Group Blog
 
All Blogs
 
ความรัก …. มิตรภาพ ….. สันติภาพ….

ความรัก …. มิตรภาพ ….. สันติภาพ….

ภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องสร้างหรือดัดแปลงจากการ์ตูนที่ได้รับความนิยม ที่โด่งดังในบ้านเราเมื่อสองปีก่อนคือ Death Note สร้างจากการ์ตูนเขียนเรื่องโดย Tsugumi Ohba วาดภาพโดย Takeshi Obata มีทั้งหมด 12 เล่ม เข้าฉายในบ้านเราทิ้งระยะห่างไม่นานคือภาคแรกเมื่อ 28 กันยายน 2006 ภาคสอง Death Note 2: The Last Name เข้าฉาย 30 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน และยังมีภาคต่อเนื่องตามมาอีกคือ Death Note : L Change the World เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2008

สำหรับปีนี้หนังญี่ปุ่นที่แฟนๆ การ์ตูนต่างรอคอยคือเรื่อง 20th Century Boys ตอนเป็นการ์ตูนมีชื่อไทยว่า “แก็งค์นี้มีป่วน” ส่วนตอนเป็นหนังกลับตั้งชื่อไทยได้ค่อนข้างขัดใจคอการ์ตูนว่า “มหาวิบัติดวงตาล้างโลก” ผลงานการเขียนของ นาโอกิ อุราซาวา (Naoki Urasawa) มีเรื่องราวทั้งหมดถึง 22 เล่ม พร้อมทั้งเล่มพิเศษอีกสองเล่ม เมื่อมาทำหนังจึงต้องแบ่งออกเป็นไตรภาค ภาคแรกเป็นผลงานกำกับของ ยูกิฮิโกะ ซึซึมิ โดยเรื่องราวครอบคลุมเนื้อหาการ์ตูนตั้งแต่เล่ม 1-8

การ์ตูนเรื่องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การดำเนินเรื่องหลายช่วงเวลาเล่าเรื่องสลับกันไปมา มีทั้งเรื่องราวดราม่าเข้มข้นของชีวิตครอบครัว มิตรภาพซาบซึ้งของกลุ่มเพื่อนในวัยเด็กในปี ค.ศ.1969 ตัดสลับเป็นระยะกับช่วงปี 1997 แล้วมาไคลแม็กซ์ในวันสุดท้ายของปี 2000 ก่อนที่โลกจะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ทั้งยังข้ามไปเล่าถึงโลกอนาคตปี 2014 ตัวเอกในภาคแรกคือ เคนจิ ในปี 1997 เจ้าของร้านมินิ มาร์ท King Mart ในอดีตเขาใฝ่ฝันจะเป็นร็อกเกอร์ชื่อดัง แต่ตอนนี้อยู่กับแม่และหลานสาววัยทารกชื่อ คันนะ ซึ่งพี่สาวมาฝากเลี้ยงไว้แล้วหายตัวไป

เหตุการณ์เลวร้ายหลายอย่างเริ่มเกิดขึ้นเช่นการหายตัวไปของ ดร.ชิคิชิม่า ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างหุ่นยนต์ ที่เคนจินำเหล้าไปส่งให้ประจำ ที่บ้านของด็อกเตอร์เขาได้พบสัญลักษณ์รูปมือที่มีนิ้วชี้ขึ้นข้างบน บนมือมีรูปดวงตา และมือนั้นอยู่ในกรอบของดวงตาใหญ่อีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นเกิดคดีประหลาดที่ผู้เสียชีวิตมีเลือดไหลออกจากตัวจนหมด และเกิดโรคระบาดที่ซานฟรานซิสโก ลอนดอน และในโอซาก้าเอง รวมไปถึงระเบิดที่สนามบินฮานาดะ และ ดองกี้ เพื่อนสนิทในวัยเด็กของเขาก็มาเสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำ ส่วนสังคมญี่ปุ่นก็กำลังสับสนวุ่นวายเมื่อเกิดลัทธิประหลาด เจ้าลัทธิเรียกตัวเองว่า “เพื่อน” ดึงดูดผู้คนโดยเฉพาะเยาวชนให้หลงใหลคลั่งไคล้ และทำทุกอย่างตามแต่ที่เพื่อนจะสั่งโดยไม่มีสติยั้งคิดถึงความผิดชอบชั่วดี

ในที่สุดเคนจิจดจำได้ว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นช่างตรงกับคำทำนายที่เขาและเพื่อนๆ ช่วยกันเขียนเอาไว้เล่นๆ เมื่อตอนอยู่ชั้นประถม และฝังเอาไว้ในกล่องใบหนึ่ง ผู้นำลัทธิที่เรียกตัวเองว่าเพื่อนที่ชอบซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากากจึงน่าจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งในวัยเยาว์ของเขา แต่ความซับซ้อนอยู่ตรงที่ว่า เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับเพื่อนที่ใส่หน้ากากนินจาฮัตโตริ เพื่อนบอกว่าคันนะเป็นลูกของเพื่อนเอง ?

แม้จะเป็นคนธรรรมดาสามัญไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่เคนจิที่เคยสัญญากับเหล่าเพื่อนสนิทของเขาภายใต้ผืนธงโลโก้ที่ต่อมากลุ่มองค์การร้ายนำไปใช้ผิดๆ ว่า ถ้าโลกเกิดวิกฤติพวกเขาจะช่วยกันปกป้องและรักษาสันติภาพของโลกไว้ให้ได้ เขาจึงรวบรวมกลุ่มเพื่อนในวัยเด็ก มาช่วยกันหยุดยั้งแผนการร้ายของเพื่อนที่จะครองโลกด้วยอาวุธเชื้อโรค ได้แก่ โยชิสึเนะ, มารุโอะ, มอนจัง, ฟุคุเบ, ยูคิจิ - ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มแต่เข้มแข็งมาก รวมถึงโอตโจะ ที่หายตัวไปอยู่ในเมืองไทยช่วงหนึ่งโดยใช้ชื่อว่าโชกุน ก็กลับมาญี่ปุ่นด้วย

เสน่ห์ของทั้งหนังและการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ที่การดำเนินเรื่อง มีปริศนาต่างๆ ให้เฝ้าติดตาม การสร้างคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจของตัวละครทุกคน เรื่องราวความรัก ความเอาใจใส่เอื้ออาทรกันในครอบครัวถ่ายทอดได้ซาบซึ้งโดยเฉพาะความรักระหว่างพี่สาวกับน้องชาย คือ คิริโกะ กับ เคนจิ น่าเสียดายที่ในหนังไม่ได้เน้นในส่วนนี้มากนัก แต่ถ้าได้อ่านการ์ตูนจะไม่สงสัยเลยว่า ทำไมเคนจิถึงรักและเลี้ยงดูคันนะเสมือนเป็นลูกของตัวเอง และประกาศไว้ว่า ผมจะเลี้ยงคันนะไปจนกว่าพี่สาวจะกลับมา….

ตอนแรกเราอาจอยากประณามคิริโกะที่ไม่น่าทิ้งลูกหนีหายไปได้ลงคอ แต่ความคิดเราต้องเปลี่ยนไปเมื่อทราบว่าที่ผ่านมา คิริโกะเป็นพี่ที่เสียสละเพื่อเคนจิเพียงใด ….. เธอช่วยเขาจากการจมน้ำถึงสองครั้งจนตัวเองต้องนอนซมเป็นไข้หวัด เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอก็คอยดูแลอยู่ข้างๆ แม้เป็นวันที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ตาม เธอยังเป็นพี่สาวที่เข้าใจความต้องการของน้อง พาไปดูหนังเลี้ยงไอติม รู้ว่าน้องชายชอบเล่นกีต้าร์ ความฝันของเคนจิที่จะมีกีต้าร์ไฟฟ้าราคา 26,000 เยน ที่เขายืนมองหน้ากระจกร้านดนตรีอยู่บ่อยๆ พี่สาวคนนี้ก็ทำให้เป็นจริงขึ้นมา

การ์ตูนเรื่องนี้ผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่รู้สึกร่วมกับตัวละครและหวนคิดถึงความทรงจำอันอบอุ่นในวัยเยาว์ โดยเฉพาะเวลาที่เล่าเหตุการณ์ช่วงปี 1969 ต่อเนื่องมาจนถึงทศวรรษ 1970 ยุคเฟื่องฟูของร็อกแอนด์โรล ความรัก เสรีภาพ สันติภาพ ในปีนั้นมีการแสดงคอนเสิร์ทยิ่งใหญ่ที่ทุกคนยังจดจำได้ดีคือ วู้ดสต็อก ในการ์ตูนกล่าวถึงนักร้องและวงดนตรีในช่วงนั้น ได้แก่ Rolling Stone, C.C.R., จิมมี่ เฮนดริกซ์, จอห์น เลนนอน, บ็อบ ดีแลน

และวงที่อุราซาวาผู้เขียนการ์ตูนชื่นชอบเป็นพิเศษน่าจะเป็น T-Rex เพราะมีฉากที่ตัวละครบุกเข้าไปในห้องกระจายเสียงในโรงเรียนเพื่อเปิดเพลงของวงนี้ให้ดังกังวานไปทั้งโรงเรียน และตัวละครในการ์ตูนหลายคนก็ชอบฟังเพลงของวงนี้ แม้แต่ชื่อการ์ตูนเรื่องนี้ก็มาจากชื่อเพลงหนึ่งของวง T-Rex เนื้อหาของเพลงเกี่ยวข้องกับเพื่อนเช่นกัน …. Friends say it’s fine. Friends say it’s good. Everybody says it’s like rock and roll. I move like a cat. Charge like a ram. Sting like a bee ….

ผู้เขียนการ์ตูนยังได้แรงบันดาลใจจากนิยายดังของ สตีเฟ่น คิง สองเรื่องคือ It กับ The Stand ทั้งสองเรื่องได้รับการดัดแปลงเป็นหนังที่ฉายทางโทรทัศน์ เรื่องแรกนั้นกล่าวถึงกลุ่มเพื่อนรักที่หลังจาก 3o ปีผ่านไปต้องกลับมาบ้านเกิดตามสัญญาที่จะช่วยกันกำจัดความชั่วร้ายที่มาในรูปร่างของตัวตลกจอมโหด ส่วนเรื่องหลังเกี่ยวกับโลกที่ต้องเผชิญหน้ากับไวรัสมรณะที่รั่วไหลมาจากอาวุธชีวภาพ







Create Date : 09 มกราคม 2552
Last Update : 9 มกราคม 2552 12:08:35 น. 1 comments
Counter : 561 Pageviews.

 
เข้ามานั่งอ่าน ติดหนังการ์ตูนญี่ปุ่นเหมือนกัน
เปิดคอมเเละทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน ขนาดไม่อยากหลับตาค่ะ


โดย: YUCCA วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:12:42:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

minkitti
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add minkitti's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.