It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๑๕ ปลีกวิเวก



ฉันกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เข้าไปแชตในเวปเหมือนเดิม ด้วยจิตใจที่หดหู่ ผู้คนมากมายหลากหลายจนลายตา มีคนคุยกันเรื่องสนุกๆ คุยกันเรื่องนิยาย เรื่องหนังเรื่องนัดชวนไปเที่ยว ฉันก็ยังเป็นคนที่นั่งแอบมองแอบอ่านอยู่ดี

นิ้งเข้ามาและเห็นชื่อฉัน เธอทักทายฉันชวนฉันคุยทั้งเรื่องงานเรื่องหัวใจ เรื่องอะไรต่ออะไรจิปาถะ มันทำให้ฉันลืมความเจ็บปวด ลืมเรื่องที่เคยเศร้าใจ นิ้งบอกว่าตอนนี้เธอมีคนรักใหม่แล้ว เธอให้ฉันแสดงความยินดีกับเธอด้วย ฉันยินดีที่เธอไม่ต้องมานั่งอกหักแบบที่ฉันเป็น ฉันเปิดใจเล่าเรื่องของฉันให้นิ้งฟัง นิ้งนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า

“ทุกอย่างอยู่ที่ใจนะพี่จอย ถ้าพี่ตัดไม่ได้ ก็แค่ทำให้มันจางลงไปไม่ได้เหรอคะ”

“พูดง่ายทำยากนะนิ้ง” ฉันค่อยๆ พิมพ์ข้อความตอบกลับไป

“นิ้งเองก็เคยคิดว่านิ้งคงลืมคนรักเก่าไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเมื่อนิ้งเปิดใจทุกอย่างก็คลี่คลาย มันอยู่ที่ตัวพี่เองว่าพี่จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการลืมเรื่องเจ็บๆ ของพี่”

“ตอนนี้นิ้งสบายใจแล้วสิมีคนรักแล้ว”

“ก็เหมือนจะสบายค่ะ แต่บางทีก็มีเหมือนกันที่อดคิดเปรียบเทียบคนใหม่กับคนเก่า”

“เมื่อตัดสินใจมีใหม่อย่ากลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีกเลยนิ้ง ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป”

“ที่พี่พูดนี่หมายถึงพี่เองหรือตัวนิ้งคะ ถ้าหมายถึงนิ้ง ทำใจได้นานแล้ว แต่พี่นะสิทำใจได้หรือยัง”

ฉันเงียบไปจริงๆ ไม่ได้เงียบแต่กำลังคิดตามตัวหนังสือของเธอ จนเธอส่งโปรแกรมเขย้าหน้าจอกลับมา ฉันถึงกีบสะดุ้ง เพราะเปิดลำโพงเอาไว้ค่อนข้างดัง

“ตกลงยังทำใจไม่ได้สินะพี่ ปล่อยผ่านไปนะคะอย่าคิดมาก อย่างน้อยที่ก็มีนิ้งอีกคนที่เป็นน้องของพี่คอยห่วงพี่อยู่เสมอ วันนี้นิ้งต้องไปก่อนนะคะพี่ มีคนมากวนแล้ว ไนท์ๆ ค่ะพี่ บาย”

“บายจ๊ะ โชคดีนะน้องรัก”

ฉันปิดโปรแกรมไปแล้ว เพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่เมื่อปิดหน้าจอ ปิดเครื่องทุกอย่างก็กลับมาสู่วังวนเดิมๆ นั่นคือคิดถึงตาล หลับก็ฝัน ตื่นก็ละเมอหา ไม่จบไม่สิ้น พี่แขกพยายามทำให้ฉันหลุดจากวังวนเดิมๆ พาออกไปเที่ยว และผลก็คือฉันเมาไม่ได้เรื่องได้ราวทุกครั้งที่ไป ฉันเริ่มติดแอลกอฮอล์ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะแตะต้อง

ความรับผิดชอบของฉันมากขึ้นเมื่อแม่เกษียณและพี่แขกก็ทำงานในตำแหน่งของแม่ ฉันถูกเลื่อนขั้นให้ไปทำงานในตำแหน่งของพี่แขกแทน ฉันทำงานที่นี่มาสิบปีแล้วสินะ สิบปีที่ฉันอยู่กับที่ไม่เคยโยกย้ายตัวเองไปไหน ทั้งๆ ที่ความตั้งใจในครั้งแรกฉันอยากจะเปลี่ยนงาน

เมื่อฉันบอกพี่แขกว่าฉันอยากจะปลีกวิเวกไปสักพัก ขอลาออกพี่แขกดูจะตกใจไม่น้อย

“เฮ้ยลาออกทำไมกันแล้วงานสอนจะสอนอยู่หรือเปล่า”

“ไม่อยากทำงานอะไรเลยคะพี่แขก มันเหมือนอิ่มตัว ให้จอยลาออกเถอะนะคะ”

“เอางี้ดีไหมจอย จอยลางานแบบไม่เอาเงินเดือนส่วนเรื่องงานพี่ดูแลแทนให้ ไปพักผ่อนสักระยะแล้วค่อยกลับมา สองสามปีที่ผ่านมาจอยไม่เคยหยุดพักเลยทำแต่งาน ฟิวมันก็ขาดสิร้อนมากเกินไป”

“มันไม่เป็นผลดีกับงานสิคะพี่ จอยรู้สึกว่าถ้าทำแบบนั้นมันเห็นแก่ตัวเกินไป สู้จอยลาออกแล้วให้คนที่มีความสามารถมาทำงานแทนดีกว่า”

“แต่พี่ก็อยากให้จอยช่วยงานพี่นี่นา”

“ให้จอยไปเถอะคะพี่ จอยอยากไปไหนไกลๆ ไม่รู้จับพบเจอกับใครขอลาออกเถอะนะคะ”

“แล้วแม่เราว่าไง”

“จอยไม่ได้บอกแม่หรอกคะ จอยคิดว่าจอยจะไปอยู่ป่าอยู่เขาสักระยะเผื่ออะไรต่ออะไรมันจะดีขึ้นบ้าง”

“แบบนั้นก็ตามใจถ้ากลับมาแล้วอยากทำงานบอกพี่นะพี่รอจอยอยู่”

“ขอบคุณค่ะพี่ที่เข้าใจจอย”


หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปไหนต่อไหนด้วยตัวคนเดียว พร้อมๆ กับรถมอเตอร์โซด์คู่ใจใหม่เอี่ยมอีกหนึ่งคัน ฉันวางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปเรื่อยๆ มืดก็หาที่พัก แต่สำหรับผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันก็ลำบากมากโข ที่ๆ ฉันพักก็คือ วัดหรือไม่ก็ที่พักริมทางที่มีตำรวจอยู่เฝ้ายาม จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ฉันทั้งผอมทั้งดำ ผมยาวรุงรัง สุดท้ายฉันก็ไปหยุดอยู่ที่บ้านไร่กลางเขาแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้มีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ยังไม่โดนบุกเบิก ฉันสอนหนังสือเด็กๆ โดยไม่คิดเงิน สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือน้ำใจจากชาวบ้าน ให้ข้าวให้ที่พัก แค่นี้ก็บุญโขแล้วสำหรับฉัน สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่สิ้นสุดของฉันจริงหรือ

การตัดสินใจซื้อที่ต่อจากชาวบ้านมาสร้างบ้านหลังเล็กๆ ด้วยเงินเก็บที่เก็บมาตลอดระยะเวลาสิบห้าปี เงินไม่น้อยแต่ก็ไม่มาก ฉันบอกพี่แขกว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน พี่แขกบอกว่าอิจฉาฉันที่ได้อยู่กับธรรมชาติมีชีวิตที่ไม่ต้องดิ้นรน ฉันยังแอบขำกับคำพูดของพี่แขก

“ถ้าพี่อยากมาเที่ยวก็บอกได้นะคะที่นี่อากาศดี แม้ว่ากลางวันจะร้อนไปสักหน่อย แต่กลางคืนอากาศดีมากๆ จอยนอนดูดาวทุกคืน”

“เหรอดีจังเลยกว่าพี่จะกลับบ้านก็ดึกดื่น แทบสลบ ซูฮกแม่ของจอยจริงๆ ที่อดทนทำงานจนเกษียณได้ พี่ว่าอีกไม่กี่ปีพอทำงานไม่ไหวพี่ก็จะลาออกเหมือนกันมันเหนื่อยเหลือเกิน เข้าใจจอยเลยว่าเวลาเราหมดไฟทำงานมันเป็นแบบไหน”

“ถ้าพี่ว่างสักอาทิตย์ก็แวะมาสิคะจอยยินดีต้อนรับพี่เสมองั้นแค่นี้นะคะพี่เหรียญจอยหมดแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทันรถที่อาศัยเค้าเข้ามาที่อำเภอ”

“โชคดีนะจอย แล้วถ้าพี่ว่างเราค่อยเจอกัน”

“บายค่ะพี่” ฉันวางโทรศัพท์ลงฟังเสียงเหรียญไหลลงไปในเครื่องโทรศัพท์ “ตึกๆๆ” จนสุดท้ายเหรียญที่เหลือไหลลงมาตรงช่องรอรับเหรียญแล้วฉันก็เดินออกมาจากความวุ่นวายในตัวตลาดของอำเภอ


หลังจากนั้นอีกนานเกือบๆ ปีเห็นจะได้ฉันก็ได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน แต่ไม่ใช่พี่แขกกลับเป็นต้อง ฉันตกใจไม่น้อยที่เห็นต้องลงจากรถอีแต๊นมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าบ้านของฉันเอง

ความรู้สึกแรกฉันคิดถึงตาล แต่เมื่อสมองสั่งการก็ทำให้รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านไม่ใช่ตาลแต่เป็นเงาของเธอเป็นน้องสาวของเธอเท่านั้น

“ต้องมาได้ยังไง”

“พี่แขกบอกสิคะต้องก็เลยมาหาพี่คิดถึงจะแย่”

“พี่แขกนี่น้าไม่น่าบอกต้องเลยลำบากมาเลยงานนี้”

“ลำบากแต่ก็อยากมาค่ะพี่”

“ปะๆ เข้าบ้านก่อนกินน้ำกินท่าก่อน” ฉันเดินนำต้องเข้าไปในบ้านของตัวเอง และให้เธอนั่งพักเหนื่อยให้หายร้อน

“บ้านพี่จอยน่าอยู่จังคะ” ต้องมองตัวบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว ไม่ใหญ่ไม่โต รอบๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ ให้ร่มเงาในยามบ่ายแดดจัดแบบนี้

“บ้านป่าบ้านเขาก็แบบนี้แหละ แล้วนี่เราเรียนจบแล้วเหรอ ได้ดีกรีอะไรมา”

“เพ็ดดีกรีค่ะ”

“ลูกสุนัขหรือไง”

“ทำนองนั้น”

“เร็วจังเนอะอายุไม่เท่าไหร่ได้เป็นลูกสุนัขแล้ว แล้วตอนนี้เราทำอะไร”

“ก็เรื่อยๆ ค่ะยังไม่ได้หางานทำเป็นหลักแหล่งเรียนมากก็เลยอยากเที่ยวสักพักนี่ก็ว่าจะมาเกาะพี่จอยสักเดือนสองเดือนก่อนแล้วค่อยกลับไปหางานทำ”

“ได้เลยจะอยู่สักปีสองปีก็ได้ถ้าต้องอยากอยู่”

“จริงเหรอคะพี่จอยดีจังเลยแบบนี้ต้องจะอยู่จนกว่าพี่จอยจะไล่ออกจากบ้านเลย”

“ฮ่าๆ ได้เลยตามใจอยากอยู่เท่าไหร่ก็อยู่ได้ แต่เตือนไว้ก่อนนะบ้านพี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านกับของใช้จำเป็นเท่านั้นเอง”

“แล้วมีห้องน้ำหรือเปล่าคะพี่”

“มีสินั่นเป็นสิ่งจำเป็น ถึงจะอยู่ป่าอยู่ดอยแต่ก็ไม่ถึงกับต้องไปทุ่งเก็บดอกไม้ไล่ยิงกระต่ายหรอกนะ”

“งั้นดีเลยพี่จอยพาต้องไปห้องน้ำหน่อยสิคะ คือว่าตอนนี้ต้องมีความต้องการเก็บดอกไม้อย่างแรง”

“อ้าวแล้วก็ไม่บอกมาๆ พี่พาไป”

ฉันพาต้องไปห้องน้ำที่อยู่แยกจากตัวบ้าน น้ำที่บ้านนี้มาจากบ่อน้ำที่ขุดเอง ฉันพยายามที่จะไม่ใช่อะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ จะเข้าห้องน้ำก็ต้องตักน้ำจากในบ่อเข้าไปใช้ เวลาอาบน้ำก็อาบที่บ่อน้ำแห่งนี้ ฉันล้อมรั้วเป็นไม้ไผ่ขัดแตะและปลูกตำลึงเอาไว้เป็นม่านบดบังสายตาคนจากภายนอกกั้นบ่อน้ำกันเอาไว้ให้เป็นห้องน้ำ มันง่ายเมื่อจะอาบน้ำ แต่ตัวห้องส้วมก็แยกออกไปไกลหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันกลัวว่าสิ่งปฏิกูลจากส้วมจะไหลซึมเข้าไปในน้ำบ่อ เพราะน้ำในบ่อนี้ใช้ทั้งอุปโภคและบริโภคในบ้านของฉัน

ต้องออกมาจากห้องส้วมแล้วก็บ่น

“โหพี่จอยเลี้ยงกบในห้องน้ำด้วยเหรอ”

“ไม่ได้เลี้ยงหรอกมันคงหลงเข้าไปตอนที่พี่เปิดประตูทิ้งเอาไว้”

“นึกว่าชอบธรรมชาติ นั่งไปด้วยชมกบไปด้วย”

“ฮ่าๆ คิดได้นะเรา เออว่าแต่ว่ากินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยค่ะพี่”

“งั้นกินไข่ทอดชะอมกับน้ำพริกกะปิดีมะ พี่ทำให้เดี๋ยวไปเก็บเอามาทำกับข้าว”

“ดีจังเนอะไม่ต้องซื้อหาอะไรเลย”

“คนบ้านป่าก็แบบนี้แหละ ไก่ก็เลี้ยงเอง ผักก็ปลูกเอง มีแต่ข้าวที่ต้องซื้อเค้าเพราะเราปลูกเองไม่ได้”

“น่าอิจฉาชีวิตพอเพียงของพี่จังเลย”

“ทำไงได้พี่มันคนไม่มีคู่ใครเค้าอยากจะมาตกระกำลำบากกับพี่อยู่ที่บ้านป่าบ้านดอยแบบนี้”

“อาจจะมีแต่พี่ไม่เคยมองเค้าเลยต่างหาก”

“พี่เหรอจะไม่มองพี่มองแต่มันเป็นไปไม่ได้ต่างหากใครจะอยากลำบากมีแต่คนอยากสบาย อยู่บ้านติดแอร์ มีห้องนอนหรูๆ ขับรถราคาแพง”

“แล้วก็ต้องนั่งผ่อนจนแทบไม่มีเงินเหลือใช้อย่างนั้นเหรอคะ”

“ก็หรือไม่จริง ใครๆ ก็อยากสบายด้วยกันทั้งนั้น ไปนั่งพักในบ้านเถอะเดี๋ยวพี่ไปตัดชะอมเอามาทอดไข่ให้”

“ไม่เอาต้องไปด้วยสิพี่จอยต้องไม่เคยเห็นต้นชะอม”

“งั้นตามพี่มาระวังด้วยแล้วกัน”

ฉันเดินนำต้องไปที่ท้ายบ้าน เนื้อที่ในบ้านแห่งนี้มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ ของฉันเพียงหลังเดียวนอกนั้นเป็นแปลผักเป็นเล้าไก่ ฉันเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว เพื่อเอาไข่ของมันมากิน เลี้ยงวัวไว้ไม่ได้กะจะเอาไปขายแต่เอามูลวัวมาทำปุ๋น เพาะเห็ดในโรงเรือนสำหรับกินเอง

ฉันปลูกผักกินเองบ้าง ขายบ้างเอาเงินไปซื้อของใช้ที่จำเป็น ฉันฝากคนที่อยู่ข้างบ้านเอาไปขายที่ตัวอำเภอได้เงินมาก็ซื้อของกลับมา ชีวิตของฉันพอเพียงและไม่ฟุ้งเฟ้อ เงินหนึ่งพันอยู่ได้เป็นเดือนๆ ผิดกับชีวิตที่อยู่ในเมือง หนึ่งพันบาทแทบทำอะไรไม่ได้เลย เติมน้ำมันหนเดียวก็หมดแล้ว

ต้องไปช่วยฉันเก็บชะอมแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเห็นต้นชะอมจริงๆ

“ระวังนะหนามมันแหลมระวังตำมือ” ไม่ทันขาดคำของฉันต้องก็โดนหนามชะอมทิ่มไปที่นิ้วของเธอ

“อุ้ย” เสียงของเธอร้องพร้อมกับชักมือออกจากการจับกิ่งชะอม

“บอกแล้วไงว่าให้ระวังจะโดนหนามตำก็ไม่เชื่อ” ฉันจับมือของต้องและบีบนิ้วของเธอเค้นเอาเลือดออกมา จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาบัดนิ้วน้อยๆ ของเธอไว้

“อุ้ยเจ็บนะพี่จอยเบาๆ หน่อยสิ”

“ไม่ทำแบบนี้เลือดก็คั่งสิ”

“ก็นะพี่ใครจะไปรู้ว่าหนามมันจะแหลมแบบนี้ ต้องเคยเห็นแต่ที่เค้าขายเป็นแพๆ ทอดมาเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่คะ”

“ก็เตือนแล้วไม่รู้จักฟังแม่พุดเดิ้ล”

“ว่าต้องเป็นหมาเลยเหรอพี่จอย”

“ก็นะมีแต่ประสบการณ์ทางการศึกษาประสบการณ์ชีวิตไม่เคยเรียนรู้”

“แล้วพี่เต็มใจจะเป็นครูสอนประสบการณ์ชีวิตให้กับต้องหรือเปล่าล่ะ”

ฉันมองสายตาต้องผิดไปหรือเปล่าไม่รู้เห็นสายตาของต้องมองฉันแปลกๆ มันเหมือนกับสายตาของตาลตอนที่จ้องมองฉัน ในคืนสุดท้ายของเรา

“ได้สิ พี่จะสอนวิชา สปช ให้ก็ได้ ก่อนอื่นไปติดไฟหุงข้าว เราจะได้กินข้าวกัน”

“ไม่มีหม้อไฟฟ้าเหรอพี่”

“ไม่มีหรอกบ้านพี่มี่ไฟฟ้าใช้”

“เฮ้ยจริงดิ”

“อืมไม่มีจริงๆ จะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมาเล่า”

“แล้วไม่ร้อนตายเหรอพี่ กลางคืนก็ไม่มีพัดลมอะดิ”

“ก็ไม่มีนะสิทนอยู่ได้หรือเปล่าล่ะ”

“แล้วกลางคืนพี่ก็ไม่มีไฟใช้”

“ไม่มี”

“ไฟสักดวงก็ไม่มี”

“ไม่มี”

“ตายชักผีจะหลอกตอนไปเข้าส้วมไหมนี่”

“ไม่หลอกหรอกพี่มีตะเกียงน้ำมัน กับตะเกียงแก๊ส”

“อ๋อมีแก๊สใช้”

“ไม่ใช่แก๊สแบบที่ต้องคิดหรอกนะมันเป็นตะเกียงที่ใช้ก้อนแก๊สใส่น้ำลงไปแล้วก็จุดไฟ”

“โหโบราณชะมัดเลยพี่เรา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาปลีกวิเวกที่นี่ อยู่คนเดียวโดยไม่พึ่งพาใครทั้งๆ ที่พี่มีใครต่อใครอีกหลายคนที่รอพี่อยู่”

“ถึงเวลาพี่ก็จะกลับไปเองไม่ต้องห่วงพี่หรอกต้อง”

“แล้วเวลานั้นเมื่อไหร่จะมาถึงคะพี่”

“เมื่อพี่พร้อมที่จะเผชิญกับความจริงได้น่ะสิ”

“แต่ตอนนี้ต้องหิวแล้วไปกินข้าวกันได้หรือยังคะ”

“ไปสิเดี๋ยวพี่หุงข้าวเผื่อเมื่อเช้าหุงไว้นิดเดียวไม่คิดว่าจะมีแขกมาถึงบ้าน”

ฉันเดินนำต้องกลับมาที่บ้านและเข้าครัวติดเตาถ่านหุงข้าวเช็ดน้ำ รินน้ำข้าวออกไว้ในชาม จากนั้นก็จัดการทอดไข่ชะอมและตำน้ำพริกให้กับแขกผู้มาเยือน

“พอกินได้ไหม”

“ได้สิคะ ต้องง่ายๆ อยู่แล้วพี่ อร่อยด้วยสิของที่พี่ทำ”

“อืมอิ่มแล้วสักพักก็ไปอาบน้ำ เรานุ่งผ้าถุงอาบน้ำเป็นหรือเปล่า”

ต้องส่ายหน้า “ไม่เป็นพี่”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ตักน้ำไปให้ในห้องน้ำแล้วกัน”

“ฮึไม่เอาพี่ต้องกลัวกบ”

“เอ๊าแล้วแบบนี้จะอาบน้ำได้ไง”

“พี่อาบแบบไหนต้องก็อาบแบบนั้นแหละสอนต้องด้วยแล้วกัน”

“เอางั้นเหรอ”

“ค่ะ ว่าแต่ว่าพี่ล้างจานที่ไหนคะต้องจะไปล้างให้”

“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพี่ไปทำเองดีกว่า”

“ไม่เป็นไรพี่ต้องทำเองได้”

“แต่น้ำขี้เถ้ามันจะกัดมือนะสิต้อง”

“หาอะไรนะพี่ พี่ใช้อะไรล้างจานนะ” ต้องทำตาโตกับคำบอกเล่าของฉัน

“น้ำขี้เถ้าไงทำไมเหรอ”

“ตายๆ ต้องจะเป็นลม พี่ใช้น้ำขี้เถ้าล้างจานนี้นะ”

“ก็เออสิถามทำไม”

“อย่าบอกนะว่าเวลาอาบน้ำไม่ได้ใช้สบู่”

“สบู่ก็ใช้ แต่ยาสระผมไม่ใช้”

“เฮ้ย แล้วไม่สระผมเหรอ”

“สระสิแต่พี่ใช้มะกรูดสระ”

“เวนกำ นี่ต้องหลงยุคมาเมื่อสามร้อยปีก่อนหรือเปล่าพี่”

“ทำไม สระด้วยมะกรูดย่าง ดีออกจะตายไปผมก็ไม่ร่วง”

“เออไงเอากันพี่สอนต้องด้วยแล้วกัน จะเป็นลม”

“พิมเสนมะ จะได้ดีขึ้น”

“ไม่ๆ พี่ พอก่อนแค่นี้ต้องก็ต้องพยายามทำใจแล้ว” ต้องส่ายหน้ากับคนรุ่นใหม่ที่ทำตัวหลงยุคแบบพี่จอยของเธอ

“ฮ่าๆๆ บอกแล้วบ้านป่าบ้านเขาไม่มีอะไรเลยพี่แขกไม่ได้บอกเหรอ”

“บอกค่ะแต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้”

“มีอีกหลายขนาด จะลองไวน์สัปปะรดหมักเองกับมือหรือเปล่าถ้าจะลองจะได้ตักเอามาต้มให้”

“มีด้วยเหรอพี่”

“มีสิ ทำทิ้งไว้ดื่มตอนหนาวๆ มันช่วยได้”

“โอ้วพระเจ้าพี่จอย ต้องไม่เคยคิดเลยนะพี่ว่าพี่จะธรรมชาติได้ขนาดนี้”

“ถ้าอยากจะลืมต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิมไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะเดี๋ยวพี่เก็บล้างเอง น้ำดื่มได้พี่รองมาจากน้ำฝนอยู่ในโอ่งเอามาต้มกับใบเตยหอมดี”

ต้องไม่คิดว่าพี่จอยของเธอจะทำตัวติดดินได้ถึงขนาดนี้ เธอคิดว่าบ้านของพี่จอยจะพอมีเครื่องอำนวยความสะดวกบ้าง แต่นี่เปล่าเลย บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรจริงๆ ที่จอยทำตัวติดดินจนไม่เหลือเค้าของอาจารย์สาวที่เคยสอนเธอ พี่จอยดำกว่าเดิมเยอะมาก ผอมกว่าเดิมจนผิดหูผิดตา มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิมคือแววตาที่เศร้าๆ ของพี่จอย ไม่ว่าจะกี่ปีแววตาของพี่จอยก็ยังเศร้าไม่เปลี่ยนแปลง

เธอจำได้ว่าพี่ตาลเคยบอกว่าให้เธอดูแลพี่จอย พี่ตาลเล่าเรื่องราวของพี่ตาลกับพี่จอยให้เธอฟัง ตอนที่พี่ตาลเล่าแววตาของพี่ตาลก็ไม่ได้แตกต่างกับแววตาของพี่จอยในขณะนี้ เธอฟังพี่ตาลเล่าไปเรื่อยๆ จนมาถึงเรื่องที่พี่ตาลต้องหนีมากับแม่ไปตั้งรกรากที่อเมริกา และเมื่อพี่ตาลตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวเพราะต้องการ Green gard ถ้าไม่ทำแบบนั้นพี่ตาลไม่มีทางได้อยู่ต่อ และป้าเจนก็ไม่มีทางที่จะได้อยู่เช่นกัน

ทั้งสองคนต้องลำบากทำงานเงินน้อยเพราะต้องแอบๆ ซ่อนๆ ทำงาน ถ้าถูกจับได้ก็ต้องส่งกลับเมืองไทย พี่ตาลบอกว่าต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันลำบากแต่ก็พอทน พี่ตาลไม่เคยลืมรักครั้งแรกของเธอ เธอบอกว่าเธอไม่เคยรักใครเท่าพี่จอยและให้ต้องสัญญาว่าจะดูแลพี่จอยแทนพี่ตาล

ยิ่งฟังเรื่องของพี่จอยกับพี่ตาล ต้องก็ยิ่งรู้สึกรักพี่จอยมากขึ้น ต้องตอบไม่ได้ว่ามันเป็นความรักแบบไหน รักแบบพี่น้องหรือรักแบบชู้สาว แต่มีคำพูดหนึ่งของพี่ตาลที่เคยพูดกับเธอ

“เห็นต้องแล้วพี่นึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก ต้องน่ารัก สดใส ส่วนพี่ตอนนี้กลายเป็นคนมีมลทินไปแล้ว”

“พี่ตาลอย่าคิดมากสิคะเรื่องบางเรื่องเราก็กำหนดอะไรไม่ได้”

“ถ้าเป็นไปได้พี่อยากให้ต้องเป็นตัวแทนของพี่ ไปทำความฝันของจอยให้เป็นจริง”

“พี่ตาลหมายถึง”

“ใช่หมายถึงไปเป็นคนรักของจอยแทนพี่ ไปเป็นคนที่ดูแลจอยแทนพี่”

“แต่พี่จอยไม่เคยรักใครเท่าพี่ ต้องคงไปทำอะไรแบบนั้นแทนพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“พี่เข้าใจต้อง พี่แค่พูดเล่นๆ เท่านั้น เพราะในหัวใจของพี่ก็ไม่เคยมีใครมาแทนจอยได้เลยสักคนเหมือนกัน เรารักกันด้วยหัวใจจริงๆ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเรื่องนั้นเลยสักครั้ง และจอยก็ไม่เคยที่จะร้องขอ ที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือจอยไม่ใช่คนแรกของพี่ และพี่ก็ไม่บริสุทธิ์สมกับความรักของจอยที่มีให้กับพี่ก็เท่านั้น”

หลังจากนั้นต้องก็กลับมาเมืองไทย กลับมาทำตามที่พี่ตาลของเธอได้ขอร้องเอาไว้ แต่ต้องก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก พี่จอยไม่เคยเปิดใจพูดอะไรกับเธอ ทำตัวเป็นพี่ที่ดีเป็นครูที่ดี ไม่เคยวอกแวกเลยสักครั้ง ต้องยังเคยคิดว่า “หรือพี่จอยจะเกิดมาเพื่อรักพี่ตาลเพียงคนเดียว คนอื่นๆ มันก็แค่ผ่านมาและเลยผ่านไปหรือเปล่า”

ต้องหยุดความคิดของเธอเมื่อมีเสียงเรียกจากใครคนนั้น

“ต้องจะไปอาบน้ำกับพี่หรือเปล่า”

“ค่ะพี่ไปค่ะ”

จอยเดินเข้ามาในห้องและเปิดตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ หยิบผ้าถุงให้กับต้อง

“อะนี่เปลี่ยนซะ จะได้ไปอาบน้ำกัน”

“ต้องนุ่งผ้าถุงไม่เป็น”

“มันก็เหมือนๆ กับนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละลองผลัดดูก่อนจะเป็นไรไป”

“ก็ได้พี่” ต้องทำตามที่จอยบอกอย่างว่าง่าย เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามพี่จอยทำได้ทำไมต้องจะทำไม่ได้ แต่เมื่อเธอลองนุ่งดูแล้วมันดูประดักประเดิดพิกล

“แล้วมันจะหลุดหรือเปล่านี่ตายแล้วถ้าหลุดตอนรดน้ำมีหวังซวยแน่ๆ เลยเรา”

สักพักพี่จอยก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับเชือกที่ทำจากผ้าดิบเส้นหนึ่ง

“อะเอานี่ไปรัดซะจะได้ไม่หลุดตอนอาบน้ำ”

“ขอบคุณค่ะพี่” แล้วไม่นานนักต้องก็เดินตามจอยไปที่บ่อน้ำในบริเวณใกล้ๆ ตัวบ้าน พี่จอยสาวถังน้ำตักใส่โอ่งมังกรที่อยู่ข้างๆ บ่อ แล้วก็บอกให้เธอตักน้ำอาบ

“เอาอาบสิหรือจะไปอาบในห้องเดี๋ยวพี่ตักน้ำเข้าไปให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ ต้องจะลองอาบแบบนุ่งผ้าถุงดูพี่จอยทำได้ต้องก็ต้องทำได้”

จอยอาบน้ำจนเสร็จแล้วส่วนต้องยังเก้ๆ กังๆ อาบน้ำให้กับตัวเอง ด้านนอกไม่เท่าไหร่ ด้านในผ้าสิมันอาบลำบากอยู่ พี่จอยทำดูเหมือนง่ายแต่พอเธอทำ ทำไมมันยากนัก

“พี่ช่วยอาบเอาไหมเด็กน้อย”

“จะดีเหรอพี่”

“ดีหรือไม่ดีอยู่ที่วัตถุประสงค์ ถ้าใจคิดว่าไม่ดีมันก็ไม่ดี ถ้าใจคิดว่าดีก็ไม่มีอะไร”

“งั้นดีก็ได้คะพี่”

จอยก้มลงถูสบู่ให้ต้องและช่วยเธอชะล้างเอาคราบเหงื่อไคลออกไปจากตัว ต้องไม่เคยให้ใครอาบน้ำให้ตั้งแต่เธอโตมาจนปานนี้ไม่เคยมีใครแตะเนื้อต้องตัวเธอได้เท่ากับที่พี่จอยทำให้กับเธอ เมื่อพี่จอยตักน้ำขันสุดท้ายให้กับเธอ ฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงจากเมื่อตอนกลางวันที่ร้อนอบอ้าว

“รีบๆ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“แล้วพี่จอยล่ะคะ”

“พี่ผลัดผ้าถุงเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วไม่ได้มีอะไรมาก”

“อย่าบอกนะว่าพี่ไม่ใส่ชั้นใน”

“ใส่หรือไม่ใส่แตกต่างกันตรงไหน”

“ก็มันโล่งๆ”

“ถ้าเราระวังหน่อยมันก็ไม่โล่งแล้ว”

“ตามสบายเถอะพี่ต้องไม่เอาดีกว่าไปใส่ชุดของต้องดีกว่าเดี๋ยวผีป่าผีบ้านกระเจิงหมด”

“งั้นก็รีบไปเถอะ ฟ้ามืดเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะโผล่มา”

“เฮ้ยจริงดิ”

“โกหกทำไมมีสิแต่จะมาหรือไม่มาขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเป็นวันดีคืนดีหรือเปล่า”

“งั้นต้องไปดีกว่า เชิญพี่ตามสบายเลยนะคะ”

ต้องเดินกลับเข้าบ้านไปแล้วจอยมองตามหลังต้องไป

“ทำไมพี่น้องสองคนนี้เหมือนกันจริงๆ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะจอย แกต้องไม่ทำอะไรน้องเพราะน้องไม่ใช่ตาล น้องไม่ใช่คนที่แกรัก แกต้องทำใจให้ได้มันไม่ดีหรอกนะจอยที่จะเป็นพญาเทครัว ทั้งพี่ทั้งน้องมันไม่ใช่คนนะจอย” ฉันได้แต่ร้องบอกกับตัวเองในใจ แม้จะรู้สึกหวั่นไหวกับร่างกายของตาลที่ฉันสัมผัส แม้จะรู้สึกอยากกอดอยากอะไรอีกหลายๆ อย่างแต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองเอาไว้

คนสองคนเหมือนกันที่รูปร่างหน้าตา แต่คนสองคนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน จอยตักน้ำในบ่อขึ้นมารดตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

น้ำเย็นๆ ดับความร้อนรุ่มในใจของเธอได้หรือเปล่าจอยตอบตัวเองไม่ได้

แต่ที่แน่ๆ เธอต้องทำให้ได้ ก่อนที่จะโดนตราหน้าว่าเป็นคนเลว

จบบทที่ ๑๕



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:41:02 น. 0 comments
Counter : 362 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.