ที่มาของรองเท้าส้นสูง





























เชื่อกันว่า
รองเท้าส้นสูงถูกคิดค้นขึ้นมา


เพื่อแก้ปัญหาให้กับคนขี่ม้าที่มักจะทำเท้าลื่นหลุดจาก
เหล็กวางเท้า โดยส้นของรองเท้าที่ใช้แก้ปัญหาการลื่นหลุดนี้จะสูงประมาณ 1
นิ้วถึง 1 นิ้วครึ่ง ปรากฎขึ้นในราวๆ ปี 1500
ซึ่งลักษณะของรองเท้าที่ว่านี้ก็คือรองเท้าบูทของคาวบอยนั่นเอง


รองเท้าสำหรับขี่ม้านี้เองที่เป็นต้นแบบของรองเท้าส้นสูง
ในช่วง 3 ทศวรรษแรก


โดย
ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกๆ ที่ใช้รองเท้าส้นสูง โดยเฉพาะในหมู่ผู้ชาย
จนส้นรองเท้าเริ่มสูงขึ้นและบางลงจนไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการขี่ม้าได้
อีก แต่กลับใช้เป็นแฟชั่นเฉพาะในราชสำนักแทน ซึ่งช่วงปี 1600
รองเท้าส้นสูงของผู้ชายเมืองน้ำหอมนั้นสูงประมาณ 3-4 นิ้วทีเดียว


ทั้ง
นี้ ในปี 1533 ภรรยาแคระของดุ๊กออฟออร์ลีนส์ที่ชื่อ แคทเธอรีน เดอ เมดิซี
ได้ไหว้วานให้ช่างทำรองเท้าออกแบบรองเท้าให้เธอคู่หนึ่งให้เป็นได้ทั้ง
รองเท้าแฟชั่นและเพื่อเพิ่มความสูงของเธอ
ซึ่งรองเท้าของเธอคู่นี้เพิ่มพื้นรองเท้าให้สูงขึ้นทั้งด้านนิ้วเท้าและส้น
เท้าด้วย ทำให้มีลักษณะคล้ายรองเท้าส้นตึก แต่ตรงส้นจะมีความสูงมากกว่า

จากนั้นมา
รองเท้าส้นสูงก็เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว


ทั้ง
ชายและหญิงในราชสำนักของฝรั่งเศส
และยังกระจายไปถึงพวกชนชั้นขุนนางในประเทศอื่นๆ อีก
จนรองเท้าส้นสูงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ดังนั้น
ทั้งชายและหญิงจึงเริ่มใส่รองเท้าส้นสูงเพื่อแสดงออกถึงความเป็นชนชั้นสูง
ตลอดศตวรรษที่ 17 และ18

อย่างไรก็ดี
เมื่อเข้าใกล้ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ในช่วงปลาย 1700
ความนิยมใส่รองเท้าส้นสูงก็เริ่มเสื่อมลง และตลอดศตวรรษที่ 18
ทั้งชายและหญิงเลือกที่จะใส่รองเท้าพื้นราบและรองเท้าแตะแทน ทว่า
แฟชั่นรองเท้าส้นสูงกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งราวปลายศตวรรษที่ 18 ในหมู่สาวๆ
ทั่วไป










ที่
มา:po






Free TextEditor






































































































Create Date : 23 เมษายน 2553
Last Update : 23 เมษายน 2553 18:08:25 น. 0 comments
Counter : 437 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.