All Blog
สิ่งที่ควรใส่ใจเมื่อใช้ไมโครเวฟ
ไมโครเวฟกลายเป็นอุปกรณ์คู่ครัวและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าที่บ้านคุณจะไม่มี
เพราะตามร้านอาหารใช้ไมโครเวฟเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งในการปรุงอาหาร และอุ่นอาหารมาให้เราได้รับประทานกัน
มีคำถามมากมายเกี่ยวกับไมโครเวฟ ไม่ว่าจะเป็นวิธีอุ่นอาหาร ภาชนะที่ใช้ วันนี้เลยเอาเรื่องราวเกี่ยวกับไมโครเวฟมาฝากกัน

สิ่งเหล่านี้ควรจำใส่ใจไว้เมื่อใช้เตาไมโครเวฟ
1. ภาชนะที่มีฝาเปิด ขวดน้ำ และถ้วยหรือเหยือกพลาสติกสำหรับใส่เนยเทียม (margarine) โยเกิร์ต วิปครีม และอาหารพวกครีมชีส มายองเนส และมัสตาร์ดไม่เหมาะกับเตาไมโครเวฟ

2. ถาดที่มีฝาปิดสำหรับเตาไมโครเวฟทำเพื่อใช้ครั้งเดียวและจะมีเขียนไว้ข้างผลิตภัณฑ์

3. ไม่ควรนำถุงพลาสติกหรือถุงก๊อบแก๊บใส่ในเตาไมโครเวฟ

4. เครื่องหมายรีไซเคิลไม่ได้หมายถึงว่าภาชนะนั้นปลอดภัยในการใช้หรือนำกลับมาใช้ใหม่ในเตาไมโครเวฟได้ มีเพียงตรา microwave-safe หรือคำอื่นๆ เท่านั้นที่บอกถึงความปลอดภัยของมัน

5. ก่อนที่จะนำเอาอาหารเข้าไมโครเวฟ โปรดดูให้แน่ใจว่าภาชนะมีการถ่ายเทอากาศแล้วหรือไม่เช่นเปิดฝาภาชนะหรือแง้มขอบฝาขึ้นแล้ว

6. ไม่ควรให้พลาสติกคลุม (plastic wrap) สัมผัสกับอาหารขณะอุ่นในเตาไมโครเวฟเพราะว่ามันอาจจะละลายได้ กระดาษเคลือบไข กระดาษหนัง (kitchen parchment paper) หรือผ้าขนหนูสีขาวเป็นทางเลือกที่ดี

7. ถ้าคุณกังวลใจเกี่ยวกับพลาสติกคลุมอาหารหรือภาชนะพลาสติกในเตาไมโครเวฟ ย้ายอาหารลงในภาชนะที่เป็นแก้วหรือเซรามิกที่มีตราบอกว่าใช้กับเตาโครเวฟจะดีกว่า เพราะปลอดภัยแน่นอน




สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ

คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟและอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้



สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด


ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็นอันตรายได้

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ




Create Date : 26 มกราคม 2552
Last Update : 26 มกราคม 2552 8:21:09 น.
Counter : 770 Pageviews.

0 comment
ภาชนะใส่อาหาร สิ่งที่คุณควรรู้
ภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารในบ้านเรานั้น มีทั้งที่เป็นโลหะ พลาสติก และกระเบื้อง

เคยรู้กันบ้างไหมว่าแต่ละอย่างนั้นมีอันตรายมากน้อยต่างกันอย่างไรและควรใช้ภาชนะใดกับอาหารแบบไหน



เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่าอะลูมิเนียมอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย

ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลส อาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็กซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก แต่ขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้ส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิลก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมล ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ภาชนะที่ทำจากทองแดงจึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการเคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนานๆก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่

ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่ายและช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอด เพื่อไม่ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหารก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคเนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา

ภาชนะเซรามิค ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับกาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศและน้ำผลไม้ เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้ สารตะกั่วเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียมเพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไปยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิคบรรจุเก็บรักษาอาหารหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน

พลาสติก สารเคมีที่สลายจากพลาสติก สามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ ไม่ว่าจะถูกความร้อนหรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควร และเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานานจะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ติดมาด้วย อาหารประเภทที่เป็นกรดจะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิดที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูงๆ เช่นจากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็น สามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหารได้ แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่าใช้กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหาร และยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น

ขอให้เลือกใช้ภาชนะให้เหมาะสมกับอาหาร จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงและ
ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้ ฮ่อ ฮ่อ



Create Date : 24 มกราคม 2552
Last Update : 24 มกราคม 2552 7:55:57 น.
Counter : 591 Pageviews.

7 comment
ปัญหากับEQ
การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามีหลายแบบ คงเพราะมีพื้นฐานอารมณ์ นิสัยส่วนตัว บุคลิกภาพ และอื่นๆ ที่ต่างกัน รวมถึง การจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
บ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจถึงปฏิกิริยาโต้ตอบของคนรอบข้างต่อปัญหา เรื่องบางเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กับบางคนเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นดูหมิ่นศักดิ์ศรี อันนี้คงต้องยอมรับว่าต่างจิตต่างใจจริงๆ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนจึงมีขนาดต่างกันและการจัดการต่อปัญหาก็ต่างกันไปด้วย จึงทำให้แต่ละคนประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกัน

ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถทางอารมณ์ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข

อีคิว ถือเป็นเรื่องใหม่ในแวดวงการศึกษาและจิตวิทยา เพราะเพิ่งได้รับความสนใจและยอมรับในความสำคัญอย่างจริงจังเมื่อ ๑๐ กว่าปีมานี้ เดิมเคยเชื่อกันว่า ความสามารถทางเชาวน์ปัญญาหรือไอคิว คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่ดีและมีความสุข


ในปีค.ศ.๑๙๙๐ ซาโลเวย์และเมเยอร์ สองนักจิตวิทยาได้เอ่ยถึงความฉลาดทางอารมณ์ เป็นครั้งแรกว่า "เป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคมที่ประกอบด้วยความสามารถในการรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น สามารถแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดขึ้น และใช้ข้อมูลนี้เป็นเครื่องชี้นำในการคิดและกระทำสิ่งต่าง ๆ" และได้รับการกล่าวขวัญกันมากในวงการศึกษา-จิตวิทยา และในวงการธุรกิจ จากการศึกษามีผลสรุปข้อหนึ่งว่า "อารมณ์เป็นตัวบ่งชี้สติปัญญาและความสำเร็จในชีวิตของบุคคลยิ่งกว่า IQ"

กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ ที่ประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ ๓ ประการคือ
๑. ความดี
๒. ความเก่ง
๓. ความสุข

ดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่น และมีความรับผิดชอบต่อส่วนร่วม ได้แก่
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง
- รู้อารมณ์และความต้องการของตนเอง
- ควบคุมอารมณ์และความต้องการได้
- แสดงออกอย่างเหมาะสม
ความสามารถในการเห็นใจผู้อื่น
- ใส่ใจผู้อื่น
- เข้าใจและยอมรับผู้อื่น
- แสดงความเห็นใจอย่างเหมาะสม
ความสามารถในการรับผิดชอบ
- รู้จักการให้ รู้จักการรับ
- รู้จักรับผิด รู้จักให้อภัย
- เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

เก่ง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาและแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
ความสามารถในการรู้จักและสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
- รู้ศักยภาพของตนเอง
- สร้างขวัญและกำลังใจให้ตนเองได้
- มีความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
ความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหา
- รับรู้และเข้าใจปัญหา
- มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
- มีความยืดหยุ่น
ความสามารถในการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
- รู้จักการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
- กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
- แสดงความเห็นที่ขัดแย้งได้อย่างสร้างสรรค์

สุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข มีความภูมิใจในตนเองพอใจในชีวิต และมีความสุขสงบทางใจ
ความภูมิใจในตนเอง
- เห็นคุณค่าในตนเอง
- เชื่อมั่นในตนเอง
ความพึงพอใจในชีวิต
- รู้จักมองโลกในแง่ดี
- มีอารมณ์ขัน
- พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
ความสงบทางใจ
- มีกิจกรรมที่เสริมสร้างความสุข
- รู้จักผ่อนคลาย
- มีความสงบทางจิตใจ

ความฉลาดทางอารมณ์ = เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อื่น + แก้ไขความขัดแย้งได้

เข้าใจตนเอง ---> เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการในชีวิตของตนเอง

เข้าใจผู้อื่น ---> เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงออกมาได้อย่างเหมาะสม

แก้ไขความขัดแย้งได้ ---> เมื่อมีปัญหาสามารถแก้ไขจัดการให้ผ่านพ้นไปได้อย่างเหมาะสมทั้งปัญหาความเครียดในใจ หรือปัญหาที่เกิดจากการขัดแย้งกับผู้อื่น

ปัญหา เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียด และทำให้ EQ ลดลง ดังนั้น
- อย่า ! แก้ปัญหาแบบวู่วาม ใช้อารมณ์เป็นใหญ่
- อย่า ! หนีปัญหา
- อย่า ! คิดแต่ฟังผู้อื่นร่ำไป
- อย่า ! เอาแต่ลงโทษตนเอง
- อย่า ! โยนความผิดให้ผู้อื่น



Create Date : 22 มกราคม 2552
Last Update : 22 มกราคม 2552 14:10:46 น.
Counter : 605 Pageviews.

1 comment
เกิดเป็นคนหนีไม่พ้น คนนินทา
เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตในแวดวงสังคมคนทำงาน การจับกลุ่มคุยๆๆๆๆๆๆ เรื่องของคนอื่น แปลกดีนิ

เคยตั้งข้อสังเกตในใจเงียบๆมานานว่า ทำไมคนเราถึงสนใจเรื่องของคนอื่นจัง โดยเฉพาะจะเมามันมากถ้าเป็นเรื่องในมุ้ง คนนี้เป็แฟนกับคนนั้น คู่นั้นเลิกกันแล้ว คนนี้มีกิ๊ก คนนั้นเป็นกั๊ก(อันนี้บัญญัติศัพท์เอง หมายถึง เป็นกิ๊กครั้งที่สอง) เออ รู้ดีกันจัง

นักจิตวิทยาได้สำรวจพบว่า ในวันหนึ่งๆ คนเราใช้เวลาประมาณ 30% ของเวลาสนทนาทั้งหมด พูดถึงบุคคลอื่น และถ้าเป็นกรณีบุคคลที่ทำงานในบริษัท หรือหน่วยงานเดียวกัน 80% ของเวลาสนทนาจะเป็นการซุบซิบนินทา และประมาณครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูดจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สุขภาพ และการเงินอีก 30% เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพการทำงานหรือเรื่องปกปิด เช่นใครจะได้เลื่อนขั้นและใครจะได้ตำแหน่งอะไร เป็นต้น
และสำหรับเหตุผลที่คนเราชอบพูดเรื่องปกปิดนั้น นักจิตวิทยาได้พบว่า คนที่พูดเรื่องลับส่วนใหญ่มักใช้ข้อมูลที่ตนรู้ ในการกวาดต้อนความสนใจจากผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเรา นิสัยนินทาเป็นพฤติกรรมลบที่ไม่ควรมีแล้วเหตุใด มนุษย์ทุกคนจึงกระทำ

ในการตอบคำถามนี้ นักจิตวิทยาได้ให้เหตุผลว่า การนินทาเป็นพฤติกรรมจำเป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ในการดำรงชีพในสังคม เพราะเราต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ร้ายหรือดี การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่คนแต่ละคนรู้จะทำให้เราทุกคนสามารถวางตัวหรือป้องกันตัวได้ดีขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่เราเผชิญ บุคคลที่คนอื่นเขานินทา เราก็จะรู้ดีว่าเราต้องเดินหมากอย่างไร และข้อดีประการหนึ่งของการนินทาคือ ทำให้คนหลายคนมิกล้าประพฤติชั่วหรือทำบาป เพราะกลัวถูกนินทานั่นเอง


N. Nicholson แห่ง London Business School ได้เคยรายงานบทบาทและความสำคัญของการนินทาในวารสาร Psychology Today ฉบับเดือนพฤษภาคม/มิถุนายน พ.ศ. 2545 ว่า
ในสมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรในทุ่งหญ้า หรือป่าอย่างโดดเดี่ยวและแสวงหาอาหารไปวันๆ การไม่มีภาษาพูด หรือภาษาเขียนสำหรับใช้ในการสื่อสารใดๆ ทำให้โลกยุคนั้น เงียบ ปราศจากการซุบซิบนินทา

แต่เมื่อมนุษย์เลิกวิถีชีวิตแบบร่อนเร่ และหันมารวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า มีภาษาและสนทนาค้าขายกัน สมองมนุษย์ได้เริ่มมีวิวัฒนาการเพื่อช่วยให้มนุษย์รู้ใจและเข้าใจบุคคลอื่น ซึ่งความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการป้องกันตัวของมนุษย์เอง และความพยายามนี้ได้ผลักดันให้มนุษย์ระแวดระวังฐานะและสภาพทางสังคมของตนตลอดเวลา และมนุษย์ก็ได้พบว่า ตราบใดที่ตนเข้าใจความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมของตนดี ตนก็จะประสบความสำเร็จสูงในชีวิต คือมีสุขภาพดี มีฐานะดี และมีความสุข

แต่สังคมมนุษย์นั้นมีหลายมิติ ดังนั้น มนุษย์จึงเปรียบเทียบตนกับบุคคลอื่นในมิติต่างๆ เช่น รูปร่าง นิสัย การศึกษา และฐานะ แต่เมื่อมิติเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา มนุษย์จึงต้องเปรียบเทียบว่า ตนเป็นอย่างไรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้รู้สถานการณ์ของตนในสังคม ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยใช้การเล่าสู่กันฟังนั่นเอง

การวิจัยเรื่องการนินทาทำให้เรารู้ว่า คนที่จะกล่าวร้ายป้ายสีระดับชาติได้นั้น ต้องมีความชำนาญและทักษะในการเล่ามาก ลีลาบางคนอาจมีท่าทางประกอบ และในขณะที่ เผา คนอื่นไปนั้น บางครั้งก็ทำทีสงสารเขาไปด้วย

และคนที่ชอบนินทาคนอื่น มักคิดว่าตนเองมีจริยธรรมสูง อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

การสำรวจพฤติกรรมนินทายังแสดงให้เห็นอีกว่า ผู้หญิงและผู้ชายชอบนินทาพอๆ กัน แต่คนทั่วไปมักคิดว่า ผู้หญิงชอบนินทามากกว่าผู้ชาย และนินทาได้สีสันยิ่งกว่า

ส่วนเนื้อหาที่คนชอบนินทานั้น สำหรับผู้ชายก็ชอบพูดถึงข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ความก้าวหน้าในการทำงาน ทั้งนี้เพราะผู้ชายชอบแข่งขัน

ส่วนผู้หญิงชอบนินทาบุคคลในสังคม และเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม เพราะผู้หญิงต้องการมิตรภาพ และไม่ต้องการคู่แข่งขัน


ส่วนคนที่ถูกนินทานั้นเล่า ก็มีข้อคิดหลายประการว่า ในเมื่อโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา ดังนั้น เวลาถูกใส่ร้ายคนหลายคนจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นไปตามรูปแบบที่คนอื่นๆ ต้องการ เพื่อให้คนอื่นรักพอใจและให้คนอื่นเห็นเขาเป็นคนดีที่หนึ่งเลย แต่ชีวิตของเขาก็จะน่าปวดหัว เพราะเขาต้องใช้ชีวิตตามที่คนอื่นบอกว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้


ดังนั้น ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้ จึงมีว่าเราน่าจะมองตัวเราเองด้วยสายตาเราหรือสายตาคนอื่น ถ้าเรามองตัวเองด้วยสายตาคนอื่น เพราะคนอื่นเห็นเราในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ถ้าขณะที่เขาเห็นเรา เรากำลังทำความดี เราคือเทพบุตร แต่ถ้าเรากำลังทำชั่ว เราคือนางมารร้าย ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า คำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับเราที่หลุดจากปากคนอื่น แสดงธาตุแท้ของเราน้อยมาก

ในเมื่อคนเราบางคนเวลาไม่ชอบใจใคร ก็มักจะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ สร้างคำพูดหรือนินทาว่าร้าย จนคนที่ถูกพูดถึงรู้สึกเจ็บจนอยู่ไม่เป็นสุข และนี่คือจุดมุ่งหมายสำคัญของการนินทา ดังนั้น เราก็ควรรู้ว่า จะไม่มีใครทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าเราไม่ให้น้ำหนัก หรือความสำคัญในคำพูดของคนคนนั้น เราเป็นเราที่ไม่มีใครเหมือน และเราไม่ต้องการจะเหมือนใคร เพราะความพยายามที่จะให้ใครเป็นคนสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทุกคนตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น การนินทาเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดี เพราะเราทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าไม่มีการนินทา (บ้าง) บรรยากาศการพูดคุยกันก็ไม่มันส์จริงไหม

วันนี้คุณนินทาใครบ้างหรือยัง



Create Date : 16 มกราคม 2552
Last Update : 16 มกราคม 2552 14:57:03 น.
Counter : 1715 Pageviews.

4 comment
พรุ่งนี้ไม่ได้มีไว้ผัด
บังเอิญไปรู้เรื่องราวของคนที่มีนิสัยที่เรียกว่า ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ซึ่เมื่อมาถึงวันนี้ก็เกือบสายไป อาจเป็นเพราะวิธีเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องราวมากมายที่เข้ามาในชีวิตแต่ละวัน โดยให้คะแนนของงานมากจนลืมที่จะให้กับตัวเอง หรือคนที่รักคุณ หรือคนที่คุณรัก จนเกือบสาย

เคยได้ยินประโยคนี้ไหม ที่ว่า

เดินตามถังน้ำมันทีละใบ " คนที่มีอำนาจปานกลางจะประสบความสำเร็จอย่างมาก ถ้าพวกเขาทุ่มเทเต็มร้อยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กับงานทีละอย่าง " - แซมมวล สไมล์

มีคำพังเพยโบราณกล่าวไว้ว่า " เป็นหลา มันยาก แต่ทีละนิ้ว มันง่าย !! "

ซึ่งทั้งสองประโยคมีที่มาจากนิสัยอย่างหนึ่ง "ผัดวันประกันพรุ่ง"


วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งก็คือ ดึงความคิดออกจากงานใหญ่ตรงหน้า แล้วตั้งใจจดจ่ออยู่กับการกระทำเดียวที่คุณทำได้ วิธีที่ดีที่สุดในการกินกบตัวใหญ่ก็คือ .. กินมันทีละคำ

ขงจื๊อเขียนไว้ว่า " การเดินทางพันลี้เริ่มต้นด้วยหนึ่งก้าว "

นี่คือกลยุทธ์อันยิ่งใหญ่ในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งและทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น

ทะเลทรายซาฮาร่า ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในประเทศแอลจีเรีย ก่อนหน้านั้นทะเลทรายแห่งนี้ถูกชาวฝรั่งเศสทิ้งร้างเป็นเวลาหลายปี ปั๊มน้ำมันดั้งเดิมว่างเปล่าและถูกปิดตาย ทะเลทรายแห่งนี้ทอดเหยียดยาวเป็นระยะทาง 500 ไมล์ โดยปราศจากน้ำ อากาศ หญ้าสักต้น หรือแม้กระทั่งแมลงสักตัว มันเป็นพื้นที่สีเหลืองแบนราบกว้างใหญ่ ดูคล้ายลานจอดรถที่เป็นพื้นทรายทอดเหยียดยาวจรดขอบฟ้า .. ทุกทิศทาง ผู้คนกว่า1,300 คน ต้องสังเวยชีวิตกับการเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮาร่าแห่งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเม็ดทรายที่ปลิวฟุ้งมักจะพัดกลบรอยเท้าบนผืนทราย ทำให้นักเดินทางต้องหลงทางในเวลากลางคืน

ชาวฝรั่งเศสได้ทำเครื่องหมายบอกเส้นทางด้วยถังน้ำมันสีดำขนาดจุ 55 แกลลอน ตั้งห่างกันเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งไกลพอดีกับเส้นขอบฟ้าซึ่งจรดผืนทรายที่ดูจะโค้งหายไปจากสายตาในขณะที่เราเดินไปตามพื้นที่ราบเรียบว่างเปล่า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตามในเวลากลางวัน เราจะสามารถเห็นถังน้ำมัน 2 ถังเสมอ .. ใบหนึ่งคือที่ที่เราเดินผ่านมา กับอีกใบที่อยู่ห่างจากเราไปข้างหน้า 5 กิโลเมตร .. แค่นี้ก็เหลือจะพอแล้ว ทั้งหมดที่เราต้องทำคือ เดินตรงไปหาถังน้ำมันใบต่อไป ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยวิธีการ " เดินตามถังน้ำมันทีละใบ "

ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถทำงานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคุณได้ ด้วยการฝึกวินัยตัวเองให้ก้าวทีละขั้น .. หน้าที่ของคุณคือ ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่คุณมองเห็น แล้วคุณก็จะได้เห็นไกลพอที่จะเดินต่อไปอีก จะทำงานใหญ่ให้สำเร็จนั้น คุณต้องย่างก้าวด้วยศรัทธาและความมั่นใจเต็มร้อย ว่าคุณจะเห็นก้าวต่อไปของคุณได้อย่างชัดเจนในไม่ช้าจงจดจำคำแนะนำที่วิเศษคำนี้ "

กระโดด !! .. แล้วจะเห็นตาข่าย "

ชีวิตและหน้าที่การงานที่ยิ่งใหญ่ เกิดจากการทำงานทีละอย่าง .. ทำให้เร็วและทำให้ดีที่สุด .. เสร็จแล้วจึงทำงานชิ้นต่อไป

ความมั่นคงทางการเงิน .. เกิดจากการเก็บหอมรอมริบเงินทีละเล็กละน้อย ทุกๆ เดือน ทุกๆ ปี ปีแล้วปีเล่า

สุขภาพที่แข็งแรง .. เกิดจากการรับประทานอาหารพอดีร่วมกับการออกกำลังกาย วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า

คุณสามารถเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งและทำงานพิเศษให้สำเร็จลุล่วงได้ ด้วยการ เริ่มต้นเดินไปหาเป้าหมายของคุณทีละก้าว .. หรือเดินตามถังน้ำมันทีละใบนั่นเอง.


Life is a song .. sing it
Life is a game .. play it
Life is a challenge .. meet it
Life is a dream .. realize it
Life is a sacrifice .. offer it
Life is a love .. enjoy it



Create Date : 14 มกราคม 2552
Last Update : 15 มกราคม 2552 8:44:29 น.
Counter : 540 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ข้าเจ้า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]