Group Blog
 
All Blogs
 
หยุดความรุนแรงในจิตใจ

The War
หยุดความรุนแรงในจิตใจ……

“War is like a big machine that no one really knows how to run and when it gets out of control, it ends up destroying the things you thought you were fighting for, and a lot of things you kinda forgot you had”
(คำพูดของลิเดียจากหนังเรื่อง The War)

ท่ามกลางความขัดแย้งของจุดยืนทางการเมือง ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต่างฝ่ายต่างโจมตี ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายกล่าวหากัน โกรธ เกลียดชังว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู และหลายครั้งลุกลามถึงกับใช้กำลังเข้าห่ำหั้นกัน จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ที่ได้ชื่อว่า สยามเมืองยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นการกระทำของคนไทยที่ได้ชื่อว่ามีน้ำจิตน้ำใจ โอบอ้อมอารี รัก ให้อภัย ให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาด ดังคำพูดที่ติดปากคนไทยที่ว่า “ไม่เป็นไรๆ” ที่น่าเศร้าคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ต้องการผลประโยชน์ อำนาจทางการเมือง

สถานการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทำให้คิดถึงหนังดราม่าเรื่องหนึ่งที่แม้ไม่ได้โด่งดังมากมาย แต่ก็มีเนื้อหาสอนใจผู้คนได้อย่างดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ เยาวชน ในเรื่องของการยืนหยัดในความรัก ความอดทน ปฎิเสธการต่อสู้โดยใช้กำลัง อาวุธและความรุนแรงทุกรูปแบบ และไม่เอาอย่างผู้ใหญ่บางคนที่มุ่งหวังแต่ชัยชนะของตน โดยไม่สนใจว่าวิธีการที่ได้มานั้น จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรมหรือไม่….. หนังเรื่องนี้ชื่อสั้นๆ ว่า The War ออกฉายมาตั้งแต่ปี 1994 แต่เนื้อหาในหนังเป็นสิ่ง ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อมนุษยชาติทุกยุคทุกสมัย

หนังเป็นผลงานกำกับของ จอน แอฟเนท (ก่อนหน้านั้นสามปี เขาทำหนังส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย เรียกร้องให้ผู้ชายหยุดการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิง ในหนังที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากเรื่อง Fried Green Tomatoes) เขียนบทโดย แคธีย์ แม็กวอร์เตอร์ ฉากหลังของหนังคือเมืองเล็กๆ ชื่อ จูเลียต, รัฐมิสซิสซิปปี้ ในช่วงซัมเมอร์ปี 1970 หนังเล่าเรื่องของครอบครัวซิมมอนส์ ที่จะต้องร่วมฝ่าความยากลำบากในชีวิตไปด้วยกัน เพราะหัวหน้าครอบครัวคือ สตีเฟ่น (เควิน คอสท์เนอร์) ที่สภาพจิตใจบอบช้ำจากการไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม ทั้งที่ก่อนไปเขาคิดว่าจะไปช่วยชีวิตคน แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงข้าม และต้องไปบำบัดด้านจิตในโรงพยาบาลมาแล้ว ทำให้ยากที่จะหางานทำ ภาระหนักจึงตกมาอยู่ที่ภรรยา หลุยส์ (แมร์ วินนิงแฮม) ที่ต้องทำงานหนักถึงสองเท่า แต่เธอก็ยังยืนเคียงข้างกับสามีเสมอ เพราะถือว่าเขาและเธอมิอาจตัดขาดแยกจากกันได้

ครอบครัวนี้มีลูกด้วยกันสองคน คือ ลิเดีย (เลซี่ แรนดอลล์) คนโตวัย 12 ปี เธอมีเพื่อนสนิทเป็นเด็กผู้หญิงผิวสี โดยที่ความแตกต่างของสีผิวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพแต่อย่างใด และพร้อมที่จะยืนเคียงข้างเพื่อนเสมอ เมื่อไม่ได้รับความอยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะจากการเหยียดผิวแม้แต่ในโรงเรียนสถานที่ที่ควรจะสอนแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ส่วนน้องชายชื่อ สตู (เอลีจาห์ วู้ด) นอกจากความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากแล้ว หลายครั้งสตูยังถูกเด็กเกเร ตระกูลลิพนิคกี้ กลั่นแกล้ง หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกาย แต่ทั้งสองพี่น้องและเพื่อนๆ ของพวกเขา ก็ได้ค้นพบสถานที่ที่จะลืมความเศร้าหมองไปได้ บนต้นโอ้คใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ที่พวกเขาช่วยกันสร้างบ้านเล็กๆ บนนั้น โดยเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงจัดสรรแบ่งเวลากันมาพักผิงที่นี่

หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลส่งเสริมสันติภาพดีเด่นในปีที่ออกฉาย จากสมาคมที่ชื่อว่า Political Film Society เพราะนอกจากจะต่อต้านสงครามโดยให้เห็นความโหดร้ายของสงครามเวียดนามจากชีวิตของสตีเฟ่น เขายังคงฝันร้ายอยู่เสมอที่ไม่สามารถพาเพื่อนรักขึ้นฮอลิคอปเตอร์ออกมาจากสมรภูมิรบได้ เมื่อผ่านความเลวร้าย ความรุนแรง ของสงคราม เขาจึงพร่ำสอนลูกๆ ให้อดทน ใช้สันติวิธี เพราะสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตคนเราก็คือความรัก หาใช่ความเกลียดชังไม่ และสอนให้ลูกคิดก่อนทำเสมอ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง และไม่ได้สอนอย่างเดียว แต่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เขาหยิบยื่นขนมหวานให้เด็กตระกูลลิพนิคกี้ แม้จะรู้ดีว่าเด็กพวกนี้ชอบรังแกลูกของตัวเอง เพราะสงสารที่เด็กเหล่านี้ขาดคนเหลียวแล …..

The War มีเพลงประกอบไพเราะอยู่หลายเพลง และส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีเนื้อหาต่อต้านสงคราม เรียกร้องให้เกิดสันติภาพ ด้วยการเปิดเรื่องด้วยเพลง Who’ll stop the rain เพลงจังหวะสนุกๆ ของวงร็อกชื่อดังยุค’70 c.c.r. ที่ย่อมาจาก Creedence Clearwater Revival เป็นเพลงที่ตั้งคำถามว่าแล้วใครจะหยุดสงครามเวียดนาม เนื้อความตอนหนึ่งของเพลงนี้ที่เขียนโดย จอห์น ซี.โฟการ์ตี้ บรรยายไว้ว่า …..The crowd had rushed together, trying to keep warm. Still the rain kept pourin’, fallin’ in my ears, and I wonder, still I wonder who’ll stop the rain ……

อีกเพลงหนึ่งในหนังที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะชักชวนคนไทยทุกคนให้ร่วมกันขึ้นรถไฟขบวนแห่งสันติภาพ สันติสุขไปด้วยกัน เป็นเพลงตอนขึ้นเครดิตท้ายเรื่อง ชื่อว่า Peace Train ของ แคท สตีเว่นส์ …. Why must we go hating ? Why can’t we live in bliss? For out on the edge of darkness. There rides the peace train. Peace train take this country. Come take me home again ….



Create Date : 17 กันยายน 2551
Last Update : 17 กันยายน 2551 14:13:30 น. 4 comments
Counter : 515 Pageviews.

 
ไหงเขียนสั้นจังอ่ะ ยังอ่านไม่จุใจเลย แล้วเดือนนี้มีแค่เรื่องเดียวเหรอพี่ หนังน่าดูดีจัง เอามาให้ยืมดูมั่งจิ่ อิอิ


โดย: นู๋แอ๊ป IP: 202.149.25.236 วันที่: 23 กันยายน 2551 เวลา:21:05:11 น.  

 
พี่เขาบอกให้เขียนสั้นๆ จะได้ใส่รูปได้จ้า
แล้วจะเอาไปให้ดูนะ


โดย: minkitti วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:12:50:55 น.  

 
เอลีจาห์ วู้ดตอนเด็กๆน่ารักจังเนอะ
เรื่องนี้เราดูนานแล้ว จำได้ตอนที่เด็กๆปีนไปที่เก็บน้ำ แล้วเอลีจาห์ตกไปในน้ำที่มันหมุนๆ ลุ้นมากๆเลย เรื่องนี้แพท พัสสนเล่นด้วยนะ เป็นเอ็กตร้า เล่นเป็นทหารเวียดกงตอนที่เควินไปรบที่เวียดนาม ต้องใช้แว่นขยายส่อง ถึงจะเจออ่ะ


โดย: coming soon (The Yearling ) วันที่: 1 ตุลาคม 2551 เวลา:16:23:24 น.  

 
ได้ดูตอนที่เข้าโรงเหมือนกันครับ จำได้ว่าดูโรงพันทิพ ตอนนั้นเป็นห้างที่คนน้อยดี
ช่วงนี้คนไทยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็เลยอยากให้ดูหนังเรื่องนี้กัน
แล้วคุณแพทเขาเล่นนาทีที่เท่าไรครับ


โดย: minkitti วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:10:16:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

minkitti
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add minkitti's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.