All Blog
เรื่องน่ารู้ของแว่นกันแดด
ในปัจจุบันนี้มีแว่นกันแดดวางขายกันเกลือน ตั้งแต่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จนถึงตลาดนัดข้างบ้าน ราคาก็ต่างกันเหลือหลาย ตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ จนถึงหลักพันหลักหมื่น

แล้วเราจะมีวิธีเลือกซื้อแว่นกันแดดให้เหมาะกับตัวเราอย่างไรดี

เริ่มที่แสงแดดตัวการที่ทำให้เราต้องมีแว่นกันแดดก่อนแล้วกัน

แสงแดดนั้น มีรังสีชนิดหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดี ที่ชื่อว่ายูวี (Ultraviolet)
อันเจ้ายูวีนี้ มันมีความสามารถในการทำลายสายตาของเรา (ไม่นับผิว) และเป็นสาเหตุในการเกิดโรคทางตา เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นกันทันทีนะ แต่มันจะเกิดแบบสะสม คือ มันจะค่อยๆทำลายไปเรื่อยๆ ดังนั้น การถนอมสายตาด้วยการใส่แว่นกันแดดจึงควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นพักๆ


ดังนั้น เป้าหมายของการใส่แว่นกันแดด(เพื่อสุขภาพตานะ ไม่ได้หมายถึงไว้เพื่อความเท่) คือ ป้องกันตาจาก ยูวี, แสงจ้า glare ที่เกิดจากการสะท้อนของแสงบนผิววัสดุที่มีความมันวาว (ทำให้ตาพร่าชั่วขณะ) รวมถึงเพิ่มความตัดกันcontrast ของการมองเห็นในแต่ละภูมิประเทศ

ดังนั้น แว่นที่ดีจึงควรมีคุณสมบัติที่ว่าไว้ให้มากที่สุด

คราวนี้มาดูที่เรื่องของยูวี เราจะเห็นว่ามีคำว่า UV-A UV-B 400 UV Protection นั้น หมายถึงแว่นอันนั้นสามารถกรองแสงยูวี เอ ยูวี บี ได้ ส่วน 400 ยูวี หมายถึง กรองแสงยูวีได้ 100% ซึ่งไม่เกี่ยวกับสีของเลนส์ เพราะแสงยูวีเป็นแสงที่มองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์ ดังนั้น ถ้า 400 UV ติดที่ไหนละก็ น่าเลือกใช้ที่สุด และไม่อยากจะบอกว่า ไมเคิล คอร์ล แว่นแบรนดัง หรือ เฟอรากาโม่ (อันละเป็นหมื่น) กันยูวีได้แค่ 98.2% และ 98.7% แต่ซัน รันเนอร์ อันละ 200 บาท กันยูวีได้ 99%

The American National Standards (ANSI) กำหนดว่า แว่นที่เหมาะต่อกิจกรรมกลางแจ้ง ควรป้องกันยูวีได้ 95% และกรองแสงได้ 60-90%

ในบ้านเรา พญ. ภัทนี สามเสน ม.มหิดล ได้ทดสอบคุณภาพของแว่นกันแดดที่วางขายตั้งแต่ราคา 200 จนถึงของแพงๆ พบว่า แว่นทั้งหมดผ่านเกณฑ์ของ ANSI เพราะถึงแม้ไม่สามารถกรองยูวีได้ 100% แต่ก็เกิน 95% ดังนั้น ของถูกก็ดีพอๆกับของแพงนะ

นอกจากนี้เราควรเลือกแว่นโดยดูที่วัสดุที่ใช้ทำเลนส์ เช่น แก้ว หรือพลาสติก ซึ่งถ้าเป็นพลาสติกจะเบาแต่ขูด ขีดเป็นรอยง่าย ต้องมีการเคลือบผิวกันรอยก็จะแพงขึ้นอีก
เลนส์ที่ดีต้องไม่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยว หรือกระจายสีรุ้ง วิธีทดสอบโดยมองเลนส์ข้างหนึ่งที่วัตถุเป็นเส้นเช่นแนวกระเบื้อง แล้วขยับแว่นช้าๆ เลนส์ที่ดีต้องไม่ทำให้เส้นตรงคดงอขณะขยับแว่น


ส่วนสีของเลนส์นั้น เลือกตามการใช้งาน
สีชา หรือเทา ดำ เหมาะกับการใช้งานทั่วไป สีนี้จะช่วยให้มองเห็นโครงร่างต่างๆของวัตถุชัดเจน ในวันที่ท้องฟ้าขมุกขมัวมีหมอกจัด จะเหมือนไฟตัดหมอกของรถยนต์ ทำให้การมองเห็นของผู้สวมใส่ดีขึ้น
สีเหลือง หรือ ทอง เหมาะกับภูมิประเทศที่มี หิมะ
สีม่วงหรือกุหลาบ เหมาะกับ การเดินป่า ล่าสัตว์ กีฬาทางน้ำ


สำหรับคนที่จำเป็นต้องเผชิญแสงจ้าเวลากลางวัน เล่นกีฬา ทำงานกลางแดด ควรเลือกแว่นกันแดดชนิดโพลารอยด์ เพราะมีคุณสมบัติป้องกันแสงสะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามัว และตัดแสงที่ทำมุม 45 องศาที่เข้ามากระทบตาได้ด้วย ไม่ทำให้เกิภาพลงตา เช่น เห็นน้ำบนพื้นถนน นอกจากนี้ยัง ลดความเข้มของแสง ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตาและประสาทตาอ่อนล้า ทำให้ไม่ง่วงนอน ถ้าต้องมองผ่านแสงจ้าๆเป็นเวลานานๆ


มีอีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ เวลาฝนตกถ้าใส่แว่นกันแดดจะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นด้วยนะ มีคนลองไปทำดูแล้ว บอกว่ามองชัดขึ้นจริงๆขอบอก

คงมีข้อมูลพอที่จะใช้ในการเลือกซื้อแว่นกันแดดได้แล้วซิ บางคนบอกว่าขอซื้อของแพงเถอะเพราะมันเบาและก็สวยถูกใจ เราก็ไม่ว่ากัน สำหรับบางคนที่นิยมความประหยัดก็คงสบายใจได้กับของดีราคาถูกที่เลือกใช้ ข้อสำคัญขอให้ใช้มันกันแดดนะ อย่าเอาไปทำที่คาดผมก็แล้วกัน

ของแถมก่อนจาก
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อแว่นกันแดดก็คือ ดูรูปหน้า และขนาดหัวของคุณเป็นหลัก แว่นกันแดดเล็ก ๆก็เหมาะกับคนหน้าเล็ก แว่นกันแดดใหญ่ๆ ก็เหมาะกับคนหน้าใหญ่

ใบหน้าทรงกลม
กรอบที่ใช้ควรจะทำให้ใบหน้าดูยาวและผอมลองเลือกกรอบที่มีความกว้างเท่ากับหรือกว้างกว่าความกว้างของใบหน้าให้มีความโค้งน้อย ๆ เน้นทรงเหลี่ยมเพื่อเน้นมุมของใบหน้า
ให้กรอบด้านบนอยู่สูงกว่าขมับจะทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้นยิ่งกรอบแว่นที่มีแถบเหนือหรือตรงกับคิ้ว
ก็จะยิ่งจะทำให้รู้สึกว่าดวงตาอยู่สูงขึ้นกว่าเดิม หน้าคุณก็จะไม่เป็นซาลาเปาอีกต่อไป

ใบหน้ารูปเพชร
ใบหน้าทรงนี้จะมีโหนกแก้มที่กว้างหรือสูงและจะมีหน้าผากกับคางที่แคบแว่นกันแดดรูปไข่ช่วยท่านได้ มันจะช่วยทำให้มุมของใบหน้าดูซอฟท์ลงแต่คุณต้องมั่นใจว่าแว่นตาจะต้องไม่กว้างไปกว่าด้านบนของโหนกแก้มนะจ๊ะนอกจากนี้ แว่นทรงเหลี่ยมหรือแว่นไร้กรอบก็ช่วยได้เหมือนกัน

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ต้องพยายามอย่าใช้แว่นกว้างๆ ในใบหน้าคุณ เพราะจะทำให้หน้าคุณดูกว้างเข้าไปใหญ่ แต่แว่นทรงกลมหรือเหลี่ยมเหมาะ กรอบในแนวนอนจะต้องสั้น และในแนวตั้งจะต้องยาวด้วย
ใบหน้ารูปสามเหลี่ยม
ใบหน้าทรงนี้จะมีรูปคางที่แหลมและหน้าผากที่กว้าง แว่นที่เหมาะสมจะต้องเน้นที่บริเวณตา เช่น cat- eyes style โดยแว่นมุมบนจะต้องอยู่นอกใบหน้าและกว้างกว่าขากรรไกร คุณสามารถลองแว่นที่ทำด้วยโลหะที่ไม่มีกรอบล่าง กรอบที่ด้านบนที่เป็นแนวตรงก็ดูเหมาะ

ใบหน้ารูปเหลี่ยม
ใบหน้ารูปนี้จะเห็นขากรรไกรชัดรวมถึงหน้าผากและโหนกแก้มที่กว้างเราต้องพยายามลดมุมของใบหน้าด้วยการใช้แว่นสีอ่อน และมีความโค้งมาก ๆ เช่น cat-eye styles แว่นทรงวงรีแบบดั้งเดิมก็ใช้ได้

ใบหน้ารูปไข่
ถือว่าคุณโชคดีมากกก คุณสามารถเลือกแว่นกันแดดได้เกือบจะทุกสไตล์ ถ้าจะให้เริ่ดที่สุดก็ต้องเป็นแว่นทรงสี่เหลี่ยม ใช้กรอบสีอ่อน ๆ และที่สำคัญต้องเลือกแบบที่กรอบด้านบนอยู่สูงกว่าขมับด้วยนะ

ปล. ช่วย comment กันหน่อย นะนะ





Create Date : 17 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2551 15:15:07 น.
Counter : 1187 Pageviews.

7 comment
น้ำตาล หวานอันตราย

มีงานวิจัยมากมายที่บอกว่า ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันมากเกินจนความต้องการ คงเป็นเพราะรสชาติของความหวานที่ทำให้คนติดใจได้ง่ายกว่ารสจืดชืด และรสหวานจะทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ตามร้านอาหารจึงมีน้ำตาลใส่ในพวงเครื่องปรุงรสไว้ให้เราตักเติมความหวานให้กับชีวิต แต่รู้กันหรือเปล่าว่า ความหวานนี้มันอันตรายนะ

การที่เราบริโภคน้ำตาลมากเกินไปนั้นจะทำให้ระดับของวิตามินบี 1 ลดลง เกิดโรคเหน็บชา มีอาการภูมิแพ้ อารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ถ้าบางคนมีอาการอยากกินหวานๆ และรู้สึกซึมเซา ขาดสมาธิ ฉุนเฉียวง่าย ช่วงสิบโมงเช้า หรือ บ่ายสามโมงเย็น ให้คิดถึงอาการของผู้ที่เสพติดน้ำตาล (Sugar Blues) เนื่องจากช่วงนี้จะมีระดับน้ำตาลในร่างกายต่ำลง
และการที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดมากเกินไปจะทำให้เลือดเหนียวข้น ไหลเวียนได้ช้าลง ลองนึกถึงน้ำหวานกับน้ำเปล่าดูก็ได้ว่ามันหนืดต่างกันอย่างไร แล้วถ้ามันมาหนืดในกระแสเลือดเราล่ะ หัวใจคงต้องบีบตัวแรงขึ้นมากๆเพื่อปั๊มเลือดไปสู่ส่วนปลายมือ ปลายเท้า หรือสมอง หัวใจก็จะทำงานหนัก ไม่นับโรคอ้วน ผมร่วง สิวขึ้น ความดันโลหิตสูง นิ่ว เบาหวาน เชื้อรา (อันนี้อย่างงนะ เพราะคนที่กินหวานมากๆ ร่างกายจะเป็นกรด ทำให้เชื้อราเจริญได้ดี)

ในอเมริกามีการบัญญัติโรคที่เรียกว่า Syndrome X คือ กลุ่มอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยโรค 4 โรค คือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจตีบ และอัมพาต โดยมีเหตุเดียวกัน คือ ความหวาน
น้ำตาลไม่ได้มีแต่ในสารหวานๆเท่านั้น แต่ในอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง ธัญพืช ถั่ว พวกนี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น น้ำตาลที่ได้จากอาหารพวกนี้ร่างกายจะค่อยๆย่อย ดูดซึม และนำไปใช้ ต่างจากที่เรากินน้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน ที่ร่างกายไม่ต้องใช้กระบวนการใดๆ มันจะเข้าสู่เซลล์ จนล้น อย่างรวดเร็ว ในช่วง 5- 10 ปีแรก ร่างกายจะยังไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในระยะยาว คนที่ชอบกินหวานแบบนี้จะเป็นเบาหวาน

น้ำตาลสีขาวที่มีสารฟอกขาว กับน้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติ นั้น ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องของปริมาณสารอาหาร แต่ในเรื่องของพลังงานแล้วน้ำผึ้งให้มากกว่าถึง 2 เท่า

คาราเมล อันนี้มาแรง แซงโค้งสำหรับคอกาแฟ เพราะมันหวานและหอม แต่รู้มั้ยว่ามันทำมาจากน้ำตาลเข้มข้นมาก และใส่เนยหรือนมเพื่อให้มีกลิ่นหอม

น้ำตาลกรวด มีคนถามมากเหมือนกัน มันคือ น้ำตาลทรายตกผลึก ใส่สี กลิ่น เพื่อให้น่ารับประทานมากขึ้น คนจีนเชื่อว่าใช้ดับความร้อนได้ดี

ต่อคำถามที่ว่า ในเมื่อน้ำตาลกินมากไปไม่ดี ถ้าเลี่ยงมากินน้ำตาลเทียมล่ะ

อันว่าน้ำตาลเทียมนั้นเป็นสารสังเคราะห์ ที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลแต่ให้พลังงานหรือแคลอรีต่ำ จึงเหมาะกับผู้ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือในคนเป็นเบาหวาน แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เพราะบางคนกินแล้วมีอาการไมเกรน คลื่นไส้ ท้องร่วง และถ้าใช้ในระยะยาว อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง !!!!!!!

มีสมุนไพรตัวนึงที่ให้รสหวานเหมือนน้ำตาล คือ หญ้าหวาน เคยเห็นขายในฟู้ดแลนด์ (อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) หญ้าชนิดนี้หวานที่ใบ เวลาจะใช้ต้องเอาใบที่ตากแห้งมาใส่อาหาร ขอบอกว่ามันหวานกว่าน้ำตาลทราย 250-300 เท่า แต่ไม่อ้วน น่าสนใจมั้ย แต่ราคาก็พอควรทีเดียว กล่องเล็กๆ ประมาณ 100 กว่าบาท แพงกว่าน้ำตาลทรายหลายเท่าตัว และวิธีนำไปบริโภคก็ยุ่งยากกว่าน้ำตาลทราย

สำหรับคนอย่างเราๆที่เบี้ยน้อย หอยน้อย ข้าเจ้าขอแนะนำว่า ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 10% ของปริมาณพลังงานที่เราต้องการแต่ละวัน (ตามองค์การอนามัยโลกแนะนำไว้) หรือ วันละไม่เกิน 10 ช้อนชา แต่ในความเป็นจริงแล้วในอาหารมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในการปรุงอยู่แล้ว จึงใส่เพิ่มในอาหาร หรือ เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ได้อีกไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา จะปลอดภัยกว่า

เฮ้อ หวานเป็นลม ขมเป็นยา






Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 11:37:07 น.
Counter : 661 Pageviews.

2 comment
เลือกน้ำดื่ม แบบไหนดี
นำเป็นองค์ประกอบของสารที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำถึง 70 % เราจะตายใน 7 วันถ้าขาดอาหาร แต่จะขาดน้ำได้แค่ 3 วัน หลังจากนั้นร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนปลงทางสมดุลของเคมี กระบวนการเมตาบริซึม ของเสียคั่ง การขนส่งของกาซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ผิดปกติ อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้น สมองจะทำงานผิดปกติ และตายในที่สุด

เราได้รับน้ำจากหลายทาง โดยการดื่ม การรับประทานอาหาร และน้ำที่ได้จากการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน โดปกติเราดื่มน้ำ 1.5-2.0ลิตร และได้จากอาหารและอื่นๆ อีก 1-2ลิตร
ในขณะเดียวกันเราก็สูญเสียน้ำไปกับ เหงื่อ ลมหายใจออก ปัสสาวะ และอุจจาระ รวมแล้วประมาณ 3-5 ลิตรต่อวัน แต่ถ้าเป็นคนที่ทำงานหนักกลางแจ้ง อาจสูญเสียน้ำ 5-12 ลิตรต่อวัน

เมื่อเราเสียน้ำ สมองจะสั่งให้เรารับน้ำเข้ามาทดแทน โดยสมองส่วนไฮโปทาลามัส จะสั่งให้ร่างกายเกิดการกระหายน้ำ ทันทีที่เรากลืนน้ำลงไปจะบรรเทาอาการกระหายน้ำได้ทันที ซึ่งจะช่วยไม่ให้เราดื่มน้ำมากเกินไป เพราะถ้ารับน้ำเกินไปเลือดก็จะจาง

ในปัจจุบันนี้ มีน้ำดื่มให้เราเลือกมากมาย ทั้งน้ำต้ม น้ำแร่ น้ำกรอง น้ำกลั่น แล้วเราจะเลือกดื่มน้ำแบบไหนดีล่ะ

น้ำต้ม คือ น้ำที่นำไปให้ความร้อนจนเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส ดังนั้ เชื้อโรคที่ทนความร้อนน้อยกว่า 100 องศา ก็จะตายแต่แร่ธาตุที่มีอยู่ยังคงเดิม

น้ำกลั่น คือ น้ำที่นำไปต้มจนเดือดกลายเป็นไอ (ถึงกระบวนการนี้แล้วมันคือน้ำต้ม) แล้วจึงนำเอาไอน้ำที่ได้มาควบแน่นให้กลายเป็นหยดน้ำ น้ำกลั่นจึงเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ เพราะจะไม่มีแร่ธาตุใดๆเจือปนเลย แล้วมันดีไหมล่ะ ไม่มีแร่ธาตุปนเลย น่าคิดนิ

น้ำกรอง มี 2 ลักษณะ คือ
กรองด้วยคาร์บอน พวกนี้จะดูดซับกลิ่นและรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ไว้

กรองด้วยยูวี (UV) คือ แสงอัลตร้าไวโอเลตนั่นเอง รังสีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคโดยการตัดวงจรแพร่พันธ์ของจุลชีพ


นำ RO (Reverse Osmosis) น้ำพวกนี้กรองโดยใช้ เมมเบรน(membrane) ภายใต้ความกดดัน ไอ้เจ้าเมมเบรนนี้จะใหญ่แค่พอให้โมเลกุลของน้ำผ่านไปเท่านั้น แต่แร่ธาตุอื่นผ่านไม่ได้ น้ำพวกนี้เราเจอในเครื่องกรองน้ำตามบ้าน และตามตู้หยอดเหรียญ

น้ำ DI (De Ionization) เป็นการแยกประจุของสิ่งที่เจือปนออกจากน้ำ น้ำที่ได้นี่จะบริสุทธิ์มากๆ เราเรียกว่า Ultra Pure Water ซึ่งในกระบวนการทำน้ำ DI นี้ต้องไปผ่าน โซเดียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งเป็นด่าง เพื่อให้มันบริสุทธฺสุดๆ มันจึงเป็นตัวทำละลายชั้นดีเลิศ จนสามารถละลายแร่ธาตุทุกอย่างที่เรามีในร่างกาย คราวนี้ร่างกายเราจะสูญเสียแร่ธาตุ ถ้าดื่มไปมากๆ มันก็จะละลายแร่ธาตุไปมากๆๆๆๆ จนอาจช็อกตายได้
น้ำชนิดนี้จึงนำไปใช้ในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม การแพทย์ที่ต้องการความบริสุทธิ์สูงมากๆ

ถ้าถามความเห็นของข้าเจ้าแล้ว เราควรเลือกน้ำดื่มที่มีความสะอาดพอที่จะไม่เจ็บป่วย คือ ไม่มีเชื้อโรค อาจจะมีแร่ธาตุปนมาบ้างแต่ต้องไม่เกินมาตรฐานน้ำบริโภค เช่น สารปรอท สารตะกั่ว ไม่ควรมี สำหรับน้ำ DI ไม่ควรนำมาดื่ม

มีหลายคนถามมาว่าน้ำประปาดื่มได้มั้ย มันมีคลอรีนนี่นะ

อันนี้ก็ต้องบอกว่าน้ำประปานั้นดื่มได้ เพราะกระบวนการทำน้ำประปานั้นสะอาดเพียงพอที่จะดื่ม แต่ติดขัดตรงเรื่องของท่อน้ำนั่นแหละว่ามันสะอาดพอหรือเปล่า สำพหรับกลิ่นคลอรีนนั้น ถ้ายังมีกลิ่นก็ให้รองน้ำแล้วตั้งทิ้งไว้สัก 20-30 นาที เท่านี้กลิ่นคลอรีนก็จะหมดไป

น้ำต้มหลายๆครั้ง ที่พวกเราชอบดื่ม ดดยเฉพาะจากกาต้มน้ำไฟฟ้าที่ต้มมันทั้งวัน เดือดแล้วเดือดอีกน่ะ มีอันตรายนะ เพราะเมื่อน้ำถูกต้มจนเดือดหลายไครั้งจะทำให้ไออนของซิลเวอร์ไนเตรตในน้ำ เปลี่ยนเป็น ซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งมีโทษต่อร่างกาย รวมทั้งสารและแร่ธาตุจะเพิ่มขึ้น เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเอานำนั้นมาต้มอีก(พวกน้ำที่เหลือค้างในกาต้มน้ำงัย) ซึ่งร่างกายจะทนต่อความเข้มข้นของสารเหล่านี้ไม่ไหว ไตจะพังก่อน

เฮ้อ นั่งมานานไปหาน้ำเย็นๆสักแก้ว ดีก่า เอาแค่สะอาด ปราศจากกลิ่น สี และเชื้อโรคก็พอแล้วนิ






Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 15:05:33 น.
Counter : 656 Pageviews.

4 comment
เรื่องน่ารู้........ของน้ำปลา

การปรุงแต่งรสชาติเพื่อให้ถูกปากของผู้บริโภคนั้น ต้องมีส่วนของรส หวาน เปรี้ยว เค็ม ให้พอเหมาะ โดยใช้เครื่องปรุงรสที่วางขายทั่วไปตามท้องตลาด ซึ่งมีสารพัดชนิดให้เลือกใช้

น้ำปลาเป็นเครื่องปรุงรสลำดับต้นๆ ที่เราจะต้องใช้ในการปรุงรส ไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีน้ำปลา แต่น้ำปลาที่ใช้กันนั้น ให้คุณ หรือ โทษ ????

น้ำปลาที่วางขายกันนั้น มีอยู่ 2 ชนิด คือน้ำปลาแท้ กับ น้ำปลาเทียม

น้ำปลาแท้ คือ น้ำปลาที่ได้จากการหมักปลา โดยไม่มีการเติมแต่ง สี กลิ่น รส ลงไป เรียกว่า หมักอย่างไรก็ได้อย่างนั้น น้ำปลาชนิดนี้ จึงมีโปรตีน กับเกลือแร่ เอาปลาไปหมักกับเกลือสัดส่วน 2:1 นาน 1-2 ปี นิยมใช้ ปลาไส้ตัน ปลาสร้อย และปลาหัวอ่อน น้ำปลาชนิดนี้ จะมีมาตรฐาน มอก. เป็น้ำปลาคุณภาพ ที่มีคุณค่าทางอาหรด้วย มีชั้นคุณภาพ คือ ชั้น1 และ 2 โดยดูจากปริมาณไนโตรเจน และกรดอะมิโน

น้ำปลาผสม คือ น้ำปลาแท้ หรือน้ำปลาที่ทำจากสัตว์อื่น มาผสมกับส่วนผสมอื่น หรือแต่งกลิ่น รส ด้วยสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

แต่ในตลาดบ้านเรายังมี "น้ำเกลือปรุงรส" เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ลักษณะของมันคล้ายน้ำปลา แต่จริงๆแล้วเป็นเพียงน้ำเกลือมาใส่สี แต่งกลิ่น และรสให้คล้ายน้ำปลา

ในการเลือกบริโภคน้ำปลานั้น เราเลือกจาก 2 ประเด็นใหญ่ คือ ราคา และคุณภาพ

โดยคุณภาพนั้น เราดูได้จากฉลากที่มีตรา มอก. และต้องมีทะเบียน อย. ด้วยนะ เพราะหากเราเลือกซื้อน้ำปลาที่ด้อยคุณภาพ หรือตกมาตรฐานมาใช้ เราอาจได้รับสารที่เป็นพิษต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว เช่น

ผงชูรสที่มีปริมาณเกินมาตรฐาน โดยเฉพาะกับน้ำปลาผสม ที่มีการนำเอาน้ำบีเอ้กซ์ ซึ่งเป็นน้ำที่เหลือจากการผลิตผงชูรสมาผสมในอัตราที่สูง โดยหวังจะทำให้รสชาติของน้ำปลาดีขึ้น แต่จะอันตรายมากสำหรับผู้แพ้ผงชูรส โดยสังเกตได้จาก อาการ คอแห้ง ชาสันหลัง ต้นคอร้อน วูบวาบตามหน้าและคอ

สารอีกตัวที่พบได้ คือ วัตถุกันเสีย ซึ่งมักพบ กรดเบนโซอิค ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนัง ตา เยื่อบุตา ถ้าได้รับปริมาณสูง จะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย

เลือกซื้อน้ำปลาอย่างไรดี

1. เลือกซื้อน้ำปลาที่มีการปรุงแต่งน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยจะดีที่สุด จากข้อนี้ แสดงว่า น้ำปลาแท้ดีทีสุด เพราะไม่มีการแต่งเติมใดๆ แต่ไม่ใช่ว่านำปลาผสมจะบริโภคไม่ได้ เพียงแต่ว่าต้องดูด้วยว่ามันมีส่วนผสมที่ไม่อันตรายหรือเกินมาตรฐานที่กำหนด เพราะน้ำปลาผสมมีราคาที่ต่ำกว่าน้ำปลาแท้เท่าตัว

2. เลือกน้ำปลาที่มีลักษณะ ใส มีสี และกลิ่น หอมตามธรรมชาติ ปราศจากตะกอน

3. เก็บได้ทุกอุณหภูมิ โดยไม่เน่าเสีย

4. ภาชนะบรรจุสะอาด ปิดสนิท ไม่ผุกร่อน รั่ว ซึม

5. ฉลากระบุรายละเอียด ส่วนประกอบ ชนิด ชั้นคณภาพ มีตรา มอก. และ อย.


คงเป็นข้อมูลให้ได้ใช้ในการเลือกซื้อ เลือกบริโภคน้ำปลาที่มีคุณภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคน้ำปลา หรือ กินเค็มมากเกินไป ก็ทำร้ายไตของเรานะ แม้จะเป็นน้ำปลาที่มีคุณภาพก็เถอะ

เค็มแต่พอดี ดีกว่านิ







Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2551 11:21:33 น.
Counter : 2405 Pageviews.

8 comment
แกะรอย....หัวเราะ

การหัวเราะ เป็นวิธีแสดงอารมณ์ของบุคคล เป็นกิจกรรมทางสังคม เป็นเหมือนสัญญาณส่งผ่านวามรู้สึกจากผู้นั้น ไปสู่คนรอบข้าง

ไม่ใช่เพียงคนเท่านั้นที่หัวเราะ สัตว์บางชนิดก็หัวเราะเป็น เช่น ลิงชิมแปนซี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ขำไปกับมุขของโน้ต อุดม เหมือนกับพวกเรา แต่ อาการของมันที่ส่งเสียง เหยียดมุมปากออก ก็คล้ายกับเราๆท่านๆมาก แต่ถึงอย่างนั้น การหัวเราะของมันก็ไม่เหมือนกับของคน เพราะมันไม่สามารถควบคุมจังหวะการหายใจได้ เวลา เราหัวเราะ ฮ่า ฮ่า มันเลยหัวเราะดัง พรืด พรืด แทน เพราะมันใช้การหายใจเข้า ออกเป็นเสียงหัวเราะ

เวลาเราหัวเราะจะทำให้อวัยวะทุกส่วนตั้งแต่หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ สมองไป จนถึง ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างดี


การหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของคนเราได้ 2 ทางคือ
ทางแรก เพิ่มระดับความ เข้มข้นของแอนตี้บอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกัน หมนุเวียนใน กระแสเลือด
ส่วนที่สอง เป็นการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัว กำจัดสิ่งแปลกปลอม ที่หลุดเข้ามา ในร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงทั้งสองแบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง และเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหลายส่วน ตั้งแต่ หน้า ปาก ตา ปอด (บางคนอาจจะบอกว่า พุงด้วยก็ได้)

นอกจากจะเพิ่มภูมิคุ้มกันแล้ว แพทย์ยังใช้การหัวเราะไปบำบัดผู้ที่มีความเครียดได้ด้วย !!!!!

ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และอีกหลายประเทศ การรักษาผู้ป่วย ด้วยการหัวเราะกำลังเข้ามามีบาบาทแทนที่การบำบัดด้วยการใช้ยาคลายเครียด และยาแก้ปวด เพราะอารมณ์ขันให้ผลเช่นเดียว กับการออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนฝ่ายดี เช่นฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวด และ Neurotransmitter เช่นฮอร์โมนเซโรโทนิน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ เราอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดลดลง

นักวิจัยแสตนฟอร์ดพบอีกเช่นกันเดียวกันว่า หัวเราะเพียง 10 วินาที มีค่าเท่ากับการออกกำลังกายบนเครื่องกรรเชียงถึง 3 นาที เพราะการหัวเราะทำใหัหัวใจ และชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อหยุดหัวเราะ ร่างกายจะค่อยๆคืนสู่สภาวะปกติ จึงรู้สึกผ่อนคลาย

แล้วนี่ โน้ต อุดม จะให้ค่าโฆษณา มั้ยเนี่ย

มีคนวิเคราะห์ เสียงหัวเราะของคนเราว่า สามารถบ่งบอกถึงนิสัยได้ด้วย ลองดูนะว่า จริงมั้ย

หัวเราะเสียงดังลั่น (ฮ่า ฮ่า)เขาว่า เป็นคนจริงใจ เด็ดเดี่ยว กล้าได้ กล้าเสีย ตัดสินใจอะไรรวดเร็ว เรียกว่า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง มีความกระตือรือร้นสูง มักทำงานนั่นนี่อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยรอบคอบ
อันนี้ โบราณ เรียกว่า หัวเราะแบบแก้วหน้าม้า คือ เสียงดังแบบไม่เกรงใจกัน ถ้าเป็นสาวๆอาจหาหนุ่มๆไม่ได้ เพราะแสดงออกถึงความจริงใจเกินไปหน่อย

หัวเราะเสียงเบา (ฮิ ฮิ) ประมาณว่า กลัวเสียกิริยา จะหัวเราะแบบ กระมิดกระเมี้ยน คงพอเดาออกว่าเป็นคนแบบระมัดระวังตัวสูง ความคิดซับซ้อน อยากให้คนรอบข้างชอบตัวเอง ละเอียดถี่ถ้วน เชื่อถือได้ น้ำใจดี พึ่งได้

หัวเราะเสียงสูง (ฮี้ ฮี้) เป็นคนที่ความกระตือรือร้น เรียกว่า มีไฟ ชอบเรียนรู้สิ่งแปลกๆใหม่ๆ เรียกว่าชอบลองของแปลก ชอบทำเรื่องประหลาดใจ ใจดี ไว้ใจคนง่าย มีคุณธรรม ไม่ทำเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรม

หัวเราะเสียงหนักแน่น สม่ำเสมอ (หึ หึ) พวกนี้ชอบความสมบูรณ์แบบ คาดหวังแต่สิ่งดีที่สุดเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องการทำงาน ทุ่มเท แรงกายแรงใจ มีความคิดสร้างสรรร อารมณ์ขัน เลยดูไม่เครียดจนเกินไปจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ เรียกได้ว่า ตั้งใจทำงานแต่ก็น่ารัก ว่างั้นเถอะ

หัวเราะเสียงต่ำ (หุ หุ) พวกนี้ เขาว่า หัวงู เจ้าชู้เอาเรื่อง จะให้ความสำคัญกับความรักมาก หว่านล้อมคนเก่ง เข้ากับคนง่าย มีแนวคิดให้คนเลื่อมใส ศรัทธา และมักทำให้คนอื่นคล้อยตามได้ด้วย เลยมักเป็นคนที่มีความเด่น มีคนมารุมล้อมด้วยความนิยมเสมอ

หัวเราะเสียงแห้ง (แฮ่ แฮ่) พวกนี้ชอบต่อสู้ อยู่ในโลกของความเป็นจริง(เลยหัวเราะไม่ค่อยออกงัย) ไม่มีอารมณ์เพ้อฝัน แต่ละเอียด มองคนลึกซึ้งทะลุปรุโปร่ง เรียกว่า อย่ามาหลอกซะให้ยาก ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใจดี สมถะ จริงใจในการคบหาคน จะไม่มองการคบหาที่ฐานะ แต่จะสนในเรื่องจิตใจมากกว่า

หัวเราะแล้วน้ำตาไหล พวกนี้เป็นพวกกินอุดมคติ มีอุดมการณ์ ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาก เปิดเผย รื่นเริง ชื่นชมชีวิต รักทุกสิ่งบนโลกไม่ว่าจะดี หรือ เลว (พวกมีศรัทธา) ทนต่อความกดดันสูงได้ดี มีโลกส่วนตัวสูง

หัวเราะหลายเสียง พวกรวมมิตร พวกนี้ปรับตัวเก่ง เอาใจคนรอบข้างได้ดี เข้ากับคนง่าย ไม่ถือตัว ไม่มีฟอร์ม เป็นพวกนักประชาสัมพันธ์ที่ดี

รู้งี้แล้ว จะหัวเราะเสียงโทนไหนก็ได้นิ ดีไปโม้ด

ฮ่า ฮ่า ฮิ ฮิ หุ หุ หึ หึ ฮี้ ฮี้ แฮ่ แฮ่







Create Date : 05 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2551 11:48:02 น.
Counter : 588 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ข้าเจ้า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]