It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
บทที่ ๖ ตัดสิน



ฉันถือวิสาสะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้านของตาล เพราะเวลานี้ยังไม่ดึกมากนัก ที่บ้านของตาลยังไม่ได้ปิดประตูรั้ว

“อ้าวจอยมาได้ไง” พ่อของตาลทักทายฉัน ฉันยกมือสวัสดีและถามหาตาล

“ตาลล่ะคะน้าศัก”

“อยู่ในห้องไปสิยังไม่นอนเห็นอ่านนิยายอยู่” น้าศักดาพูดจบก็กลับไปเล่นกับแมวต่อ ไม่ได้สนใจฉันอีก

“ค่ะพ่อ” ฉันเดินไปตามคำบอกของพ่อตาล หัวใจและสมองของฉันมันหนักอึ้ง น้ำตาที่หายไปไม่นานกลับมาอีกครั้ง

เมื่อฉันเห็นหน้าตาล น้ำตาของฉันก็ไหลไม่หยุด ฉันร้องไห้และร้องไห้ ไม่ยอมพูดยอมจา ตาลไม่ได้ถามอะไรฉัน เธอกอดฉันและลูบหลังปลอบโยนฉันให้คลายจากความเศร้าของตัวฉันเอง

“ร้องออกมาเถอะร้องออกมาให้พอร้องวันนี้วันพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องร้องอีก”

“เรานอนบ้านตาลได้ไหม” ฉันถามเสียงสะอื้น

“ได้สินอนได้เลยแล้วปิดบ้านโน้นดีหรือยัง”

“ดีแล้ว” ฉันยังคงสะอื้นตอบตาลไป

“งั้นไปอาบน้ำอาบท่าซะแล้วมานอนพัก”

ฉันไม่มีแก่ใจจะไปทำอะไรตามที่ตาลบอก ตาลก็ไม่ได้ว่าอะไรฉัน เธอเดินออกไปนอกห้องสักพักก็กลับมาพร้อมกับขันน้ำและผ้าชุบน้ำเย็นๆ เอามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับฉัน

“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”

“กินแล้ว”

“แน่ใจนะว่ากินแล้ว” เสียงตาลดุๆ แต่เวลานี้ฉันกลับไม่กลัวเหมือนที่เคยมา

“กินแล้วจริงๆ กินก่อนที่ตาลจะไปหาเรา”

“งั้นก็แล้วไปนึกว่ายังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวจะปวดท้อง นอนเถอะถ้าไม่อยากอาบน้ำ”

“เรากอดตาลนอนได้ไหม”

“ได้สินอนเถอะอย่าคิดอะไรมาก เรื่องของผู้ใหญ่เราเด็กๆ อย่าไปยุ่งด้วยเลย”

ตาลจับฉันล้มตัวลงนอนที่เตียงของเธอและเธอก็กอดฉันไว้ในอ้อมกอดของเธอตลอดคืน


ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าจริงๆ แล้วฉันนอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืนต่างหาก ฉันออกไปยืนดูวิวจากระเบียงห้องนอนของตาลและที่ฉันจงใจออกมายืนอยู่ตรงนี้เพราะระเบียงแห่งนี้สามารถมองเห็นบ้านหลังเล็กๆ นั้นได้ถนัดไม่มีอะไรขวาง

ฉันเห็นพ่อเอากระเป๋ามาไว้ที่หลังรถ โดยมีเด็กจิ๋วคอยกอดแข้งกอดขาพ่อตลอดเวลา พ่อไม่ได้ต่อว่าอะไรแถมยังอุ้มเด็กจิ๋วไว้ในอ้อมกอดของพ่ออีกด้วย

“หนักจริงๆ นะจิ๋ว ไม่จิ๋วสมชื่อเลยลูกพ่อ” ฉันได้ยินเสียงพ่อแว่วๆ มากับสายลม เพราะบ้านของตาลไม่ได้ไกลจากบ้านพ่อมากนัก และบ้านหลังนี้ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านหลังเล็กๆ หลังนั้น

ดูเหมือนพ่อจะมีความสุขดีที่ได้อยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อ ผิดกับแม่และฉันที่จมอยู่กับความทุกข์เดิมๆ มาโดยตลอด หกปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นแม่ยิ้มอีกเลย ตั้งแต่ฉันอยู่ชั้นมอสองจนตอนนี้ฉันเรียนจบ ปวส.แม่เครียดเป็นไมเกรนมาโดยตลอด

ฉันเองก็เกือบๆ จะเป็นบ้าเมื่อเวลาแม่โมโห ฉันเป็นคนเดียวที่รองรับอารมณ์ของแม่ด้วยอ้อมกอดของฉัน เมื่อแม่เจ็บฉันก็เจ็บด้วย

รถของพ่อถอยออกมาจากบ้านหลังนั้น และตีวงเลี้ยวแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา ใจของฉันก็หายตามรถคันนั้นที่ค่อยๆ วิ่งออกเรื่อยๆ เหมือนกัน


“คนเรานะไม่รู้จะออกมาดูทำไมให้ปวดใจ” เสียงของตาลดังมาจากด้านหลัง ทำเอาฉันสะดุ้งจากความคิดของตัวเอง น้ำตายังไหลอาบสองแก้มของฉันไม่ขาดสาย

เมื่อหันไปเห็นตาลฉันรีบปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออก มันคงออกไม่หมดแต่ก็ยังดีกว่าให้ตาลต้องมาเห็นฉันร้องไห้เป็นเด็กๆ แบบนี้

“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงของฉันอู้อี้ยังมีหางสะอื้นอยู่นิดๆ

“ตื่นตั้งแต่ตอนที่จอยลุกมาเปิดประตูระเบียงแล้ว”

“แล้วก็ไม่บอก” ฉันแกล้งตัดพ้อตาล จริงๆ แล้วฉันอายมากกว่าที่ต้องให้ตาลเห็นฉันมองรถของพ่อและยืนร้องไห้อยู่คนเดียว

“จะบอกทำไมไม่อยากเห็นคนขี้แยร้องไห้”

“เราจะไม่ร้องแล้วตาล” ฉันปาดน้ำตาที่เหลืออีกครั้งและยิ้มให้กับตาล

“ทำให้ได้อย่างที่ว่าเถอะกลัวจะขี้คุยพอเอาเข้าจริงๆ ก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาหาเรา”

“เราขี้แยขนาดนั้นเลยเหรอตาล”

“ใช่ ขี้แยแล้วก็ดื้อด้วยรั้นอย่าบอกใคร แล้วเป็นไงพ่อไปไกลแล้ว ลาก็ไม่ได้ลา” ตาลบีบปลายจมูกของฉันเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องนั้น”

“เราจะบอกอะไรให้นะมีเรื่องนึงที่เราไม่เคยบอกจอย” ตาลจูงมือฉันกลับมานั่งที่เตียงของเธอก่อนที่จะเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องที่เธอไม่เคยบอกกับฉัน

“เรื่องอะไร ถ้าจะให้เราเดาคงไม่พ้นเรื่องของพ่อ”

“ใช่เรื่องของพ่อจอยจริงๆ นั่นแหละ พ่อจอยมาที่บ้านเราบ่อยๆ มาถามถึงจอยกับเราว่าจอยสบายดีไหม พ่อของจอยเป็นห่วงจอยมากนะและพ่อของตัวก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับพี่พิศทั้งๆ ที่พ่อของตัวทำได้ พ่อตัวแค่จดทะเบียนรับน้องจิ๋วเป็นลูกเท่านั้น”

“ทำไมพ่อทำแบบนั้นทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ก็เลิกกันไปแล้ว”

“เพราะพ่อตัวไม่อยากให้ตัวต้องมีปัญหา”

“พ่อคิดแบบนั้นก็ไม่ถูก เด็กคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด จะต้องมาเป็นลูกนอกสมรสทำไมกัน”

“ถึงยังไงก็นอกสมรสอยู่ดีเพราะถึงพ่อของจอยจะจดทะเบียนกับพี่เค้าน้องก็เกิดมาก่อนการจดทะเบียนสมรส แต่พ่อของตัวก็จดทะเบียนรับรองบุตรนะไม่ถึงกับเลวร้ายซะทีเดียวหรอกจอย”

“ถึงเราจะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น แต่เราก็ไม่ได้เกลียดน้องของเราหรอกนะตาล” ฉันคิดถึงหน้าจิ้มลิ้มของเด็กตัวน้อยๆ ที่ภัทรมลอุ้มเมื่อคืนนี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจ

“เราเข้าใจจอยเราเข้าใจทุกอย่างดี”

“ขอบใจนะตาลที่เข้าใจเรา” ฉันบีบมือตาลจนแน่น เหมือนกับว่าฉันกำลังจะจมน้ำและต้องการที่พึ่ง และตาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของฉันตอนนี้

หัวใจที่ว่างเปล่าของฉัน มันทั้งแห้งและหนาวเย็น ตาลเป็นเหมือนน้ำอุ่นๆ ที่หลั่งรินมารดหัวใจที่แห้งแล้งของฉันให้ชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง แม้ไม่มากแต่ก็ช่วยได้เยอะ

“รีบๆ เถอะจอยเราต้องไปวิลัย”

“รีบไปทำไมแค่ไปพบอาจารย์”

“เอาน่ารีบๆ เถอะอยู่บ้านก็คิดมากไปเจอเพื่อนๆ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมากมายไง”

“ก็ได้ ถ้าคนมากๆ แล้วทำให้เราไม่คิดมากก็คงดี”

“ทำไมล่ะ”

“ตาลคงไม่เคยเป็นสินะ ไม่ว่าจะมีคนมากมายแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้เราหายเหงาได้เลย คนที่ไม่เคยเป็นไม่มีวันเข้าใจเราหรอกว่ามันเป็นแบบไหน”

“เราไม่รู้หรอกว่าที่จอยพูดมันหมายถึงอะไร แต่ก็ยังดีกว่าให้จอยมานั่งจมอยู่กับความคิดในสมองของจอยคนเดียว”

“ขอบใจนะ” ไม่มีคำตอบรับจากตาลมีเพียงเสียงหัวใจของฉันที่เต้นดังขึ้นทุกที และมือของเธอก็กุมมือของฉันไว้ ราวกับเป็นพันธะสัญญากันและกันว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันไปไหนจะยืนเคียงข้างกันตลอดไป


เราสองคนมาถึงวิทยาลัยก่อนใคร เพราะตาลนั่นแหละที่รีบพาฉันออกมาจากบ้านของเธอด้วยสาเหตุเดียวก็คือต้องการให้ฉันมาพบเพื่อนๆ ได้คุยหยอกล้อกับเพื่อนๆ แทนการหมกอยู่กับความคิดของตัวเอง

แต่เรามาเร็วเกินไป เพื่อนๆ ของเราก็เลยยังไม่มีใครมา เราเลือกนั่งที่โต๊ะประจำของกลุ่ม นั่งรอจนเพื่อนๆ ทยอยกันมาเรื่อยๆ และเรื่องเล่าของพวกเราก็หนีไม่พ้นการไปฝึกงาน บางคนเล่าเรื่องพี่ผู้ชายในแผนกว่าหล่อว่าใจดี แต่เสียดายแต่งงานแล้ว บางคนเล่าเรื่องความโหดของหัวหน้าแผนกที่ตัวเองไปฝึกงาน

หลายๆ คนพูดถึงเกรดของตัวเองว่าจะได้เท่าไหร่ และก็เดากันว่าใครจะเรียนได้คะแนนสูงที่สุด ตาลเป็นหัวข้อสนทนาของเพื่อนๆ ในเรื่องเกรด ส่วนฉันนั่งฟังเงียบๆ เพราะไม่มีอารมณ์ร่วมสวนเสเฮฮาในตอนนี้

“ยังทำใจไม่ได้หรือไงจอย”

ฉันสะดุ้งเมื่อตาลยิงคำถามมาที่ฉัน เพราะตัวฉันเองกำลังนั่งปล่อยใจไปกับรถของพ่อที่แล่นออกไปจนลับตา ป่านนี้พ่อคงไปไกลแล้ว

“เปล่าคิดเรื่องเกรดไงว่าจะได้เท่าไหร่”

“เคยสนใจเรื่องเกรดด้วยเหรอจอย ปกติเห็นเฉยๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว”

“ก็มีบ้าง”

ยังไม่ทันที่ตาลจะต่อปากต่อคำกับฉัน หางตาของฉันก็เห็นตัวป่วนประจำของเราเดินปรี่เข้ามาโดยที่ตาลกับฉันไม่ทันจะตั้งตัว

“สวัสดีสาวๆ สบายดีกันรึเปล่าจ๊ะ” นายสันติคนเดิมตัวป่วนตัวยุ่งยากของเราสองคนเสนอหน้ามาอีกแล้ว

“สวัสดีสันติ” ฉันทักทายแบบเสียไม่ได้กลับไป แต่ตาลนิ่งๆ ไม่ต่อปากต่อคำ

“แสบมากนะตาลให้พี่เค้าย้ายเราไปทำงานสาขาอื่นได้ เธอแน่มากๆ”

“เราไม่ได้ทำอะไรนายเลยนะสันติ พี่เค้าย้ายนายไปเองเราไม่เกี่ยว” ตาลหันขวับไปต่อปากต่อคำทันทีเช่นกัน

“อ๋อเหรอ นึกว่าเธอบอกให้พี่เค้าย้ายเราไป แต่ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้เรามีที่หมายใหม่แล้ว สาวสวยเก่งกว่าเธอเป็นไหนๆ เชยๆ เฉิ่มๆ แบบเธอเราไม่สนใจแล้ว ไปนะ เดี๋ยวสาวรอนาน” พูดจบนายสันติก็เดินจากไป

“อะไรของมันวะอยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ๆ ก็จากไปไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า” ฉันบ่นสันติเพราะไม่คิดว่าจะมาเร็วไปเร็วแบบนี้ แถมมาพูดอะไรบ้าๆ บอๆ จนฉันกับตาลงงไปหมด

“ปล่อยไปเถอะนายนั่นคงกินยาลืมเขย่าขวด” ตาลทำท่าเซ็งๆ

“นี่ๆ ฉันมีเรื่องจะเม้าท์นายบ๊องส์นั่น” จู่ๆ กุ๊กกิ๊กเพื่อนสาวตุ้งติ้งของพวกเราก็เสนอหัวข้อใหม่ขึ้นมาในวงสนทนา

“อะไรยายกิ๊กถ้าเรื่องนายนั่นเราไม่อยากฟังหรอกนะ” ตาลหันไปบอกกับกุ๊กกิ๊กเพราะเธอเบื่อที่จะฟังเรื่องของเพื่อนชายจอมตื้อของเธอ

“แต่ที่จะเล่านี่มันสนุกอย่าบอกใครเลยนะยะฉันรู้มาว่านายนั่นไปมีอะไรกับแม่ม้ายสาวพราวเสน่ห์ที่ทำงานอยู่ที่สาขา ตามติดกันเป็นกาวสามเอ็ม แล้วแม่เจ้าประคุณก็ใช่เล่น โปรยเสน่ห์ไปทั่ว กระดังงาลนไฟ พอมาเล่นกับวัวอ่อน ไอ้วัวก็หลงติดกลิ่นกระดังงาจนโงหัวไม่ขึ้น”

“เฮ้ยจริงดิ” เพื่อนๆ ในวงสนทนาร้องลั่นเป็นเสียงเดียว

“จริงสิยะฉันนะไม่ได้โม้หรอกนะเค้าลือกันให้แซดว่านายนั่นกับแม่ม้ายคนนั้นไปทำอะไรกันในห้องน้ำของสาขา บรื้อๆ พูดแล้วขนลุก”

“เฮ้ยจริงดิ”

“เอ๊าก็บอกว่าจริงไม่เชื่อกันบ้างเลยหรือไงยะพวกหล่อนๆ ทั้งหลายก็ทำเป็นเด็กไม่ประสาไปได้” กุ๊กกิ๊กจิ้มนิ้วของเธอมาที่หน้าผากของพวกฉันเรียงตัว

“แล้วสองคนนั่นเค้าไม่กลัวใครจับได้หรือไง” สาธิตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของกุ๊กกิ๊กร้องถาม

“ถ้ากลัวเรื่องคงไม่ปูดออกมาร๊อก นี่ปูดจนแซดไปทั้งตลาดแล้ว วันก่อนฉันก็เห็นรถของแม่ม่ายเข้าไปในบ้านจิ้งหรีด ท่าทางคงสนุกดีพิลึก”

“อะไรของแกวะบ้านจิ้งหรีด”

“เอ๊านังจอยแกนี่นะทำเซ่อไปได้ ก็โรงแรมม่านรูดไง บ้านจิ้งหรีด ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในซอกหลืบ ปิดบังเอาไว้หลบหนีเมียหลวงอะไรทำนองนั้นแหละ” กุ๊กกิ๊กจีบปากจีบคอเล่าเรื่องให้พวกเราฟัง

“พูดยังกับว่าเคยไปงั้นแหละ” สาธิตกัดกลับกุ๊กกิ๊กเจ้ากรมข่าวลือ

“ไม่เคยหรอกย่ะฉันนะจะเสียตัวต้องถูกต้องตามประเพณี”

“ต๊ายหล่อน ถ้าอย่างหล่อนรอถูกต้องตามประเพณีชาตินี้ทั้งชาติก็จับตัวผู้ไม่ได้ร๊อก สมัยนี้ต้องดักมุมตึกตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำ” สาธิตไม่ละไม่วางแถมยังแสดงท่าทางประกอบการพูดคุยของเธอไปด้วย

“หล่อนนี่ๆ อย่างฉันต้องฝรั่งเท่านั้นไทยๆ ไม่สน”

“เอาเถอะแม่คุณทั้งสองพอได้แล้ว กัดคนอื่นอยู่เมื่อกี้นี้เอง ไหงมากัดกันเองได้ เออแปลกดีแท้ๆ” ตาลห้ามศึกกระทิงคู่ทันทีเหมือนกัน

“เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้หรอกนะยะแม่ตาล”

“ยกเว้นเสือเป็นเกย์” คำพูดสั้นๆ ของฉัน ทำเอาทั้งสาธิต กุ๊กกิ๊กและตาลขำคำพูดฉันไปพร้อมๆ กัน


เรารับเกรดเรียบร้อย ออกจากวิทยาลัยและไปเลี้ยงฉลองกัน สี่คนเพื่อนซี้ ออกตามล่าหาของกินในห้างกันจ้าละหวั่น

“ฉันอยากกินอาหารญี่ปุ่น แกไปกินกับฉันนะจอย” สาธิตเสนอความคิดของเธอและจ้องหน้าฉันเพราะเธอคงอยากได้เสียงสนับสนุน

“แต่ฉันอยากกินอาหารอิตาเลี่ยน” กุ๊กกิ๊กแย้งสาธิตขึ้นมาทันควัน

“ยุ่น” สาธิตไม่ลดละความพยายาม พูดออกมาเสียงดัง

“เลี่ยน” กุ๊กกิ๊กเองก็ใช่ว่าจะยอมลดลาวาศอก

“เอ๊ะบอกว่ายุ่น” คราวนี้สาธิตเริ่มมีอารมณ์ฉุนขึ้นมาแล้ว

“เอ๊ะก็บอกว่าเลี่ยน”

“พอๆ หยุดเถียงกันได้แล้วพวกแกสองคน ดูสิคนเค้ามองมาที่พวกแกกันเป็นแถวแล้ว ไม่รู้จักอายชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง” ตาลเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องเธอก็เลยเสนอตัวเป็นฝ่ายห้ามทัพศึกประชิดกรุงของสองสาว

“เอางี้ดีกว่า ไปกินยุ่นก่อน แล้วเดินเที่ยวเสร็จก็ค่อยไปกินเลี่ยน” ฉันเสนอบ้าง

“ก็ดีนะหรือแกสองคนจะไปกินเองก็แยกย้ายกันไป”

“ไม่/ไม่” สองสาวรีบร้องออกมา

“อ้าวทำไมล่ะ ก็ไหนบอกว่าอยากกินก็ไปกินกันเองสิ ฉันกับจอยจะได้ไปกินของชอบของฉันบ้างไง”

“ก็ไปกินคนเดียวเหงานี่” กุ๊กกิ๊กทำหน้าแหยงๆ

“แล้วก็มัวแต่มาทะเลาะกันอยู่ได้ ไปๆ ไปร้านยุ่นก่อนแล้วค่อยไปเลี่ยนที่หลัง”

จบคำพูดของตาลพวกเราก็เดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น หรูหราฟู่ฟ่า ภายในตกแต่งแบบมิดชิด มองไม่เห็นผู้คนในร้าน

ระหว่างที่เราเลือกดูเมนูอาหารรสเลิศต่างคนก็ต่างอยากกินสิ่งที่ไม่เคยกิน เพราะนานๆ พวกเราจะได้เข้ามาในร้านแบบนี้

“แกว่ากินไอ้นี้ดีไหม” กุ๊กกิ๊กหันไปถามสาธิตที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ

“แกอยากกินก็กินสิ แต่ฉันจะกินไอ้นี่” สาธิตชี้ไปที่รูปของอาหาร ลักษณะเป็นปิ่นโต ที่เค้าเรียกกันว่าเบนโต๊ะ

“แกนะเชยต้องกินปลาดิบสิ นานๆ ได้มากินสักทีต้องเอาให้คุ้ม”

“ฉันไม่อยากเป็นพยาธินี่แก ขืนเป็นพอมีอะไรกับสุดหล่อของฉัน เกิดพยาธิมันติดไปกับไอ้นั้นก็แย่สิแก”

“วุ้ย นังธิตแกนะคิดมาก ของพวกนี้เค้าทำมาอย่างดีไม่มีพยาธิอย่างที่แกว่าหรอกน่าเชื่อฉัน”

“ว่าได้เหรอ แกรู้ได้ไงว่าไม่มีติดมา มันบอกแกเหรอว่าชิ้นนี้ไม่มีพยาธิ หรือมันมี อย.รับรอง”

“ถ้าจะให้มี อย. ก็มีอย่างเดียวแหละย่ะ หอย แกจะกินไหม นังธิต”

“ยี้ไม่กินยะ ฉันชอบกินกล้วย”

“พอๆ พวกแกสองคน จะเถียงกันอีกนานไหม ใครอยากกินอะไรก็สั่งๆ ไป จะได้กินๆ แล้วออกไปเดินดูของ” ตาลห้ามศึกอีกครั้ง และเรียกบริกรมาสั่งอาหาร

กว่าอาหารจะมาตามที่พวกเราสั่งท้องก็ร้องโครกคราก เมื่ออาหารมาถึงไม่ว่าจะเป็นเมนูของใคร ไม่มีใครสน จับตะเกียบได้ก็รีบคีบเข้าปาก คนที่บอกว่ากลัวพยาธิ คีบปลาดิบเข้าปากก่อนใคร ส่วนคนที่อยากกินปลาดิบ กินไปได้แค่สองชิ้นก็หมดจาน

อาหารลงครบ ทุกคนอิ่มแปร่ และเริ่มเม้าท์กระจายเรื่องอื่นๆ

“แกนังกิ๊ก หล่อนดูคู่นั้นสิเกย์หรือเปล่า” สาธิตชี้ชวนให้กุ๊กกิ๊กดูชายสูงอายุสองคนที่เดินควงแขนกันมาโดยไม่แคร์สายตายของผู้คนที่จ้องมอง ราวกับว่าคนที่มองนั้นเป็นอากาศธาตุ ส่วนฉันกับตาลนั่งหันหลังก็เลยไม่ได้หันไปมองตามที่สาธิตบอก

“อุ้ยแบบนี้เค้าไม่เรียกคู่เกย์หรอกนะแก เค้าเรียกผัวเมียกันแล้ว ดูสิยะหล่อนท่าทางสองคนนั่นยิ่งกว่าคู่ขากันอีกนะ” กุ๊กกิ๊กผสมโรง

“แกสองคนก็ว่าไปเค้าอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้” ตาลบ่นสองสาว เพราะสองสาวมักจะโม้เรื่องโน้นเรื่องนี้และวกเอามาเป็นเรื่องพวกเดียวเหล่าเดียวกับพวกหล่อนเสมอๆ

“ไม่นะแกฉันว่าคราวนี้ตาของฉันไม่พลาดแน่ๆ ผู้ชายที่ไหนจะเดินจูงมือกัน เกาะแขนกันยะ ขนาดฉันกับนังธิตยังไม่ค่อยจะจูงมือกันเลยนะยายตาล” กุ๊กกิ๊กเถียง

“ใช่ๆ ยายตาลฉันว่าคู่นี้เค้าเป็นคู่เกย์กันแน่ๆ ฉันฟันธงแอนด์คอนเฟริ์ม”

“เออๆ ตามใจพวกแกแล้วแต่จะคิด” ตาลตัดบทเพราะไม่อยากเถียงความคิดของสองสาวที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ส่วนฉันได้แต่นั่งขำพฤติกรรมของเพื่อนสาว

“เอ๊ยแกเค้าสองคนเข้าร้านมาแล้วนั่นๆ” สาธิตชี้ชวนให้พวกเราหันไปดู หนุ่มใหญ่สองคนที่มาดดีหน้าตาดีของเธอ

“ปล่อยเค้าไปเถอะแก เดี๋ยวเค้าก็อายพวกแกหรอกไปมองเค้าอยู่ได้” ฉันบ่นบ้างเพราะไม่อยากหันไปมองหนุ่มๆ ของสองสาวมากนัก เพราะฉันไม่ชอบมองหนุ่มอยู่แล้ว ถ้าชี้ชวนให้มองสาวๆ สิฉันถึงอยากจะมอง

“ตามใจแก แต่เอ๊ะ คนนั้นหน้าตาคุ้นๆ มากเลยนะนังธิตแกว่าไหม”

“เออใช่คุ้นมากๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”

“นังจอยแกช่วยดูหน่อยสิว่าแกเคยเห็นผู้ชายคนใส่เสื้อสีชมพูหรือเปล่า”

“แกเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเหรอ” ฉันจ้องหน้าสาธิตและกุ๊กกิ๊กก่อนที่จะลุกขึ้นและหันไปมองตามที่สองสาวบอก

และภาพที่เห็นก็ทำให้ฉันตกใจ ผู้ชายสูงวัยสองคนเดินจูงมือกันเข้ามาในร้าน กระหนุงกระหนิงยิ่งกว่าคู่รักหวาน มิหน่ำซ้ำ ชายเสื้อสีชมพูที่สาธิตและกุ๊กกิ๊กบอกให้ดูนั้น ฉันรู้จักเป็นอย่างดี ตาลกำลังจะหันมาดูตามฉัน แต่ฉันคว้าข้อมือของเธอเอาไว้

“ไม่เห็นจะรู้จักเลยตาล อย่าไปดูเลยสองคนนั้นคงจำผิด”

“เหรอ ก็อย่าไปยุ่งกับพวกเค้าเลยเนอะ จะกินอะไรอีกหรือเปล่าถ้าไม่กินจะได้ออกไปเดินซื้อของแล้ว วันนี้พ่อไม่อยู่บ้านไปต่างจังหวัด แม่ให้มาซื้อกับข้าวเข้าบ้านเอง” ตาลบอกกับทุกคน

“ใครจะกินเข้าไปลง กินไปเยอะขนาดนั้น ขืนยัดเข้าไปอีกมีหวังหุ่นสวยๆ ของฉันได้กลายเป็นถุงปุ๋ยแน่ๆ” สาธิตลูบพุงของตัวเองไปพลาง บ่นไปพลาง

“งั้นเรียกคิดเงินเลยแล้วกันนะ” ฉันเสนอ และเรียกพนักงานมาคิดเงินค่าเสียหาย

อีกอย่างฉันไม่อยากให้ตาลได้เห็นสิ่งที่ฉันเห็น สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ รีบๆ ออกไปจากร้านนี้ก่อนจะเกิดเรื่อง เรารออยู่ไม่นานก็จ่ายเงินและเดินออกมาจากร้าน โดยที่ฉันพยายามชวนตาลให้คุยเรื่องอื่นๆ ไม่ให้มองไปที่โต๊ะของหนุ่มใหญ่ที่สาธิตและกุ๊กกิ๊ก ยังคงวนเวียนพูดคุยถึงสองคนนั้น


เราเดินซื้อของเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เข้าไปดู ทาบเสื้อผ้ากับตัว และติโน่นชมนี่มากกว่าที่จะซื้อมาเป็นของตัวเอง

“แกสองคนนี้นะ เมื่อไหร่จะได้ของจริงๆ จังๆ สักที” ตาลบ่นสองสาวเพราะต้องเดินตามเข้าออกร้านมาหลายร้านแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้เสื้อผ้าที่ถูกใจสองสาวสักชิ้น

“หล่อนสองคนไม่รู้อะไร อาหารตา อาหารใจ ไม่ต้องครอบครองก็ได้ย่ะ”

“อ๋อที่แกสองคนให้ฉันเดินตามเป็นลูกเป็ดตามแม่เพราะแกสองคนอยากวินโด้วช๊อปปิ้งว่างั้นกิ๊ก”

“ใช่สิยะ ใครจะซื้อลงแพงแสนแพง”

“ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเคยบ่นเรื่องแพงซื้อได้ซื้อดี” ตาลแขวะกุ๊กกิ๊กที่ทำตัวเป็นคนดีที่เสียแล้ว

“ก็เมื่อก่อนไม่เคยทำงานหาเงินมาซื้อเองนี่ย่ะ พอตอนนี้ทำงานเองถึงได้รู้ว่าเงินมันหายากกว่าจะได้มาก็ต้องเก็บให้อยู่กับเรานานๆ หน่อยจริงไหมนังธิต”

“เออนะแกสองคนกว่าจะคิดได้ ไม่สายไปแล้วเหรอไง”

“สายที่ไหนนังจอยไม่สายหรอกย่ะ คิดได้ตอนนี้ดีกว่าคิดไม่ได้ เอ๊ยนั่นๆ แก สองคนนั้นอีกแล้ว มาเดินซื้อของโน่นไงแกที่ฉันบอกตอนที่อยู่ในร้านยุ่น”

ฉันห้ามตาลไม่ทัน เพราะสายตาของตาลปะทะเข้ากับสองคนที่กุ๊กกิ๊กกับสาธิตพูดถึงเข้าอย่างจัง

ตาลแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ผู้ชายสองคนเกาะแขนกันกระหนุงกระหนิง ชี้ชวนกันและกันเลือกซื้อเสื้อผ้า หยิบโน่นหยิบนี่ ทาบตัวกันและกัน

ฝ่ายหนึ่งดูสุขมแต่ก็มีรอยยิ้มและดวงตาของคนที่รักกันจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา

ส่วนอีกฝ่ายก็กุลีกุจอหาโน่นหานี้ให้อีกฝ่ายเลือก ราวกับสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน

ภาพเหล่านี้จะไม่มีปัญหาใดๆ กับตาลทั้งสิ้น ถ้า หนึ่งในนั้นไม่ใช่

“พ่อของตาล”

จบบทที่ ๖



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 15:31:44 น. 0 comments
Counter : 286 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.