ว่านมหาเมฆ (กระเจียวแดง) สรรพคุณดีแท้ ลดขนรักแร้ แก้ผมร่วง !
หนุ่ม ๆ ที่ไม่อยากหัวล้าน หรือสาว ๆ ที่ไม่อยากมีขนรักแร้ดก ต้องหันมาพึ่งว่านมหาเมฆแล้วค่ะ เพราะงานวิจัยจาก ม.นเรศวร พบว่า ว่านมหาเมฆหรือที่หลายคนรู้จักในชื่อกระเจียวแดง หรือขมิ้นดำ มีสรรพคุณช่วยลดปริมาณขนรักแร้ และแก้ผมร่วงได้ ! ถ้าเรียกว่าว่านมหาเมฆ หลาย ๆ คนอาจไม่ค่อยรู้จัก แต่ถ้าเรียกว่ากระเจียวแดง หรือขมิ้นดำ หลาย ๆ คนก็คงรู้สึกคุ้นหูขึ้นมาบ้าง ซึ่งสาเหตุที่เรานำเรื่องว่านมหาเมฆมาให้ทุกคนได้รู้จักในวันนี้ ก็เพราะมีงานวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีสมุนไพร มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งพบว่า ว่านมหาเมฆนั้นช่วยลดขนรักแร้และแก้ผมร่วงได้ แต่อย่างไรก็ตามว่านมหาเมฆไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่นั้น ฉะนั้นเราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับว่านมหาเมฆกันให้มากขึ้นกว่านี้ค่ะ ว่านมหาเมฆคืออะไรกันนะ ? ว่านมหาเมฆเป็นพืชชนิดเดียวกันกับขิงหรือข่า จัดอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีลักษณะเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จึงมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นมากมาย ทั้งกระเจียวแดง ว่านขมิ้นดำ ขมิ้นดำ มหาเมฆ อาวแดง ขิงเนื้อดำ หรือขิงสีน้ำเงิน ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของว่านมหาเมฆ ก็คือ Curcuma aeruginosa Roxb ค่ะ ว่านมหาเมฆ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นยังไง ? ว่านมหาเมฆ หรือกระเจียวแดง เป็นไม้ล้มลุกสูงประมาณ 40-60 เซนติเมตร มีเหง้ารูปไข่อยู่ใต้ดิน ขนาด 4-7 x 3-5 เซนติเมตร ภายนอกมีสีสนิมทองแดง ภายในมีสีฟ้าอมเขียว ส่วนใบของว่านมหาเมฆเป็นใบเดี่ยว เรียวยาว ปลายใบแหลม โคนใบรี ขอบใบเรียบ โดยจะเรียงสลับกันอยู่ ใบส่วนมากจะมีความยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร กว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร แทบทั้งใบเป็นสีเขียว แต่จะมีสีแดงเลือดหมูแทรกอยู่ตามเส้นกลางใบ และในส่วนของดอกของว่านมหาเมฆจะมีลักษณะเกิดจากเหง้า เป็นช่อ แต่ละช่อมี 2-7 ดอก เป็นรูปทรงกระบอก ยาว 10-20 เซนติเมตร มักออกดอกในช่วงฤดูฝน ใบประดับของดอกถ้าอยู่ส่วนยอดจะมีสีชมพูหรือแดง ถ้าอยู่ข้างล่างจะมีสีเขียว ส่วนผลของว่านมหาเมฆเป็นรูปไข่ ออกเป็นพวง มีขนหนาแน่น มีเมล็ดด้านใน ทรงคล้ายหยดน้ำ ยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ว่านมหาเมฆ สรรพคุณมากแค่ไหน ? อย่างที่เราเกริ่นไปในตอนแรกว่าสรรพคุณของว่านมหาเมฆช่วยรักษาผมร่วง ปัญหาศีรษะล้าน ถือเป็นสมุนไพรปลูกผมอีกชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นว่านมหาเมฆยังมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญของขนรักแร้ได้อีกด้วยนะคะ โดยสรรพคุณของว่านมหาเมฆที่เราได้กล่าวมาทั้งหมดเป็นข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสมุนไพร มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัญหาผมร่วงที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งก็คือฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ที่มีมากเกินไปในบางคน ก่อให้เกิดปัญหาศีรษะล้าน ปัญหาผมร่วง สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยสรรพคุณจากสมุนไพรอย่างว่านมหาเมฆนี่เลย โดย รศ. ดร.กรกนก อิงคนินันท์ หัวหน้าศูนย์เทคโนโลยีสมุนไพร มหาวิทยาลัยนเรศวร เผยผลวิจัยว่า สารสกัดจากว่านมหาเมฆซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกับขมิ้น มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายทั้งในระดับหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยว่านมหาเมฆมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไฟว์แอลฟารีดักเทส โดยสารหลักที่ออกฤทธิ์สูงสุดในว่านมหาเมฆคือ เจอมาโครน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดพิษทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ดังนั้นทางคณะวิจัยจึงทดลองนำสารสกัดจากว่านมหาเมฆมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมกับกลุ่มอาสาเพศชายที่มีปัญหาศีรษะล้านจำนวน 87 คน ซึ่งกำลังเข้ารับการรักษาปัญหาศีรษะล้านกับโรงพยาบาลของรัฐ 3 แห่งด้วยกัน โดยผลจากการวิจัยก็พบว่า กลุ่มที่ใช้ยาสระผมจากสารสกัดว่านมหาเมฆมีผลที่ดีกว่ากลุ่มที่ใช้ยาสระผมหลอก คือช่วยเพิ่มการงอกและการเติบโตของเส้นผมได้ดีเท่ากับกลุ่มที่ใช้ยาสระผมที่มีสารไมน็อกซิดิล ซึ่งเป็นยากระตุ้นการเจริญของเส้นผมเลยทีเดียว ที่สำคัญยังไม่พบปัญหาระคายเคืองต่อผิวหนังในกลุ่มทดลองเลยสักคนด้วยค่ะ จากการวิจัยก็ทำให้เราเห็นว่า สรรพคุณของว่านมหาเมฆช่วยแก้ผมร่วง จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรแก้ผมร่วงได้จริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากใช้สารสกัดจากว่านมหาเมฆร่วมกันกับสารไมน็อกซิดิล ก็จะช่วยลดอาการผมร่วงและช่วยให้ผมขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ ทว่าสรรพคุณของว่านมหาเมฆยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ เพราะคณะนักวิจัยร่วม ได้นำสารสกัดจากว่านมหาเมฆไปต่อยอดทำการศึกษาต่อ โดยเริ่มต้นจากข้อสันนิษฐานว่า การมีแอนโดรเจนฮอร์โมนมากเกินไปจะนำไปสู่การเจริญของขนตามลำตัวและใบหน้ามากกว่าปกติ ดังนั้นสรรพคุณในการยับยั้งฮอร์โมนที่ส่งผลต่อเส้นผมและขนของคนในว่านมหาเมฆน่าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ทางทีมวิจัยจึงพัฒนาสารสกัดจากว่านมหาเมฆไปผลิตเป็นโรลออน ซึ่งผลจากการประเมินประสิทธิภาพของกลุ่มอาสาสมัครหญิงจำนวน 30 คนก็พบว่า กลุ่มที่ใช้โรลออนที่มีสารสกัดจากว่านมหาเมฆไป 4 สัปดาห์ มีอัตราการเจริญเติบโตของขนรักแร้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก ดังนั้นในเร็ว ๆ นี้ สาว ๆ อาจจะได้ใช้โรลออนลดขนรักแร้ที่ทำจากว่านมหาเมฆก็ได้นะคะ อย่างไรก็ตาม ว่านมหาเมฆไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้ผมร่วงและยับยั้งการขึ้นของขนรักแร้เท่านั้นหรอกค่ะ เพราะว่านมหาเมฆ หรือกระเจียวแดง ขมิ้นดำ จัดเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาและป้องกันโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยสรรพคุณอื่น ๆ และประโยชน์ของว่านมหาเมฆก็มีดังนี้ ว่านมหาเมฆกับสรรพคุณทางยา เหง้า : นำมาหั่นเป็นแว่น แล้วต้มดื่ม แก้โรคกระเพาะ แก้ท้องร่วง แก้หืดหอบ หายใจไม่ปกติ แก้ไข้ แก้อาเจียน หรือจะหั่นเหง้าแล้วนำไปดองกับเหล้าดื่ม ก็ช่วยรักษาอาการจุกเสียด แน่นท้อง และแก้อาการท้องร่วงได้ อีกทั้งยังช่วยบำรุงให้หายจากอาการปวดมดลูกหรือมดลูกอักเสบ และสามารถดื่มเป็นยารัดมดลูกสำหรับคุณแม่หลังคลอดได้ด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถนำเหง้าไปเข้าตำรับยา เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย และช่วยขับลมได้ดี ดอก : มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม ทานเป็นยาระบายและช่วยขับลมได้ หน่ออ่อน : ใช้เป็นยาสมานแผลได้ หัวสด : หัวสดนำมาโขลกให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าขาว คั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม จะมีสรรพคุณช่วยแก้โรคธาตุพิการ เช่น อาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือกินหัวสดกับน้ำสะอาดเป็นยาถ่ายพยาธิ ดื่มเพียง 3 วันตัวพยาธิจะตายหมด ว่านมหาเมฆ ประโยชน์เพียบ !
1. อร่อย แถมยังช่วยขับลม คนอีสานนิยมนำหน่ออ่อนและดอกอ่อนของว่านมหาเมฆมาลวกทานกับน้ำพริก ลาบ หรือส้มตำ และบางคนอาจนำดอกอ่อนไปสับแล้วปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงส้มด้วย เพราะว่าการทานว่านมหาเมฆจะให้รสเผ็ดร้อน แต่อร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และที่สำคัญช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยขับลมได้ดี ทำให้ผู้ที่ทานรู้สึกสบายท้องมากขึ้น2. บรรเทาอาการคันตามผิวหนัง หากมีอาการคันตามผิวหนังให้นำเหง้าหรือรากของว่านมหาเมฆ มาฝนแล้วทาตามผิวหนัง หรือจะนำมาต้มอาบเป็นประจำก็ช่วยให้อาการคันตามผิวหนังของเราหายไปได้ค่ะ3. ช่วยสมานแผล
ว่านมหาเมฆก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ช่วยสมานแผลได้ เพราะหน่ออ่อนของว่านมหาเมฆมีสาร Curdione และ Germacene ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แบคทีเรีย และป้องกันการติดเชื้อจึงช่วยทำให้แผลของเราหายได้เร็วขึ้น และถ้าใครสนใจเกี่ยวกับอาหารที่ช่วยสมานแผลเพิ่มเติม สามารถไปดูได้ที่ - 10 อาหารช่วยสมานแผล หาง่าย หายเร็ว ไม่ต้องง้อยา 4. แก้อาการปวดท้องที่หลากหลาย การนำเหง้าของว่านมหาเมฆมาหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วต้มกับน้ำดื่ม สามารถบรรเทาอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องร่วง และรักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้ได้ เนื่องจากน้ำมันของเหง้าว่านมหาเมฆมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้ออหิวาตกโรค เชื้อที่ทำให้อาหารเป็นพิษ และเชื่อโรคต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ แถมยังช่วยกระตุ้นให้กระเพาะและลำไส้ขยับตัวทำให้ขับลมออกมาได้มากขึ้น ลดอาการปวดท้องกระเพาะและลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย 5. ป้องกันอาการท้องผูก
อย่างที่เรารู้กันดีว่าการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์จะช่วยแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้ ซึ่งในว่านมหาเมฆก็ถือเป็นสมุนไพรที่มีไฟเบอร์อยู่พอสมควร จึงทำให้การทานว่านมหาเมฆบ่อย ๆ ช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้ค่ะ
ไม่เพียงแค่นั้น แต่การที่เราขับถ่ายเป็นประจำยังช่วยให้อัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงได้ด้วย เนื่องจากการขับถ่ายเป็นประจำ จะทำให้สารพิษที่ปะปนอยู่ในอุจจาระเจือจางและออกฤทธิ์ได้น้อยลงนั่นเองค่ะ6. รักษาอาการตกขาว อาการตกขาวไม่ปกติของสาว ๆ นอกจากจะรักษาด้วยการใช้ยาเหน็บหรือการทานยาปฏิชีวนะแล้ว ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ นั่นก็คือการรักษาด้วยสมุนไพรไทยอย่างว่านมหาเมฆ เพราะในว่านมหาเมฆนั้นมีสาร zedoarol, curcumenol และ isocurcumenol ที่ช่วยแก้ปัญหาระบบภายในของผู้หญิง จึงช่วยให้อาการตกขาวที่มีมากผิดปกติหายไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม การมีตกขาวที่มากผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากการทานอาหารของสาว ๆ ด้วย ฉะนั้นหากอยากรักษาอาการตกขาวให้หายดี ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกนี้ร่วมด้วยนะคะ - 10 อาหารที่สาว ๆ ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงทำให้มีตกขาวเยอะ 7. ใช้เป็นยารัดมดลูก
นอกจากจะรักษาอาการตกขาวได้แล้ว สารในว่านมหาเมฆอย่าง zedoarol, curcumenol และ isocurcumenol ก็ยังเป็นยารัดมดลูก ช่วยรักษาอาการปวดมดลูก มดลูกอักเสบให้กับคุณแม่หลังคลอดได้ อีกทั้งยังช่วยกระชับช่องคลอด และเพิ่มน้ำนมสำหรับลูกน้อยได้อีกด้วย ซึ่งถ้าเราสังเกตกันดี ๆ ก็มักจะเห็นว่าตามฉลากของยาสตรีทั้งหลาย มักจะมีว่านมหาเมฆเป็นหนึ่งในส่วนประกอบเสมอ ว่านมหาเมฆ ก็มีข้อควรระวังนะ ! ผู้ที่มีเลือดลมไม่ปกติ ม้ามหรือกระเพาะหย่อน และคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ห้ามทานสมุนไพรชนิดนี้ เนื่องจากว่านมหาเมฆเป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ค่ะ มีประโยชน์ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชายขนาดนี้ ไปหาว่านมหาเมฆมาติดบ้านไว้สักหน่อย ก็น่าจะช่วยบำรุงร่างกายได้เยอะนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวไทยมหาวิทยาลัยนเรศวรสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง๑๐๘ พรรณไม้ไทยคณะทรัพยาการธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน วิทยาเขตสกลนคร
Create Date : 08 กันยายน 2560 | | |
Last Update : 8 กันยายน 2560 10:54:16 น. |
Counter : 5686 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
10 คำคมความรักบาดใจ ในวันที่รักไม่เป็นอย่างหวัง
ความรัก...เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ เพราะถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนรักและเข้าใจกันดี แต่ในวันหน้าทุกสิ่งทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นแค่คนรู้จักกัน ซึ่งเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้คนที่อกหักคงรู้ว่าสร้างบาดแผลอันแสนเจ็บปวดมากมายขนาดไหนเมื่อเห็นความรักพังลง
และเพื่อการตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้น ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้รวบรวม 10 คำคมความรักบาดใจมาฝากกัน 1. "Ever has it been that love knows not its own depth until the hour of sepa ration." - Kahlil Gibran กว่าจะรู้จักหัวใจตัวเองว่าสามารถรักคนคนหนึ่งได้มากมายขนาดไหน ก็ต่อเมื่อมาถึงเวลาแห่งการพลัดพรากเสมอ ++++++++++ 2. "Behind my smile is everything youll never understand." - Anonymous เบื้องหลังรอยยิ้มที่ได้เห็น คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอไม่มีวันจะเข้าใจ ++++++++++ 3. "The worst way to miss someone is to be sitting right beside them knowing things will never be the same." - Anonymous เรื่องโหดร้ายที่สุดของการคิดถึงคนคนหนึ่ง คือการได้นั่งอยู่ข้าง ๆ กันทั้งที่รู้ดีว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม ++++++++++ 4. "You can close your eyes to things you dont want to see, but you cant close your heart to things you dont want to feel." - Anonymous คุณสามารถหลับตาเพื่อไม่ให้มองเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็นได้ แต่ไม่อาจปิดกั้นหัวใจของตัวเองไม่ให้รู้สึกในสิ่งที่รู้สึกได้ ++++++++++ 5. "A teardrop is insignificant in a pool of water, but it can touch the soul as it runs down someones face." - Anonymous หยดน้ำตาอาจไม่สำคัญเมื่อเทียบกับน้ำในสระใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสถึงจิตวิญญาณเมื่อมันไหลผ่านใบหน้าของคนคนหนึ่งได้ ++++++++++
6. "Why is it that we dont always recognize the moment love begins, but we always recognize the moment it ends?" - Anonymous ทำไมคนเราไม่สามารถจดจำวันที่ความรักเริ่มต้น แต่กลับจดจำวันที่ความรักจากไปได้เสมอ ++++++++++
7. "The walls we build around us to keep out the sadness also keep out the joy." - Jim Rohn กำแพงที่เราสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเศร้า เป็นสิ่งเดียวที่ขวางกั้นความสุขด้วยเช่นกัน ++++++++++ 8. "No man is worth your tears, but once you find the one that is, he wont make you cry." - Anonymous ไม่มีใครมีค่าพอที่เราจะเสียน้ำตาให้ แต่เมื่อคุณได้พบกับคนที่มีค่าพอแล้ว เขาจะไม่มีวันทำให้คุณเสียน้ำตาเลย ++++++++++ 9. "Watching people leave is hard. But its harder remembering that time when they promised they wouldnt." - Anonymous การมองเห็นคนรักเดินจากไปเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการจดจำช่วงเวลาแห่งคำมั่นสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ ++++++++++ 10. "It's hard to pretend you love someone when you dont, but it's harder to pretend that you dont love someone when you really do." - Anonymous อาจดูเป็นเรื่องยากเมื่อต้องแกล้งทำเหมือนรักใครสักคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการแกล้งทำเหมือนไม่รักทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ารักเต็มหัวใจ ในเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็สามารถมีจุดจบได้เช่นกัน ถ้าหากต่างฝ่ายต่างไม่ใช่คนที่กำลังตามหา ซึ่งก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้นอกเสียจากทำใจกับยอมรับความจริงกับสิ่งที่เป็นไป คิดเสียว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งเราก็เคยมีช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ฉะนั้นเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนสำหรับรักครั้งใหม่ดีกว่า และเชื่อว่าทั้ง 10 คำคม คงจะช่วยให้ฉุกคิดหรือได้มุมมองใหม่ ๆ กลับไปนะคะขอขอบคุณข้อมูลจากmagforwomen.com และ etcnepal.com
Create Date : 08 กันยายน 2560 | | |
Last Update : 8 กันยายน 2560 10:50:11 น. |
Counter : 1935 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
9 ที่เที่ยวปางมะผ้า อำเภอรวยเสน่ห์แห่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ที่เที่ยวปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอที่เต็มอุดมด้วยธรรมชาติสวย พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวไว้หลบหลีกความวุ่นวายในเมืองหลวง และหามุมสงบให้กับชีวิต ปางมะผ้า อำเภอหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน หลายคนน่าจะคงคุ้นหูกับชื่อนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เป็นอำเภอที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ รวมถึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม จึงทำให้อำเภอนี้เป็นอีกหนึ่งอำเภอท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์น่าไปเยือนอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะถ้ำที่มีการค้นพบอยู่เรื่อย ๆ วันนี้เราเลยว่าจะขออาสาพาเพื่อน ๆ ไปตระเวนสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวปางมะผ้ากัน ลองได้ไปแล้วจะหลงรักแบบไม่รู้ตัว 1. ถ้ำลอด
เป็นถ้ำที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสวยงาม และเดินทางสะดวกสบายมากที่สุดในบรรดาถ้ำทั้งหมดในปางมะผ้า มีลำห้วย "น้ำลางไหล" ลอดภูเขาไปทะลุออกอีกด้านหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และก่อเกิดเป็นถ้ำใหญ่ ๆ ถึง 3 แห่ง ได้แก่ "ถ้ำเสาหิน" ซึ่งเป็นถ้ำกว้างใหญ่มีหินงอก หินย้อย รูปร่างต่าง ๆ, "ถ้ำตุ๊กตา" ภายในจะพบกับหินงอกเป็นปุ่มปมเล็ก ๆ คล้ายตุ๊กตาเรียงรายอยู่ และ "ถ้ำผีแมน" พบเศษเครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้เหล็ก กระดูกของมนุษย์ และชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้คือโลงผีแมน มีลักษณะเป็นท่อนไม้ที่ถูกขุดตรงส่วนกลางออกเป็นร่องคล้ายเรืออีกด้วย
2. ถ้ำน้ำบ่อผี
หลุมยุบที่ลึกที่สุดและใหญ่ที่สุดในไทย เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสายผจญภัย เพราะวิธีเดียวที่จะเข้าไปได้ นั่นคือ ต้องห้อยโหน โรยตัวไต่เชือกอยู่กลางอากาศ เพื่อเข้าไปยังภายในถ้ำเท่านั้น ด้านล่างเป็นป่าทึบ มีกำแพงหินผาที่สูงชันรอบด้าน มีหินงอกหินย้อย ไม่มีเส้นทางเข้าออก ภายในถ้ำเรายังเห็นความสวยงามของเมฆที่ลอยภายในถ้ำด้วย นับเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวปางมะผ้าสุดอัศจรรย์อันดับต้น ๆ ของโลก
3. ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาจ่าโบ
ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ชื่อดัง ตั้งอยู่หน้าหมู่บ้าน "บ้านจ่าโบ่" จังหวัดแม่ฮ่องสอน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน เป็นต้องประทับใจกับบรรยากาศชิล ๆ และวิวสวย ๆ ที่ประเมินค่าไม่ได้ โดยร้านมีลักษณะเด่นตรงระเบียงที่ยื่นออกไปเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งห้อยขาชมวิว เห็นวิวภูเขา 180 องศา แถมยังมีที่จอดรถรองรับนักท่องเที่ยวได้สะดวกสบาย ที่ร้านมีเมนูก๋วยเตี๋ยวหลากหลาย ทั้งแบบธรรมดาและพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นเล็ก เส้นหมี่ บะหมี่ เส้นใหญ่ ก็เอาตามที่ชอบ วิวสวยแบบนี้ ยิ่งทำให้ความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
4. จุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลาม
ตั้งอยู่บนดอยลุกข้าวหลาม ห่างจากอำเภอปางมะผ้าประมาณ 20 กิโลเมตร นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวยอดนิยมแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยว ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะคึกคักมากเป็นพิเศษ ด้วยเพราะมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งสายหมอกและทะเลภูเขา รวมถึงยังเต็มไปด้วยร้านรวงสินค้าของชาวบ้านมูเซอ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมืองอย่างพวกผักและผลไม้ เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อเลือกหากันเพลิน ๆ
5. อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-ผาเสื่อ
ครอบคลุมในเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนและอำเภอปางมะผ้า อุดมด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ภายในอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-ผาเสื่อ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ "ถ้ำปลา" เป็นถ้ำใต้เชิงเขาซึ่งมีลำธารไหลผ่านลอดถ้ำตลอดทั้งปี และเป็นที่อยู่อาศัยของปลาพลวงหรือปลามุงจำนวนมาก และอีกหนึ่งที่เที่ยวสำคัญ คือ "น้ำตกผาเสื่อ" ซึ่งไหลลงมาจากน้ำตกแม่สะงาในพม่า ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำไหลเต็มหน้าผากว้างทำให้ดูมีรูปร่างคล้ายเสื่อปูลาด จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตกแห่งนี้นี่เอง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 085 706 6663, 053 692 055
6. ชุมชนบ้านจ่าโบ่
สัมผัสวิถีชีวิตแสนจะเรียบง่ายของชาวบ้าน ที่ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก กิจกรรมท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ เห็นจะเป็นการทอดสายตาทัศนาชมความสวยงามทางธรรมชาติโดยรอบ นอกเหนือจากนี้นักท่องเที่ยวยังจะได้เรียนรู้และสัมผัสวัฒนธรรมชุมชน อย่างประเพณีกินวอปีใหม่ พิธีกินข้าวใหม่ เลี้ยงผีบ้าน การเรียกขวัญไก่ เป็นต้น กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะคอยเชื่อมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างนักท่องเที่ยวและชาวบ้านเข้าด้วยกัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 080 677 5794 หรือ เฟซบุ๊ก CBT BAAN JABO การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนบ้านจ่าโบ่
7. บ้านแม่ละนา
สัมผัสวิถีชีวิตชาวไทใหญ่ และเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน การเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง การทำนา มัดข้าว หาบข้าว และนวดข้าว ท่ามกลางสภาพอากาศเย็นเกือบตลอดทั้งปี และยังจะได้ชมศิลปะการแสดงพื้นบ้านอย่าง "ลิเกไต" ที่มีเพียงคณะเดียวในชุมชน ซึ่งถ้ามาตรงกับช่วงวันและเวลาที่มีงานประเพณีดังกล่าว นักท่องเที่ยวได้สัมผัสการละเล่นดั้งเดิมแขนงนี้แน่นอน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ cbt-i.or.th หรือ โทรศัพท์ 053 851 478 ต่อ 7261
8. จุดชมวิวดอยกิ่วลม
อยู่ก่อนถึงอำเภอปางมะผ้า 20 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวได้ทั้งสองด้านทั้งฝั่งของอำเภอปาย และทางฝั่งของอำเภอปางมะผ้า ด้วยเหตุที่จุดชมวิวดอยกิ่วลมอยู่ติดถนนนักท่องเที่ยวจึงนิยมจอดรถแวะพักเข้าห้องน้ำและดื่มกาแฟ ได้นั่งชมวิว พักผ่อนได้ หรือถ่ายรูปกับน้อง ๆ ชาวเผ่าลีซอ หรือจะเดินดูร้านค้าของชาวเขาเผ่าลีซอ ที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของจุดชมวิวดอยกิ่วลม ถือเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด
9. พิพิธภัณฑ์บ้านไร่
ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านไร่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างหุบเขา ที่ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนบ้านไร่ เครื่องมือในการทำการเกษตร ทำไร่ ทำสวน จับสัตว์ ไม้ไผ่สาน มีด จอบ และเสียม เป็นต้น อันเป็นสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยังคงเรียบง่าย และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังคงได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์มาจนถึงปัจจุบัน
ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะว่าที่อำเภอปางมะผ้า อำเภอทางผ่านอำเภอนี้จะมีที่เที่ยวที่น่าสนใจซ่อนอยู่เพียบ แต่ละที่ล้วนแล้วมีเสน่ห์มากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยังไม่ถูกทำลาย ลองหาเวลาว่าง ๆ แล้วไปผ่อนคลายกับเสน่ห์ที่ไม่รู้จบของอำเภอนี้กันค่ะ ^ ^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Ingtu-on Udomsuk, เฟซบุ๊ก CBT BAAN JABO การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนบ้านจ่าโบ่, เว็บไซต์ cbt-i.or.th, thai.tourismthailand.org
Create Date : 07 กันยายน 2560 | | |
Last Update : 7 กันยายน 2560 11:50:08 น. |
Counter : 2672 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว น้ำหมากเม่า สูตรเครื่องดื่มจากผักผลไม้พื้นบ้าน
น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านของไทย เคยแต่ซื้อมาดื่มไม่เคยทำเอง แต่รู้หรือไม่ว่าทำง่ายนิดเดียวเองนะ ในวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำสูตรการทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผักพื้นบ้านมาฝากถึง 3 อย่างด้วยกัน คือ น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า เผื่อว่าถ้าในวันหนึ่งวันใดคุณได้ไปเที่ยวสวนผักและผลไม้ตามต่างจังหวัดแล้วได้มีโอกาสซื้อผัก-ผลไม้สด ๆ เหล่านี้กลับมาบ้าน หรือมีคนซื้อมาฝากจากสวนแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี ลองมาทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพดื่มเองดูบ้างก็น่าจะดีไม่น้อยเลย เป็นสูตรมาจากนิตยสารแม่บ้าน ลองมาดูมาชมกันเลยน้ำเสาวรส น้ำเสาวรสกลิ่นหอมดื่มแล้วชื่นใจ แถมยังมีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา และบำรุงผิวอีกด้วยส่วนผสม น้ำเสาวรส ◆ เนื้อเสาวรส 500 กรัม ◆ น้ำตาลทราย 200 กรัม ◆ น้ำเปล่า 500 กรัม ◆ เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชาวิธีทำน้ำเสาวรส 1. ใส่เนื้อเสาวรสและน้ำเปล่าลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด จากนั้นเทใส่หม้อ 2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม ++++++++++++++++
น้ำหมากเม่า ในผลมะเม่าสุกมีสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอนโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอลสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่ายส่วนผสม น้ำหมากเม่า ◆ ลูกหมากเม่าสุก 200 กรัม ◆ น้ำเปล่า 1 ลิตร ◆ น้ำตาลทราย 200 กรัม ◆ เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชำวิธีทำ น้ำหมากเม่า 1. ใส่ลูกหมากเม่าสุกและน้ำาเปล่า ลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด เทใส่หม้อ 2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง นำเเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม ++++++++++++++++++++ น้ำฟักข้าว น้ำฟักข้าวมีเบต้าแคโรทีนสูง มีไลโคปีนจากเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าวเป็นสารต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วยส่วนผสม น้ำฟักข้าว ◆ ลูกฟักข้ำวสุก 1 กิโลกรัม ◆ น้ำต้มสุก 1.5 ลิตร ◆ น้ำตาลทราย 150 กรัม ◆ น้ำะนาว 3 ช้อนโต๊ะ ◆ เกลือป่นหยาบ 1 ช้อนชำวิธีทำน้ำฟักข้าว 1. ผ่าครึ่งฟักข้าว ใช้ช้อนตักเมล็ดออก ใส่ลงในกระชอนตาห่าง ๆ ใช้ช้อนขูดจนเนื้อเยื่อสีแดง ๆ ออกจากเมล็ดจนหมด 2. ใส่เนื้อเยื่อสีแดง ๆ ลงในน้ำาต้มสุก คนให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่ ๆ 3. ใส่น้ำตาลทราย น้ำามะนาว และเกลือป่น คนให้เข้ากันชิมรส เปรี้ยว หวาน ตามชอบ นำเข้าตู้เย็น ก่อนดื่ม ก็เพิ่งจะรู้ว่า น้ำเสาวรส น้ำฟักข้าว และน้ำหมากเม่า ทำไม่ยากอย่างที่เคยคิด แบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อมาดื่มแล้ว ทำเองซะเลยดีกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Create Date : 07 กันยายน 2560 | | |
Last Update : 7 กันยายน 2560 11:47:13 น. |
Counter : 1346 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มะม่วงมหาชนก ผลไม้ต้านมะเร็ง สรรพคุณเด่นหลายอย่าง
มะม่วงมหาชนก ผลไม้ที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนใจ จนใคร ๆ ต้องซื้อกลับบ้าน สามารถทานต้านโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ด้วยนะคะ มีงานวิจัยมากมายพบว่าผักและผลไม้หลายชนิดมีสารที่ช่วยป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ อย่างเช่น ส้ม แอปเปิล มะเขือเทศ องุ่น มะละกอ มะขามป้อม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี แต่ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะล่าสุดงานวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยว่า มะม่วงมหาชนกก็ถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยต้านโรคร้ายอย่างมะเร็งและลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้ มะม่วงมหาชนก ประวัติความเป็นมา
มะม่วงชื่อสง่างามแถมสีสันยังจัดว่าน่ากินพันธุ์นี้ได้รับพระราชทานชื่อมาจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมะม่วงมหาชนกเป็นพันธุ์ที่ได้จากต้นที่ปลูกด้วยการเพาะเมล็ดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มะม่วงพันธุ์ซันเซท กับพันธ์ุหนังกลางวัน ที่สวนของอาจารย์ประพัฒน์ สิทธิสังข์ อําเภอ สันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยคุณเดช ทิวทอง ได้นําไปทดลองปลูกไว้ที่สวนในอําเภอลี้ จังหวัดลําพูน ภาคเหนือตอนบนเป็นที่แรก นับเป็นต้นกำเนิดของมะม่วงมหาชนกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
มะม่วงมหาชนกมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Mahachanok หรือ Rainbow Mango ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Mangifera indica L. โดยมะม่วงมหาชนกมีแคลอรีต่อ 1/4 ผล หรือน้ำหนัก 65 กรัม อยู่ที่ประมาณ 51-55 กิโลแคลอรี และในปริมาณ 1/4 ผลของมะม่วงมหาชนก จะมีปริมาณน้ำตาลประมาณ 10.9 กรัม หรือราว ๆ 2.7 ช้อนชา ซึ่งถือว่าหวานมากเลยทีเดียว มะม่วงมหาชนก สรรพคุณไม่ธรรมดา
สรรพคุณของมะม่วงมหาชนกไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ค่ะ เพราะถูกยืนยันประโยชน์โดยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่เห็นสีสันแปลกตาของมะม่วงมหาชนกตอนสุก จนนำไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับสารอาหารที่มีอยู่ในมะม่วงมหาชนกเพื่อนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เนื่องจากเล็งเห็นว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบันต้องการทานอาหารจากธรรมชาติ ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์และสามารถป้องกันโรคได้มากขึ้นกว่าอดีต
โดยการศึกษาชิ้นนี้เป็นผลงานของโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ที่ร่วมมือกับนายรัฐพล เมืองเอก นักศึกษาปริญญาเอกจากคณะเกษตรศาสตร์ และผศ. ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท อาจารย์จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งได้ทำการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสีแดง และปริมาณแอนโธไซยานินในผลมะม่วงมหาชนกแล้วพบว่า เมื่อฉีดสารเมทิลจัสโมเนสที่ความเข้มข้น 80 ไมโครลิตรต่อมิลลิลิตรเข้าไปในผลมะม่วงมหาชนก จะสามารถปรับปรุงคุณภาพ เช่น วิตามินซี ปริมาณน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตส ซูโครส และพบการเพิ่มขึ้นของปริมาณแคโรทีนอยด์ เท่ากับ 1.43 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของน้ำหนักสด มากกว่าการไม่ฉีดพ่นสารดังกล่าว
อีกทั้งการใช้สารเมทิลจัสโมเนสและเอทิฟอนจะมีผลในการเพิ่มระดับของแคโรทีนอยด์ระหว่างการสุกแก่มากกว่ามะม่วงที่ไม่ใช้สาร 50% โดยพบมากที่สุดในช่วงวันที่ 5-6 ของการเก็บรักษา (ระยะพร้อมรับประทาน) อีกทั้งการประยุกต์ใช้สารเมทิลจัสโมเนสและเอทิฟอนยังสามารถควบคุมกระบวนการสุกและปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของผลมะม่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น แต่นักวิจัยยังศึกษาและพบว่า มะม่วงมหาชนกที่ได้รับแสงร่วมกับการฉีดสารเมทิลจัสโมเนส ความเข้มข้น 80 ไมโครลิตรต่อมิลลิลิตร ที่อายุผล 90 วัน จะทำให้เปลือกของมะม่วงมีพื้นที่สีแดงเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25% แถมยังมีปริมาณแอนโทไซยานินเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จะเห็นว่านักวิจัยให้ความสนใจเรื่องสารแคโรทีนอยด์เป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะว่าสารนี้มีประโยชน์กับร่างกายของมนุษย์อย่างมาก ดังที่ ผศ. ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท อธิบายให้ทราบว่า สารแคโรทีนอยด์ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น สามารถทำหน้าที่เช่นเดียวกับวิตามินอี คือผสานตัวเองเข้ากับเยื่อบุเซลล์ ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิด และลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจลงได้ถึง 40% เลยค่ะ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะสารแคโรทีนอยด์ยังสามารถลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมได้ด้วย
นอกจากนี้ ผศ. ดร.พีระศักดิ์ ยังให้ข้อมูลถึงสารต้านอนุมูลอิสระในพืชอีกหนึ่งชนิดที่น่าสนใจ คือ สารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารที่ให้สีแดง สีม่วง หรือสีน้ำเงินกับพืช โดยสารชนิดนี้จะช่วยยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ไม่ดีในระบบทางเดินอาหาร ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ รวมทั้งลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดเลือดในสมองได้ และก็แน่นอนค่ะว่า สารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้ก็พบได้ในมะม่วงมหาชนกซึ่งเป็นมะม่วงพันธุ์ที่เปลือกผลเมื่อแก่หรือสุกจะมีผิวสีแดงม่วงหรือเหลืองเข้มปนแดงด้วยเช่นกัน
สรุปได้ว่าในมะม่วงมหาชนกมีสารแคโรทีนอยด์และสารแอนโธไซยานินที่ช่วยต้านโรคมะเร็งและลดความเสี่ยงโรคหัวใจอยู่ จึงทำให้การทานมะม่วงมหาชนกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคทั้งสองได้ อีกทั้งผลของการวิจัยนี้ยังสามารถช่วยให้มะม่วงมหาชนกเป็นที่ต้องการของตลาด ช่วยเหลือเกษตรกร และสร้างมูลค่าให้กับมะม่วงมหาชนกได้มากขึ้นด้วยค่ะ
ภาพจาก มหาวิทยาลัยนเรศวร, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) คุณค่าทางโภชนาการในผลไม้ กรมอนามัย ปริมาณน้ำตาลในผลไม้ไทย กรมอนามัย
Create Date : 07 กันยายน 2560 | | |
Last Update : 7 กันยายน 2560 11:44:29 น. |
Counter : 1938 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |