Group Blog
 
All Blogs
 
แม่รักลูกยิ่งสิ่งใด.....

Tokyo Tower : mom and me, and sometimes dad บอกเล่าเรื่องราวสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง แม่ กับ ลูกชาย โดยตัดสลับระหว่างเหตุการณ์ช่วงปัจจุบันและอดีต เมงุ (โจ โอดางิริ) ทำงานดิ้นรนอยู่ในโตเกียว เขาทำหลายอาชีพ ทั้ง นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และจัดรายการวิทยุยามดึก หนังค่อยๆ ให้เราสัมผัสความรักของแม่ที่เอาใจใส่ดูแลเขามาตลอดชีวิต แม่แยกทางกับพ่อตั้งแต่เขายังเล็ก พามาอยู่บ้านของยายที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำเหมือง แล้วย้ายมาอยู่ห้องเช่าเล็กๆ เพราะไม่อยากรบกวนยาย เมื่อเขาอยากไปเรียนด้านศิลปะแม่ก็ไม่ขัดข้อง แม้เขาจะไม่ตั้งใจเรียนเท่าไรนัก แม่ดูแลส่งเสียเขาจนจบมหาวิทยาลัยในโตเกียว โดยทำงานหนักเป็นแม่ครัว หลังเรียนจบเขายังใช้ชีวิตเลื่อนลอยเป็นหนี้สินมากมาย แต่ในที่สุดก็ได้คิดตั้งใจทำงาน จนสามารถชวนแม่มาอยู่ด้วยกันที่โตเกียว แต่แล้วแม่ก็ล้มป่วยลงเพราะเป็นมะเร็ง เขาพยายามดูแลแม่อย่างดีที่สุด ไปเช่าบ้านที่มีบริเวณแม่จะได้อยู่อย่างสบาย …..

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ Joji Matsuoka ที่เคยสร้างความประทับใจในมิตรภาพระหว่างเพื่อนและเจ้าหมาสีดำประจำโรงเรียนมาแล้วจากเรื่อง Sayonara, Kuro สำหรับหนังเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ตามดูที่โรงสยามหรือที่เฮ้าส์ อาร์ซีเอ เห็นทีต้องน้ำตาไหลพรากให้กับความรักของแม่ลูกคู่นี้ และอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความรักแบบเดียวกันของแม่ที่บ้านมีให้กับเรา แม่ผู้ไม่เคยบังคับขู่เข็ญหรือเรียกร้องอะไรจากเรา คอยส่งเสริมให้เราได้เรียนได้ทำในสิ่งที่ชอบที่รัก ให้ทุกอย่าง อดทนได้เสมอเพื่อลูกโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน คอยหาข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยไม่ยอมให้เราต้องอด เวลาเห็นเสื้อผ้าสวยๆ ก็อยากให้ลูกได้ใส่ หลายๆ ครั้งเราทำตัวเหลวไหล ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเกียจคร้าน เที่ยวเตร่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ติดผู้หญิง ไม่ตั้งใจเล่าเรียน แต่แม่ก็ไม่เคยหยุดรักเรา ให้อภัยและให้โอกาสเราเสมอ เพื่อนสนิทอาจมีวันต้องห่างเหินเพราะหน้าที่การงานหรือภาระครอบครัว ความรักของหนุ่มสาวก็มีวันเจือจางหรือเลิกรากันไปได้ แต่ความรักของแม่ยังคงเดิมและมั่นคงเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และจะคุ้มครองชีวิตของเราเสมอไป …..

Tokyo Tower คว้ารางวัลระดับชาติของญี่ปุ่นที่เรียกว่า Japan Academy Award เมื่อปีก่อนในสาขาสำคัญถึงห้ารางวัลด้วยกันได้แก่ หนังยอดเยี่ยม, ผู้กำกับ, บทยอดเยี่ยม (ดัดแปลงจากหนังสือโดย Suzuki Matsuo), นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Kirin Kiki แสดงเป็นคุณแม่ตอนสูงวัยได้อย่างยอดเยี่ยม ใครเล่าจะกลั้นน้ำตาได้ในฉากที่เธอป่วยหนัก ) และ นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Kaoru Kabayashi ที่แสดงเป็นพ่อ) หนังไม่ได้นำเสนออย่างบีบคั้นอารมณ์นัก การเล่าเรื่องช่วงแรกค่อนข้างช้าด้วยซ้ำ แต่มีฉากตราตรึงในความทรงจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เมงุนั่งรถไฟไปเรียนต่อชั้นมัธยม แม่ห่ออาหารให้กิน ทั้งยังให้เงินและเขียนจดหมายให้กำลังใจ โดยไม่พูดถึงตัวแม่เองเลย แม่เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น สนุกสนาน และทำงานหนักเพื่ออนาคตของลูก แม้ในยามป่วยอยู่โรงพยาบาล สิ่งที่เธอขอให้เขานำมาให้ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติส่วนตัว แต่เป็นไปปริญญาบัตรของลูกชายที่เธอใส่กรอบแล้วเฝ้าเช็ดถูให้สะอาดอยู่เสมอ แม่มักพูดกับเขาว่า เห็นลูกทำงานแล้วแม่สบายใจ แม้งานบางอย่างที่ทำลูกจะไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวจะรับไม่ได้ แต่แม่ยินดีกับงานสุจริตทุกอย่างที่ลูกทำ และแม่อยากมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด เพื่อจะได้เห็นหน้าลูกทุกวัน

โปสเตอร์หนังเรื่องนี้บ่งบอกความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ลูกได้ดี เป็นภาพลูกชายจูงมือแม่ข้ามทางม้าลาย ในวันที่อากาศหนาวเย็น เขาหันมามองแม่ที่ยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข ….คนเป็นแฟนมักเดินจูงมือกันด้วยความรัก ความสนิทสนม แล้วในชีวิตของเรา เคยเดินจูงมืออันอบอุ่นของแม่หรือไม่ แม่ผู้หญิงที่รักเราที่สุด และไม่เคยทำให้เราเจ็บปวด เสียใจ และผมชอบโทนหนังที่ไม่ได้พิพากษาถูก ผิดใคร เช่นพ่อที่อาจดูเหมือนคนไม่รับผิดชอบครอบครัว ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ก็ยังรักและห่วงใยภรรยาและลูกเสมอ โดยเฉพาะในยามที่เธอป่วยหนัก …..

Iron Man หนังซูเปอร์ฮีโร่อีกเรื่องที่ดัดแปลงจากการ์ตูนของมาร์เวล คอมมิก เป็นหนังฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของฤดูกาลฉายหนังซัมเมอร์ 2008 ของอเมริกา และประสบความสำเร็จทั้งรายได้ คำวิจารณ์และความชื่นชอบของผู้ชม ทั้งที่ผู้กำกับคือ จอห์น ฟาฟโร่ ไม่ใช่ผู้กำกับแอ็กชั่นชื่อดังมาจากไหน แต่ถนัดหนังแนวคอเมดี้มากกว่า เช่นเรื่อง Elf (2003) และผลงานก่อนหน้านี้ของเขาเรื่อง Zathura (2005) ออกจะน่าผิดหวังด้วยซ้ำ ตลอดจนซูเปอร์ฮีโร่ในหนังที่เป็นมหาเศรษฐีค้าอาวุธและนักประดิษฐ์ระดับอัจฉริยะ โทนี สตาร์ก รับบทโดย โรเบิร์ต ดาวนี่ จูเนียร์ ก็ไม่ใช่พระเอกวัยรุ่นหน้าตาดี ทั้งยังเคยมีประวัติติดยาและถูกจับเข้าคุกมาแล้วด้วยซ้ำ ช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็แทบจะไม่มีบทเด่นในหนังเรื่องใดเลย แต่ต้องถือว่าเป็นการวางตัวนักแสดงได้เหมาะกับบทพระเอกที่เป็นเพลย์บอย ขี้เล่น แต่กลับเนื้อกลับตัว เช่นเดียวกับโทนี่ เขาสำนึกว่าอาวุธที่สร้างขึ้นมาด้วยความภูมิใจกลับทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมายทั่วโลกทั้งในสงครามกลางเมืองและสงครามระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ชีวิตทหารอเมริกันเอง เมื่อพบความเป็นจริงแล้วก็ไม่คิดจะทำธุรกิจค้าชีวิตผู้คนเช่นนี้อีกต่อไป

นอกจากนี้เรายังได้เห็นการแสดงที่มีเสน่ห์ของ กวินเนธ พัลโทรว ในบท เวอร์จิเนีย "เปปเปอร์" พอตต์ เลขาฯ ที่เข้าใจเจ้านายอย่างดีและคอยช่วยเหลือเขาเสมอ เธอไม่ได้เล่นบทเด่นๆ มานาน จนบางคนอาจลืมไปแล้วว่าเธอเป็นเจ้าของรางวัลออสก้าร์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Shakespeare in love (1998) บทเด่นอีกคนคือ เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด รับบทเป็น เจมส์ "โรดี้" โรดส์ นายทหารอากาศเพื่อนสนิทของเขา ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนเพราะว่าเขามีเงิน แต่เป็นเพื่อนประเภทที่เมื่อเพื่อนเดือดร้อนก็ไม่ทอดทิ้งกัน และที่จะลืมเสียไม่ได้เพราะหนังจะขาดสีสันก็คือ เจฟฟ์ บริดเจส ในภาพลักษณ์ใหม่จนจำเกือบไม่ได้ในบท โอบาเดียห์ สเตน เพื่อนของคุณพ่อของโทนี ปัจจุบันเป็นผู้บริหารบริษัทของโทนี

หนังดูสนุก เทคนิคเยี่ยม ทุ่มทุนสร้าง นักแสดงเล่นกันได้ดีทุกคน ทั้งยังให้ข้อคิด คติสอนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจากชีวิตของโทนี เช่นตอนติดคุกอยู่อัฟกานิสถานกับ ยินเซน แล้วช่วยกันประดิษฐ์ Iron Man ตัวแรก โทนีถามเพื่อนว่ามีครอบครัวหรือเปล่า เขาบอกว่ามี ถ้าออกไปได้ก็จะกลับหาครอบครัวทันที ยินเซนถามถึงครอบครัวเขาบ้าง โทนี่บอกว่าเขาไม่มี ยินเซนบอกว่า You're a man who has everything , but nothing.



Create Date : 20 พฤษภาคม 2551
Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 10:05:49 น. 1 comments
Counter : 778 Pageviews.

 


โดย: CrackyDong วันที่: 20 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:17:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

minkitti
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add minkitti's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.