กันตยา 15
 

กันตยานั่งมองปฏิทินตั้งโต๊ะ มองหาวันหยุดช่วงยาว ๆ ติดต่อกัน เธอทำงานที่นี่มาเกือบจะครบสองปีเต็มแล้วที่ไม่เคยขอลาพักร้อนเลย ชีวิตของเธอช่วงนี้มันช่างราบเรียบเหลือเกิน เหมือนทะเลไม่มีคลื่น เบื้องลึกก้นบึ้งของหัวใจมันเรียกร้องหาการผจญภัย เธอนึกถึงวันที่เธอนั่งรถสองแถวสีแดงไปพบศาสตราจารย์สุทัต ที่วัดมหาธาตุตามนามบัตร  ที่กำแพงด้านหน้าของวัดมีป้ายผ้าผืนใหญ่สีขาวมีข้อความ ‘ชมรมโหราศาสตร์ภาคเหนือ’  ติดแปะไว้. ‘ได้เจอของจริงแล้ว’  กันตยาคิด เธอเดินเข้าไปในวัด บรรยากาศข้างในร่มรื่น เห็นหมอดูอาวุโสหลายท่าน บางคนนั่งพบปะลูกค้าใต้ร่มไม้  บางคนนั่งประจำโต๊ะข้างในศาลาหลังเก่า  กันตยามองหาศาสตราจารย์สุทัต ท่านหันมาพอดี เธอจึงยกมือไหว้ จังหวะนั้นเองก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของท่าน กันตยาจึงนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ

 

“อยากขยายธุรกิจค่ะ ดูว่าจะทำเงินได้ไหม” สุภาพสตรีท่านนั้นถามขึ้น ศาสตราจารย์สุทัต ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหม้อฮ่อมข้างที่ตุงนิด ๆ หยิบเอาเลนส์แก้วใสวงกลมขึ้นมาส่องดูลายมือสุภาพสตรีท่านนั้น

 

‘ที่แท้ก็พกเลนส์ขยายนี่เอง’    

“ได้ครับ กำไรแน่นอน”  

 

“ขอบคุณค่ะ คราวที่แล้วที่มาดูตอนจะเปิดสาขาใหม่ ก็แม่นมากเลยค่ะ”  จากนั้นเธอก็วางแบงค์ร้อยสามใบตรงหน้าศาสตราจารย์ ยกมือไหว้แล้วลุกเดินออกไป ศาสตราจารย์หยิบแบงค์ร้อยสองใบใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ อีกใบหนึ่งหย่อนลงในกล่องซึ่งเขียนข้อความ “บำรุ่งชมรมฯ” ที่ข้างกล่อง แล้วท่านก็พยักหน้าเรียกเธอ

“มาจนได้นะ”

 

 “ค่ะ”   

 

“มีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้หรือ” ท่านจ้องหน้ากันตยาเหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน ท่าทางของท่านแตกต่างจากอยู่ในห้องเรียน กันตยารู้สึกเกร็ง  

             “ค่ะ..หนูอยากรู้เกี่ยวกับตัวเองค่ะ”   

 “แบมือมาสิ  ทั้งสองข้าง ..อย่าเกร็ง ให้วางในท่าสบาย ๆ “  กันตยาทำตามอย่างว่าง่าย  เธออ่านบุคลิกลักษณะคนอื่นได้ แต่อ่านตัวเองไม่ได้  ศาสตราจารย์กวาดสายตามองแว๊บเดียว  

 

“อยู่ห่างพ่อแม่น่ะดีแล้ว..อืม..นิ้วมือเนื้อแน่นเป็นสปริงขัดกับร่างกายที่ดูอ่อนแอ...มีพลังเยอะนะ เส้นลายมือลึกตัดกันไปมา  ชีวิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  โชคดีที่มีเส้นคุ้มครอง น้อยคนนักจะมี  จะเดินทางไกลบ่อย “   

 

“อย่างกลับบ้านใช่ไหมคะ”  

 

“อย่างนั้นเลิกพูดกัน”

  

“ เนินเสาร์เด่น..มันหมายถึงสิ่งลี้ลับ..กรรมเก่าในอดีตอาจย้อนกลับมาท้าทาย  เอาล่ะเชิญ” ท่านผายมือเป็นสัญญาณบอกว่า ‘ไปได้แล้ว’  กันตยายกมือไหว้ขอบคุณและรีบลุกขึ้นเพราะมีลูกค้านั่งรอคิวอยู่  

 กันตยาถอนหายใจ ‘แต่ตอนนี้ดูมันนิ่งเหลือเกิน’   ถ้าลาได้จะไปไหนดี ทะเลก็ไม่ชอบ หรือว่าจะกลับไปเยือนเชียงใหม่อีกครั้ง ..ไปทานข้าวซอยแล้วขึ้นดอยสุเทพชมทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา 

‘เฮ้อ! แค่คิดก็สุขใจแล้ว’     

พลันความคิดของเธอก็ต้องสะดุดกึกเมื่อมีเสียงเคาะที่ประตู  

            “เข้ามาได้ค่ะ”    

            “หนูกันตยาคะ บอสใหญ่เชิญที่ห้องค่ะ”   น้าพอใจ แม่บ้านประจำสำนักงานแง้มประตูแล้วโผล่หน้าเข้ามาบอกเธอ กันตยาเกือบจะโพล่งถามออกไปว่า มีเรื่องอะไรหรือ แต่นึกได้ว่าแม่บ้านมีหน้าที่แค่รับคำสั่ง คงไม่รู้อะไร เธอจึงลุกเดินตามออกไป   

            “วันนี้ผมนัดลูกความไว้ 4 โมงเย็น เธอต้องทำล่วงเวลานะ”    

ทันทีที่เธอหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของทนายปกรณ์ บอสใหญ่วัยกลางคนหน้าตาดี บุคลิกภูมิฐาน เหมาะสมกับวัยวุฒิและคุณวุฒิ เขาก็รีบสั่งงานเลย            

               “ค่ะ”      

 ทนายปกรณ์มองหน้าเธอนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ  

             “ลูกความรายนี้จะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ลงเครื่องที่อุบลฯ ราว ๆ บ่ายสองโมง ผมจะให้น้าบุญล้ำพนักงานขับรถกับทนายวิทยะไปรอรับที่สนามบิน ส่วนหนูให้รอที่นี่”            

              “ค่ะ”    

            “ลูกความเป๋นชาวอเมริกัน คดีนี้เพื่อนจากทางอุบลฯโอนมาให้ผมอีกทีหนึ่ง หน้าที่ของหนูคือ ทำความรู้จักกับลูกความและซักซ้อมสำนวนที่ยังไม่แปล เพราะอยากตรวจเช็คให้แน่ใจว่า สำนวนและข้อมูลที่ได้มาถูกต้องตรงกันหรือไม่”    

             “ค่ะ”            

             “มีอะไรจะถามไหม”    

            “ลูกความชื่ออะไรคะ”    

            “โรบิน  ดันแคน”   

 

ออกจากห้องบอสใหญ่ กันตยาเดินไปบอกป้าวีร์ว่าวันนี้กลับค่ำ เพราะบอสนัดลูกความไว้หลังเลิกงาน ป้าวีร์พยักหน้ารับทราบ เธอจึงเดินกลับโต๊ะทำงาน สมองของเธอก็จินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ    

            ‘นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เจอลูกความจากเมืองลุงแซม’    

          ‘จะผอมสูงโย่ง หรือว่าอ้วนเหมือนลุงแมคโดนัลนะ’    

          ‘ไปทำอะไรมานะถึงต้องได้ขึ้นโรงขึ้นศาลที่เมืองไทย’ 

   

ก่อนถึงเวลานัดกันตยาเข้าไปนั่งรอในห้องรับรอง พอใกล้จะถึงเวลานัดทนายวิทยะก็มาเปิดประตูให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งรูปร่างสันทัด สูงไม่เกิน 160 เซนติเมตรเข้ามา กันตยาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอคิดว่าคงเป็นเพื่อนหรือญาติของทนายวิทยะ เธอจึงส่งยิ้มที่มุมปากให้และผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้นั่ง  ชายแปลกหน้าคนนั้นก็พยักหน้าเชิงขอบคุณรับเช่นกัน แล้วต่างคนก็ต่างนิ่ง จากบุคลิกภายนอก กันตยาเดาได้เลยว่าเขาเป็นคนอ่อนไหว ระแวดระวัง ประกอบกับนิ้วมือเล็ก สั้น ปลายตัดตรง แสดงว่าเป็นคนโมโหง่ายประเภทฟีวส์สั้น อาจจะถึงกับโมโหร้าย  ถ้าจะเข้าหาคนคนนี้ จะบุ่มบ่ามไม่ได้ต้องมีพิธีรีตอง...  ดวงตาแฉะถ้าไม่ใช่คนดื่มมากจนลิสซึ่มก็แสดงว่าอมทุกข์ ถึงขนาดแอบนอนร้องไห้บ่อย ๆ   ..พลันประตูห้องก็เปิดออกทนายวิทยะเดินเข้ามาพร้อมกับบอสใหญ่ 

            “ทำความรู้จักกันรึยัง”  ทนายปกรณ์ถามกันตยา พร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะรับรองเล็ก กันตยาตีสีหน้างุนงง 

             “ส-วัส-ดี ครับ อืม..อืม”     

กันตยาแทบช็อค เพราะคาดไม่ถึงว่าชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าที่เธอหรือใคร ๆ ก็ดูออกว่าเป็นคนไทย แต่กลับเป็นชาวอเมริกัน    

            “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อกันตยาค่ะ”  

            “ยิน-ดี-ที่..อืม..อืม..รู้..”  แล้วเขาก็เอาอุ้งมือทุบหัวตัวเองเบา ๆ พยายามนึกคำพูด 

 กันตยาต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ มันไม่เหมือนอย่างที่เธอคาดหวังไว้เลย ถือว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์ที่ได้เจอคนไทยที่ชื่อว่า Mr. Robin Duncan เธอคิดว่าชายคนนี้น่าสนใจไม่น้อย 

 

เรื่องที่พูดคุยกันในวันแรก ก็เกี่ยวกับรูปคดี  จากสำนวนคดีที่เธอได้อ่านจึงทราบว่ามิสเตอร์ดันแคนฟ้องหย่าภรรยาคนไทย เขาขอบ้านที่กรุงเทพฯและแหวนเพชรคืน  กันตยายังไม่กล้าเจาะลึกไปถึงชีวิตส่วนตัว และเธอยังพบว่ามิสเตอร์ดันแคน เป็นคนขาดความมั่นใจ  พูดจาวกไปวนมา พอย้อนกลับมาถามคำถามเดิมก็จำไม่ได้ ต้องทบทวนกันใหม่ บอสปกรณ์จึงขอนัดให้มาอีกในวันพรุ่งนี้บ่ายโมงตรง ขากลับบอสให้น้าบุญล้ำ ขับรถไปส่งที่พัก รีสอร์ท ออกนอกเมืองไปไม่กี่กิโล 

            “สวัสดี-ครับ-คุณ-กันตยา”  

มิสเตอร์ดันแคนยิ้มแป้นทักทายทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ในมือเขาถือหนังสือนวนิยายเล่มโตและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์มาด้วย วันนี้ดูเขาสดชื่นกว่าเมื่อวาน และไม่ได้มาคนเดียว มีเพื่อนหญิงซึ่งดูอ่อนกว่าเขามากติดตามมาด้วย  เขาไม่ได้แนะนำเธอให้กันตยารู้จัก  และเธอคนนั้นก็ไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งเฝ้าดูเงียบ ๆ  

 วันนี้ก็ซ้อมสำนวนเหมือนเดิม  กันตยาเริ่มสังเกตเห็นว่าเขาจะสับสนกับคำถามค้าน ที่ให้ตอบว่า ‘ใช่’ กับ ’ไม่ใช่’ แต่วันนี้ดูเขาทำได้ดีกว่าเมื่อวาน ท่าทีเขาผ่อนคลายมากขึ้น บอสให้นัดต่ออีกหนึ่งวัน เพราะอีกสามวันข้างหน้าเขาต้องไปขึ้นศาลที่จังหวัดนนทบุรี   ขากลับเขาหยิบเอาหนังสือนวนิยายติดมือไปด้วยส่วนหนังสือพิมพ์ทิ้งไว้ที่สำนักงาน กันตยาจึงเอากลับไปอ่านที่บ้าน

ทานมื้อเย็นเสร็จเธฮก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือมา  ส่วนใหญ่ก็นำเสนอข่าวทั่ว ๆ ไป  เธออ่านผ่านโฆษณาชิ้นหนึ่งที่โชว์ภาพสัตว์และมีข้อความ 

             ‘สัมผัส  The Big Five of South Africa’   

‘สายการบิน เอส เอ แอร์ไลน์ เปิดเส้นทางใหม่ บินตรงสู่กรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน วันอังคารและวันพฤหัสบดี’     

‘ลุ้นรับรางวัลตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และไวน์เลิศรส’    

‘ เพียงสะสมคูปองรายวันติดต่อกันจำนวน 7  ใบ กรอกชื่อ ที่อยู่ ตอบคำถาม และส่งคูปองไปที่...’  

                                                                                                                   ก่อนออกจากบ้าน เธอไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์กลับไปที่ทำงานด้วย และวันนี้มิสเตอร์ดันแคนมาคนเดียว และถือหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์มาเหมือนเมื่อวาน 

            “วันนี้เพื่อนหญิงไม่ได้มาด้วยเหรอคะ”    

            “ไม่ เธอบอกว่าน่าเบื่อ ขอนอนเล่นในห้องพักดีกว่า”    

จากท่าทางที่เป็นมิตรของเขา กันตยาจึงกล้าเอ่ยปากถามถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขา เขาก้มต่ำมองพื้น ยิ้มเศร้า ๆ ก่อนตอบคำถาม  

 

            “สิ่งที่เป็นทุกข์ที่สุดก็คือ การไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”  

 กันตยารู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกตรงหัวใจ 

 

 ‘ถ้าเช่นนั้น ไม่ใช่มีเราเพียงคนเดียวที่ไม่รู้จักตัวเอง’  




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2557 20:24:52 น.
Counter : 484 Pageviews.

0 comment
กันตยา 14
 

ศาสตราจารย์สุทัตเดินเข้ามาในห้องบรรยายด้วยใบหน้าที่สดใส หวีผมเรียบแปล้ นักศึกษาเดาได้เลยว่าวันนี้ท่านอารมณ์ดี

             “มีใครเริ่มเห็นแววนักเขียนของตัวเองหรือยัง”  ท่านหว่านคำถามนำ

             เงียบ! ไม่มีเสียงตอบสะท้อนกลับไป   บรรยากาศแบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ

            “แล้วตอนนี้พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่..”  ท่านเลิกคิ้วขึ้นสูง

             “เรียน การเขียนแบบสร้างสรรค์ อยู่ครับ”  เสียงนักศึกษาชายจากข้างหลังห้องตอบ

            เป็นคำตอบที่ย้อนศรเกินไป น่ากลัวอันตราย

 

            “ คือ อย่างหนูเนี่ย ฝึกเขียนบ้างค่ะ แต่จับแนวไม่ถูกว่าควรจะไปแนวไหน อย่างไร  ดูมั่วไปหมดค่ะ”  เสียงจากนักศึกษาหญิงที่นั่งข้างประตูหลัง 

คำพูดของเธอคงพอกู้สถานการณ์ได้บ้าง  สีหน้าศาตราจารย์สุทัตดูดีขึ้น ท่านเขียนวงกลมวงใหญ่สองวง เหลื่อมล้ำซ้อนทับกันเล็กน้อยในแนวตั้ง  แล้วเขียนคำว่า Realistic  ลงในวงกลมแรกที่อยู่ข้างล่าง  Twilight / dusk  ลงในพื้นที่บริเวณวงกลมสองวงทับซ้อนเหลื่อมล้ำกัน และ  Fantastic / Imagination  ลงในวงกลมอันบน ท่านขีดเส้นใต้สองเส้นใต้คำในวงกลมแรก

              “สำหรับคนที่ยึดติดอยู่กับความเป็นจริง หรือ facts มองทุกอย่างในแง่ความเป็นจริง เนื้อเรื่องที่เขียนสื่ออกมาก็จะอยู่ในส่วนนี้”     จากนั้นก็ขีดเส้นใต้สองคำในเขตพื้นที่วงกลมเหลื่อมล้ำทับซ้อน  

            “บริเวณนี้ ถ้าเป็นอาหารก็สุก ๆ ดิบ ๆ ถ้าเป็นเวลาก็โพล้เพล้ ถ้าเป็นคนก็กึ่งผีกึ่งคน ..พอนึกภาพออกไหม?”

             “หมายถึง ความจริงผสมผสานกับจินตนาการ ใช่หรือเปล่าคะ”  ฟ้าใหม่ตอบได้ถูกใจศาสตราจารย์สุทัตท่านผงกหัวขึ้นลงอย่างพอใจ

             “ส่วนบนสุดก็ ...”

             “จินตนาการล้วน ๆ “  อิสระชิงตอบก่อนใครอื่น

             “หรืออาจจะเพี้ยนไปเลยก็ได้”  คำพูดของรัชตะเรียกเสียงเฮได้

             “ทีนี้ให้นักศึกษาถามตัวเองว่าตัวเองถนัดแนวไหน และอยู่ส่วนไหนของสองวงกลมนี้.”

 

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ภาพวงกลมบนกระดาน แต่จริง ๆ แล้วทุกคนกำลังสนทากับตัวเองว่าจะจัดวางตัวเองไว้ตรงไหน

             “ คิดว่าตัวเองอยู่ส่วนไหน..  กันตยา” 

 

กันตยาสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อ .. สมองของเธอกำลังโลดแล่นทะลุกระดานไวท์บอร์ดที่อยู่ตรงหน้าไปไกลสุดกู่  เธอกำลังสงสัยว่าเหตุการณ์ที่เธอเคยเผชิญมา มันเป็นจินตนาการหรือมันเป็นจริงกันแน่

             “เออ..คะ? ..หนู..คิดว่าตัวเองอยู่ Twilight Zone ค่ะ แต่ขอเหลื่อมล้ำขึ้นไปข้างบนมาก ๆ หน่อยค่ะ”

 เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเพื่อน ๆ หลายคน ..’นี่คงเป็นครั้งแรกมั้งที่เธอทำให้เพื่อนหัวเราะได้’

             “อืม ..บางคนอาจจะซ้อนทับกันนิดเดียว บางคนอาจจะเกือบจะซ้อนทับเต็มวงก็ได้ ขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคน “ ศาสตรจารย์สุทัตตอบอย่างอารมณ์ดี   

             “ ให้นักศึกษาเขียนประโยคหรือข้อความคนละสามประโยค  แล้วลองจัดวางว่ามันอยู่ในโซนไหน  ” 

  

พูดจบท่านก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ท่านล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อม่อฮ่อมพื้นเมืองที่ท่านชอบใส่เป็นประจำ ตอนแรกท่านล้วงกระเป๋าข้างที่ตุงพองออกมาเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนไปล้วงอีกข้างหนึ่งแทน และหยิบกระดาษที่พับรูปทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาแผ่นหนี่ง

              “เวลาพวกคุณส่งงาน อย่าลืมเขียนชื่อ และรหัสนักศึกษาด้วย ..นี่ แผ่นนี้ ดีนะที่ไม่โยนลงตะกร้า”

 พูดจบท่านก็วางลงบนโต๊ะของกันตยา ทุกคนยังคงนั่งนิ่งไม่มีใครลุกเดินมาดู นิ่งนาน ๆ คงไม่ดีแน่ กันตยาจึงหยิบมันขึ้นมา คลี่ออกช้า ๆ เธอรู้สึกมันเหมือนกำลังแอบดูความลับของคนอื่น  เธอหันไปมองศาสตราจารย์สุทัต ท่านก็ยังคงยืนนิ่งเฉย เธอจึงกวาดสายตามองแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงหน้า  

             “ไม่มีชื่อ และรหัสค่ะ..เอ่อ..” 

              ‘ เอาไงดี เดินไปยื่นให้แต่ละคนดู หรือจะเรียกให้ทุกคนมาดูกันเอาเอง’

           “ประกาศหาเจ้าของหน่อย”    ศาสตราจารย์สุทัตเตือนสติเธออีกครั้ง

             “คะ? . คือ..เอ่อ.. ลายมือเล็กมา  ตัวกลม ๆ ป้อม ๆ เส้นอ่อนช้อย จัดวางเป็นระเบียบ ช่องไฟสม่ำเสมอ น่าจะเป็นลายมือผู้ชาย ที่..เอ่อ..เป็นคนมีนิสัยละเอียดอ่อนคล้ายผู้หญิงหน่อย  ..จุกจิกหยุมหยิมมาก”

พูดจบก็เกิดเสียงฮือฮาวี๊ดว้ายขึ้น  เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยระงมไปทั่ว

             “ไม่ใช่ของฉันแน่ ของฉันโย้เย้”

             “ลายมือผม ตัวเท่าหม้อแกง”

             “จะต้องเป็นของเพศที่สามแน่เลย”

นักศึกษาชายที่นั่งติดหน้าต่างคนหนึ่งค่อย ๆ ยืนขึ้น แก้มทั้งสองข้างแดงเรื่อ  เขาลุกจากโต๊ะ เดินตรงไปยังกันตยา ยื่นหน้าไปดูแผ่นกระดาษ มือที่ยื่นไปหยิบแผ่นกระดาษสั่นเล็กน้อย แล้วยิ้มอาย ๆ

             “ของผมเองครับ”    

 เพื่อน ๆ หลายคนเฮลั่น เพราะเจ้าของใบงานที่ชื่อเล่นว่าขิม เป็นคนอ้อนแอ้นอรชร ชอบคบกับเพื่อน ๆ ผู้หญิง แต่มีความสามารถพิเศษคือเล่นดนตรีไทยได้หลายชนิดที่ถนัดที่สุดก็คือ ขิมกับซออู้ 

            “ใช่เลย..นิสัยเหมือนผู้หญิง และละเอียดอ่อนจริง ๆ”

             “ว้าว! บิ๊กอาย ทายจากลายมือได้ด้วย”

             “ดูให้ผมหน่อยครับ”

             “ดูให้เราหน่อยดิ”

 

            ‘ไม่น่าเลยเรา’  เธอหันไปทางศาสตราจารย์สุทัต ท่านหันไปมองนาฬิกา ยังมีเวลาเหลือเฟือ ท่านพยักหน้าเชิงอนุญาต เธอหันไปสบตากับอิสระเข้าพอดี เขาส่งยิ้มให้ด้วยท่าทางที่เป็นมิตร เป็นเชิงบอกว่า  ‘เอาเลยเพื่อน’

             “อืม..คือว่า ..บางครั้งมันไม่ใช่สิ่งที่จะดูกันได้ง่าย ๆ ค่ะ ..” เธอกวาดสายตามองสมาชิกร่วมห้องที่กำลังตั้งใจฟัง

             “หมายถึง..บางครั้งเราก็ดูอะไรไม่ออกเลย”  เกิดเสียงอุทานเบา ๆ ด้วยความผิดหวังดังกระจายไปทั่วห้อง

             “.มันไม่ง่ายเหมือนอ่าน  A B C ไม่ง่ายเหมือน 1 + 1 เพราะมันเป็นการผสมผสาน” บังเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เพื่อนหลายคนตั้งหน้าตั้งตาฟัง สายตาจับจ้องกันตยาเขม็ง

 

“คือ ..ลักษณะอย่างเดียวกัน อาจมีความหมายแตกต่างกันไป มันเหมือนเอาดอกไม้ไปปักแจกันนะค่ะ แจกันก็มีส่วนทำให้ดอกไม้ดูสวยหรือไม่สวยได้ .. ศาสตร์นี้ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ..ดิฉันคิดว่าถ้าใครสนใจก็สามารถหาอ่านได้ มันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ..มันอาจจะเป็นสิ่งชี้แนะให้เรารู้จักใช้โอกาสค่ะ  ” กันตยากำลังจะจบการสนทนา เธอเห็นสีหน้าผิดหวังจากหลาย ๆ คน  นักศึกษาหญิงที่ชื่อปริชญาซึ่งนั่งอยู่ใกล้ผนังด้าน ข้างของห้องซึ่งเธอเอามือเท้าคางและกำลังจ้องมองกันตยา

               ‘ข้อกลางของนิ้วก้อยที่กลมเด่นและโค้งงอ’

             “ปริชญา..จะมีปัญหาในการใช้คำพูด..หมายถึงการสื่อความหมายอาจทำให้คนฟังเข้าใจผิด”

  ที่จริงแล้วเธออยากจะพูดว่า ‘พูดไม่เข้าหู’ มากกว่า แต่เกรงจะฟังดูรุนแรงไป

             “เฮ้ย ! จริงดิ” 

 เกิดเสียงฮือฮาอีกครั้ง นักศึกษาหลายคนต่างชูมือขึ้นมองดูนิ้วของตนเอง  บางคนก็โบกมือไปมา

           “ดูให้เราหน่อยดิ..เราหน่อย.. เราหน่อย..”

มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เธอไม่ได้ยกมือเหมือนคนอื่น ๆ แต่ยิ้ม โชว์ให้เห็นฟันที่สลับซับซ้อนกันไม่เป็นระเบียบประกอบกับเหงือกที่หมองคล้ำมาก พร้อมกับรอยยิ้มที่ตาไม่ยิ้มด้วย

             “อรญา เป็นคนที่เชื่อใจได้ยาก”  ทุกคนหันขวับไปมอง  เกิดบรรยากาศเงียบขึ้นอีกครั้ง

             ‘แย่แล้วเรา ไม่น่าพูดด้านลบเลย’

 เธอหันไปเห็นนิ้วก้อยของชนิกานต์ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเธอปลายของมันโค้งงอเข้าหานิ้วนางซึ่งแยกห่างออกจากนิ้วกลาง บวกกับแววตาเหมือนคนแอบยิ้ม ปากเผยอน้อย ๆ  

             “นี่ คนนี้จะแอบรักคนมีเจ้าของ” เธอชี้ไปที่ชนิกานต์เชิงหยอกล้อ เรียกเสียงเฮตรึมจากทั้งห้อง ทำให้บรรยากาศกลับมาชื่นมื่นอีกครั้ง

             “ถูกต้อง เลย..ใช่เลย.. แม่นจังเลย”  เสียงแซวมาจากเพื่อน ๆ ชนิกานต์เองก็หัวเราะงอหงาย เออ ออ ยอมรับ

             “ตอนนี้น่ะใช่ แล้วอนาคตล่ะทายต่อหน่อย “    

 กันตยาจึงถือโอกาสตอนที่เพือน ๆ กำลังครึกครื้นขอตัวเข้านั่งประจำที่  ก่อนที่เธอจะนั่ง เธอมีคำถามศาสตราจารย์สุทัต

             “หนูขออนุญาตถามค่ะ..เอ่อ.. นอกจากภพของเราแล้ว ยังมีภพอื่น ๆ อีกไหมคะ”

 เธอคิดว่าเพื่อนร่วมห้องต้องหัวเราะกับคำถามของเธอแน่ ๆ แต่กลับไม่เป็นดังที่คิด ทุกคนเงียบ ศาสตราจารย์สุทัตตอบคำถามของเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

             “มีหลายตำราเขียนเอาไว้   นอกจากภพมนุษย์แล้วยังมีภพภูติ และภพเทพ คนโบราณบางกลุ่มเชื่อในเรื่องช่วงเปลี่ยนเวลาที่เปิดไปสู่ภพอื่น  พวกเขาเชื่อกันว่าประตูเปลี่ยนภพเปิดคือช่วงเปลี่ยนจากมืดไปสู่สว่าง ตอน 6 โมงเช้า จากสว่างไปสู่มืดคือตอน 6 โมงเย็น และช่วงสิ้นสุดของวัน คือ 24 นาฬิกาเพื่อย่างเข้าวันใหม่”  

หัวใจของกันตยาเต้นถี่รัวเร็วด้วยความตื่นเต้น มือทั้งสองของเธอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เธอพยายามซ่อนความรู้สึกนั้นไว้  เพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ สังเกตเห็น   

            “ พวกเขาพยายามจะบอกว่าหกโมงเช้าเป็นโลกของมนุษย์  หกโมงเย็นเป็นโลกของพวกเหล่าวิญญาณ ภูตผี และเที่ยงคืนเป็นโลกของพวกเทพ  คนเฒ่าคนแก่บางคนจึงบอกเตือนลูกหลาน จะไปไหนมาไหนอย่าออกเดินทางในช่วงต่อเวลา เดี๋ยวเกิดการหลุดโลก”   ศาสตราจารย์สุทัตยิ้มที่มุมปากทิ้งท้ายด้วยคำพูดทีเล่นทีจริง

              “แล้วมันมีจริง ๆ หรือครับ?”   เสียงนักศึกษาคนหนึ่งถามขึ้น

             “มันก็อาจจะมีจริงหรือไม่จริง หรือมันอาจอยู่ในบริเวณนี้ก็ได้” ท่านชี้ไปที่โซน fantasy

             “แล้วเคยมีคนกล่าวอ้างว่าเคยไปเยือนภพอื่นบ้างไหมคะ ” อรญาถามบ้าง

             “ถ้าคุณอยู่ในโลกแฟนตาซี ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ  คุณจะเอาเมืองเชียงใหม่ทั้งเมืองลงขวดยังได้เลย”

 

มีเสียงเออ ออเห็นด้วย  ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบเอาง่าย ๆ และตั้งแต่เรียนมาจนจะจบเทอมแล้ว วันนี้เป็นวันที่นักศึกษามีคำถามมากที่สุด

             “ถ้าเกิดมีคนหลุดเข้าไปในภพอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วจะกลับมาได้ไหมคะ”   คำถามของฟ้าใหม่ผู้อยากรู้อยากเห็นเสมอ.... กันตยาอยากจะบอกเธอเหลือเกิน ..แต่เธอจะทำอย่างนั้นไม่ได้ คราวนี้ทุกคนจะไม่ว่าเธอเพี้ยนแล้วแต่จะว่าเธอบ้าเป็นแน่

             “นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราต้องไปจินตนาการต่อเอาเอง ... ว่าไงกันตยา  ได้คำตอบเป็นที่พอใจหรือยัง” ศาสตราจารย์หันมาถามเอาดื้อ ๆ จนเธอสะดุ้ง เพราะกำลังคิดเพลิน

            “คะ? ..เออ..ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ”     




Create Date : 09 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2557 22:44:55 น.
Counter : 454 Pageviews.

0 comment
กันตยา 13
 

ลมเย็น ๆ ลอยมาปะทะบนใบหน้าเบา ๆ มันเป็นกลิ่นของดินที่ชื้นแฉะยามเช้าตรู่ที่กันตยาคุ้นเคย เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หันไปมองรอบกาย  แสงสลัวยามเช้าช่วยให้มองเห็นร่างที่ยังนอนหลับอยู่ข้างเธอ 

            “แม่ “  เสียงแหบพร่า  น้ำลายเหนียวหนืดเพราะขาดน้ำไปนาน  แต่ก็ดังพอที่จะปลุกคนข้าง ๆ ได้ 

            “ลูก..ตื่นแล้วเหรอ”  เสียงแม่ฟังดูตื่นเต้น พร้อมกับเอื้อมมือมาโอบกอดรัดลูกสาวอย่างแรง 

“ป้ามาดูสิหลานตื่นแล้ว”    เธอตะโกนเรียกพี่สาวที่อยู่ในห้องครัว  มือของกัญญาวีร์ที่กำลังจะกดน้ำร้อนจากกาต้มน้ำหยุดชะงัก  คิ้วย่นเข้าหากัน  

‘ตอนนี้มันกี่โมง  เธอเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนังเหนือประตูห้องครัว มันชี้บอกเวลา 6:02 

‘ ..กลับมาช่วงต่อเวลาพอดีเลยนะ’  เธอไม่ตอบน้องสาวแต่หันไปกดน้ำร้อนต่อ 

 

พอแม่คลายมือออก กันตยาก็พยายามตะเบ็งเสียงพูดเพื่อให้แม่ได้ยิน 

“แม่คะ..หนูเจอคุณตาด้วย” 

 

เสียงของเธอเบาหวิว เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง มือที่กำลังลูบหลังให้ลูกสาวหยุดกึก  พร้อมกับจ้องหน้าเขม็ง  คิ้วขมวดเข้าหากัน ดวงตาทั้งคู่ส่อแววพิศวง  กันตยารับรู้ทันทีว่าแม่เข้าใจอย่างไร  

            “หนูต้องพูดว่า หนูฝันเห็นคุณตา จึงจะถูกจ้ะ”  

กันตยาปิดปากเงียบ เบือนหน้าหนี  ใช่สินะ ก็แม่เห็นเรานอนหลับอยู่ตรงนี้นี่นา  

 

เธอหลับไม่ตื่นไปสองคืนกับหนึ่งวัน  ตอนนี้อาการไข้สูงตัวร้อนหายไปแล้ว  บรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความสุข เพื่อน ๆ ทั้งสามตัวของเธอก็ดูมีความสุข  เธอหันไปมองเจ้าอีคริปส์ที่แสดงความดีใจออกนอกหน้า หางดอกของมันกระดิกไปมาอย่างเร็วจนมันส่ายไปทั้งตัว เธออดขำไม่ได้  

 

แม่เห็นว่าลูกสาวอาการดีขึ้นจึงขอตัวกลับบ้าน เพราะต้องไปทำงาน แม่บอกว่าสำนักงานที่ดินของแม่ แต่ละวันงานล้นมือ ถ้าพนักงานลาไปคนหนึ่ง คนอื่น ๆ ก็จะไต้องมีภาระงานเพิ่มขึ้น   ส่วนป้าวีร์ก็ทำงานบ้านตามปกติ คงปล่อยให้หนูกันอยู่กับเพื่อนทั้งสามของเธอ 

 

พอทุกคนออกไปหมดแล้ว กันตยาเอื้อมมือไปคว้าคอมิดไนท์ดึงเข้ามาใกล้ ๆ  เธอชำเลืองมองซ้ายที ขวาที เกรงจะมีใครได้ยินเข้า

 

            “นี่ มีอะไรจะเล่าให้เธอฟังตั้งมากมาย แต่ต้องเก็บเป็นความลับนะ”    มิดไนท์อ้าปากยิ้มกระดิกหางไปมาเหมือนเข้าใจนายน้อยของมัน 

 

พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอมองไปที่ประตู  แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วตอนขากลับล่ะ เธอจำได้ว่าเดินตามคุณตาอยู่ดี ๆ  แล้วคุณตาก็ให้เธอเดินนำหน้า  มันเหมือนมีอะแทรกผ่านตัวเธอ และพอหันกลับก็ไม่เห็นคุณตาเสียแล้ว

 

ป้าวีร์ยกซุปร้อน ๆ มาให้ กลิ่นหอมกรุ่นยั่วยวนจนกันตยาอดใจไม่ไหว เธอลุกขึ้นนั่งแต่ก็ต้องล้มตึงทิ้งหัวกลับลงไปที่หมอน ..ป้าวีร์อ้าปากค้างหน้าซีด            

               “อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะหนูกัน”            

                “โอ้ย!..บ้านหมุนติ้ว ๆ  แมงอะไรไม่รู้ระยิบระยับไปหมด เส้นลายเกลียวคลื่นวิ่งไล่กันไปมา ตาลาย  เวียนหัว ..คลื่นไส้  จะอ๊วก”   แล้วเธอก็หลับตาปี๋  

                 “ค่อย ๆ ลุกขึ้นใหม่นะ ป้าจะช่วยประคอง” 

 

จะพยายามกี่ครั้ง กี่ครั้งก็เหมือนเดิม ในที่สุดป้าวีร์ก็ต้องพาไปหาหมอ

 

            “อุณหภูมิในร่างกายก็ปกติแล้ว  อาการเวียนหัว น่าจะเป็นอาการของโรคเมเนียร์นะคะ คือน้ำในหูไม่เท่ากัน”  แพทย์หญิงชญานันท์ แจ้งให้ป้าวีร์ทราบ ป้าวีร์นั่งนิ่งจ้องหน้าหมอเด็กเขม็ง 

            “คือ..เอ่อ..ปกติแล้วโรคนี้มักจะพบมากในวัยผู้ใหญ่ ..แต่นี่ยังเด็กมาก..แต่ก็มีโอกาสเป็นได้ค่ะ”  

            “แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไรคะ?”   

 

            “ถ้าเป็นเด็กสาเหตุอาจมาจากการอดนอน  โรคภูมิแพ้  ติดเชื้อไวรัส เกิดการออักเสบที่หูชั้นในหรือหูชั้นกลาง   หูน้ำหนวก...”   

 

 

ป้าวีร์พยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจตามที่หมอพูด  ส่วนกันตยาซึ่งนอนบนเตียงเข็ญที่จอดอยู่ข้าง ๆ  รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ‘ดีนะที่ป้าไม่หันมามอง ไม่งั้นคงเห็นรอยพิรุธแน่‘   เธอยังจำตอนขึ้นจากน้ำได้ว่า รู้สึกหูอื้อ แสบคอ แสบจมูก จนเลือดกำเดาไหล คุณหมอจัดยาให้ชุดหนึ่ง ให้ทานหนึ่งสัปดาห์  แต่เมื่อครบกำหนดแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้น จึงต้องไปพบหมออีกเป็นครั้งที่สอง  คราวนี้คุณหมอใส่เครื่องมือเข้าไปในหูแล้วเปล่าปรับความดัน จากนั้นให้กลับมานอนพักที่บ้านแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนครั้งที่สามคุณหมอจะฉีดยา หนูกันกลัวเข็มและร้องไห้จ้า ตัวสั่นงันงก  คุณหมอเกรงว่าเด็กจะรู้สึกไม่ดีที่ถูกบังคับ จึงเปลี่ยนเป็นให้ยาทานแทน  

 

ในช่วงสัปดาห์แรกที่นอนป่วย พ่อ แม่ และพี่ ๆ ของเธอ รวมทั้งคุณยายก็แวะเวียนกันมาเยี่ยมบ่อย ๆ  ป้าวีร์ยอมหยุดงานเพื่อคอยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด  แต่อาการของกันตยาก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น  เธอทานอาหารได้  พูดคุยได้ตามปกติ ยกเว้นลุกขึ้นนั่งไม่ได้ และเธอก็ป่วยนานเกินไป ป้าวีร์ต้องกลับไปทำงาน คนทีมาเยี่ยมก็เบาบางลงและห่างหายไป  บางวันก็มีเพื่อน ๆ มาจากโรงเรียน  กลุ่มพี่ลูกนกมาพร้อมกับคุณครูประจำชั้น   บางวันก็มีพี่น้ำลูกสาวของเพื่อนแม่รับจ๊อบมาเป็นพี่เลี้ยง สว่นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเธอเสมอก็คือเจ้าสามตัวนั่นเอง 

 

นอนนาน ๆ เธอก็รู้สึกเบื่อ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอเผชิญมาคอยรบกวนจิตใจ  เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอจึงใช้แผ่นหลังถูไถไปกับพื้น  ไถเข้าไปในห้องนอน เธอเปิดตู้เสื้อผ้า เอามือส้วงเข้าไปในลิ้นชักควานหากล่องสมบัติที่เธอซุกซ่อนเอาไว้ เมื่อเจอมันมือของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น หัวใจก็เต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ เธอค่อย ๆ เปิดฝาออก และแล้วดวงตาของเธอก็ต้องเบิกกว้าง อ้าปากค้าง 

           ‘มันหายไปแล้ว‘

 

ข้างในกล่องมีเพียงเปลือกหอยสีขาวที่เธอเก็บมาจากหาดทรายข้างริมแม่น้ำเท่านั้น ปีกนกและก้อนหินสีนวลหายไป

 

            ‘พวกมันคอยช่วย ...เหมือนรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น’ 

 

และนั่นหมายถึงเธอมีความลับที่ต้องเก็บเพิ่มขึ้นอีกตั้งมากมาย และโชคดีที่มิดไนท์เล่าต่อให้คนอื่น ๆ ฟังไม่ได้   

 

เพื่อไม่ให้สมองหมกมุ่นวกวนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ  เธอจึงหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน อ่านเพื่อไม่ให้สมองว่าง   พออ่านหมดทุกเล่มแล้ว ก็ต้องหาเล่มใหม่มาอ่านต่อ  

‘ห้องทำงานของป้าวีร์มีหนังสือตั้งมากมาย’   

 

คิดได้ดังนั้นเธอก็ไถตัวเลื่อนไปเรื่อย ๆ พอเข้าไปข้างในห้องได้  เธอถึงกับอุทานออกมาด้วยความดีใจ  

            ‘โอ้โฮ..! อ่านได้เป็นปีเลยนะนี่’ 

 

เธอตื่นตากับหนังสือหลากหลายสีสัน  เคยแว๊บเข้ามาห้องนี้ก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้สังเกต คราวนี้เธอได้เห็น เต็มสองตา ชั้นวางหนังสือตั้งวางรายรอบสามด้านของห้อง บางอันสูงท่วมหัวเธอ  หนังสือจัดไว้เป็นหมวดหมู่  หนังสือการ์ตูน หนังสือเล่มเล็ก เรื่องสั้น  นวนิยาย  ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ  ตำราเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาจีน พจนานุกรมภาษาต่าง ๆ ที่ปกหลากสีห่อหุ้มด้วยปกพลาสติกอีกทีเธอประมาณว่ามีมากกว่าห้าภาษาบางเล่มยังดูใหม่เอี่ยมอ่องอยู่เลย  และยังมีคู่มือสนทนาภาษาต่าง ๆ อีกหลายภาษา 

 

            ‘ไม่ยักรู้ว่าป้าวีร์เป็นนักอ่าน’  

            ‘ป้าวีร์อ่านจบทุกเล่มไหมนี่’  

            ‘เอาเวลาไหนอ่าน เห็นทำแต่งาน อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอด’

 

เธอไถตัวไปดูชั้นที่จัดเก็บตำรากฎหมาย  ถัดไปเป็นหมวดหมู่ที่แปลกสำหรับเธอ ‘โหราศาสตร์’  สำหรับวัยของเธอแล้ว ไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้ด้วยซ้ำ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งยัวยุทำให้อยากรู้อยากเห็น ‘ มันเกี่ยวกับอะไร’  ตำรามีทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ มีคู่มือไพ่ทาโร่ท์  ไพ่ป๊อก  ตำรานรลักษณ์  ดูลายมือ และ..และ..อื่น ๆ อีกมากมาย   ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนได้เจอขุมทรัพย์  เธอเริ่มจากดูรูปภาพที่แปลกตาของไพ่ทาโร่ท์   และไล่ไปเรื่อย ๆ เท่าที่ความสามรถของนักเรียนชั้นประถม 4 จะอ่านได้ .. แต่ละแขนงยิ่งอ่านยิ่งสนุก มันเหมือนปริศนาคำทาย  ซ่อนเงื่อน เหมือนแกะรอยตามลายแทง บางครั้งเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ เพื่อให้มองเห็นภาพรวม  ทุกวันหลังทานมื้อเช้าเสร็จ  เธอจะรีบไถตัวเข้ามาอ่านต่อเล่มที่ค้างไว้  ยิ่งอ่านมากมันเหมือนเธอโตขึ้นเรื่อย ๆ และโลกของเธอก็กว้างออก ๆ  เธอมีความสุขกับความรู้สึกอย่างนี้ เธอใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปอย่างรวดเร็ว  ส่วนเล่มที่เป็นภาษาอังกฤษเธออ่านยังไม่ได้ 

 

            ‘ไว้โตขึ้นเสียก่อนเถอะ’   เธอบอกตัวเอง

 

เธอนอนป่วยอยู่อย่างนั้น ผ่านไปหลายจันทร์เพ็ญ รวมเวลาได้หนึ่งเดือนเต็ม ๆ  เธอทานยาสามอาทิตย์เท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้น เธอก็ไม่ทานเอาดื้อ ๆ ..ป้าวีร์ก็ไม่อยากบังคับ  ..ป้าวีร์ก็ได้แต่เหลือบมองปฏิทินทุกวันและแอบหวังลึก ๆ ในใจ  และในตอนเย็นของวันขึ้น 14 ค่ำ ขณะที่เธอกำลังขลุกอยู่ในครัวได้ยินเสียงหนูกันร้องเพลงโหวกเหวกอยู่คนเดียว จากนั้นได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเพื่อน ๆ ของเธอ จากนั้นก็ได้ยินเสียงวิ่งไล่หยอกล้อกันในสนามหน้าบ้าน ป้าวีร์หัวเราะทั้งน้ำตา  

 

            ‘ไม่ครบรอบก็ไม่หาย  พอจะหายก็หายเอาเสียดื้อ ๆ ‘ 

 

วันแรกของการไปโรงเรียนหลังจากหยุดไปนานนับเดือน   ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเพื่อน ๆ และคุณครู  มีข้อความ ‘Welcome Back to School’   พร้อมกับภาพช่อกุหลาบสีชมพูผูกโบว์สีแดงบนกระดานหน้าชั้นเรียน  ทุกคนต่างต้อนรับเธอด้วยความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอบกายเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ สิ่งเหล่านี้มันช่วยจรรโลงให้โลกสีน้ำเงินใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น  แต่เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป เธอใช้ภาษาได้ดี อธิบายประโยคยาว ๆ ได้ อ่านภาษาไทยได้คล่องจนครูแปลกใจ ยกเว้นวิชาคณิตศาสตร์ที่เธอตามเพื่อนไม่ทัน  เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นรุ่นพี่ 

  

เพื่อนร่วมชั้นดูยังเป็นเด็กอยู่เลย  จากนั้นเธอก็หัดสังเกตสิ่งที่อยู่รอบ ๆ  ดูอากัปกิริยาและพฤติกรรมของแต่ละคน พยายามจะเชื่อมโยงเข้ากับตำราที่ได้อ่านมาก  ทว่า.. 

 

‘มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ ..มันไม่เป๊ะเหมือนตำรา ..แยกแยะไม่ออกเลย’  เธออดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้

 

 ‘โธ่! นังโง่เอ๋ย อย่านึกว่าเป็นของกล้วย ๆ ’ 

 

และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี ทุกสิ่งทุกอย่างมักมีสองด้าน หน้ามือ หลังมือ ข้างหน้า ข้างหลัง สีดำสีขาว  มืด สว่าง บวก ลบ  โรงเรียนได้มีโอกาสต้อนรับเธอกลับ  แต่ถัดไปอีกไม่กี่วันต้องสูญเสียเพื่อนนักเรียนชายร่วมห้องชื่อคิม ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถเครื่องไปกับรุ่นพี่และเกิดอุบัติเหตุ คิมไม่มีโอกาสสั่งเสียใครเลย    เพื่อน ๆ และครูต่างช็อคกับข่าวนี้  ครูใหญ่จึงพาคณะครูและนักเรียนไปร่วมงานศพที่ตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน  กันตยาไม่ลืมเอาเหรียญห้าและเหรียญสิบติดตัวไปด้วย ตอนพิธีรดน้ำศพ เธอแอบยัดใส่กระเป๋าเสื้อของคิม 

 

            “ฉันเตรียมค่าลงเรือให้เธอแล้วนะ ”  เธอกระซิบเบา ๆ 

 

ในวันงานศพของคุณยายกันตยาก็ไม่ลืมเอาเหรียญใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของยายด้วย ยายจากไปด้วยโรคไตวาย ตอนนั้น เธออายุได้ 15 ปี เรียนชั้น ม.3 กำลังเตรียมสอบปลายภาค  ช่วงที่ยายป่วยหนักยายไม่ยอมพักอยู่โรงพยาบาล  หมอจึงอนุญาตให้กลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน บางคืนกันตยากับป้าวีร์ก็ไปนอนเฝ้ายาย ทิ้งให้สามตัวเฝ้าบ้าน  พอมีโอกาสอยู่กันสองต่อสองเธอพูดคุยแนะนำยายเท่าที่พอจะทำได้        

             “ ยาย..ถ้ายายทนเจ็บไม่ไหว ให้ยายไปเลยนะ”  

 

 “เออ..ให้-ยาย-ไป-ไหน”  

 

“ไปหาที่อยู่ใหม่นะยาย ... ทิ้งร่างนี้เสีย เงินค่าลงเรือหนูเตรียมให้ยายแล้ว พอไปถึงท่าเรือ ให้ยายโยนมันลงถุงที่มีคนยืนรอรับอยู่ใกล้ ๆ เรือนะยาย”

 “จ้-า” “ ให้ยายนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ ที่ยายเคยทำ ท่องให้ขึ้นใจ แล้ว ท่องต่อหน้าเทพ..เออ..(กันตยาหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อ) คนที่ถามยายนะ ถ้ายายทำความดีมาก จำได้มากยายก็จะได้ไปสวรรค์”

              “จ้-า..จ้-า..”    เสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ   กันตยารู้สึกมีความสุขที่ได้ทำหน้าที่

ปีนั้นเป็นปีที่แย่ที่สุดสำหรับกันตยา น้ำตาเพิ่งจะแห้งเหือดจากงานศพยาย  พ่อก็ได้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นข่าวดี แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อได้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ในทางอิสานตอนใต้ แม่ไม่ยอมย้ายตาม เพราะระยะหลัง ๆ พ่อกับแม่มีปากมีเสียงกันบ่อย สืบเนื่องมาจากอารมณ์ของแม่แปรปรวนบ่อย ๆ การย้ายไปของพ่อ เป็นการแยกทางกันโดยปริยาย และไม่กี่เดือนต่อมาพ่อก็อยู่กินกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งข่าวตามมาอีกว่า ทั้งสองแอบคบกันก่อนพ่อจะย้ายไปเสียอีก   ส่วนแม่โรคเครียดกำเริบหนักขึ้นจึงต้องลาออกจากงานไปอยู่กับพี่จี๊ซึ่งแต่งงานแล้วมีลูกชายหนึ่งคน  พี่จี้หวังว่าถ้าแม่ได้อยู่กับหลานคงจะไม่เหงา  พี่จั๊กเรียนจบแล้วและมีงานทำแล้ว ส่วนพี่จ๋าเรียนปีสุดท้าย  

 

กันตยารู้สึกว่าตัวเองเคว้งคว้างลอยห่างจากครอบครัวออกไปเรื่อย ๆ มีแต่ป้าวีร์เท่านั้นที่ดูแลเอาใจใส่เธอเหมือนลูก ถึงแม้เธอจะรักป้าวีร์มาก แต่ลึก ๆ เธอยังโหยหาความรักจากพ่อ แม่ และพี่ ๆ  บางครั้งเธอนึกอิจฉาพวกพี่ ๆ ที่ได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้า ตัวเธอเองเหมือนถูกผลักออกนอกกลุ่ม  ครั้งแรกที่ได้ข่าวพ่อมีแฟนใหม่ เธอรู้สึกโกรธ เกลียดพ่อ เสียใจจนแอบนอนร้องไห้หลายคืน  แม้ว่าเธอพยายามจะใช้เหตุผลให้เข้าใจความรู้สึกของพ่อก็ตาม แต่ก็ยังทำใจได้ยาก  

 

สองปีต่อมามิดไนท์ก็อำลาโลกไปด้วยโรคชรา หูตาของมันฟ้าฟาง บางครั้งมันเดินชนโน่นชนนี่ ฟันก็ร่วงหล่นไปหลายซี่  จู่ ๆ มันก็หยุดทานข้าวทานน้ำ กันตยาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เอาผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าเช็ดตาให้มันรู้สึกสบาย ถ้ามีเวลาว่างเธอก็จะนั่งลูบหัวให้มัน  มันจะได้นึกถึงความสุขตอนยังเด็กที่แม่ของมันเลียหน้าเลียตาให้  มันนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหวได้สามวัน  จากนั้นก็หลับสนิทไปตลอดกาล  รวมอายุของมันได้  17 ปีครึ่ง นับว่าชราภาพมากสำหรับสุนัข ป้าวีร์ก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ส่วนกันตยาร้องอยู่นานนับเดือน  เธอเข้าใจดีว่ามันถึงเวลาของมันแล้ว แต่ก็ทำใจไม่ได้  

 

            ‘...คนเรามีเลือดเนื้อและความรู้สึก ยิ่งรักมาก ผูกพันมากเมื่อสูญเสียก็ยิ่งเจ็บมาก ...’   

 

‘ขอบคุณมิดไนท์ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง..เพื่อนรักที่แสนดี ..ฉันจะจดจำคืนวันที่เราไปผจญภัยด้วยกัน’

กันตยานึกถึงคืนสุดท้ายที่ออกไปกับมิดไนท์ เกือบถูกป้าวีร์จับได้ โชคดีที่คืนนั้นกลับเร็วกว่าปกติ ขณะที่ทั้งคู่มาถึงประตูรั้ว พลันไฟทั่วบ้านสว่างพรึบ ได้ยินเสียงป้าวีร์ร้องเรียกหา กันตยาตกใจหน้าซีด ตัวสั่น

 

            “หนูกันต้องแกล้งทำเป็นนอนหลับ ..เร็ว ล้มตัวลงนอน ที่เหลือจะจัดการเอง” 

 

ซึ่งมันได้ผล แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ช่วงระยะสั้น ๆ ต่อจากนั้น การสื่อสารระหว่างเธอกับมิดไนท์ก็ถูตัดขาด

             ‘ฉันยังคิดถึงคืนเก่า ๆ เสมอ ๆ ..และถ้าฉันได้ไปผจญภัยอีก ใครจะฟังฉันเล่าล่ะ’    

             ‘ขอให้ได้เจอเธออีกในภพต่อไปนะ..’ 

 

กันตยาเอาเศษผ้ามาซุนเป็นถุงเล็ก ๆ ใส่เหรียญสิบสองเหรียญลงไป มัดปากถุงให้แน่น  แล้วมัดติดกับขาหน้าของมิดไนท์ก่อนหย่อนตัวมันลงหลุมใต้ต้นลำไยหลังบ้าน  กลับจากโรงเรียนเมื่อไหร่ กันตยาก็จะไปนั่งข้าง ๆ หลุมของมันและร้องสะอึกสะอื้น ทุกครั้งที่เธอนั่งร้องไห้อีคริปส์และลูน่าซึ่งตอนนี้ก็ชราภาพแล้วทั้งคู่ก็จะมานั่งข้าง ๆ เธอ พลอยพากันนซึมเศร้าไปด้วย ปีถัดมาทั้งสองก็จากไปไล่เลี่ยกันด้วยชราภาพเช่นเดียวกับมิดไนท์  ก่อนที่เธอจะไปเรียนที่เชียงใหม่ไม่กี่เดือน 




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2557 22:36:31 น.
Counter : 518 Pageviews.

0 comment
กันจยา 12
 

เสียงเอะอะ โวยวายดังไล่หลังใกล้เข้ามา กันตยาเนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว  เธอวิ่งสุดแรงเกิด ฝ่าผู้คนทะลุไปยังทางออกวิหาร บ่ายหน้าไปที่ท่าเรือ

                     

              

                ไม่มีเรือจอดอยู่ตรงนั้น มันหายไปแล้ว’  

                " หนูอยากกลับบ้าน"

 

 

                

เธอตะโกนออกไป และได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนก้องในหัว  เธอเงยหน้าขึ้นแล้วปิดเปลือกตาลง สูดหายใจลึก ๆ  เตรียมพร้อมรับชะตากรรม                                                                          

                  ‘ ถ้าจะต้องตาย  ..ก็คงหนีมันไม่พ้น'    

                                                                                                                           

พลันภาพเธอจมน้ำในอ่างเก็บน้ำก็ลอยผุดขึ้นมา เห็นสาหร่ายกำลังพันรอบ ๆ ตัวเธอ  เธอลอยเคว้งคว้างตามจังหวะโยกของสาหร่าย วัตถุสีดำรูปทรงคล้ายเรือลอยพุ่งเข้ามาหาเธอ มันเหมือนกำลังจะพุ่งชนเธอในตอนนี้ จนเธอสะดุ้งตกใจพร้อมกับลืมตาขึ้น...ไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า..เรือจริง ๆ ด้วย   ขนาดของมันเล็กมาก เธอรีบกระโดดขึ้น แต่มันเล็กเนกว่าจะนั่งได้ ต้องยืนเท่านั้น   มันแล่นฉิวแทรกแหวกผิวน้ำออกไปอย่างเร็ว  น้ำสีดำพุ่งแตกกระจายเป็นทาง  ทันใดนั้นเธอก็เซถลาไปข้างหน้าเกือบล้มเพราะแรงส่ายที่ผิดปกติของมัน  เธอก้มดูท้องเรือ มันกำลังถูกน้ำกัดกร่อนเป็นรูโบ๋ใหญ่  ชิ้นส่วนท้องเรือขาดวิ่นหล่นจมหายไปในน้ำที่เดือดปุด ๆ …แต่แปลกที่น้ำไม่ท่วมเรือ... ไม่ช้าเธอก็คงหล่นลงไปพร้อมกับเรือ เนื้อตัวของเธอสั่นเทิ้ม... เธอขยับหนีขึ้นไปจนชิดหัวเรือ  เธอละสายตาจากท้องเรือมองหาความหวังเบื้องหน้า    

              ‘โอ! ฝั่งอยู่ตรงหน้านี่เอง ...สลัดเรือ’

เธอกระโดดตัวลอยขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว   พอหันกลับไปมองก็พบว่าไม่มีซากเรือหลงเหลืออยู่เลย  ทว่า ณ ขณะนี้ไม่มีเวลาจะอาลัยอาวรณ์สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น  สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้คือ  

             ‘หาทางกลับบ้าน’

กันตยาสังเกตเห็นว่า แสงสลัวตีวงกว้างเป็นรัศมีอยู่ใจกลางหุบเขา เธอนึกถึงตอนเดินทางมา    

             ‘เราเดินตามแสง ขากลับก็ต้องหันหลังให้แสง...’  คิดได้ดังนั้น เธอก็กลับหลังหัน แต่ก็พบว่าต้องเผชิญกับความมืด            

                ‘มันมืดตึดตื๋อเหมือนกันไปหมด ...ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี’

เธอยื่นมือออกไปปัดป่ายสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอด แต่ก็ไม่สัมผัสอะไรเลย เธอตัดสินใจเดินฝ่ามันเข้าไป  ทันใดนั้นปรากฎมีแสงสีขาวนวลดวงเล็ก ๆ ลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอ  พอเธอสาวเท้าก้าวเข้าไปหา มันก็ลอยไป

 ข้างหน้า พอเธอหยุด มันก็หยุด  มันคงทำหน้าที่เป็นนแสงส่องทาง ดังนั้นเธอจึงเดินตามมันไปเรื่อย ๆ ..พลันเธอก็สัมผ้สถึงแรงดึงดูดเหมือนแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ไล่ตามเธอมาราวกับจะดูดกลืนเธอไปทั้งตัว พลังของมันแรงขึ้น แรงขึ้น 

                ‘หนี ! ’

เธอเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่ง ..วิ่ง..และวิ่งสุดชีวิต เธอนึกถึงกระต่ายป่าขนปุยสีขาวน่ารักที่อาศัยอยู่บนภูเขาหิมะในประเทศญี่ปุ่นที่เธอเคยอ่าน  เวลามันวิ่งหนีศัตรู.. หรือวิ่งหนีตาย มันจะวิ่งได้เร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เธออยากทำอย่างนั้นได้บ้าง     ทว่า..ไม่ว่าเธอจะเร่งความเร็วเท่าไรดูเหมือนมันจะช้าลงเรื่อย ๆ   เธอทานแรงดึงดูดแทบไม่ไหว เนื้อตัวแทบปริแตกหลุดลอยออกเป็นเสี่ยง ๆ  เธออ้าปากตะโกนร้องสุดขีด แต่ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ที่เลวร้ายกว่านั้น แสงสีนวลนำทางของเธอก็พลันหาบวับไปต่อหน้าต่อตา เธอรู้สึกหมดสิ้นทุกอย่าง แข้งขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อไป  ..เข่าอ่อนทรุดฮวบร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น  จังหวะที่ร่างของเธอกระทบพื้นเกิดแรงสั่นสะเทือน ครืน ครืน คล้ายแผ่นดินไหว  เสียงสะท้อนก้องทอดยาวเป็นระยะ ๆ แล้วก็จางหายไป    .แล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ..ส่วนเธอ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา และเงยหน้าขึ้น  เพราะเธอกำลังรอ ..รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ  

                 ‘ชายแก่หน้าผีคงมากระชากเอาไปโยนลงทะเลสาบมรณะ..โอ..ไม่นะ.. หรือเป็นยามเฝ้าประตูมาจับเธอไปมอบให้กับเทพหัวสุนัข...ไม่ไป ..ไม่อยากถูกกักบริเวณ อยากกลับบ้าน..’

กันตยายังคงนอนนิ่งใบหน้าแนบกับพื้น ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะถูกกระชาก.. ถ้าลืมตาก็เกรงว่าต้องเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัว ..  แต่..ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบ ...แล้วเธอก็สัมผัสถึงความหยาบกระด้าง แห้งกร้านของพื้นผิวใต้ใบหน้าและลำตัวของเธอ ...เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูรอบ ๆ  กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวคลุ้งลอยมาโป๊ะจมูอย่างแรง จนรู้สึกคลื่นไส้แทบจะอาเจียน เธอรีบเอามือปิดปากปิดจมูก .. จากนั้นมีเสียงพูดคุยกันที่จับความไม่ได้ศัพท์ ลอยมาแต่ไกล  เธอพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น ..อา..สุดท้ายมันก็อยู่รอบ ๆ ตัวเธอนั่นเอง    

             “ดูสิยังเด็กอยู่เลย ช่างผอมบางเหลือเกิน”  

              “ตัวขาวซีดยังกับเด็กเผือก”    

 

             “เธอเป็นอะไรตายล่ะ” เสียงหญิงแก่คนหนึ่งถามเธอ  

 

             ‘ตายเหรอ? ’   

 

             ‘ที่นี่ที่ไหน?’    

เธอรวบรวมความกล้า ค่อย ๆ หันไปทางเสียง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความมืด..กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นคาว โชยมาเป็นระยะ ๆ

                  “ให้เธอเห็นพวกเราดีไหม”   

      “อย่าเพิ่งดีกว่า..ท่าทางเธอดูตื่นกลัว”

      “ดูสิ..มาตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย”  

                    “หนีมารึเปล่า”

 เสียงคุยกันยังคงดำเนินต่อไป เสียงผู้คนร้องไห้ เสียงทะเลาะวิวาท เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่รอบ ๆ กันตยาหันหน้าไปมาตามทางที่มาของเสียง

             “ปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ปิดตาก็จะมองไม่เห็น”    เสียงยายแก่คนเดิมบอกเธอ กันตยาทำตามคำแนะนำ มันเงียบหายไปจริง ๆ คงมีแต่เสียงถกเถียงกันใกล้ ๆ ตัวเธอ

             “ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเลย”    

             “ดูน่าสงสารออก”    

 

            “คนเถื่อนอย่างเอ็งสงสารคนเป็นด้วยเหรอ”  

             “ถ้าไม่ทำแท้ง ลูกสาวข้าก็คงโตเท่า ๆ นี้แหละ”  พูดจบก็มีเสียงร้องโฮ ตามด้วยเสียงสั่งน้ำมูกปี๊ด ๆ            

               “หนูน้อย ถ้าอยากมีเพื่อนก็ตามเรามา หรือจะอยู่ที่นี่คนเดียวก็ตามใจ แต่..มันอันตรายนะจะบอกให้”   

น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน เธอจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น และเดินตามกลุ่มคนที่เธอได้ยินแต่เสียงไป  รอบกายมืดมิด แต่ไกลออกไปข้างหน้าปรากฏแสงสีแดงเพลิงคู่หนึ่งส่องแสงระยิบระยับ มันกำลังเคลื่อนที่ตรงมาอย่างเร็ว  ยิ่งใกล้เข้ามาลำแสงสีเพลิงก็ยิ่งแผ่รัศมีใหญ่ขึ้น ..ใหญ่ขึ้น พลันก็เกิดแสงสว่างจ้าเหมือนมีใครมากดสวิตช์เปิดไฟสีส้มพรึบอยู่ตรงหน้า กันตยาสะดุ้งตกใจเอียงหน้าหลบวูบ  ยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องแสงไม่ให้แผดเผาลูกตา  กลุ่มคนที่เดินนำทางมาส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายด้วยความตกใจกลัว แล้ววิ่งเตลิดไปคนละทาง ทิ้งกันตยาให้อยู่คนเดียว  ให้เผชิญอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็นตัว คงมีแต่ลมหายใจของมันที่พ่นออกมารดหน้าเธอ ตามด้วยเสียงขู่คำรามแห่ แห่    พอลมหายใจเบาลง แสงสีเพลิงก็หรี่ลงตามจังหวะเข้าออกของการหายใจ  กันตยาจ้องมองไปทางเสียงก็เห็นเงาทะมึนยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า..ภาพนั้นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ..  

             ‘หมาดำ’

ใบหน้าของมันแหลมยาวใบหูใหญ่ตั้งชันเหมือนกับตัวที่เรียกว่าทูตมรณะไม่มีผิด ต่างกันตรงที่ว่า ตัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ เป็นหมาที่มีสี่ขา ตัวมันใหญ่กว่ามิดไนท์หลายเท่า  นัยน์ตาสีแดงของมันจ้องเขม็งมาที่กันตยา  มันยังคงแยกเขี้ยวส่งเสียงร้องคำรามในลำคอเบา ๆ 

              ‘อย่าเผชิญหน้า  อย่าสบตา ทำเป็นไม่สนใจ’        

                                                 

 กันตยาจำคำพูดที่มิดไนท์เคยบอกเวลาเจอสุนัขจรจัด เธอจึงก้มหน้ามองต่ำ และเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อจะให้ดูเป็นหันข้างให้มัน  ...เสียงครางของมันหยุดไป   กันตยาจึงค่อย ๆ ชำเลืองมองด้วยหางตาเห็นหางปุกปุยของมันส่ายไปมา  มันเปลี่ยนเสียงขู่เป็นร้องอ้อนหงิง ๆ แล้วหันข้างและหมอบลงตรงหน้า เธอเข้าใจท่าทางมันทันที เพราะมิดไนท์ทำอย่างนี้บ่อย ๆ  

             ‘ตอนนี้ก็ไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว ลองเสี่ยงดูดีกว่า’  

กันตยาปีนขึ้นบนหลังของมัน แขนทั้งสองโอบรัดรอบคอมันไว้แน่น ...มันกระโจนทะยานออกไปอย่างรวดร็ว  

                 ‘ถ้าปิดตาก็จะมองไม่เห็น’   

 เธอจึงหลับตาลง เพราะไม่อยากเสี่ยงเจอสิ่งที่ไม่ต้องการจะเห็น             ‘

                  เหมือนตอนนั่งบนหลังมิดไนท์เลย’         

 เสียงของความวุ่นวาย โกลาหล เสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะเสียงร้องโอดโอย ความร้อน ความหนาว กลิ่นสารพัดกลิ่น ลอยมากระทบเป็นระยะ ๆ แล้วมันก็ลอยไกลออกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเงียบ  ความรู้สึกสบาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมวลพฤกษาลอยเข้ามาแทนที่ การเดินทางก็ช้าลง ๆ จากวิ่งเป็นย่างก้าว กันตยารู้สึกสบายและปลอดภัย เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น   บริเวณแห่งนี้มีแสงสีนวลเหมือนแสงจันทร์สาดส่องไปทั่วทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่รอบกายได้ชัดเจน .. มันเหมือนอยู่ในรีสอร์ท่ามกลางหุบเขา สวนจัดแต่งอย่างสวยงาม เป็นระเบียบ  ผู้คนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน  ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึก  ต่างคนต่างทำภารกิจของตนไป  มีบ้านทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่สวยงามตั้งอยู่ตรงกลาง  หมาดำปล่อยเธอลงจากหลังแล้วเดินนำหน้าพาเธอตรงไปยังเรือนทรงไทย  พอเดินเข้าไปใกล้ เธอเห็นชายแก่ผมสีดอกเลาตัดสั้นเกรียน สวมเสื้อเชิตสีขาว นุ่งกางเกงสีครีม นั่งอยู่ชานหน้าบ้าน ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความดีใจ        

             “คุณตา”

 ชายแก่ที่กันตยาเรียกคุณตา หันมามองเธอสีหน้าเรียบเฉย เหมือนใบหน้าตุ๊กตา  กันตยารีบเดินเข้าไปหาแล้วก้มกราบไม่แบมือหนึ่งครั้ง  

             “หลงทางมาหรือ”    

             “ทำไมคุณตารู้คะ”  

 

            “ใครจะไปจะมาคนแถวนี้รู้กันทั้งนั้นแหละ”  

 

            “แล้วคุณตายังไม่ได้ไปเกิดเหรอคะ”

 คุณตาตายด้วยโรคมะเร็งตอนเธออายุได้แปดปี เธอไม่ค่อยสนิทกับคุณตานักหรอก  คุณตาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในสวนห่างจากบ้านที่เธออยู่ราวห้ากิโลเมตร  ที่สวนคุณตาปลูกบ้านเล็กยกพื้นสูงไว้หลังหนึ่ง เครื่องอำนวยความสะดวกไม่มีเลย  บางครั้งเวลาที่ป้าวีร์เอาของกินไปส่งให้คุณตา กันตยาก็จะติดรถไปด้วย

            “ไม่มีใครได้ไปไหน พวกเราก็มาอยู่รวมกันที่นี่แหละ และที่นี่ก็แยกออกมาจากส่วนอื่น ๆ ”

พูดจบคุณตาก็นิ่งเงียบ

             “เอ่อ..ที่นี่น่าอยู่นะคะ ..”  

 แล้วก็เงียบกันไปทั้งคู่  กันตยารู้สึกอึดอัดที่คุณตาทำตัวยังกับหุนยนต์ติดตั้งโปรแกรม หรืออาจจะดูเฉื่อยชาด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็น่าจะแสดงความดีใจบ้างที่เห็นเธอโผล่มา

             “เอ่อ..หมาสีดำพาหนูมาที่นี่ค่ะ” เธอพยายามชวนคุย  

            “หมาใน มันเป็นหมาของตาเอง เลี้ยงมันไว้ตั้งแต่ตาอายุได้ 35 ปี”  

            “คุณตา ตา-ย ..เอ่อ..จากพวกเรามาตอนอายุ 66 บวกอีกสอง งั้นตอนนี้อายุของมันก็ 33 ปี”

               (กันตยาตั้งเลข 66 -35 = 31  คุณตาตายตอนเธออายุได้ 8 ขวบ ตอนนี้เธอ 10 ขวบ = 31+2)

             “มันไม่มีอายุ มันอยู่ของมันได้เรื่อย ๆ ตอนที่มันมาอยู่กับตา มันก็โตแล้ว มันจะรู้จักทุกคนที่ตารู้จัก”

 

แต่กันตยาจำได้ว่า ทุกครั้งที่ไปหาคุณตาที่สวน เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย และไม่มีใครเคยพูดถึงว่าคุณตาเลี้ยงหมาเอาไว้ ตัวใหญ่เบ้อเร่ออย่างนี้คงซ่อนตัวได้ไม่ง่ายหรอก

              “หนูกันต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวป้าวีร์จะเป็นห่วง”  

              “หนูอยากกลับค่ะ  แต่ไม่รู้จะไปทางไหน” 

 

             “งั้นหนูกันจงนอนรออยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลาตาจะไปส่ง”   




Create Date : 23 ตุลาคม 2557
Last Update : 23 ตุลาคม 2557 22:48:28 น.
Counter : 472 Pageviews.

0 comment
กันตยา 11
 

กัญญาวีร์ ตื่นก่อนรุ่งสาง เธอได้นอนหลับเต็มตาตั้งแต่เห็นอาการของหนูกันดีขึ้น  และตอนนี้หนูกันยังคงหลับอยู่  มีเพียงลมหายใจบางเบาเท่านั้นที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่  เธอทำภารกิจตามปกติ และเตรียมข้าวต้มอ่อน ๆ ใส่ไข่สำหรับหนูกัน  ทานมื้อเช้าเสร็จ เธอจึงยกชามข้าวไปไห้หนูกัน ...แต่ก็ต้องยกกลับ  

 

             ‘ตื่นเมื่อไหร่ค่อยเวฟอุ่น ๆ ให้ทานก็แล้วกัน’

             ‘พักผ่อนมาก ๆ ก็ดีจะได้หายเร็ว ๆ’  

 เธออนุญาตให้เพื่อน ๆ ทั้งสามของหนูกันเข้ามาดูใกล้ ๆ ได้ พวกมันใช้จมูกดม ๆ รอบ ๆ ตัวหนูกัน  จากนั้นลูน่ากับอีคริปส์ก็ออกไปก่อนส่วนมิดไนท์ นอนหมอบลงข้าง ๆ  ทิ้งระยะห่างนิดหนึ่ง ส่วนเธอไม่ชอบนั่งอยู่เฉย ๆ จึงปลีกตัวเข้าห้องทำงาน และคอยชะเง้อผ่านประตูดูหนูกันบ่อย ๆ  

 เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ กัญญาวีร์เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้อง

              ‘บ่ายโมงแล้วหรือนี่’

 หนูกันยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เธอรู้สึกใจหายวาบ จากนั้นความวิตกกังวลก็เข้ามาแทนที่ เธอจ้องมองปฏิทินที่แขวนบนผนังข้าง ๆ ประตูห้องทำงาน 

               ‘ขึ้น 13 ค่ำ’

             ‘มีเวลาอีก 3 วัน ถ้าผ่านคืนเดือนเพ็ญไปได้ ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง‘

 ตกเย็นอรนุชกับธนพลมาเยี่ยมลูกสาว  กัญญาวีร์จึงบอกให้มิดไนท์ออกไปข้างนอก มันก็ไปนอนหมอบอยู่ตรงประตูเช่นเคย และชะเง้อมองผ่านกระจกทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวจากข้างใน  อรนุชดูวิตกกังวลมาก สำหรับเธอแล้ว ลูกสาวคนเล็กอ่อนแอ เปราะบางเหมือนแก้วเนื้อใสที่พร้อมจะแตกเปราะได้ทุกเมื่อ คืนนี้เธอจะนอนค้างที่นี่ ส่วนสามีต้องกลับไปเพราะต้องดูแลจั๊กกับจ๋า            

             “แอบไปเล่นน้ำ กลับมาก็ไม่สบาย”  กัญญาวีร์บอกน้องสาว

             “เด็ก ๆ ก็ยังงี้แหละ บางอย่างยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่บางครั้งก็อาจจะสายเกินแก้”  

 อรนุชพูดเสียงเครือ และตามด้วยอาการสูดหายใจแรง ๆ กัญญวีร์เข้าใจความรู้สึกของน้องสาวดี เธอก็มีความรู้สึกเช่นกัน หนูกันไม่ใช่ลูก แต่เธอก็เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ซึ่งก็เหมือนลูกต่างกันตรงที่ว่าเธอไม่ได้คลอดเอง  

             “อะไรมันจะเกิด มันก็เกิดนะพี่นะ ว่าจะไม่รอดตั้งแต่เกิดแล้ว ก็อยู่มาได้ถึงตอนนี้แล้ว กรรมใครกรรมเราก็แล้วกัน”

 

กัญญาวีร์ มองหนูกันที่ยังคงนอนนิ่งแล้วถอนหายใจหนัก ๆ แน่นอนไมมีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ลึก ๆ เธอยังมีความหวัง  

             “สมัยก่อนโน้น พวกเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องจุดตะเกียงโคมแก้ว มีไส้ตะเกียง มีน้ำมันก๊าด เวลาลมพัดมาแรง ๆ มันก็ดับ  น้ำมันหมดก็ดับ ไส้หมดก็ดับ จึงมีผู้เปรียบชีวิตของคนเรากับตะเกียง อายุขัยก็เปรียบเหมือนไส้ตะเกียง ถ้ามีปัจจัยแทรกก็ทำให้ต้องจากไปก่อนถึงเวลาอันควร อย่างเช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หรืออุบัติเหตุ ”  

             “แล้วกรณีหนูกันจะเข้าลักษณะไหนล่ะ”

          “พี่ก็คงอยากให้เป็นไส้ตะเกียงนั่นแหละ ดับไปตามอายุขัย”

             “พี่ตรวจดูหรือยัง มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน”

             “จันทร์เต็มดวงข้างขึ้น ส่งอิทธิพลต่อชีวิตบนโลกหลากหลายรูปแบบ ตามตำแหน่งตกฟาก มันยังเป็นจุดจบของอีกหลาย ๆ อย่างด้วย...เคยสังเกตไหม คนที่ป่วยหนักเรื้อรัง ถ้าผ่านช่วงเวลาอย่างนี้ไปได้อาการจะดีขึ้น หรือบางรายหายไปเลยก็มี จากนั้นก็จะอยู่ต่อได้อีกสักระยะหนึ่ง อาจจะ 5 ปี หรือ10 ปี  แต่ถ้าจะไม่รอดก็มักจะเกิดขึ้นก่อนก่อน ราว ๆ  3 - 5 วัน”  

 

พูดจบทั้งกัญญาวีร์กับอรนุชก็สบตากันโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีมครเอ่ยคำใด ๆ ออกมา  อรนุชเผลอยกมือขึ้นปิดปาก ส่วนกัญญาวีร์ต้องเบือนหน้ามองไปทางมิดไนท์ ซึ่งยังคงหมอบนิ่ง ๆ อยู่หน้าประตู  

             ‘ถ้ามีอะไรผิดปกติ มิดไนท์ต้องรู้ เพราะพวกมันมีความสามารถพิเศษ’

  

แสงสีเขียวดวงเล็ก ๆ กระพริบวับแวมบบนปลายไม้เท้าของทูตมรณะ เขาบรรจงวางมันลงบนถาดชั่ง  พลันคันชั่งข้างดวงจิตกันตยาก็กระดกตกลงจนปลายคันชั่งกระแทกพื้น อีกข้างที่มีขนนกก็กระดกสูงขึ้นจนคันชั่งเกือบจะตั้งตรง แล้วมันก็กระดกขึ้น-ลง ขึ้น – ลง  สร้างความฉงนให้แก่ผู้คนที่อยู่ในห้องพิพากษา เสียงอื้ออึง เสียงอุทานดังตามจังหวะขึ้นลงของคันชั่ง  

             “เกิดอะไรขึ้น”  เทพโอซีริสมีสีหน้าประหลาดใจ

             “ยุติ การ ชั่ง”  เทพผู้พิทักษ์คนตายสั่งคนกำกับตราชั่ง  “จิตดวงนี้ยังคงมีเลือดลมพุ่งฉีดไปทั่ว น้ำหนักจึงไม่คงที่  ต้องไตร่สวนคนพาย”

           “เรียกคนพายเข้ามา”  ผู้กำกับตราชั่งตระโกนเรียก  

ยามเฝ้าประตูวิหารที่มีรูปร่างบึกบึนเหมือนวัวป่านำชายแก่ที่มีผ้าคลุมศีรษะใบหน้ามีแต่ความมืดเข้ามา เมื่อมายืนต่อหน้าทูตมรณะมันมีท่าทีสั่นกลัว  

           “เด็กผู้หญิงคนนี้ขึ้นเรือมรณะมาได้อย่างไร”   น้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว

             “เธอจ่ายค่าลงเรือเหมือนคนอื่น ๆ ”   ชายแก่ตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า และสั่นเครือ

             “วิญญาณคนตายเท่านั้นจึงจะมีเหรียญ”

             “นายท่าน  เด็กคนนี้มีเหรียญ”

            “แกโกหก !!”   เทพผู้พิทักษ์คนตายตวาดก้อง

              “มีคนจ่ายค่าโดยสารให้เธอ”   

เสียงตะโกนดังมาจากกลุ่มคนนั่ง ทูตมรณะหันขวับไปมอง นัยย์ตาสีเพลิงลุกโชนใบหูที่แข็งแรงทั้งสองข้างตั้งชัน  

             “มันผู้นั้นเป็นใคร”  

 ชายคนที่ตะโกนลุกขึ้นช้า ๆ ก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตา ตอบตระกุกตระกัก  

             “เขา...เออ..ถูกดูดกลืนลงไปในทะเลสาบมรณะแล้ว”  

ทูตมรณะหันขวับไปทางคนพาย เปลวเพลิงในดวงตาส่องแสงโชติช่วงพร้อมที่จะไหม้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้เป็นจุลย์

             “เจ้า- ทำงาน- ผิดพลาด”

           “นายท่าน..ข้า...ไม่ได้ตั้งใจ”

              “เด็กคนนี้จะกลับบ้านไม่ได้ จะต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่หน้าวิหาร”

               “Oh.!  Homeless girl”   เสียงอื้ออึงดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนในห้องโถง

                “แต่จะปล่อยให้เตร็ดเตร่ไปไหนมาไหนไม่ได้ จะต้องถูกจำกัดบริเวณ  และในภพโลกเธอจะนิทราไปชั่วอายุขัย  ส่วนเจ้า..”      

 คนพายตั่วสั่นเทิ้ม ร่างผอมแห้งของมันโอนเอนแกว่งไปมา

                  “จะต้องถูกลงโทษ โดยการขังกรงแล้วหย่อนลงไปแช่ในทะเลสาบมรณะเป็นเวลาสิบสองปี”

 

สิ้นคำของทูตมรณะ ยามเฝ้าประตูวิหารก็เข้ามาลากตัวชายแก่ออกไป   มันพยายามดิ้นรนขัดขืนและส่งเสียงร้องคร่ำครวญขอความเมตตา

            “นายท่าน.. โปรดเมตตาข้าด้วย  ตัวข้าแทบไม่มีเนื้อหนังติดกระดูกอยู่แล้ว..นายท่านได้โปรด” 

ดวงจิตสีเขียวสดใสถูกส่งกลับมายังร่างของกันตยาที่ยังคงฟุบอยู่บนพื้น  เธองัวเงียลุกขึ้น แทนที่จะเดินกลับเข้าที่ในกลุ่มคนรอ  เธอกลับมุ่งตรงไปยังประตูด้านหลังคันชั่ง บรรดาเหล่าทวยเทพกำลังปรึกษาหารือกันและไม่มีใครหันมาสนใจเธอ   ด้านหลัง มีประตูซ้ายมือ กับขวามือให้เลือก   เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนตัดสินใจเดินตามผู้คนออกไปทางประตูซ้าย ทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตูกลิ่นหอมรวยรินอ่อน ๆ ก็โชยมาปะจมูก เธอยืดอกสูดมันเข้าไปเต็มปอด  แสงสีรุ้งทอประกายเล็ดลอดกลุ่มควันสีขาวจาง ๆ  เรือเหาะรูปทรงเหมือนหงส์สีขาวจอดลอยนิ่งอยู่ข้างหน้า ผู้คนต่างเยื้อย่างตัวลอยตรงไปขึ้นเรือ กันตยากึ่งกระโดดกึ่งวิ่งตามพวกเขาไป ทันใดนั้น เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นเรือก็หยุดกึก ยกค้างอยู่อย่างนั้น  เทพีตัวเล็กจิ๋วรูปงามตัวบางใสแจ๋วลอยมาหาเธอ

             “หนูน้อย “ มันลอยวนรอบ ๆ ตัวเธอ

              “จะเดินทางไปยังดินแดนแห่งอมตะนิรันดร์ไม่ได้นะ”  แล้วดวงตาที่เหมือนหยดน้ำของมันก็จ้องหน้าเธอ

                 “ ไม่มีตราผ่านแดน ..จะขึ้นเรือไม่ได้” 

เทพีตัวจิ๋วก็เอามือเล็กเรียวบางโปร่งใสแตะที่หน้าผากของมันให้กันตยาดู เธอมองเห็นเม็ดใส ๆ เหมือนแก้วสีขาวอมส้มติดแปะอยู่บนนั้น       

 กันตยาหันหลังวิ่งกลับแล้วตามกลุ่มที่ออกไปทางประตูขวาไป พอพ้นประตู ลมเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งก็ลอยมาปะทะตัวเธออย่างแรง เธอรู้สึกหนาวจนตัวสั่น ฟันกระทบกันเสียงดังกึก ๆ   รอบ ๆ ตัวมืดมิด ทุกคนค่อย ๆ เดินเอามือคลำไปตามทางเดินแคบ ๆ มันลดระดับต่ำลงเรื่อย ๆ   กลิ่นสาปสนิมโชยมาแปะจมูก เดินไปจนถึงบันไดที่จะไต่ลงเบื้องล่าง กันตยากำลังจะก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นแรก

                 “หยุด”  เงาตระคุ่มกลม ๆ อ้วนเตี้ยมาขวางเธอไว้ มันหายใจเสียงดังฟืดฟาด ลมหายใจของมันเหม็นเหมือนมันอมช้างเน่าไว้ทั้งตัว ชวนสะอิดสะเอียน กันตยาต้องเบือนหน้าหนี  

                  “เจ้าไม่มีตราอนุญาตให้ลงไปยังโลกใต้บาดาล”  

 มันหงายมือแล้วชูขึ้นจนเกือบจะชิดหน้ากันตยา เธอมองเห็นเปลวเพลิงดวงเล็ก ๆ เลียวับแวมอยู่บนฝ่ามือของมัน กันตยาก้มมองมือตัวเอง ..ว่างเปล่า..เธอหันหลังวิ่งแทรกผู้คนกลับไปตามเส้นทางที่เดินลงมา พอโผล่พ้นประตู ก็ได้ยินเสียงยามเฝ้าประตูประกาศก้องดังลั่นไปทั่วห้องโถง

          “จับเด็กคนนี้ไว้ จะต้องถูกกักบริเวณ”  




Create Date : 13 ตุลาคม 2557
Last Update : 22 ตุลาคม 2557 21:59:04 น.
Counter : 451 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety