ย้อนรอย ! ปรากฏการณ์ สุริยุปราคา ในรอบ 100 ปี ที่เคยพาดผ่านประเทศไทยมาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง
เรียกว่ากำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้กับการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง สุริยุปราคา ในวันที่ 9 มี.ค 59 เวลาประมาณ 06.00 น. 08.40 น. โดยพื้นที่ที่สังเกตเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังมากที่สุดในประเทศไทย คือ อ.เบตง จ.สงขลา ถึง 69% ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่สามารถเห็นสุริยุปราคาได้แบบเต็มดวง ซึ่งหากพลาดชมในครั้งนี้ จะได้เห็นอีกที 4 ปี ข้างหน้า ซึ่งหลาย ๆ คนคงจะไม่พลาด เพราะใช่ว่า เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ
วันนี้ (9 มี.ค. 59) ทางทีมข่าว MThai News จะพาคุณผู้อ่านไปย้อนเหตุการณ์การเกิด สุริยุปราคา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในรอบ 100 ปี ที่สำคัญ ๆ และเคยพาดผ่านประเทศไทยมาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง !!
หากนับย้อนกลับไปประมาณ 100 ปี ที่ผ่านมา สุริยุปราคา ที่พาดผ่านประเทศไทยเราคงเป็น เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 สมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ถือเป็นการเกิดสุริยุปราคาครั้งสำคัญและยังเป็นแบบเต็มดวง เพราะหลังจากครั้งนี้ได้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ศึกษาดวงอาทิตย์ได้โดยไม่ต้องรอให้ เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงอีกต่อไป และประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองนับตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ซึ่งประเทศไทยเราเห็นชัดสุด ที่ ต.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
ซึ่งหลังจากนั้นเพียงไม่นาน 21 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ก็เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สุริยุปราคา แบบวงแหวน ขึ้นอีกครั้ง ถือเป็นการต้อนรับยุคแห่งการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
หลังจากนั้น ได้ทิ้งช่วงห่างนานถึง 11 ปี ก่อนจะเกิด สุริยุปราคา แบบวงแหวน ขึ้นอีกถึง 5 ครั้ง โดยบางครั้งมีระยะห่างกันเพียง 6 เดือน เท่านั้น อย่างปี พ.ศ. 2498 ที่เกิด สุริยุปราคา 2 ครั้งภายในปีเดียว แถมเป็นแบบชนิดเต็มดวงและวงแหวน ทำเอาคนที่อยู่ในยุคนั้น ได้ชมกันแบบเต็มอิ่ม ก่อนทิ้งห่างนานถึง 30 ปี !!
นับว่าสมัยก่อนนั้นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง สุริยุปราคา ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และหากคุณผู้อ่านจำได้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 เป็นการกลับมาของ สุริยุปราคา ที่สร้างความตื่นเต้นให้กลับคนไทยเป็นอย่างมาก เพราะทิ้งระยะห่างนานถึง 30 ปี แถมยังเป็นการพาดผ่านประเทศไทยเราแบบเต็มดวงอีกด้วย จนล่าสุด 9 มีนาคม พ.ศ. 2559 คนไทยได้กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นการเกิด สุริยุปราคา แบบวงแหวนก็ตาม
ทั้งนี้ ตามความเชื่อของคนไทยในสมัยโบราณ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า คราส หรือ สุริยคราส (คราส แปลว่า กิน) เกิดจากเทพองค์หนึ่งชื่อ ราหู โกรธที่พระอาทิตย์และพระจันทร์ฟ้อง พระอิศวร ว่า พระราหูกระทำผิดกฎของสวรรค์ แอบไปดื่มน้ำอมฤตที่ทำให้ชีวิตเป็นอมตะ พระอิศวรจึงลงโทษโดยตัดลำตัวราหูออกเป็น 2 ท่อน พระราหูจึงทำการแก้แค้นโดยการไล่ อม พระอาทิตย์และพระจันทร์
และด้วยความเชื่อเหล่านี้ ทำให้คนไทยมีการนำไปโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากเกิด สุริยุปราคา อย่างกรณี วิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ. 2540 ที่เกิดหลังมี สุริยุปราคาเต็มดวง เพียง 2 ปี และถือเป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยเราย่ำแย่ที่สุด แถมเป็นหนี้ก้อนโตอีกด้วย จึงทำให้การเกิด สุริยุปราคา ครั้งนี้ ถูกจับตาว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้หรือไม่ ?
นอกจากนี้ โหราศาสตร์ชื่อดัง ได้ออกมาทำนายดวงเหตุบ้านการเมืองกันอย่างคึกคัก เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ดาวมฤตยู ได้โคจรเข้าสู่ ราศีเมษ ซึ่งถือเป็นดวงเมืองของประเทศไทย และเพียง 3 วัน ได้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง สุริยุปราคา
สำหรับ ดาวมฤตยู จะโคจรเข้าไปอยู่ในแต่ละราศี ครั้งละ 7 ปี ดังนั้น จะวนมาบรรจบในแต่ละราศีทุก ๆ 84 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 84 ปีที่แล้ว ดาวมฤตยู ย้ายเข้าราศีเมษ ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 (1932) เวลา 04.11 น. อยู่ถึงปี 2482 (1939) โดยเกิดเหตุการณ์สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นระบอบประชาธิปไตย และในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศใช้รัฐนิยมฉบับที่ 1 อันมีสาระเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย
MThai News