันที่คิดว่านั้นเพราะพวกมันเลือกเอง... บ้างสาปแช่ง ด่าส่ง นี่หรือคือวิถีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้.. ในคาออสนี้ข้าอาจยิ่งใหญ่ แต่ในอีกที่ข้าอาจถูกขนานนามว่าเป็นเทพกบฏ เป็นปีศาจร้าย ซาตานก็ว่าได้.."

"เจ้าจะบอกว่ามนุษย์เป็นคนโยนความผิดให้แก่เจ้าอย่างนั้นนะหรือ" เจ้าแห่งความมืดเค้นเสียงประชด

"โดเรียส" เสียงเรียกนั้นเหนื่อยอ่อนนัก "จนบัดนี้ใครบ้างที่สามารถยืนยันได้ว่ามนุษย์เกิดจากพระเจ้า... บางทีมนุษย์เองต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างพระเจ้า รวมไปถึงซาตานที่ตนเกลียดชัง เจ้าตอบได้ไหม ระหว่างเมล็ดเล็กๆ กับพันธุ์ไม้ที่ตั้งตระหง่านนั้น สิ่งใดกันแน่เป็นผู้ให้กำเนิด..."

"เจ้ายกเมฆมาเพื่ออะไร?"

"...เพื่อรั้งความดื้อรั้นของเจ้าไว้ ข้าจะบอกเจ้าว่า อำนาจของข้ายิ่งใหญ่นัก แต่ยังไม่สามารถไปลิขิตชีวิตใคร! หากมันสามารถใช้กำเนิดชีวิตใหม่ได้ ไม่ใช่สร้าง แต่เป็นการชี้นำ...โดเรียสข้าจะสร้างสิ่งที่เจ้าต้องการ..."

"ความตาย" องค์จักรพรรดิแห่งคาคูด้าเปล่งคำนั้นออกมาอย่างหนักแน่น

"แน่ใจรึ?" มหาเทพตรัสถามท้าทาย

ไม่มีถ้อยคำยืนยัน หากดวงเนตรเขียวประกายอำพันยืนกรานมั่นคง

"ข้าจะให้คนที่จะนำพาความตายมาสู่เจ้า... มีสิ่งวิเศษที่เรียกว่า 'เจ้าแห่งนพรัตน์' ถ้าเจ้ายังประสงค์ความตาย จงไปแสวงหามัน นำเจ้าแห่งนพรัตน์ทั้งเก้ามาเรียงไว้บนเรือนอันคมกริบของ 'กริชกิเลน'... เมื่อถึงเวลาเนตรแห่งดวงดาวจะเป็นผู้บอกเองว่า ความตายของเจ้าจะแลกมาด้วยสิ่งใด"

"เนตรแห่งดวงดาว!..."

"เนตรแห่งดวงดาว...ธิดามหาเทพที่ยิ่งใหญ่ เจ้าหญิงซึ่งจะได้นามแห่งเอริน่า... ผู้ครอบครองมงกุฎแห่งเนตรทิพย์..." ผู้บอกกล่าวขยายนามที่เอ่ยอ้าง "เจ้าแห่งนพรัตน์เมื่อถูกนำมาเรียงบนเรือนกริชกิเลนจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ เทียมเท่าพลอยแห่งดวงดาว ฆ่าได้แม้แต่เจ้าแห่งดวงเนตรสีน้ำเงิน ผู้เป็นอมตะ... โดเรียสจงไปแสวงหาเจ้าแห่ง เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย ไพฑูรย์ และกริชกิเลน เมื่อของทั้งหมดมารวมกัน ทางสู่ความตายของเจ้าจะเป็นออก...นำพาเจ้าสู่ความตายที่ถวิลหา!"

โมนิครับรู้ได้ทั้งหมด เข้าใจถึงการเดินทางอันยาวนานของปีศาจตาดุ เข้าใจเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด เข้าใจความรู้สึกว้าเหว่ซึ่งบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้สัมผัส หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา เจ้าแห่งนพรัตน์ซึ่งอยู่ในครอบครองของคนผู้นี้มีแล้วห้าชิ้น...

'บุษราคัม ทับทิม เพทาย ไพฑูรย์ และโกเมน' นั่นแสดงว่าสิ่งที่เจ้าแห่งความมืดยังต้องแสวงหาอยู่คงเป็น... 'นิล เพชร มุกดา มรกต และสุดท้ายอาวุธร้ายกริชกิเลน' ถ้าของทั้งหมดมารวมกัน คนๆ นี้ก็จะตายเช่นนั้นหรือ? มีด้วยหรือคนที่พยายามหาสิ่งที่จะนำความตายมาสู่ตน...

หยาดน้ำใสๆ รินออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ร่างเล็กๆ สะอื้นแรงขึ้น หลังจากสงบอยู่ในอ้อมแขนกำยำไปพักใหญ่

"ตื่นแล้วเหรอ?" แม้เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยถามจะไม่แข็งกระด้าง แต่คงไม่อ่อนโยนอย่างที่เอ่ยกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อกาเซียร์

"นายจะตายเหรอ?" เด็กตัวจ้อยถามเสียงสะอื้น มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดปอยน้ำตาที่รินลงบนผิวหน้านวล

"ข้าไม่ตายหรอก แต่เจ้าสิจะตาย" โดเรียสเค้นเสียงค่อนไปทางตวาด คิดไว้ว่าเด็กตัวจ้อยต้องส่วนกลับมาแน่ เพราะโมนิคเป็นเช่นนั้น "ตื่นมาก็แช่งคนอื่นเลยนะ สมควรทิ้งให้ตายนัก!"

"ขอโทษ...โมนิคขอโทษน้...า" ผิดคาดอย่างใหญ่หลวง โมนิคน้อยกลับร้องไห้ปล่อยโฮลั่น

"อะไรกัน! ข้าไม่ได้ว่าเจ้า...เอ่อ.." โดเรียสสับสนนัก ไม่คิดว่าเด็กรั้นอย่างโมนิคจะเอ่ยคำขอโทษง่ายๆ การกระทำนี้ยิ่งทำให้เด็กตัวจ้อยตรงหน้าดูจะเหมือนน้องน้อยของพระองค์มากขึ้น... ดวงเนตรอำพันท่อประกายอ่อนโยนอย่างไม่รู้สึกตัว

"มองโมนิคเป็นกาเซียร์เหรอ?"

"อะไรนะ?" ถามฉงนปนตกใจ

"โมนิคสามารถอ่านอดีตและปัจจุบันของคนได้ผ่านสัมผัส"

เด็กตัวจ้อยไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบอกสิ่งที่มาร์ธาห้ามนักหนาแก่คนตรงหน้า หรือเพราะเธอรู้สึกผิดที่ไปรับรู้เรื่องราวอันเจ็บปวดของคนผู้นี้ แต่โมนิคก็ฉงนนักว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ จำได้ว่า เธอเคยใกล้ชิดถึงขนาดขึ้นไปนั่งอยู่บนบ่า สัมผัสมือ หากสิ่งที่พบจากบุรุษหนุ่มมีเพียงความว่างเปล่า เหมือนกับตอนที่สัมผัสมาร์ธา ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยอ่านอดีตของมาร์ธาได้เช่นกัน

"โมนิคว่าเลิกเถอะ ตามหากาเซียร์ที่เกิดใหม่ง่ายกว่า อีกสิบปีเจ้าหญิงน้อยก็จะใช้นามแห่งเอริน่า ให้เจ้าหญิงตามหานางให้ดีกว่านะ ถ้าสิ่งที่นายรับรู้มาเป็นจริง นางอาจเป็นกาเซียร์ และถ้าใช่ นางจะน่าสงสารนะ"

"ถ้าเจ้าสามารถอ่านอดีตและเห็นปัจจุบันของข้าได้จริง... เจ้าก็จะรู้จะเห็นคำตอบทั้งหมดในใจข้า จากสัมผัสนี้" โดเรียสบอกพลางยื่นมือให้เด็กตัวจ้อย ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธรีบกุมไว้มั่นหวังอ่านเรื่องราวที่อยู่ในใจผู้อยู่ตรงหน้า

"ดื้อ!" โมนิคสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้ง "นางไม่ใช่กาเซียร์ของเจสเซอร์... จะบอกให้เอาบุญนะ แม้เจ้าหญิงเอริน่าจะรู้อดีต รู้ปัจจุบัน และรู้อนาคตของคนอื่นๆ แต่เจ้าหญิงจะไม่รู้สิ่งต่างๆ ของพระองค์เองนะ นั่นหมายความว่า...."

"ทูลกระหม่อมน้อยอาจไปพบรักกับเจ้าชายอื่น แล้วฝ่าบาทจะต้องเสียพระทัย" นกน้อยชิบิถลาลงเกาะไหล่เล็กๆ ของโมนิคน้อย ร้องเสียงแหลมค่อนไปทางล้อเลียน

"ใช่แล้วจ้ะ ชิบิ!... แสนรู้จัง แล้วพอถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่กาเซียร์ของเจสเซอร์เลย กาเซียร์ของโดเรียสก็ไม่เหลือล่ะ..."

"ปากมาก" ถ้อยต่อว่ามาพร้อมฝ่ามือกำยำกระแทกใส่ร่างเล็กๆ ของนกน้อยและกระทุ้งลงบนหัวเด็กตัวจ้อยอย่างหมั่นไส้ปนเคือง

"จิ๊บ!!!...โอ้ยเจ็บนะ" เสียงร้องแหลมประสานกันของผู้ถูกมะเหงก แต่โมนิคน้อยไม่ยอมโดนทำอยู่ฝ่ายเดียวแน่ ร่างเล็กๆ ก้มลงกัดข้อแขนคนตัวโตกว่าอย่างจะเอาคืน

" ไอ้เด็กบ้า..." ไม่ได้รู้สึกเจ็บหากแต่ตกใจนิดหน่อย "ไม่ได้สำนึกบุญคุณเลยนะ รู้บ้างใครพาเจ้าออกจากห่าบาทาน่ะ"

"คุณส่วนคุณ โทษส่วนโทษสิ!" ลอยหน้าลอยตา ทำหน้าทะเล้นใส่ "ชิบิ มานี่เร็ว"

เสียงใสร้องเรียกพลางถอยหนีกำปั้น เจ้าแห่งความมืดส่ายหน้าเหนื่อยใจนัก ภาพน้องน้อยของพระองค์ถูกทำลายลงทุกทีสิน่า จะทำการณ์ใดได้เล่า แต่ก็อยากเอาคืนเจ้าตัวน้อยบ้าง

"ทำซ่านะ ทีเมื่อกี้ละร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ถอดเราแน่น..."

"ตัวก็แอบคิดว่าโมนิคเป็นกาเซียร์ล่ะสิ โธ่! ทำเป็นมาปลอบ ที่แท้ก็อยากอ้อนโมนิคใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เค้า... เนอะชิบิเนอะ... เด็กขี้แยไม่เป็นไร แต่ผู้ใหญ่อ้อนเด็กสิน่าเกลียด..." ทำซุ่มทำเสียงล้อเลียน เท้าก็ถอยออกห่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่ได้มองข้างหลัง

"โอ้ย!" ปรากฏว่า ถอยเพลินเท้าหลุดจากโขดหิน หล่นตุบลงไปกองกับพื้น ข้อเท้าพลิก ก้นจ้ำเบ้า... โดเรียสตกใจไม่น้อย แต่เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่เป็นอะไรมาก

"สมน้ำหน้า...ชิบิไปได้แล้ว ทิ้งเด็กปากมากไว้ที่นี่แหละ เก่งดีนัก หาทางกลับบ้านเองก็แล้วกัน " คำเย้ามาพร้อมร่างกำยำก้าวออกจากโพรง อย่างไม่คิดจะหันกลับไปดูเด็กตัวจ้อย ราวกับว่าจะทิ้งไปจริง...

"เจ็บ..." ท่าทางเจ็บจริง ทำนบน้ำตาทะลายเพราะความเจ็บเกินที่เด็กเจ็ดขวบจะทนได้ "เจ็บง่ะ... ขาโมนิคหักแล้ว... เจ็บ...โมนิคเจ็บ"

"พาโมนิคไปด้วย... โมนิคเจ็บง่ะ ขาหักแล้ว!" ร้องลั่นไม่รู้ว่ากลัวโดนทิ้งหรือเจ็บจริงกันแน่ "... เจ็บจัง โมนิคเจ็บจะตายแล้วน้า ดูขาให้โมนิคหน่อยสิ โมนิคเจ็บ"

เสียงออดอ้อนปนสะอื้นนั้น แม้จะไม่ใช่น้องน้อยแต่โดเรียสก็ไม่อาจจะทนฟังเฉยได้... สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมา ไม่ได้คิดจะทิ้งไปจริงๆ แค่จะแกล้งเล่น ชิบิรู้ดี ไม่ว่ายังไง ฝ่าบาทของมันก็ทรงชอบแกล้งล่ะ โดยเฉพาะกับทูลกระหม่อมน้อย

"ไหนดูสิ?" คนตัวโตก้มดูขาให้ สัมผัสเพียงเบาๆ หากทำเอาเด็กตัวจ้อยร้องลั่น แม้เสียงร้องจะเกินความเป็นจริงแต่ข้อเท้าดูท่าจะแพลงจริงๆ หาได้แกล้งทำไม่ แต่ชิบิก็รู้จุดประสงค์ของเด็กน้อยที่ขยิบตา ใบหน้าเล็กๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์

"โมนิค...เจ๋ง!" กระโดดไปมา ร้องเสียงแหลม โมนิคเข้าใจความหมาย หากฝ่าบาทของมันไม่ทันได้ฟังจึงยังทำเฉย

"...อยู่แล้ว" ปากเล็กๆ รูปกระจับทำกระซิบกระซาบผ่านไหล่คนตัวโตกว่าส่งถึงนกน้อย

"อะไร?"

"ปะ...เปล่า... โมนิคบอกชิบิว่าเดินไม่ได้แล้ว..." ใบหน้าเล็กๆ แสร้งตีเศร้า พยายามหลบรอยยิ้มบนดวงตากลมโต

"ทำไมจะเดินไม่ได้ แค่นี้เดี๋ยวก็หาย" ทอดเสียงราวจะปลอบแต่ยังดูแข็งด้วยต้องการวางตัวห่างๆ ไว้เป็นดี ไม่อย่างนั้นเด็กตัวน้อยอาจเห็นพระองค์เป็นเพื่อน จะวุ่นไปมากกว่านี้

"โมนิครู้ โมนิคหมายถึงว่าขาเจ็บจะเดินกลับบ้านยังไง" ละครการตีหน้าสลดยังดำเนินต่อไป แต่พอพ้นสายตาคมกริบก็ทำท่าล้อเลียนกับชิบิต่อ

"เดี๋ยวข้าไปส่ง..." พ่นลมหายใจแรงราวจะบอกให้เด็กน้อยรู้ว่าที่ต้องทำเป็นความถูกต้องเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ

"เย้!... มีบอดี้เบ้ ชื่อโดเรียส"

"อะไรนะ?"

"เปล่าโมนิคบอกว่า มีบอดี้การ์ดชื่อโดเรียสไงจ๊ะ" กลบเกลื่อนอย่างว่องไว "งงเหรอ บอดี้การ์ดก็คือคนคุ้มกันคนใหญ่คนโตในสถานีที่16 ไง ไม่รู้อะไรเลย!"

"ร้ายนักนะโมนิค" เน้นย่ำให้คนตัวน้อยว่าพระองค์รู้ทัน

"โมนิคไม่ได้ร้าย แต่โมนิครอบรู้" เจ้าตัวจ้อยก็หาทางไปได้เรื่อย

"แสนรู้ละไม่ว่า" ประชดอย่างหมั่นไส้

"โมนิคไม่ใช่ชิบินะจะได้ใช้คำว่าแสนรู้" แผดเสียงเขียวใส่ ไม่พอใจ

"ก็ไม่ต่างกันหรอก...ปากมอมพอกัน" โดเรียสต่อล้อต่อเถียงด้วยอย่างลืมตัว

"ไม่เหมือน! คนจะเหมือนนกได้ไง โมนิคไม่ได้ตัวสีส้มนะ...ดูสิตัวขาว" ว่าพลางยื่นแขนให้ แหย่ไปจนนิ้วจะจิ้มเอาหน้าอีกฝ่าย

"เรื่องมากกลับได้แล้ว" ตัดบทราวกับปลงได้ เถียงไปก็ไม่ชนะ

"จะกลับไหม?" ถามอ่อนโยนพลางยื่นมือให้ หากเด็กตัวจ้อยกลับตีหน้าบึ้งตึงใส่ ก่อนจะเริ่มออดอ้อน

"อุ้มโมนิคนะ" เสียงใสมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "โมนิคเจ็บ เดินไม่ไหวล่ะ.."

"เฮ้อ... พี่ไม่ปล่อยให้เดินกลับหรอก" ดูเหมือนผู้อุ้มกับคนถูกอุ้มจะไม่ทันได้สังเกต

'พี่' สำหรับคนอื่นอาจจะดูปกติ แต่คงไม่ใช่กับผู้ครอบครองดวงเนตรสีน้ำเงิน เพราะพระองค์จะไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าใกล้สนิทสนม ยิ่งคนที่พระองค์ยอมแทนตัวว่าพี่มีนับคนได้... แต่โมนิคน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น! มันอะไรกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องดี

ดูเหมือนฝ่าบาทของนกน้อยจะอ้อนโมนิคจริงๆ อะไรในตัวโมนิคกันนะที่ทำให้เจ้าแห่งความมืดอ่อนลงได้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ทูลกระหม่อมน้อยกาเซียร์ เจ้าหญิงเอริน่าไม่ใช่หรือคือทูนหัวของพวกมัน

“ไปได้แล้ว...”

"เย้!" มือเล็กเอื้อมโอบผ่านแผ่นไหล่กว้างอบอุ่น "ยิ้มแล้ว... ปีศาจตาดุยิ้มแล้ว"

"แล้วจะทำไมยัยหมูน้อย... ข้าคือโดเรียส ไม่ใช่ปีศาจตาดุ"

"จ้า ปีศาจโดเรียส แล้วเป็นหมูน้อยโมนิคก็ยังดีกว่า เป็นไอ้หนูโมนิคล่ะ..." เสียงใสหัวเราะร่า น่าชัง

# # # # #

ราตรีกาลเคลื่อนคล้อยมาจวนเจียนรุ่งสางแล้ว... แสงไฟในตัวอาคารพักดับไปแทบหมด จะเหลือก็เพียงประโคมให้แสงที่ด้านหน้าทางเข้า หลอดไฟเล็กนี้แม้นไม่แผดกล้าปานแสงรวิ หากเป็นหนึ่งในสิ่งกันขโมยขั้นพื้นฐาน แสงทำให้คนในเงามืดประหวั่นได้...

แต่เจ้าแห่งความมืดที่เหยียบย่าง หยัดกายอยู่หน้ากระท่อมดิน ก็เป็นหนึ่งในคนใต้เงามืด แต่ไยดวงเนตรคมกริบกลับมิได้หวาดกลัวความสว่าง ย่างกายเข้าสู่ความเรืองโรจน์อย่างมาดมั่น.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราชันแห่งความมืดเหยียบย่ำผ่านรั้วระแนง เข้ามาในอาณัติแผ่นดินนี้ ร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนหลับพริ้มด้วยพิษแผลตามกาย...

ถ้าผู้อยู่ในกระท่อมซึ่งกำลังกระวีกระวาดพากายออกมารับผู้มาเยือนเห็นรอยเขียวช้ำนี้ นางจะรู้สึกเช่นไร ไม่แน่ใจนักว่า นางคือผู้ดูแลเด็กจ้อยจริงหรือ สองครั้งสองหนที่โมนิคน้อยต้องเจออันตราย... อันตรายจากความเผลอเลอไม่ได้ตั้งใจ หรือว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่นางจงใจก็เป็นได้... โดเรียสไม่ใช่มนุษย์อ่อนประสบการณ์ จึงมีความเคลือบแคลงในตัวแม่เฒ่าเจ้าของกระท่อม....

"...!...ขอบคุณที่ท่านกรุณาช่วยคุณหนู..." ผู้ชราคุกเข่าลงเบื้องบาท ก่อนจะโถมกายเข้าหาร่างจ้อยในอ้อมแขนโดเรียส

"คุณหนู! มาร์ธาไม่ดีเอง ไม่ดีเองที่ปล่อยปละละเลยคุณหนู" ผู้ชราร่ำไห้อย่างรู้สึกผิด จากความที่ได้รับถ่ายทอดจากครูส เด็กชายที่พาร่างสะบักสะบอมกลับมา ทำให้แม่เฒ่าผู้ดูแลคุณหนูโมนิค ประหวั่นยิ่งนัก...

"โมนิคไม่เป็นอะไรหรอก แค่เพลียเลยหลับไป" เป็นครั้งแรกที่เจ้าของร่างกำยำเอ่ยถ้อยคำกับเจ้าของกระท่อม แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมาพักพิง แต่นั่นก็ใช่ได้พูดคุยกันมากนัก

“ขอบคุณ...” ดวงตาคมกริบทำให้แม่เฒ่ายิปซีต้องก้มหน้าต่ำหนีคำถามบางอย่างที่เจ้าของร่างกำยำถ่ายทอดออกมา

"ถ้าไม่ได้ราชัน... คุณหนูของมาร์ธาคง..." พยายามเปล่งเสียงออกมาแม้ยังประหวั่น หวังว่านั่นคงจะเบี่ยงเบนความคิดเจ้าของร่างกำยำได้

"สำนึกผิดจริงรึ?... " ดวงเนตรคมมองให้ลึกถึงใจของผู้ชรา

"แต่สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่หลังดวงตาคู่นั้นของเจ้ายังมีความทะเยอทะยาน... มักมาก" ถ้อยตอนท้ายเน้นย้ำ แฝงสำเนียงดูแคลนอยู่กลายๆ

"ราชัน.. พระองค์จะทรงบอกอะไรแก่ยายเฒ่า?" ผู้ชราถามน้ำเสียงราบเรียบ หากในใจกับรุ่มร้อนหวาดเกรง

"ข้าจะบอกว่า... ผู้ยืนอยู่ตรงหน้าข้าคือพระนางมาลาวี... " โดเรียสเอ่ยออกมาไม่อ้อมค้อมก่อนจะเน้นย้ำ "ถ้าเจ้ารู้จักข้า ก็น่าจะรู้ดีถึงอำนาจพลอยสีน้ำเงิน"

แม่เฒ่าผู้ถูกกล่าวหา เงยหน้าขึ้นสบเนตรคมกริบ

"พลอยแห่งอำนาจนั้น บอกพระองค์ด้วยหรือไม่ว่า เด็กตัวน้อยในอ้อมพาหาคือใคร?... รวมทั้งมันบอกพระองค์ด้วยรึไม่ว่า ทูลกระหม่อมน้อยของพระองค์อยู่ที่ใด?" แม่เฒ่ามาร์ธารู้ดีว่าไม่มีทางปกปิดดวงเนตรสีน้ำเงินได้ ถ้าไม่อาจปฏิเสธ ก็ขอทูลถามสิ่งที่อยู่ในใจกันเสียตรงนี้

โดเรียสจะน่ากลัวที่สุดในยามที่เม็ดอำพันซึ่งส่องสะท้อนประกายเขียวแกมอำพันนี้กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ... เพราะภายใต้เงานั้น สิ่งมีอำนาจหนึ่งจะบอกทุกอย่างที่ผู้เป็นนายต้องการรู้ และสมควรรู้.. อำนาจของนามแห่งเลือด ตัวตนของสิ่งชั่วร้ายที่น่าสะพรึง

"ข้าไม่เคยตามหากาเซียร์" วงหน้าดูเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้ตีสลด หากเสียงทุ้มต่ำยังคงเน้นย้ำหนักแน่น

"พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่านางจะจุติใหม่..." ผู้ชราทูลถามหยั่งเชิง

"ข้าเชื่อ... แต่ข้าไม่ต้องการ" คำตอบนั้นดูโหดร้ายนัก

"ถ้าเช่นนั้น ก็อย่าได้ทรงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย... ทรงละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว" เสียงแหบแห้งแฝงคำตำหนิ "ราชัน ทรงรู้รึไม่ว่าทรงทิ้งอะไรไว้บ้าง... ความตายของเปอร์ซิโฟเน่ เอริเซียร์ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ใช้แลกกับเวลาเพื่อรอคอยพระองค์...แต่พระองค์กลับหนี... ถ้าสิ่งที่สำคัญยิ่งของพระองค์คือทูลกระหม่อมกาเซียร์ และทรงไม่ต้องการร่างจุติใหม่ของนางจริง พระองค์ก็ไม่สมควรเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้... เพราะไม่เช่นนั้น ความยุ่งยากจะบังเกิดขึ้นอีก!"

"สำหรับพระนางโมนิคคือใคร?" ร่างกำยำมิได้ประหวั่นกับสิ่งที่ผู้ชราพร่ำออกมา อาจเห็นเป็นเรื่องของคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับพระองค์แม้สักนิด

"ทรงใส่พระทัยด้วยหรือเพคะ... " ผู้ชราถ้อยทูลลองใจ

"อย่าได้คาดหวังกับชีวิตของผู้อื่น... พระนางมีประสบการณ์กับสิ่งนี้ดีไม่ใช่รึ?" เสียงราบเรียบหากแฝงคำตักเตือนอยู่ลึกๆ และอาจหวังว่าพระนางจะตระหนักได้ แต่ราชันแห่งความมืดก็รู้ตัวดี...รู้ดีว่าพระองค์ไม่เหมาะและไม่ดีพอที่จะไปตักเตือนสั่งสอนผู้ใด เพราะตัวเองก็ยังไม่อาจหนีเรื่องพวกนี้พ้น


'สำหรับพระนางโมนิคคือใคร?... โมนิคคือคนที่จะสามารถทำให้บาปของมาลาวีลดลง' มาร์ธาอยากจะถ้อยทูลเช่นนี้นัก

สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเปล่งคำพูดใดๆ ออกมาได้ แต่เหตุบางอย่างก็ไม่อาจเปิดเผยได้ ประวัติศาสตร์ช่างโหดร้ายนัก ความเจ็บปวดจำต้องเก็บไว้เบื้องลึก เตรียมการไถ่โทษคือบาปที่ข้าทรยศ

จันทร์กระจ่างสาดแสงเข้ามาในห้องเล็กๆ ของกระท่อมดินทรงกลม... ทอดลำผ่านตัวนกน้อยสีส้มที่เกาะขอบหน้าต่าง มันหลับตาพลางซุกหน้าลงกับปีก เป็นอาการนอนหลับพักผ่อนอย่างสัตว์ป่า... บ่อยครั้งที่มันเงยหน้าขึ้น พร้อมส่ายหน้าหาร่างหญิงชราเจ้าของกระท่อม

เวลานี้ใบหน้าเหี่ยวย่นตีหนักใจ ดวงตาสีน้ำข้าวทอดมองร่างเล็กๆ ที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ใต้ผ้าห่มอุ่น... ถ้อยสนทนาก่อนหน้านี้ผุดขึ้นมาในหัว... ความหม่นเศร้าประดังประเดเข้าสุมอก นกน้อยรู้ดีถึงสาเหตุความสับสนในใจของหญิงชรา...

"มาร์ธาไม่รู้จักคนที่มาส่งโมนิคจริงเหรอ... แล้วก่อนหน้านั้นคุยอะไรเป็นนาน" ครูสเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามอย่างเสียไม่ได้ เพราะเก็บความสงสัยไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เด็กชายยืนพิงประตู ถามคำประมาณนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ผู้ชราได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อไป

"ข้าไม่เชื่อว่ามาร์ธาไม่รู้จัก"

"ไม่รู้จักหรอกครูส...มาร์ธาไม่รู้จัก..." ผู้ชราเบือนหน้ามาตอบ ละสายตาจากงานครัวในมือ จ้องหน้าเด็กชาย สายตานิ่งๆ ราวจะเน้นย้ำคำพูด

ครูสมองใบหน้าเหี่ยวย่นอย่างใคร่คิดช่างใจ "แล้วเจ้าลูกนกสีส้มนี่ล่ะ...เขาไม่พาไปด้วยเหรอ หรือว่าทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้วท่าทางมันปากเปราะนะ ร้องอยู่ได้น่ารำคาญ"

ผู้ถูกต่อว่าร้องเสียงแหลม จะมีใครรู้ว่า สิ่งที่มันร้องแปลออกมาว่า 'ไอ้เด็กปากเสีย... ชิบิน่ะร้อยปีแล้ว ไม่ใช่ลูกนกเฟ้! เด็กบิ๊กเกรซนี่ปากเสียกันหมดนี่หว่า...เฮ้อ ทำไมฝ่าบาททิ้งชิบิไว้ที่นี่น้า'

"ครูสสิ่งที่เจ้าเห็น อาจไม่ใช่แค่ที่เจ้าเห็น..." ผู้ชราว่าน้ำเสียงราบเรียบหากแฝงความหมาย

ชิบิมองดูใบหน้าเหี่ยว มันได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้อยู่ที่นี่ เพื่ออะไร เพื่อดูพระนางมาลาวีอย่างนั้นน่ะหรือ? หรือว่าฝ่าบาทของมันจะรำคาญและกำลังจะทิ้งมัน... ขออย่าให้เป็นอย่างหลังเลย...

"มาร์ธาชอบพูดอะไรแปลกๆ... พวกยิปซีนี่แปลกจริงๆ ชอบพูดอะไรเป็นปริศนา ข้าโง่นะแปลไม่ออกหรอก!" ครูสว่าไม่ใส่ใจนัก ถ้าเด็กชายตัวจ้อยมีประสบการณ์ไตร่ตรอง ใคร่ครวญมากกว่านี้จะรู้ว่า ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นซ่อนอะไรไว้มากมาย ซ่อนอดีตที่ผิดพลาด ในหัวของนางคิดแต่คำว่าแก้ไขลบล้างความผิด ไถ่บาปที่เคยทำ โดยมีมหาเทพคิลกัส...คอยชี้นำเฝ้าดูความเป็นไปของเหล่าเทพและลูกมนุษย์

'เซอร์เคิล... เซเรส... ข้าจะคอยดูว่าพวกลูกๆของพวกเจ้าใครกันจะเป็นผู้ชนะ...ระหว่างคนดื้อรั้นอย่างโดเรียสกับมาร์เทวีคนผู้อยู่เบื้องหลังเมฟาตีส ผู้จะนำพาเมฟาตีสกลับมาจากความตาย... '

ผู้มองดูเหตุการณ์ความเป็นไปของยายเฒ่ามาร์ธา ผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำของนางเมื่อเจ็ดปีที่ก่อน ผู้นำร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่มี 'รอยสัจจะ' แฝงอยู่บนร่างมาส่งถึงมือ ชี้ทางและนำพานางมายังหมู่บ้าน ผู้ประกาศกร้าว กล้าท้าทายเจ้าแห่งความมืด ผู้ให้โอกาสนางได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้บาลากอสจำต้องปกปิดเรื่องราวของธิดาแฝด ใบหน้าใต้หนวดเคราขาวที่ยาวเป็นพวงนั้นแย้มยิ้ม อย่างพอใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังจะเดินไปตามทางที่ตนได้ขีดไว้...



Create Date : 17 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2550 11:44:09 น. 0 comments
Counter : 611 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

adel_ew
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [?]




ความกลัวที่สุดคือ...กลัวที่ต้องอยู่โดยไม่เหลือใคร
Friends' blogs
[Add adel_ew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.