All Blog
ภูมิแพ้
โรคฮิตประจำบ้านเราไม่พ้น โรคภูมิแพ้ ที่เป็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ ฝุ่น ขนสัตว์ แมลง เกสรดอกไม้ ฯลฯ เรียกได้ว่า อะไรอยู่รอบตัวเป็นแพ้ได้ทุกชนิด จนชักจะสงสัยว่า คนที่แพ้มันทุกอยางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ก็คิดดู แพ้กระทั่ง เหงื่อตัวเอง !!!! แต่สำหรับข้าเจ้า แพ้คนหล่อฮ่ะ

อาการมีตั้งแต่ระดับน่ารำคาญ คือ เป็นผื่น คัน จนถึงระดับรุนแรง คือ ตาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่หลอดลมตีบ จนหายใจไม่ออก (อันนี้ความจริงมันเกิดร่วมกันทั้งหายใจไม่เข้าและไม่ออก แต่ก็แปลกดี ไม่เห็นมีใครเคยใช้คำว่า หายใจไม่เข้าสักที)

สำหรับวิธีลดระดับอาการแพ้ เขาว่าไว้ ดังนี้

1. เลือกกินเนื้อไก่แทนเนื้อวัว ผลงานวิจัยโครงการ 2 ปี ที่ศึกษาผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหวัดแพ้อากาศ 334 ราย และผู้ที่ปกติดี 1,336 ราย พบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันแปรรูปทรานส์โอเลอิก (รูปแบบหนึ่งของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว) ในอาหารโดยเฉพาะเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวปริมาณสูงสุด มีแนวโน้มเป็นโรคหวัดแพ้อากาศมากเป็น 3 เท่าของผู้ที่ได้รับกรดไขมันดังกล่าวในปริมาณต่ำสุด โชคยังดีที่น้ำมันมะกอกแม้จะมีกรดโอเลอิกอยู่มากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปของไขมันแปรรูปหรือ ไขมันทรานส์

2. กินน้ำมันปลาหนึ่งเม็ดเป็นอาหารเสริมทุกเช้าหลังแปรงฟัน การศึกษาผู้ที่เป็นโรคหอบหืดชนิดเกิดจากภูมิแพ้ พบว่าผู้ที่กินน้ำมันปลาเป็นประจำทุกวันนาน 1 เดือนจะมีระดับลูไคไทรอีนส์ซึ่งเป็นสารเคมีที่ก่อเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ลดลง

3. เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะไม่เพียงช่วยขจัดความชื้อซึ่งอาจก่อเชื้อรา แต่ยังกรองสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามาในบ้าน หมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนที่กรองบ่อยๆ มิฉะนั้นอาจกลับทำให้แย่ลงได้

4. กินกีวี1 ผลทุกเช้า วิตามินซีในผลกีวีเป็นสารต้านฮิสตามีนตามธรรมชาติ การศึกษาบางชิ้นพบว่าการมีระดับวิตามินซีต่ำมักทำให้เกิดภูมิแพ้ จึงควรกินวิตามันซีเสริมทันทีเมื่อมีอาการกำเริบ เราอาจเลือกผลไม้อื่นที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะขามป้อม

5. ทำความสะอาดเครื่องเรือนและพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่นไอน้ำ เติมสารละลายไดโซเดียมออกตาบอเรตเตตร้าไฮเดรต หรือ ดีโอที ซึ่งได้จากธาตุโบรอนลงในน้ำด้วย วารสารAllergy ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาหนึ่งว่า สารดีโอทีช่วยลดปริมาณตัวไรฝุ่นและลดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นลงในระดับที่ปลอดปฏิกิริยาต่อร่างกายได้นาน 6 เดือน

6. กินเคอร์ซิทินขนาด 250 มก. วันละ 3 เม็ด สารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติชนิดนี้นับเป็นฟลาโวนอยด์ หรือสารจากพืชที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ เป็นยาแก้โรคภูมิแพ้จากสารธรรมชาติที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

7. หมั่นทำความสะอาดรางน้ำไม่ให้อุดตัน เพราะจะเป็นที่เติบโตของเชื้อราซึ่งเป็นตัวทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบหนักขึ้น

8. เปิดพัดลมดูดอากาศขณะอาบน้ำหรือเปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเทอยู่เสมอ หลังการอาบน้ำ หมั่นดูแลห้องน้ำให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อรามีโอกาศเจริญเติบโต

9. ใช้น้ำร้อนล้างม่านกันส่วนอาบน้ำ และนำออกซักด้วยน้ำยาฟอกขาวทุกเดือน รวมถึงถอดฝักบัวอาบน้ำออกทำความสะอาดทุก 2-3 เดือน

10. เปิดหน้าต่างรับแสงแดดในฤดูหนาว แสงแดดธรรมชาติช่วยขับไล่ความชื้น ทำให้อากาศแห้ง ไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อรา

11. ซักเครื่องนอนในน้ำร้อนทุกสัปดาห์ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดไรฝุ่นตัวจิ๋วที่น่ารำคาญ ซึ่งพิสมัยเตียงนอนของคุณมากกว่าเจ้าของเตียงเสียอีก

12. ตามไปดูที่ปลายช่องระบายอากาศของเครื่องอบผ้า ให้แน่ใจว่ามันยื่นออกไปนอกบ้าน ในกระบวนการอบผ้าหลังการซักทุกครั้งจะมีความชื้นราว 20 ปอนด์เล็ดลอดออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ควรตามท่อไปดูว่าเชื้อราได้ก่อตัวอยู่ตรงบริเวณช่องระบายอากาศนั้นหรือไม่

13. ทำความสะอาดถาดรองน้ำใต้ตู้เย็นด้วยสารฟอกขาวแล้วโรยเกลือ การเติมเกลือลงไปช่วยลดอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ

14. รดน้ำไม้กระถางแต่พอประมาณ อย่าลืมโรยก้อนกรวดบนหน้าดินในกระถางทุกใบเพื่อป้องกันไม่ให้สปอร์เชื้อราลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ

15. ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จัดเก็บบ้านให้สะอาด โละเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คุณไม่เคยใช้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทิ้งไป ย้ายอุปกรณ์กีฬาให้เข้าที่เข้าทาง ทำความสะอาดรองเท้าทุกคู่ เก็บใส่ถุงแขวนให้เป็นระเบียบ เมื่อทำเสร็จคุณจะมองเห็นพื้นตู้และฝาหลังตู้ได้อีกครั้ง ที่นี้ดูดฝุ่นทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด ปริมาณฝุ่นในบ้านจะลดลงมากทีเดียว

16. ปิดประตูห้องนอนไม่ให้สุนัขและแมวเข้ามาได้ วิธีนี้ช่วยลดรังแคหรือสะเก็ดผิวหนังแมวและสุนัขที่หลายคนมีอาการแพ้ได้ดี

17. เลือกพรมเช็ดเท้าชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ พรมเช็ดเท้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ(พวกเครื่องจักรสาน) อาจเปื่อยหรือผุจนกลายเป็นแหล่งอาหารของเห็บหมัด หรือเชื้อรา จนกระทั่งมันมาสถิตย์อยู่ในบ้าน จึงควรซักล้างพรมเช็ดเท้าทุกอาทิตย์ฃ

18. ทำความสะอาดเศษแมลงที่ค้างอยู่ที่ระเบียงหรือซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เมื่อเศษแมลงย่อยสลาย มันจะกลายเป็นแหล่งสารก่อภูมิแพ้เลยทีเดียว

19. ทำชั้นวางรองเท้าไว้หน้าบ้าน และถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่น เชื้อราและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆที่อาจติดเข้ามา

20. อ่านฉลากให้ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารเติมแต่งชนิดโมโนโซเดียมเบนโซเอต(สารกันบูด) เนื่องจากพบว่าสารชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายอาการภูมิแพ้ เช่น น้ำมูกไหล จาม แน่นจมูก ในกลุ่มผู้ที่ได้ได้เป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน นอกจากนี้ยังมักพบสารนี้ในน้ำส้มคั้น ใส้ขนมพาย อาหารดอง มะกอก และน้ำสลัดอีกด้วย

อ่านถึงตอนนี้ เลยเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่า ทำไมตัวเองถึงเป็นภูมิแพ้ !!!!





Create Date : 18 ธันวาคม 2551
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 13:56:50 น.
Counter : 561 Pageviews.

0 comment
น้ำผลไม้ ดีจริงหรือ
น้ำผลไม้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดรองจากผลไม้จริง ๆ แต่บางทีก็ไม่ได้อุดมไปด้วยวิตามินอย่างที่เราคิด เพราะคุณค่าทางอาหารของน้ำผลไม้ต่างกันไป ตามชนิดและยี่ห้อ เนื่องจากเมื่อนำผลไม้มาคั้น เส้นใย (ซึ่งเป็นแหล่งกากอาหารสูงสุด) และ เมมเบรนของผลไม้ (ซึ่งเป็นแหล่งสารต้านมะเร็ง) จะสลายไปกับการคั้น วิตามินซี ซึ่งคุณคิดว่าเป็นสิ่งที่คุณได้รับมากที่สุด จากการดื่มน้ำผลไม้ก็ลดลงระหว่างกระบวนการการทำน้ำผลไม้ ยิ่งถ้าผลไม้นั้นมีวิตามินซีน้อยอยู่แล้ว เช่น แอปเปิ้ล เมื่อกระบวนการการทำน้ำผลไม้เสร็จลง วิตามินซีก็แทบไม่เหลืออยู่เลย

ถ้าผลไม้นั้นมีวิตามินซีมากอยู่แล้ว เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้ที่ได้ก็จะยังมีคุณค่าทางอาหารเหลืออยู่มาก แต่ในน้ำผลไม้บางชนิดที่มีวิตามินซีไม่มาก ผู้ผลิตแต่ละรายจะเติม วิตามินซี(ซึ่งไม่เท่ากัน) เพื่อเพิ่มคุณค่าของน้ำผลไม้นั้นๆ เราจึงควรตรวจฉลากแสดงคุณค่าทางอาหาร เพราะน้ำแอปเปิ้ลหรือองุ่นยี่ห้อหนึ่งอาจมีวิตามินถึง 100% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ในขณะที่ยี่ห้ออื่นอาจมีน้อยกว่าหรือไม่มีเลย

ขนาดภาชนะบรรจุน้ำผลไม้มีผลต่อปริมาณวิตามินซี !!!
ยกตัวอย่างน้ำผลไม้ยี่ห้อเดียวกันนะ

น้ำส้ม Tropicana Pure Premium Original 8 ออนซ์ ที่บรรจุในกล่องขนาดครึ่งแกลลอนมีปริมาณวิตามินซี 120% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน

น้ำส้มแบบเดียวกันแต่มาจากกล่องขนาด 1 ควอร์ท มีปริมาณวิตามินซีเพียงครึ่งเดียว คือ 60% เท่านั้น

น้ำส้มในกล่องขนาดเล็ก 6 ออนซ์ก็มีวิตามินซีเพียง 15%

คงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร คำตอบก็คือ ปริมาณวิตามินซีลดลงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน และน้ำผลไม้ที่บรรจุในกล่องขนาดเล็ก จะสัมผัสกับออกซิเจนมากกว่าทั้งระหว่างและหลังจากการบรรจุ

ดังนั้นถ้าสามารถบริโภคได้หมดในคราวเดียว ควรเลือกกล่องใหญ่จะดีกว่า แต่ถ้าต้องเก็บไว้ต่อนี่ เราไม่แนะนำ เพราะจะเสี่ยงต่อการท้องเสียจากน้ำผลไม้ได้รับแบคที่เรียและวิตามินซีที่คาดว่าจะได้รับมากกว่ากล่องเล็กก็จะสูญสลายไปจากการที่น้ำผลไม้สัมผัสกับอากาศ

และเมื่อเปิดแล้ว ควรจัดการให้หมดโดยเร็วอย่าเก็บไว้ในตู้เย็นนานเกินไป น้ำผลไม้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น น้ำส้ม เกรปฟรุต และผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรดจะคงคุณค่าทางอาหารและรสชาติได้นาน 7-10 วัน

น้ำผลไม้ที่รสเปรี้ยวน้อยกว่าเช่น แอปเปิ้ลและองุ่นจะคงคุณค่าทางอาหารและรสชาติได้นาน 1 สัปดาห์

หากซื้อน้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น น้ำผลไม้ที่บรรจุขวดขายตามร้านเล็กๆ จะไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ อาจพบพวก E coli ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้ท้องเสียจึงควรดื่มให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่นในเด็กและผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ภูมิต้านทานต่ำ (เช่น หญิงมีครรภ์) นั้นไม่ควรดื่มน้ำผลไม้แบบนี้

ถ้าเราคิดจะคั้นน้ำผลไม้ที่บ้าน ควรล้างผลไม้ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นเพื่อล้างแบคทีเรีย และล้างที่คั้นด้วยสบู่และน้ำร้อนทุกครั้งที่ใช้

ถ้าต้องการน้ำผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ควรเลือกแต่น้ำผลไม้แบบไม่ผสม เช่น น้ำส้มหรือเกรฟฟรุตล้วน ๆ หรือลองน้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีการผสมวิตามินเอ ซี และอี หรือแม้กระทั่งแคลเซียม

แล้วเราควรซื้อน้ำผลไม้มาบริโภคหรือไม่

ต้องบอกว่าเราไม่ควร หวังพึ่งน้ำผลไม้เพื่อการได้รับสารอาหารมากจนเกินไป น้ำผลไม้อาจมีประโยชน์ ในกรณีไม่สามารถหาผลไม้มารับประทานได้เลย หรือเรื่องของการได้รับวิตามินเพิ่มเติม จากการที่ผู้ผลิตเติมวิตามินลงไป แต่การรับประทานผลไม้สักชิ้นสองชิ้นอาจมีประโยชน์ยิ่งกว่าน้ำผลไม้ เพราะนอกจากราคาจะถูกกว่าแล้ว ยังได้กากใยอาหารที่ช่วยระบบการย่อยอาหารเพิ่ม ซึ่งเราจะไม่ได้จากการบริโภคน้ำผลไม้ ได้วิตามินเต็มๆ และยังช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย เพราะไม่เพิ่มขยะ

จริงมั้ยเอ่ย




Create Date : 11 ธันวาคม 2551
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 10:59:39 น.
Counter : 578 Pageviews.

2 comment
เรื่องของแชมพู
มองเห็นแชมพูวางขายมากมายลานตาจนเลือกแทบไม่ถูก วันนี้เลยเอาเรื่องแชมพูมาฝากกัน

เริ่มที่


ทำไมการสระผมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ อากาศที่ร้อนและชื้นเกือบตลอดทั้งปีของประเทศไทย ประกอบกับเส้นผมคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะหนาและดก ทำให้หนังศีรษะและเส้นผมมักจะอับชื้นด้วยสิ่งสกปรกที่ร่างกายขับออกมา เช่น น้ำเหงื่อและ ไขมัน

แชมพูที่ดีควรเป็นอย่างไร
แชมพูสระผมที่ดีและเหมาะสมควรจะทำหน้าที่ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากหนังศีรษะได้หมดจรดโดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะและไม่ทำให้เส้นผมแห้งแตกปลาย ในขณะเดียวกันควรมีส่วนช่วยให้เส้นผมนุ่ม ลื่น และช่วยสาง หวีเส้นผมได้ง่ายเมื่อผมแห้ง

ส่วนประกอบสำคัญในแชมพูสระผม

สารทำความสะอาดชนิดที่มีคุณภาพทางเคมีดีพอสมควร มีปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เข้มข้นเกินไปและไม่ต่ำจนเกินไป
สารคอนดิชั่นนิ่ง ซึ่งเป็นสารช่วยเคลือบเส้นผม ช่วยให้เส้นผมนุ่ม ลื่นไม่พันกัน และยังช่วยปกป้องเส้นผมสิ่งแวดล้อมภายนอกได้บ้าง


หลักในการเลือกซื้อแชมพูสระผม

แชมพูสระผมผู้ใหญ่ ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชนิดที่มีฟองมากเกินไป เพราะสารทำความสะอาดเหล่านั้นมักจะมีคุณภาพทางเคมีที่ต่ำ ไม่เหมาะกับเส้นผมและผิวหนัง เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาถูพื้นมากกว่า

สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อสระผมด้วยแชมพูที่มีฟองมาก ๆ และสระเป็นประจำ เส้นผมจะแห้ง แตกปลาย และไร้น้ำหนัก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารคอนดิชั่นนิ่ง จะช่วยรักษาคุณภาพเส้นผมได้พอสมควร ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ที่ใส่เสริมในแชมพู เช่น วิตามินชนิดต่าง ๆ อโลวีร่า หรือสารสกัดสมุนไพรอื่น ๆ ที่โฆษณาว่าให้ประโยชน์ต่อเส้นผมนั้น ในความเป็นจริงไม่มีส่วนช่วยให้เส้นผมที่เสียไปแล้วดีขึ้นเลย ผู้ที่มีผมเสียเพราะได้รับการแต่งสีผม ดัดผม ควรจะตัดผมที่เสียทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียดาย


แชมพูสำหรับเด็ก จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากแชมพูสำหรับผู้ใหญ่ตรงที่ว่า สารทำความสะอาดจะมีคุณภาพที่อ่อนละมุนต่อผิวหนังมากที่สุด ที่สำคัญสูตรแชมพูสำหรับเด็กจะไม่มีสารคอนดิชั่นนิ่ง เพราะเส้นผมเด็กบางไม่หนาและไม่ดกเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้เด็กใช้แชมพูผู้ใหญ่และการที่ผู้ใหญ่ใช้แชมพูเด็ก ก็จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ต่อเส้นผมเท่าที่ควร


แชมพูสมุนไพร หากถามว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร ให้ประโยชน์ได้มากมายต่อเส้นผม จริงหรือ คงตอบว่าไม่จริง เพราะหลักคือใช้แชมพูเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะเท่านั้น หากต้องการใช้สมุนไพร ควรใช้สมุนไพรสดเช่นในสมัยโบราณจะให้ผลดีที่สุด เช่น น้ำเมือกจากผลมะตูม และประคำดีควาย ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาดที่ดี ในสมัยโบราณมีการนำมาใช้ทั้งซักผ้าและสระผม แต่ถ้านำสารสกัดมาผสมในแชมพูสระผมที่มีสารทำความสะอาดชนิดสังเคราะห์แล้ว ประโยชน์จากสมุนไพรจะไม่เกิด !!!!

อาจให้ผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำไปเพราะการนำสมุนไพรมาใช้ ควรจะใช้เป็น หรือผ่านขบวนการสกัดที่เหมาะสม มิฉะนั้นคุณค่าจะสูญสลายไป

นอกจากนี้แชมพูที่ดีที่ได้มาตรฐานควรจะมีการปรับพีเอชให้เป็นกลางเพื่อไม่ให้ระคายเคืองหนังศีรษะ ควรมีการเติมสารต้านเชื้อจุลรินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสารสกัดสมุนไพร หรือสมุนไพรสด เชื้อจุลินทรีย์มักจะเจริญเติบโตได้ง่าย หากใช้แชมพูสมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาหนังศีรษะคัน ผมร่วงได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสมุนไพร หากพบปัญหาที่ว่าไปนี้ ควรหยุดใช้แชมพูที่กำลังใช้อยู่ทันที


แชมพูผสมสารขจัดรังแค สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะคัน มีรังแค ควรเลือกใช้แชมพูประเภทนี้ เช่น ซิ้งไพริไทออน การจะใช้ให้ได้ผลควรมีการใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนจะหยุดใช้ แต่หากยังไม่ได้ผล ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้แชมพูผสมสารต้านเชื้อรา ซึ่งแชมพูกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นตำรับยา จะมีจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น

อ่านถึงตรงนี้ ยิ่งคันหัวมากขึ้นหรือเปล่า




Create Date : 08 ธันวาคม 2551
Last Update : 8 ธันวาคม 2551 10:57:00 น.
Counter : 515 Pageviews.

4 comment
ยาสีฟัน..........สาเหตุสิว
สิว สิว สิว เม็ดแดงๆ ดำๆ ปุปะ ที่ขึ้นไปทั่วหน้า ใครจะอยากมี
แม้จะมีหลายคน บอกว่า ก็ชั้นยังมีฮอร์โมนนี่ยะ เลยยังมีสิว

อะฮ้า แต่ที่จริงแล้ว สิวมิได้เกิดจากฮอร์โมนแต่อย่างเดียวหรอกนะ แต่เกิดจาก.......ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์

คนที่เป็นสิวบริเวณมุมปากไปจนถึงคางและอาจขึ้นไปที่ใกล้ ๆ แก้ม จะรู้ดีว่า สิวในลักษณะนี้ค่อนข้างที่จะรักษาได้ยากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีทั่ว ๆ ไป คือมันชอบเป็นแล้วยุบ ยุบแล้วเป็น จริงม๊ะ

หลาย ๆ คนที่เคยเป็นสิวในลักษณะนี้จึงได้มีการประเมินความคิดและทำการสัมภาษณ์ผู้ที่เป็นสิวในลักษณะนี้ พร้อมกับการสังเกตผลที่ได้ ซึ่งข้อสันนิษฐานที่เคยสงสัยก็คือ น้ำลายของแต่ละคน!!!!!!


เหตุผล คือ สารเคมีที่ปะปนอยู่ในน้ำลาย จะไหลเข้าไปที่รูขุมขนในขณะที่เรากำลังหลับ ทำให้เกิดลักษณะเม็ดคล้ายสิวขึ้นมา สิ่งที่สังเกตุได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นสิวในลักษณะนี้ (ประมาณ 65 คน) ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ จึงได้ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนยาสีฟันจากที่ผสมฟลูออไรด์มาเป็นไม่ผสมฟลูออไรด์ ภายใน 2 - 4 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งมีอาการลดลง และผู้ป่วยที่เหลือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่แย่ลงกว่าเดิก และไม่ดีขึ้น โดยระหว่างการทดลองนี้ผู้ป่วยไม่ได้ใช้การรักษาด้วยวิธีการอื่นเลย จึงทำให้ผู้วิจัยคิดว่าสันนิษฐานน่าจะถูกต้อง



ในความเห็นของข้าเจ้านั้น ยังอยากใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อยู่ เพราะกลัวฟันผุ ดังนั้นสิ่งที่น่าจะทำเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง คือ ฟันไม่ผุ และสิวไม่ขึ้น โดยการบ้วนปากหลังแปรงฟันมากๆ จะได้ล้างเอาฟลูออไรด์ออกไปมากๆ

คิดว่าไง



Create Date : 04 ธันวาคม 2551
Last Update : 4 ธันวาคม 2551 7:44:51 น.
Counter : 674 Pageviews.

6 comment
เลือกอาหารให้เหมาะกับผิวของคุณ
ระหว่างการใช้เครื่องประทินผิวสารพัด กับ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพผิวนั้น อาจจะแตกต่างกันในวิธีการ เหมือนยาทาภายนอกห้ามกินกับยาที่ต้องใช้กินอย่างเดียว แต่เหมือนกันในเป้าหมาย นั่นคือ ทุกคนอยากให้ตัวเองผิวนวลเนียนสวย ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งคุณผู้ชาย ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็สนใจในการรักษาผิวไม่แพ้เพศหญิงนัก

แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า อาหารชนิดเดียวกัน คนหนึ่งกินแล้วสวยสดใสแต่มันกลับทำร้ายผิวพรรณของอีกคนหนึ่ง เหมือน ๆ กับที่เครื่องสำอาง สบู่ โฟมบางชนิดคนหนึ่งใช้ได้ใช้ดี อีกคนแตะเมื่อไหร่เป็นสิวเห่อนั่นแหละ ทีนี้เรามาสำรวจอาหารที่จะช่วยเผื่อแผ่ผิวพรรณของคุณเมื่อรับประทานเข้าไปดีกว่า เพราะแค่ทามอยเจอร์ไรเซอร์ราคาแพงอย่างเดียวน่ะ ไม่เพียงพอต่อการที่จะทำให้ผิวพรรณของคุณสวยสดใสหรอกนะ

ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้ง:

หมายถึงว่าโดยธรรมชาติ ผิวของคุณขาดกรดไขมันที่สำคัญหลายตัว ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้

อาหารที่ควรจะเพิ่มนั้น จึงควรเป็นไขมันหลักสองชนิดคือ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เช่น อาหารที่มีน้ำมันปลา อย่างเช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน และปลากะตัก รวมถึงเมล็ดธัญพืชและถั่วเปลือกแข็ง เพื่อให้ผิวได้รับไขมันดีที่สำคัญหลายชนิด

ส่วนอาหารที่ควรลดได้แก่ ไขมันประเภทมาร์การีน ฟาสต์ฟู้ด และอาหารสำเร็จรูป มันฝรั่งทอดเนี่ยเลิกไปเลย รวมทั้งบิสกิต และน้ำตาลขัดขาวด้วย

ถ้าคุณเป็นคนผิวมัน
อาหารบางอย่างจะไปรบกวนสมดุลของไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ ผิวหนังที่ละเอียดอ่อน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตไขมันมากเกินไป

อาหารที่ควรลดได้แก่ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว นมเนย เนื้อแดง และของทอด เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแย่ลง

ส่วนอาหารที่ควรเพิ่มได้แก่ ผลไม้ ผักสด เพราะจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยเฉพาะสับปะรดและมะละกอ รวมทั้งอะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดธัญพืช

ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย
อาหารที่ควรลด คืออาหารรสจัด เพราะอาหารรสจัดนี้จะทำให้ระบบการย่อยของร่างกายระคายเคือง ซึ่งทำให้เยื่อบุอักเสบได้ ผลก็คือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตื่นตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหน้าแดง และผดผื่น อาหารที่ควรลดได้แก่ พริก รวมทั้งผลไม้รสเปรี้ยวและผลิตภัณฑ์นมเนย

ส่วนอาหารที่ควรเพิ่ม เป็นพวกวิตามินเอ และซี ที่มีอยู่ในแครอท มะม่วง และกีวี นอกจากนั้น อาหารพวกเนื้อสัตว์ ข้าวโอ๊ต และถั่วเปลือกแข็งก็ดีต่อสภาพผิวคุณ เพราะจะช่วยเพิ่มธาตุสังกะสีให้ค่ะ

ผิวที่โดดแดดเผา:
ควรได้รับสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ และธาตุสังกะสี จะช่วยปกป้องและซ่อมแซมรวมทั้งรักษาผิวที่ถูกแดดเผา ส่วนคาเฟอีนและแฮลกอฮอล์จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำและเกิดรอยคล้ำใต้ตา ทำให้ผิวซีดเซียว ควรหลีกเลี่ยงค่ะ

อาหารที่ควรเพิ่มได้แก่ ผลไม้หลากสี ปลา สัตว์น้ำมีเปลือกเช่น กุ้ง หอยแครง ซึ่งจะมีธาตุสังกะสีมาก ส่วนที่ควรลดก็พวกชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม และแอลกอฮอล์

เลือกอาหารให้ถูกกับผิวจะทำให้ดูแล้วเป็นคนที่มีสุขภาพดี ชวนมอง และ ชวนสัมผัส นะ รู้มั้ย





Create Date : 03 ธันวาคม 2551
Last Update : 3 ธันวาคม 2551 20:54:15 น.
Counter : 515 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ข้าเจ้า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]