All Blog
มื้อเช้า อาหารของสมอง
ใครๆก็เครียดกันในสภาวะการเมืองของเราในขณะนี้


แต่ยังไงๆกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องน่นา ไหนๆก็จะกินกันอยู่แล้ว


ลองเลือกอาหารที่เหมาะกับสภาพการณ์ของบ้านเราดูดีกว่า นินิ



เขาว่า ความเครียดเป็นสภาวะตึงเครียดที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ ความผิดปกติภายใน ร่างกายและความกดดันทางอารมณ์ เช่น โกรธ เกลียด เป็นมูลเหตุแห่งความเครียด กลไกการ ทำงานตามปกติของร่างกายมนุษย์ เมื่อเกิดอันตรายหรือความเครียด ต่อมอะดรีนัลจะหลั่ง ฮอร์โมน ซึ่งไปเรงอัตราการเต้นของหัวใจและเพิ่มความดันโลหิต ถ้าเป็นอย่างยืดเยื้อจะทำให้ เกิดอันตรายได้

ในปัจจุบันมีวิธีแก้ปัญหาความเครียดหลายวิธี เช่น การใช้ยา การรักษาทางจิต แต่การใช้ยาจะมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงของยาได้ แต่มีวิธีหนึ่งที่ปลอดภัย (และไม่ยาก)คือ การเลือดบริโภคสาร อาหารให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และภารกิจ ในแต่ละช่วงเวลาของแต่ละวัน

จากการค้นคว้า ของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าอาหารโปรตีนจากสัตว์และพืช จะมีกรดอะมิโนแอล-ไทโรซีน (L-tyrosine) ทำหน้าที่ควบคุมและกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่มีส่วนสำคัญต่อกลไก การทำงานของระบบความจำ ความคิดฉับไว การตื่นตัว และความมั่นคงของจิตใจมนุษย์

ดังนั้น ถ้าเริ่มวันด้วยการรับประทานอาหารโปรตีนจะทำให้สมองทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุดตลอด วัน แต่ถ้าเริ่มต้นวันด้วยอาหารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกรดอะมิโนชนิด แอล-ทริฟโตเฟน (L-tryptohpan) ที่ใช้ในการผลิตฮอร์โมนเซโรโตนิน ก็จะทำให้ร่างกายทำงานเฉื่อยลง เช่น รู้สึก สบายหลังอาหารและง่วงนอน ซึ่งเหมาะที่จะเป็นอาหารหลักในมื้อเย็นหรือก่อนนอน

นั่นหมายความว่า อาหารมื้อเช้า ควรมีสารอาหารประเภทโปรตีน เช่น นม ไข่ ข้าวต้มเครื่อง เช่น ข้าวต้มไก่ ต้มเลือดหมู ฯลฯ

ประเภทอาหารเบเกอรีทั้งหลายควรงด เช่น พวกครัวซองค์เปล่าๆ คุ๊กกี้ หรือ ขนมปังกรอบแต่เพียงอย่างเดียว หรือ ปาท่องโก๋ ขนมครก พวกนี้กินได้ แต่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีโปรตีนด้วย

อย่างไรก็ ตามในช่วงวัน สมองก็ยังต้องการคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวซ้อมมือ แป้ง ธัญพืช ผักและ ผลไม้ ประมาณวันละ 300-400 กรัม เพื่อเสริมพลังงานขั้นพื้นฐานให้แก่สมอง

นั่นหมายถึงว่า ในมื้ออื่นๆ เราก็ยังต้องการอาหารมื้อหลัก มื้อใหญ่ที่มี ข้าว แป้ง เป็นส่วนประกอบด้วย

เลือกกินชนิดของอาหารให้ถูกเวลา จะช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่

นะนะ






Create Date : 02 ธันวาคม 2551
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 11:08:51 น.
Counter : 609 Pageviews.

6 comment
วิธีแก้เครียดการเมือง

วันนี้ขออนุญาตลอกข้อความนี้มาให้อ่านกันคลายเครียดนะ

ช่วงการเมืองเครียดๆอย่างนี้ ก็มีคนส่งเรื่อง "วิธีคิดพิชิตเครียดการเมือง" มาให้ผมอ่าน เป็นบทความของ คุณหมอกฤษดา ศิรามพุช ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ผมเลยนำมาลงให้อ่านกันต่อครับ เพราะประเทศไทยวันนี้ถูกจัดอยู่ใน "กลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเมืองสูงสุด" ในภูมิภาคนี้เลยทีเดียว
สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดทางการเมือง คุณหมอบอกว่า ก็เหมือนสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดอื่นๆ ก็คือเกิดจากความคาดหวัง

เมื่อ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหวัง ก็เกิดอาการเครียดขึ้นมา เรียกว่า ความกังวลจากความคาดหวัง (Anticipatory Anxiety) ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ตึงขมับร้าวไปจนถึงหัวไหล่ต้นคอแขนขา นอนไม่หลับ ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติทั้งที่อยู่ในสภาพปกติ หายใจไม่อิ่ม แน่นท้อง ปวดท้อง ชาตามร่างกาย เป็นต้น ซึ่งเป็นอาการที่แสดง ออกทางกาย

ส่วน อาการทางใจ นั้น ทำให้เกิดความก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน สมาธิเสีย เบื่อหน่าย ท้อแท้ รู้สึกสิ้นหวัง

นี่แค่อาการเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าอาการหนักอาจถึงขั้นทำร้ายตัวเอง พฤติกรรมและสัมพันธ์กับผู้อื่นเปลี่ยนไป จากคนอ่อนหวานกลายเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง ไม่พอใจผู้ที่มีแนวคิดไม่เหมือนกับตนเองถึงขั้นลงไม้ลงมือก็ได้

คุณหมอกฤษดาได้แนะวิธีแก้เครียดการเมืองไว้ 3 ข้อ

1.คิดให้การเมืองเป็นเรื่องของสภาโจ๊ก

2.โยกไปคุยกับคนอาชีพอื่นดู อย่าอยู่ว่างเกินไป

3.ให้รู้ว่าการเมืองมีเกิดดับสลับกันไป ล้วนตกอยู่ในกฎไม่เที่ยงทั้งนั้น

คุณหมอบอกว่า วิสัยนักการเมืองมักคิดสองชั้นสามชั้นหรือหลายชั้นเสมอ แต่การคิดหลายชั้นเกินไปก็จะทำให้บุคคลนั้นเครียดเอง ยิ่งถ้าสิ่งที่คิดนั้นเป็นโทษเป็นอกุศล จิตก็อาจส่งผลถึงตัวเองด้วยซํ้า บางทีสิ่งที่คิดว่าดีแล้วอาจจะแว้งกัดให้เขาพลัดตกจากเก้าอี้ได้เหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่ต้องไปกังวล กระแสความคิดที่ชั่วร้ายจะทำลายตัวเขาเอง เราต้องช่วยกันติดเกราะให้ใจเราไม่ถูกเผาไหม้ไปกับการเมืองยุคหุ่นเชิด

ข้อแรก ทำให้การเมืองเป็นโจ๊ก ถ้าจะอยู่กับการเมืองให้เป็นต้องทัน ไม่งั้นนักการเมืองเขาคงเครียดตายไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว เมื่อใดที่ท่านเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ขอให้ปล่อยวางแล้วมานั่งหัวเราะกับมัน โดยใช้วิธีแบบนักประพันธ์รางวัลโนเบล ยอร์จ ออร์เวล ผู้เขียนเรื่อง Animal Farm ที่เปรียบนักการเมืองแย่ๆเหมือนสมาชิกสี่ขาในฟาร์มปศุสัตว์ สำหรับของไทยเราขอให้ลองมองนักการเมืองแบบ สภาโจ๊ก ก็เป็นสิ่งที่ดีหนีเครียดได้มากทีเดียวครับ

ข้อสอง ไปคุยกับคนอาชีพอื่นดู เป็นการเปลี่ยนหัวไม่ให้นึกถึงเรื่องเดิมซํ้าๆ ช่วยให้สมองได้ออกกำลังทั้งสองซีกด้วย เช่น ถ้าเป็นหมอก็ลองไปคุยกับเพื่อนสถาปัตย์หรือนักออกแบบเสื้อผ้า ให้แหวกแนวไปเลย หรือทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เช่น เล่นดนตรี เต้นรำ หรืออ่านหนังสือวรรณกรรมก็ได้ หรือเปลี่ยนไปดูการเมืองเทศบ้างก็ได้

ข้อสาม เป็นข้อที่สำคัญที่สุด ขอให้รู้ว่ามีกฎใหญ่อยู่กฎหนึ่งที่คุมเราอยู่ทุกคน นั่นคือ "กฎแห่งความไม่แน่นอน" ไม่ว่านักการเมือง ลูกนักการเมือง นักการเมืองลี้ภัย หรือนายกฯญาติใครก็ตาม ล้วนต้องอยู่ใต้กฎนี้ไม่มีข้อยกเว้น มีได้เป็นก็มีไม่ได้เป็น มีได้สรรเสริญก็มีถูกด่าทอ มีที่ทางพันล้านก็ต้องมีหายไป ทุกอย่างมีเกิดดับสลับกันไป

ทั้งนี้ มิได้ให้ท่านคิดดูดายไม่ทำอะไรให้ชาตินะครับ แต่ขอให้ลองดูไป บางอย่างทำแล้วไม่มีความสุขก็ขอให้วางอุเบกขาไว้ ทำใจเป็นกลาง คิดเสียว่าเดี๋ยวมันก็ต้องเข้าสู่ กฎแห่งกรรม และ กฎแห่งความไม่แน่นอน นี้ไปเอง ถ้าไปเร่งอนัตตามาก จะกลายเป็นยิ่งลากทุกข์เข้ามาเกิดที่ใจอีก ต้องตามดับกันไปไม่รู้จบ

ถ้าพบสัจธรรมแล้วจะรู้เองว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากให้มีอะไร เปลี่ยนแปลงไปตามใจเราอย่างเดียว หากเป็นการอยู่กับ "ปัจจุบันขณะ" ให้ได้มากที่สุดต่างหาก และ "รู้ทัน เกิด-ดับ" ให้ดี บางทีอะไรๆมันอาจจะดับเร็วกว่าที่เราคิดด้วยซํ้า.






Create Date : 01 ธันวาคม 2551
Last Update : 1 ธันวาคม 2551 9:02:15 น.
Counter : 563 Pageviews.

4 comment
เลือกน้ำมันพืชชนิดไหนดี

เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบพบมากขึ้นในคนไทย ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารเปลี่ยนไป คนในกรุงเทพฯ กว่าร้อยละ 50 มีไขมันโคเลสเตอรอลสูงกว่าค่าที่แนะนำ (ควรน้อยกว่า 200 มก.ต่อดล.) ที่สำคัญ คือ เมื่อเกิดโรคขึ้นแล้ว ก็ไม่หายขาด แถมค่ายา ค่าการตรวจต่างๆ ค่ารักษา ล้วนมีราคาแพงขึ้นทุกๆวัน ดังนั้นการป้องกันโรคจึงน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด หลักการสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจ คือ การลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆลง การรับประทานอาหารที่มีไขมันโคเลสเตอรอลต่ำ ก็เป็นหนทางหนึ่ง ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันในการปรุงอาหารจึงเป็นสิ่งที่ควรทราบ

แต่น้ำมันสำหรับใช้ในการปรุงอาหารที่วางขายกันก็มีให้เลือกมากเหลือเกิน ทุกยี่ห้อดูลักษณะแล้วคล้ายกันหมด ราคาไม่ต่างกันมากนัก ยกเว้น น้ำมันมะกอกที่พบใส่ในขวดแก้ว และราคาหลายร้อยบาท ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นๆ ราคาประมาณ 30-40 บาทในปริมาตรที่ใกล้เคียงกัน

เราจะเลือกอย่างไรดี ของแพงกว่ามากๆดีสมราคาหรือเปล่า มันคุ้มไหม

เราจึงต้องมาทำความรู้จักกับน้ำมันแต่ละประเภทเพื่อทราบเหตุผลในการเลือกใช้

น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารมีส่วนประกอบที่เป็นกรดไขมันชนิดต่างๆ ดังนี้

1 กรดไขมันชนิดอิ่มตัว (saturated fatty acid) เป็นกรดไขมันชนิดร้าย ส่วนใหญ่เป็นไขมันที่ได้จากสัตว์ และ เป็นตัวการ สำคัญที่ทำให้ โคเลสเตอรอลในเลือดสูง กรดไขมันอิ่มตัวนี้พบปริมาณมากในน้ำมันหมู น้ำมันเนย น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว จึงควรหลีกเลี่ยง

2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน (mono-unsaturated fatty acid) เป็นกรดไขมันชนิดดี เช่น กรดโอเลอิค สามารถ รับประทาน ได้พอสมควรโดยไม่เพิ่มโคเลสเตอรอลในเลือด กรดไขมันชนิดนี้พบมากในน้ำมันมะกอก (olive oil) พบปานกลางใน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน อาหารที่เรียกว่า mediterranean diet เป็นอาหารที่มีข้อมูลว่าช่วยป้องกัน โรคหัวใจ ประกอบด้วยผัก อาหารเส้นใยสูง ปลา โยเกิต และ ใช้น้ำมันมะกอกเป็นหลักในการปรุงอาหาร
น้ำมันบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันรำข้าว แม้จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโนปานกลาง แต่ก็มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัว ในปริมาณสูงด้วย ทำให้ไม่ได้ผลดีจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน

3 กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ (poly-unsaturated fatty acid,PUFA) เป็นกรดไขมันชนิดดีปานกลาง เช่น กรดไลโนเลอิค กรดไลโนเลนิค จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลงได้บ้าง (อย่าหวังผลมากนัก) ข้อเสียคือมีกลิ่นหืน ปัจจุบันมีการผลิตเป็นเนย แนะนำให้ใช้ ปรุงอาหารแทนเนยซึ่งมี ไขมันอิ่มตัวสูง (รับรองโดยอ.ย.สหรัฐ) แต่ยังไม่มีจำหน่าย ในประเทศไทย (ในรูปของเนย ชื่อการค้าคือ Benecol)

น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารจึงควรมีลักษณะ ดังนี้
มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโนสูง
กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ปานกลาง
มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัวต่ำ

น้ำมันปรุงอาหารที่ดี คือ.... เรียงจากดีมาก ไปหา ดีน้อยที่สุด....
1. น้ำมันมะกอก (ราคาแพง)
2. น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน (เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไทย)
3. น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกคำฝอย
4. น้ำมันเนย น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว (กลุ่มนี้ไม่ควรใช้)

อย่างไรก็ตามน้ำมันปรุงอาหารที่ขายในประเทศไทย หลายยี่ห้อเป็นน้ำมันผสม ดังนั้นก่อนซื้อควรพิจารณาดูส่วนผสมที่ฉลากด้วย

ส่วนของทอดที่วางขายกัน โดยทั่วไป มักใช้น้ำมันปาล์ม เนื่องจากไม่มีกลิ่นและราคาถูก จึงควรหลีกเลี่ยงของเหล่านี้ด้วย

แต่ถ้าถามว่าถ้าให้ข้าเจ้าเลือกจะเลือกอะไร

บอกได้ว่าคงเลือกแถวๆข้อ 2 เพราะเป็นคนไม่ค่อยทานของทอด ส่วนใหญ่ใช้นิดหน่อยตอนผัดผักซึ่งก็ใช้กระทะเทฟลอน ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันมากอยู่แล้ว เพราะน้ำมันมะกอกแพงมากเลยแต่ถ้าใครมีสตางค์พอที่จะใช้ได้ ก็ดีที่สุด ส่วนข้อ 4 นั้นไม่ซื้อใช้แน่นอน

แล้วคุณเลือกอย่างไร




Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2551 14:32:41 น.
Counter : 616 Pageviews.

1 comment
ก๋วยเตี๋ยว อันตราย
เกิดมาเป็นคนไทย ไม่มีใครปฎิเสธการกินก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าลูกเล็ก เด็กแดง ต้องได้เคยลิ้มชิมรสกันมาแล้ว ก๋วยเตี๋ยวมีหลายชนิด หลายเมนู เส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ บะหมี่ ก๋วยจั๊บ เกี้ยมอี๋ เอามาทำเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้ง น้ำ ต้มยำ ก๋วยจั๊บน้ำข้น น้ำใส ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว ผัดไทย ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เมี่ยงก๋วยเตี๋ยว โอย นึกไม่ออก
แล้วรู้กันบ้างไหมว่า อันตรายมันแฝงมากับก๋วยเตี๋ยว

สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) ได้แถลงถึงผลการวิจัย ตั้งแต่ปี 49-51 พบว่า โรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่มีปัญหาตั้งแต่ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดการตัวผลิตภัณฑ์ การขนส่ง ตัวแทนจำหน่าย และร้านค้า (หมายถึงร้านขายก๋วยเตี๋ยว) นั่นหมายถึงว่า ก๋วยเตี๋ยวที่เกินกันนั้นมีอันตรายแฝงมาแทบจะทุกส่วน เพราะมันมีปัญหาตั้งแต่วัตถุดิบ จนถึง กระบวนการทำให้เรากินได้ คือ ร้านก๋วยเตี๋ยว

เพราะการผลิตนั้นมีการเติมสารกันเสียหลายชนิด เพื่อให้เส้นเหนียว นุ่ม อยู่ได้นานตามความต้องการของผู้บริโภค หือผู้ขายที่ต้องการเก็บของไว้ขายได้นานๆ เพราะโดยธรรมชาติ ถ้าไม่เติมสารกันเสีย เส้นก๋วยเตี๋ยวจะเก็บไว้ได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น แต่ที่ขายๆกันในปัจจุบัน เก็บได้นานประมาณ 7 วัน แสดงว่าใส่สารกันเสียมาก

เรียงอันดับของเส้นที่ใส่สารกันเสีย คือ เส้นใหญ่ เส้นเล็ก ก๋วยจั๊บ เส้นหมี่ที่ไม่ใช่เส้นหมี่อบแห้ง

นอกจากนี้ กระบวนการผลิตก๋วยเตี๋ยวยังต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก เพื่อป้องกันเส้นติดกัน และสามารถขยี้เส้นให้แตก ทำอาหารได้ง่าย ซึ่งน้ำมันที่นำมาใช้เป็นน้ำมันเก่า!!!!ที่ไปใช้ต่อจากการทอด ไก่ทอด หมูทอด ปาท่องโก๋ แล้วเอามาผสมกับน้ำมันพืชใหม่ เช่น น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันปาล์ม ทำให้มีความหนืดสูง แต่กลายเป็นสารพิษมีผลต่อการทำงานของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือด หัวใจ และน้ำมันที่ใช้ทำเส้นอาจปนเปื้อนสารอัลฟาท็อกซิน ซึ่งเป็นตัวการของมะเร็งตับ ตับอักเสบ รายซินโดรม(โรคที่เกิดกับเด็กก่อนวัยเรียน ทำให้มีอาการไข้ ปวดท้อง อาเจียน ชัก สมองบวม และตายได้ใน 24-72 ชม.)
ลองนึกถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มันมีน้ำมันเคลือบเส้นให้มันลื่นๆ นั่นแหล่ะ เจอมากในเส้นใหญ่ เส้นเล็กน้อยกว่า แต่ที่แน่ๆ ในเมนูผัดไทย ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว พวกนี้ติดอันดับความมัน(อันตราย) คือ มีประมาณ 5-8 % ยิ่งถ้าเอาไปผัดซ้ำจะยิ่งอันตรายเพิ่มไปอีก

นอกจาก สารกันเสีย น้ำมันเก่า แล้ว ยังมีสารส้มหรืออลูมิเนียมอะลัม ซึ่งไม่ควรเกิน 0.2 มก./ลิตร (มาตรฐานน้ำดื่ม) แต่พบในเส้นก๋วยเตี๋ยว 620 มก./กก. ซึ่งโดยปกติถ้าได้รับ 50-200 ไมโครกรัม/ลิตร ก็ส่งผลต่อระบบประสาท กรวยไต กระดูก

บางคนเลยบอกว่า เฮ้ย ถ้างั้นต่อไปนี้จะกินก๋วยเตี๋ยวที่ผ่านการลวกเท่านั้น เลิกไปดีกว่า พวกผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ราดหน้า

อย่าเพิ่งดีใจ ไอ้น้ำที่อยู่ในหม้อลวกน่ะ มันน้ำที่ตกค้างจากเส้นนะ เพราะยังพบว่า น้ำที่ใช้ลวกเส้น มีสารส้มตกค้าง 55 % ถ้าไปผัด ตกค้าง 66%
และ ที่บอกมาน่ะ แค่เรื่องเส้น แต่จริงๆ มีเรื่องหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ต้องระวังด้วย

เพราะพบว่าหม้อก๋วยเตี๋ยวใช้ตะกั่วเป็นตัวบัดกรี เชื่อมส่วนประกอบของหม้อ พอตะกั่วได้รับความร้อนจะละลายเป็นของแถม คือ กินก๋วยเตี๋ยวแถมตะกั่ว ไม่รู้ว่าต้องการเพิ่มสารอาหารหมวดโลหะหนักให้ทำไม จำได้ว่าไม่มีในอาหารหลัก 5 หมู่สักหน่อย

แต่ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า ร้านขายก๋วยเตี๋ยวบางร้าน แปะคำว่า หม้อก๋วยเตี๋ยวปลอดภัยกันแล้ว
เออ ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวปลอดภัยจากตะกั่วให้เลือก

แล้วเที่ยงนี้จะกินก๋วยเตี๋ยวร้านไหนดีล่ะ



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2551 8:57:52 น.
Counter : 914 Pageviews.

5 comment
กล้วยหอม สุดยอด
กล้วยหอม ผลไม้ยอดฮิตตลอดกาล วางขายทุกพื้นที่ตั้งแต่แผงผลไม้ข้างบ้าน จนถึงห้างสรรพสินค้าระดับไฮโซ

กล้วยหอม มีประโยชน์เหลือเชื่อ นอกเหนือจากท้องอิ่ม

มารูจักกล้วยหอม กันนะ


กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส
(sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหารมันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลย

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ..ทำไมนักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ)
ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์
ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...เริ่มที่


ความเศร้าซึม

จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม
เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin
สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น


pms (premenstrual syndrome)

สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย
ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย.เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ
รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....
มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........


โรคโลหิตจาง (Anemia)

ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้..


ความดันโลหิต (Blood Pressure)

กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ
เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration
อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง


เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)

ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น
เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื ่นตัวอยู่เสมอ


อาการท้องผูก (Constipation)

เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี


เมาค้าง (Hangovers)

วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake
โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย

ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็ วขึ้น......


จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)

กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่
ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว


Morning Sickness

พวกคุณแม่คนใหม่ ที่ยังมีอาการแพ้ท้อง เขาว่าถ้าได้กินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้


บรรเทาแผลยุงกัด

ก่อนที่จะใช้ยาทา
ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ


ระบบประสาท (Nerves)

วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. ...อ่อนล้าได้


อ้วนจากทำงานมากเกินไป

ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า
ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเ ต้โต้ชิปส์มากเกินไป
ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจ ุกจิก


แผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร(Ulcers)

สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ
ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้


ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)

ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน
ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง
อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล ้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็น

ลดความอยากสูบบุหรี่

สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่
กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียมที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน


กล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ

เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว
กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า
มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า 2 เท่า
ฟอสฟลอรัสมากกว่า 3 เท่า
วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า
วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆมากกว่า 2 เท่า
ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า
'An apple a day keeps doctor away.'
ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น
'A banana a day keeps doctor away.' ซะแล้วมั๊ง.....

อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่ง รองเท้าหนังถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ
ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลย
เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเลย....


ประโยชน์ซะขนาดนี้ คงต้องยกนิ้วให้แล้วหล่ะ พ่อกล้วยหอม สุดยอดดดดด จิง จิง




Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2551 10:40:03 น.
Counter : 505 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ข้าเจ้า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]