It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๙ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง



มีคำพูดคำหนึ่ง เคยได้ยินมาจากหนังจีนว่า “ชีวิตคนเรา ต้องเคยผ่านบางอย่างที่เจ็บปวด เหมือนเรานอนหลับและฝันร้าย แต่พอตื่นขึ้นมา ฝันร้ายก็ผ่านไป”

สำหรับฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฝันร้ายของฉันจะผ่านไปเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ชีวิตของฉันมีแต่งาน งาน และงาน เพราะงานทำให้ฉันลืมความทุกข์ที่ปวดร้าว ฉันไม่กล้าพอที่จะอยู่คนเดียว บาดแผลในใจของฉันมันลึกจนเกินที่จะเย็บปิดปากแผล แถมแผลยังอักเสบกลัดหนองหากไปแตะต้องมันก็จะเจ็บปวดทุกครั้งไป

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันต้องปั้นยิ้มเดินเข้าห้องทำงาน พี่แขกเห็นฉันแล้วก็ร้องทัก

“อ้าวจอยทำไมมาเร็วจัง”

“พี่แขกต่างหากทำไมวันนี้มาเร็วกว่าทุกวันคิดจะแย่งตำแหน่งที่หนึ่งจากจอยหรือไงพี่ เบี้ยขยันก็ไม่มี โอทีก็ไม่ได้ มาทำงานเร็วทำไมกัน แบบนี้น้องๆ ที่มาสายพี่แขกก็จะชื่อฟ้องผู้จัดการหมดสิ” ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้เช่นกันเพราะทุกทีฉันจะมาทำงานคนแรก เพราะมักจะชอบหิ้วการบ้านหรือรายงานเอามาทำที่ทำงานก่อนเวลาทำงาน

ฉันเริ่มรู้สึกว่าโต๊ะที่ทำงานเหมาะกับการทำงานมากกว่าที่บ้านเพราะที่บ้านมีสิ่งเย้ายวนใจมากกว่าเช่นเดินไปเปิดตู้เย็นทุกๆ 10 นาที เค้าว่ากันว่าการกินเป็นการบำบัดความเครียดอย่างหนึ่ง สำหรับฉันมันบำบัดได้ก็จริง แต่ผลของการกินและไม่ได้ลุกไปไหนทำให้ฉันอวบขึ้นมากกว่าเดิมหลายกิโล

“วันนี้วันเกิดพี่ พี่ไปใส่บาตรมาก็เลยมาเร็วกว่าทุกวัน”

“ตายแล้วจอยลืมไปเลยว่าวันนี้วันเกิดพี่แขกเจ้านายสุดที่รักของจอย งั้นสุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ อ๊ะ หรือสุขสันต์วันแก่ดีน้าอิอิ” ฉันกล้าที่จะแซวพี่แขกเพราะพี่แขกเป็นทั้งพี่และเป็นทั้งเจ้านาย ที่คอยปกป้องลูกน้องแบบฉัน และพี่แขกก็ให้ความเป็นกันเองกับน้องๆ ทุกคน

“ไม่แก่บ้างแล้วไป คนเราเกิดมาก็ต้องมีแก่กันบ้างแหละ แต่แปลกเนอะทำไมพี่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่เลยสักที แต่พี่กลับเห็นจอยแก่กว่าพี่อีก” พี่แขกไม่พูดเปล่ายังจ้องมาที่ฉัน

“นั่นพี่มาว่าจอยได้ไง จอยอ่อนกว่าพี่ตั้ง 12 ปี รอบนึงได้เลยนะ”

“ก็ดูจอยทำตัวเข้าสิ นับวันจะยิ่งโทรมลงไปทุกที อายุแค่ยี่สิบกว่าๆ เอง ทำเป็นคุณยายเพิ้งไปได้ หัดแต่งเนื้อแต่งตัวซะบ้าง จะเป็นมหาอยู่รอมร่อแล้ว” พี่แขกไม่เคยอ้อมค้อม เพราะเราสองคนมักไม่มีอะไรปกปิดกัน

ระยะหลังๆ ฉันมักปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับพี่แขกบ่อยๆ นับจากวันที่ตาลหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งตาลเขียนจดหมายมาบอกเลิกกับฉัน ก็มีพี่แขกนี่แหละที่คอยปลอบใจ ทั้งดุ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ ตามแต่ว่าวันนั้นอารมณ์ของพี่แขกจะเป็นแบบไหน

“ไอ้มหาที่พี่ว่านี่นะ ถ้าจอยบวชจริงคงเป็นสมีย์แล้วมั๊งพี่ เพราะฟันสีกาเละ ญาติโยมคงไม่เข้าวัดร๊อก”

“พูดเกินไป ก็ที่เห็นๆ ชีช้ำกะหล่ำปลีตาแฉะอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะสีกาตีจากหรอกเหรอทั่นมหาจอย”

“โอ๊ย พี่ๆ พูดความจริงแล้วเจ็บจี๊ดเลยนะ เลิกๆ ไม่เอาแล้วพูดกับพี่ทีไรเข้าตัวทุกที” ฉันโบกมือบอกปัดพี่แขกเพราะเช้านี้ยังไม่ได้เตรียมใจมาช้ำจากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ประจำ โต๊ะทำงานของฉันอยู่หน้าโต๊ะทำงานของพี่แขก เวลาแขกไปใครมาฉันก็จะต้องคอยเป็นเลขาให้พี่แขกไปพร้อมๆ กับทำงานประจำของฉันไปด้วย

“บางครั้งแผลที่เจ็บปวดอยู่โดนซ้ำๆ มันก็จะชา และชินไปในที่สุดนะจอย”

“เหมือนพี่กับพี่เค้าเหรอคะ”

“ใช่ เหมือนพี่กับพี่เกต” สีหน้าของพี่แขกสลดไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะปรับกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“จอยขอโทษนะคะพี่ที่ทำให้พี่ต้องคิดมากจอยไม่ได้ตั้งใจ” ฉันเอื้อมมือข้ามโต๊ะทำงานของพี่แขกไปจับแขนพี่แขกที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นการปลอบใจเธอ

“เรื่องมันผ่านมานานมากแล้วล่ะจอย ถ้าตอนนั้นพี่ไม่เลิกกับพี่เกต พี่ก็ไม่มีทางเลือกทางอื่นเหมือนกัน”

“พี่ไม่เคยบอกจอยสักทีว่าทำไมพี่ถึงต้องเลิกกับพี่เกต ที่พี่เล่ามาดูเหมือนว่าพี่สองคนจะรักกันมากมายแล้วทำไมถึงเลิกกันได้จอยไม่เข้าใจพี่สองคนจริงๆ”

“ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัวหรอกจอย วันนี้รักพรุ่งนี้เลิก หรือว่าวันนี้เลิกพรุ่งนี้อาจจะรักกันก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ก็จริงเนอะพี่” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก เห็นด้วยกับพี่แขกเต็มๆ และชักมือของตัวเองที่จับแขนพี่แขกกลับมาอยู่กับตัวเอง เพราะเริ่มมีพนักงานในแผนกเดียวกันทยอยขึ้นมาทำงานกันแล้ว มันจะน่าเกลียดเกินไปหากฉันยังนั่งจับมือของพี่แขกอยู่อย่างนั้น

“ที่สำคัญ เราต้องดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ สู้ต่อไปทาเคชิ” พี่แขกชูกำปั้นที่เป็นอิสระจากการเกาะกุมของฉันขึ้นมา พร้อมกับตะโกนเบาๆ แต่ก็ลั่นไปทั้งห้อง

“เฮ้อ สู้ค่ะพี่สู้ๆ” ฉันยิ้มที่มุมปากนิดนึง พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เออวันนี้เรากินอะไรมาหรือยังพี่มีน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยมาฝาก เจ้านี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยนะไปสายหน่อยก็หมดแล้ว” พี่แขกเปิดลิ้นชักโต๊ะของเธอ หยิบเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ออกมาวางบนโต๊ะ

“กินมาแล้วค่ะ แต่กินได้อีก อิอิเรื่องกินกับจอยเป็นของคู่กัน”

“ตะกละไม่เลือกนะจอยหุ่นเสียไปอย่าว่าพี่ไม่เตือนก็แล้วกัน เออนี่จอยเห็นแม่จอยบอกว่าเค้าจะทำโชว์รูมใหม่ให้พี่ช่วยหาคนมาออกแบบตีราคา จอยพอรู้จักใครที่ทำงานทางด้านนี้หรือเปล่า”

“ก็พอมีพี่แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังทำงานอยู่หรือเปล่าเพราะจอยก็ไม่ได้เจอเค้ามาหลายปีแล้วเหมือนกัน”

“ใครเหรอเพื่อนที่เรียนโทด้วยกันหรือไง” พี่แขกเลิกคิ้วถามฉัน

“เปล่าค่ะพี่น้าศักพ่อของตาลไงพี่” พอพูดถึงชื่อนี้ก็ทำให้ฉันเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

“เออจริงสินะพี่ลืมไปว่าคุณศักเค้าเป็นสถาปนิก”

“เก่งด้วยนะพี่แขก เมื่อก่อนตาลมาคุยกับจอยบ่อยๆ ชมว่าพ่อตัวเองออกแบบให้ที่โน่นที่นี่แล้วก็สวยด้วย จอยยังเคยไปดูร้านที่น้าศักตบแต่งเลย สวยจริงๆ” ฉันนึกถึงสมัยเด็กๆ ที่ตาลจะมาเล่าเรื่องที่เธอภูมิใจกับพ่อของเธอมากมาย แถมยังชวนฉันไปเดินเที่ยวห้างและอวดอีกว่าร้านนี้พ่อของเธอเป็นคนออกแบบ ดูเหมือนตอนนั้นตาลจะรักพ่อของเธอมาก ผิดกับตอนนี้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตาลจะคิดกับน้าศักแบบไหน จะยังคงรักและภูมิใจในตัวน้าศักเหมือนเดินอยู่หรือเปล่า

“ถ้าจอยไม่คิดอะไรมากติดต่อคุณศักให้พี่ได้หรือเปล่า” พี่แขกลุกจากโต๊ะมายืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ฉันนั่ง พร้อมๆ กับวางมือของเธอลงบนบ่าของฉัน

“ได้พี่เพื่องานเดี๋ยวจอยติดต่อให้แต่ตอนนี้ขอโซ้ยน้ำเต้าหู้พี่ก่อนนะเห็นแล้วน้ำลายสอ” ฉันหยิบถุงน้ำเต้าหู้ในมือพี่แขกมาเพื่อเตรียมเอาไปใส่แก้ว ให้กับพี่แขกและสำหรับตัวฉันเอง แล้วก็ลุกจากที่นั่งจุดมุงหมายคือห้องครัวที่อยู่ติดกับห้องน้ำหญิง

“ตามสบายแม่คนตะกละ” เสียงพี่แขกไล่หลังฉันมาติดๆ

หลังจากจัดการกับน้ำเต้าหู้ของพี่แขกไปจนหมดฉันก็มานั่งทำงานต่อ จนเกือบเที่ยง เสียงพี่แขกก็กระชากความเงียบไปจากฉัน

“นี่ยัยจอยไหนบอกว่าจะติดต่อคุณศักให้พี่ไง จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้เรื่องอีกเหรอฮะยัยอ้วนแม่เธอจะมาเฉ่งกะบาลฉันอยู่แล้ว”

“ตายแล้วพี่แขกจอยลืมเดี๋ยวนะพี่ เดี๋ยวจอยติดต่อให้ตอนนี้เลย” ฉันตบอกผาง ลืมไปจริงๆ ว่าพี่แขกใช้ให้ติดต่อกับน้าศักงานก็เยอะไปหมด ทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที

ฉันกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาไล่หาเบอร์โทรของน้าศัก กดเรียกสายสักครู่ก็ได้รับการตอบรับ

“สวัสดีค่ะหนูจอย” เสียงปลายสายตอบกลับมา ยังคงเป็นน้าศักคนเดิมที่เรียบร้อยเหมือนเดิม

“สวัสดีค่ะน้าศักคือจอยมีเรื่องจะรบกวนน้าศักนิดนึง”

“เรื่องตาลนะเหรอ เห็นว่าจะแต่งงานแล้วนี่ทำไมเหรอ” จากคำตอบของน้าศักทำเอาฉันเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันทีแต่เมื่อมีหน้ายักษ์ของพี่แขกอยู่ใกล้ๆ ก็เลยต้องพูดเรื่องานก่อน

“เปล่าค่ะน้าคือเรื่องงานน่ะค่ะ คือตอนนี้ที่ทำงานของจอยจะทำโชว์รูมใหม่ อยากให้น้าศักเข้ามาออกแบบแล้วก็เสนอราคาให้น่ะค่ะน้า”

“อ๋อถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวบ่ายๆ น้าเข้าไปดูพื้นที่ให้เลยก็ได้” เสียงของน้าศักยังคงเป็นน้าศักที่ใจดีคนเดิม ฉันไม่ได้เจอน้าศักมาหลายปีแล้ว แต่น้าศักก็ยังคงมีความเมตตากับฉันเสมอ

“จริงเหรอค่ะ แหม ทันใจดีจริงๆ”

“ไม่ได้สิจ๊ะเรื่องงานเรื่องเงินต้องมาก่อนเสมอ ว่าแต่ว่าเราทำใจเรื่องตาลได้หรือยังล่ะจอย”

“ยังหรอกคะน้า ของแบบนี้ต้องใช้เวลา”

“อืมม์ ดีแล้ว งั้นบ่ายๆ เจอกันก็แล้วกันนะจอย เดี๋ยวน้าจะรีบไปดูให้เลยไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณค่ะน้าศัก”

“ไม่เป็นไรบายนะจ๊ะเด็กดี”

“บายค่ะ” ฉันวางสายน้าศักไปแล้ว แต่จิตใจของตัวเองกลับสับสน แต่ยังไม่ทันคิดอะไรมากเสียงพี่แขกก็ดังมารบกวนอีกรอบ

“ว่าไงคุณศักเค้าบอกว่าไงบ้าง” พี่แขกรีบถามฉันทันทีที่ฉันกดปิดสาย

“เดี๋ยวบ่ายๆ น้าศักจะเข้ามาดูพื้นที่ให้ค่ะพี่”

“งั้นเราสองคนก็ไปกินข้าวได้แล้วพี่หิวจะแย่ เมื่อเช้ากินแต่น้ำเต้าหู้” พี่แขกบอกพร้อมกับหยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ออกมาจากประเป๋าสะพายใบเขื่องของเธอที่อยู่ในลิ้นชักใหญ่ด้านล่าง

“เอ๊ายังนั่งเฉยอยู่อีกไปกินข้าวได้แล้ว วันนี้พี่พาไปกินที่ห้างแล้วกัน ไหนๆ ก็ทำงานให้พี่แล้วนี่”

“โอ๊ยเป็นพระคุณอย่างสูงเลยพี่แขก ลาภปากจอยดีแท้”

“เห็นแก่กินจริงๆ เรา”

“ก็ทำไงได้ล่ะคะพี่ จอยก็เป็นแบบนี้แหละ พอไม่มีอะไรทำก็กินอย่างเดียว”

“ถ้าอ้วนแล้วลดไม่ลงอย่ามาโทษพี่ก็แล้วกัน”

“ไม่หรอกค่ะจอยกินเข้าไปเอง ก็ต้องโทษตัวเองสิคะพี่”

“ขอให้จริงเถอะ ถ้าวันไหนมาโทษว่าพี่ทำให้อ้วนล่ะก็พี่จะจับล้วงคอเลยคอยดู”

“โหดฉิบ” ฉันแอบบ่นพี่แขก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยิน

“ว่าอะไรนะ”

“เปล่าๆ ค่ะไม่ได้พูดอะไร ไปเถอะค่ะพี่เดี๋ยวคนเยอะจอยหิวแล้วด้วย” ฉันต้องรีบกลบเกลื่อนก่อนที่จะโดนพี่แขกเขกกะโหลก มือพี่แขกเบาเสียเมื่อไหร่กัน คราวก่อนที่โดนตอนทำงานผิด หัวฉันเกือบโน ไม่รู้ว่านิ้วพี่แขกหงิกไปด้วยหรือเปล่า สับลงมากลางกบาลฉันเต็มๆ เจ็บไปซะหลายวันเชียวนะจะบอกให้

ยังเคยคิดเล่นๆ ว่าสาเหตุที่พี่เกตเลิกกับพี่แขก เพราะพี่แขกมือหนักจนพี่เกตทนไม่ได้หรือเปล่า แต่คิดไปก็เท่านั้น เรื่องของพี่แขกกับพี่เกต มันเป็นเรื่องที่เด็กอย่างฉันไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว เท่าที่ดู ทั้งสองคนยังรักกันอยู่ แต่ทำไมก็ไม่รู้เจอะเจอกันที่ไรเป็นไม้เบื่อไม่เมากันทุกที

โบราณว่าขิงก็รา ข่าก็แรง คู่นี้เห็นท่าจะจริง


ฉันกับพี่แขกเลือกที่จะมาห้างใกล้ๆ ที่ทำงาน ระยะทางเดินไม่ไกลมากนักเดินพอมีเหงื่อราวๆ เกือบป้ายรถเมล์ แต่จากความร้อนตอนกลางวันก็ทำเอาฉันจะเป็นลม แดดร้อนๆ บวกกับความหิว เล่นเอาหน้ามืดไปเหมือนกัน แถมยังต้องควักยาดมในกระเป๋าออกมาเดินดมไปตลอดทาง ส่วนพี่แขกดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรกับใครเขาเลยสักนิด เดินตากแดดสบายๆ ราวกับว่าแดดนั้นเป็นเพียงแสงสว่างส่องทางเท่านั้นเอง

เมื่อเดินเข้ามาในห้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดจนเย็นฉ่ำ ก็ช่วยลดทอนความร้อนจากการเดินตากแดดมาเมื่อสักครู่ไปได้เยอะ พี่แขกเลือกร้านอาหารได้แล้วเราสองคนก็เข้าไปนั่งสั่งอาหารที่ต้องการแล้วก็นั่งรอเพราะช่วงเวลานี้คนมักมาฝากท้องกันในร้านอาหารที่ห้างแบบพวกฉัน เวลาเร่งด่วนของคนทำงานออฟฟิส ก็แบบนี้แหละ ว่างหนึ่งชั่วโมงเอาพลังงานใส่ท้อง หลังจากอิ่มท้องก็กลับไปนั่งคอตก ง่วงนอนเพราะกินอิ่มมาตอนกลางวัน

กว่าพนักงานจะเอาอาหารมาเสริ์ฟท้องของฉันก็ร้องจนแสบไปหมด กินไปได้สักพัก ฉันเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาที่ร้าน และหนึ่งในนั้นฉันก็จำได้ดีว่าคือเจ้าของหัวใจของพี่แขกนั่นเอง แต่มากับใครฉันก็ไม่อาจรู้ได้ พี่แขกยังไม่เห็นว่าพี่เกตเดินเข้ามาในร้าน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาใช้มีดตัดเนื้อที่อยู่ในจาน

ในใจฉันคิดอย่างเดียวอย่าให้พี่แขกเห็นพี่เกตเลย งานจะเข้าซะเปล่าๆ พูดถึงเมื่อเช้า เจอกันตอนเที่ยง อายุยืนซะจริงๆ พี่เกตเอ๊ย

แทนที่พี่แขกไม่เห็นแล้วเรื่องจะไม่เกิด พี่เกตเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายพี่แขกเสียเอง ทำเอาฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สงสัยเมื่อเช้าก้าวขาข้างผิดออกจากบ้านแน่ๆ เลยฉัน ซวยจริงๆ แล้วจอยเอ๊ย

“เป็นไงคนสวย ควงสาวน้อยหน้าใสมากินข้าวเที่ยงหรือไง” ดูพี่เกตสิทักแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เกิดเรื่องจนได้หรอก

พี่แขกไม่ได้ตอบอะไรสักคำ ส่วนพี่เกตยังหาเรื่องไม่หยุด

“ได้ข่าวว่าตาลจะแต่งงานเหรอจอย แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้บังคับฝืนใจใครไม่ได้หรอกเนอะ ว่าไป จริงๆ แล้วตาลแต่งงานก็ดีเหมือนกัน แขกจะได้มีคนรู้ใจสักที ไปล่ะนะ ไว้เจอกันใหม่” ก่อนพี่เกตจะเดินจากไป พี่เกตหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ และจับมือของพี่แขกขึ้นมาและบรรจงวางสิ่งนั้นลงบนอุ้งมือของพี่แขกและพี่เกตก็เดินจากไป

แต่พี่เกตทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้บนหน้าผากของฉันว่าที่พี่เกตพูดหมายถึงอะไร และเมื่อนึกขึ้นได้ ฉันก็เริ่มร้อนตัว

“พี่แขก จอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่แบบนั้นนะ”

“พี่รู้พี่เองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเหมือนกัน” พี่แขกวางของที่พี่เกตให้ไว้บนโต๊ะดูท่าทางจะไม่ใส่ใจกับของที่เธอได้รับมา

“แต่พี่เกตเค้ากำลังเข้าใจผิดเรื่องเราสองคน”

“ชั่งสิ ปล่อยคนจิตใจต่ำคิดไปคนเดียวเถอะ เราสองคนไม่ได้คิดก็พอแล้ว ดูสิเสียบรรยากาศหมดเลย เรารึจะมากินข้าวฉลองวันเกิดซะหน่อย ทำเสียอารมณ์ คนประสาทบ้าชะมัด กินๆ เถอะจอยไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวเราต้องไปรอพบคุณศักอีก เกิดเธอมาแล้วไม่เจอเราสองคนเสียมารยาทตาย” พี่แขกทำหน้าเหมือนเบื่อโลกทั้งโลก

“ค่ะพี่” แล้วอาหารมื้อนั้นก็ฝืดติดคอฉันทั้งมื้อ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยกว่าฝีมือป้าแม้นแม่ค้าเจ้าประจำที่ฉันกับพี่แขกฝากท้องไว้ทุกเที่ยงก็ตามเถอะ แต่ตอนนี้กลืนไม่ลงจริงๆ เหมือนอาหารมันแข็งๆ ฝืดๆ ด้วยสิ



น้าศักมาตรงเวลาตามที่ได้นัดกับฉันเอาไว้ เรื่องธุรกิจ เรื่องเงินๆ ทองๆ น้าศักไม่เคยทำให้ลูกค้าต้องผิดหวัง เมื่อคุยกับพี่แขกเรียบร้อย น่าศักกับลูกน้องก็ลงไปวัดพื้นที่ และเก็บรายละเอียดพื้นที่ทั้งหมด ก่อนที่จะมาคุยกันเรื่องการตกแต่งต่อเติมกับพี่แขกและผู้จัดการฝ่ายการตลาด

พี่แขกให้ฉันเข้าไปช่วยจดบันทึกการประชุมปรึกษาในครั้งนี้ด้วย ฉันก็เลยต้องเข้าไปนั่งจดรายละเอียดการประชุมทั้งหมด

“ทางเราต้องการตกแต่งให้ดูสะดุดตา และเราต้องการที่จะวางสินค้าของเราทั้งหมดที่มีตั้งโชว์ไว้ที่หน้าร้าน ลูกค้าของเราเป็นระดับกลางถึงระดับบนคุณศักพอเข้าใจใช่ไหมคะ” พี่แขกเริ่มเรื่องก่อน

“ครับ” น้าศักพยักหน้าและตอบรับ

“คุณศักพอจะส่งรายละเอียดการออกแบบให้กับเราจะได้หรือเปล่าคะ”

“ก็พอได้ครับ ว่าแต่ว่าที่ให้ผมทำมีคู่แข่งหรือเปล่าหรือว่าเรียกมาเจ้าเดียวแล้วก็ลงมือทำได้เลย”

“เราเรียกมาสองสามเจ้าค่ะ เพราะไม่อยากจะให้มีปัญหากับหุ้นส่วนที่บริหารงาน เรามีงบตั้งไว้ในใจแล้ว และมีแบบของสำนักงานใหญ่ที่ต่างประเทศของเรามาให้ดูด้วย คุณศักจะสะดวกตีราคาและส่งแบบมาให้เราดูหรือเปล่า จริงๆ แล้วเรามีค่าป่วยการให้สำหรับรายที่ส่งรายละเอียดมาแต่ไม่ได้ทำงาสนให้เรา แต่ก็ไม่มากมายหรอกนะคะ” พี่แขกอธิบายรายละเอียให้น้าศักได้รับรู้ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากมายนัก นั่งจดบันทึกไปตามคำสั่งของพี่แขกเท่านั้น

“อันนี้ผมพอเข้าใจครับ จริงๆ ทางคุณน่าจะให้ยื่นซองประกวดราคาเลยจะดีกว่า” น้าศักเอนตัวผิงพนักเก้าอี้ละนั่งลูบคางของตัวเองทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างในใจ

“ตอนแรกเราก็ว่าจะยื่นซองค่ะ แต่ติดตรงที่เรายังไม่มีแบบที่แน่นอน เพราะเราเองก็ไม่อยากจะยึดติดกับแบบที่ได้มาจากสำนักงานใหญ่มากนัก ทางเราเกรงว่างบที่จะใช้ตกแต่งมันจะเกินที่เราได้ตั้งไว้ เศรษฐกิจแบบนี้ คุณศักก็คงจะรู้ใช่ไหมคะว่าถึงเราอยากจะให้สวยแต่งบก็ต้องไม่มากมายนัก เพราะนั่นก็คือต้นทุนของสินค้าเราส่วนหนึ่งเหมือนกัน นี่แขกบอกตรงๆ เลยนะคะ ในฐานะคนคุ้นเคยกัน”

“อืมม์ครับผมพอเข้าใจ”

“แล้วทางคุณจะสะดวกที่จะส่งแบบเราวันไหนคะ”

“ผมคงต้องขอเวลาสักสองหรือสามอาทิตย์นะครับ เพราะต้องขอดูตัวอย่างสินค้า กับแบบเก่าที่คุณมี แล้วผมจะตีราคาทั้งหมดมาทีเดียวเลย”

“โอเคคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วแขกขอปิดการประชุมแค่นี้นะค่ะ หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันนะคะคุณศัก”

“ครับก็หวังว่าเช่นนั้นเหมือนกันงั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วผมจะรีบเสนองานมาทันทีที่เสร็จ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่สละเวลามา” พี่แขกเก็บเอกสารลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องประชุม

“ไม่เป็นไรครับ ต้องขอบคุณจอยด้วยที่นึกถึงน้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเครื่องสำอางแน่ๆ เลย”

“น้าศักก็พูดเกินไป”

“จริงๆ แล้วน้าก็ต้องรีบทำงานนี้ส่งเหมือนกันแหละ เพราะน้าต้องไปงานแต่งของตาล”

“ตาลแต่งเมื่อไหร่ค่ะน้า”

“เดือนหน้า นะเห็นว่า”

“แล้ว...” ฉันอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อ “แล้วตาลเค้ารักกับคนนั้นจริงๆ เหรอคะน้า”

“น้าก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เท่าที่ถามดูก็เห็นเค้ารักกันดี น้าก็ไม่ได้เจอตาลมาหลายปีแล้วเหมือนกัน”

“แล้วน้าเจนสบายดีไหมคะน้าศัก”

“เจนเค้าสบายดี ก็มีแต่ตาลนั่นแหละที่คิดมาก น้ากับเจนไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เรื่องของเราสองคนเรารู้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจุดจบของเรื่องมันจะเป็นแบบไหน ที่เราอยู่ด้วยกันก็แค่ในนาม ให้ตาลมีพ่อ ให้ตาลเกิดมามีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็เท่านั้น”

“ค่ะน้า จอยเข้าใจและหวังว่าตาลก็จะเข้าใจเหมือนที่จอยเข้าใจเหมือนกัน”

“น้องของจอยโตแล้วนะ เข้าโรงเรียนแล้ว โรงเรียนเดียวกับจอยนั่นแหละ”

“เหรอคะ จอยไม่ได้ไปแถวนั้นอีกเลยตั้งแต่ตาลไม่อยู่ที่บ้านน้า”

“อืมน้าเองก็ขายบ้านหลังนั้นไปแล้วเมื่อปีกลาย ย้ายมาอยู่คอนโดสะดวกกว่าไม่ต้องเดินทางไกลๆ ไปทำงาน ชีวิตคนโสด ก็แบบนี้แหละนะ เอาอะไรแน่นอนไม่ได้”

“แล้วน้ากับน้าผู้ชายคนนั้นล่ะคะ”

“ก็ไปๆ มาๆ เหมือนเดิม เค้าย้ายมาไม่ได้ น้าย้ายไปไม่ได้ ก็เลยยังคงเป็นเหมือนเดิม”

“น้าไม่รู้สึกคิดถึงหรืออยากอยู่ใกล้กับเค้าบ้างเหรอคะ”

“อยากรู้จริงๆ เหรอจอย” น้าศักเลิกคิ้วถามฉัน

“ก็ไม่เชิงค่ะ”

“เมื่อก่อนก็อยากหรอกนะ แต่พอแก่ตัวลง เรื่องอย่างว่ามันก็น้อยลง เราอยู่กันด้วยใจมากกว่า เค้าเองก็รู้ว่าน้าย้ายไปอยู่กับเค้าไม่ได้ เค้าเองก็ย้ายมาไม่ได้ อีกอย่างบ้านเมืองเราจะให้ยอมรับเรื่องแบบนี้มันยากมากๆ อย่าว่าอะไรเลย แม้กระทั่งตาลที่น้าเลี้ยงมาเหมือนลูกยังไม่เข้าใจน้าดีเท่าที่จอยเข้าใจเลย ประสาอะไรกับคนอื่นๆ จะหวังให้มาเข้าใจมันคงจะยาก”

“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับรู้

“ว่าแต่เรื่องของน้าแล้วเรื่องของจอยกับพ่อลงเอยกันหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ จอยยังทำใจไม่ได้”

“นั่นสินะ ผงเข้าตาคนอื่นเราเขี่ยออกได้ แต่ผงเข้าตาตัวเอง ต้องใช้น้ำตาของเราเองค่อยๆ ล้างมันถึงจะออกจริงมะจอย น้าไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรจะฝากให้ตาลก็เอาไปให้น้าที่ออฟฟิสก็แล้วกัน น้าจะเดินทางไปหาตาลเค้าต้นเดือนหน้า”

ฉันได้ยินคำพูดของน้าศักแล้วก็สะอึกในใจเหมือนกัน เมื่อส่งน้าศักกลับเรียบร้อยแล้ว ฉันกลับมานั่งคิดเรื่องที่น้าศักพูดถึงเรื่องฉันกับพ่อของฉันเอง จริงๆ แล้วฉันกับตาลก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย พ่อของฉันมีเมียใหม่ พ่อของตาลก็มีใหม่เหมือนกัน แต่จะเรียกว่าเมียหรืออะไรก็ไม่อาจรู้ได้

ความรักของฉันกับตาลก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับความรักของน้าศักกับคนรักของเขา หญิงรักหญิง ชายรักชาย หรือหญิงรักชาย มันก็คือความรักเหมือนกัน ไม่ว่าฝ่ายไหนจะต้องแยกจาก ความเจ็บปวดก็คงจะเท่ากัน

มีคนเคยพูดว่า ความรักของพวกลักเพศรุนแรงน่ากลัว อย่าไปริรักคนพวกนี้ ฉันว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย หากว่ารักแบบยังพอมีสติ เรื่องรุนแรงก็คงไม่เกิด

หน้าข่าวหนังสือพิมพ์เห็นอยู่บ่อยๆ ผู้ชายทนไม่ได้ที่แฟนตัวเองทิ้งและไปมีคนรักใหม่ ตามไปฆ่าให้ตายตกไปตามกันและฆ่าตัวตายตามถมถืดไป เพียงแต่ข่าวไม่ได้โดนตีพิมพ์พาดหัวให้ใหญ่โต ผิดกับข่าว ทอมฆ่าแฟนสาว หรือข่าวเกย์ฆ่าแฟนหนุ่ม ข่าวพวกนี้ มันเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ดีนักแล

เมื่อโลกยังลำเอียงให้คนได้เคียงคู่กันแค่หญิงกับชาย ฉันก็ต้องเก็บความเจ็บช้ำไว้ในใจ จะระบายออกได้ก็กับคนพวกเดียวกัน ณ เวลานี้ คนๆ นั้นก็คือพี่แขก พี่ที่แสนดีของฉัน

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ฟ้าหลังฝนของฉัน คงเป็นฟ้าที่สวยงามเสมอ

ฉันยังหวังว่าเป็นแบบนั้น

จบบทที่ ๙



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:34:32 น. 0 comments
Counter : 364 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.