กันตยา 2

           “ที่แท้หล่อนก็เพี้ย..น”  อิสระตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อที่จะให้ได้ยินกันทั่วห้อง และแน่นอนมันเรียกเสียงฮือฮาให้ดังขึ้นกว่าเดิม แต่พอเขาหันไปสบตากับเธอเข้าหน้าตาของเขาก็ต้องบิดเบี้ยวเหยเก อารมณ์ร่าเริงของเขาสะดุดหยุดกึกลง สายตาที่จ้องจับเขาดูเย็นเฉียบและแข็งทื่อประดุจหิน จนทำให้เขารู้สึกขนลุกซู่     

       

           ‘หล่อนคือยัยบิ๊กอายส์ ซีดผอม เหมือนคนอมโรคไม่มีพิษสงอะไร’ อิสระพยายามบอกกับตนเอง ส่วนศาสตราจารย์สุทัต ท่านหลิ่วตาลงเล็กน้อย ปรายตามอง แต่ก็ยังคงนิ่งเฉย   

       

            “แล้วดาวเคราะห์บนท้องฟ้าที่ว่านั่นน่ะ มันคือดาวอะไรคะ”

คำถามซื่อ ๆ ของฟ้าใหม่ เปรียบเสมือนระฆังช่วยอิสระ  เพราะอย่างน้อยมันช่วยให้ยัยบิ๊กอายส์ละสายตาไปจากเขา มันทำให้เขารู้สึกกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง พอตั้งสติได้เขาพยายามค้นหาสิ่งผิดปกติของหล่อนผู้ซึ่งกำลังพูดเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า ..แต่ภาพที่เขาเห็นก็คือ ผู้หญิงตัวซีดผอม มองดูเหมือนคนอมโลกคนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากนั้น ..เขาคงจมอยู่ในห้วงจินตนาการมากไป  คิดได้ดังนั้น เขาก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลศนัยให้กับตนเอง

            “ก็จะตรงกับประโยคที่ 3 ค่ะ คือ Astronomy เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวและระบบสุริยะจักรวาล  Astrology เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ และน่าทึ่งเอามาก ๆ  เป็นการศึกษาความเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับทุก ๆ ชีวิตและทุก ๆ สิ่งบนโลกใบนี้  และที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็คือดวงอาทิตย์ กับดวงจันทร์..”     

สองคำหลังนั้นน้ำเสียงของเธอเบาลง เพราะเธอลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหม และแน่นอน บังเกิดเสียงฮือ ฮา เสียงหัวเราะคิก คัก ขึ้นอีกครั้ง บางคนก็พยายามรักษามารยาทโดยการเอามือป้องปากหัวเราะ            

                   “ช่วยยกตัวอย่าง ‘อิทธิพล’..อย่างที่ว่าหน่อย ได้ไหม ค ร๊-า-บ คุณ กัน ต ยา ”  

คนพูดบรรจงลากเสียง และเป็นคำขอที่มาจากนักศึกษาชายที่นั่งแถวหน้าสุด คนที่ชื่ออิสระ ผู้กล่าวหาเธอว่า  ‘เพี้ยน’ เขายังคงจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้.. ใช่ นั่นมันคือแววตายิ้มเยาะ 

            “ก็คงเริ่มจาก ดวงอาทิตย์นะคะ ดวงอาทิตย์ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต” คราวนี้เธอพยายามพูดนาบเนิบด้วยน้ำเสียงที่ปกติ “ ที่ใดมีแสงสว่างที่นั่นมีสิ่งมีชีวิต.. ส่วนดวงจันทร์..ดวงจันทร์มีแรงดึงดูดมาก โดยเฉพาะกับพี่ใหญ่ของมัน คือ โลก..”

 เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่เธอเล่า เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้มีโอกาสแบ่งปันข้อมูลข่าวสารกับคนอื่น ๆ และโดยเฉพาะต่อหน้าหลาย ๆ คน และทุกคนฟังเธอ “ดวงจันทร์ มีแรงดึงดูด โดยเฉพาะกับน้ำ ดวงจันทร์ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง”

            “อันนี้ เรียนมาตั้งแต่ชั้น ป. 5 ครับผม” อิสระพูดสวนขึ้นกลางครันอย่างผู้มีชัย

            “ที่มากกว่านั้นก็คือ ทุกรอบ 18 ปี ดวงจันทร์จะเข้าใกล้โลกมาก..แล้วก็จะมีความหายนะตามา”

             “อย่างไร อย่าบอกนะว่า น้ำจะท่วมโลก..อิธ่อ นิทานหลอกเด็ก” อิสระไม่ลดละ

             “ใช่ ..แต่ไม่ท่วมทั้งโลก ..มันแค่กลืนน้ำเข้าคำโต ๆ และสำลักออกอย่างแรง ..แรงจนทำให้บ้านเรือนกระเด็นกระดอนไปทั้งหลัง”

           “คลื่นยักษ์เหรอ” ฟ้าใหม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่กันตยากำลังเล่า

           “ไม่ยักษ์ค่ะ มหึมาเลย..ซึนามิไง” หลายคนส่งเสียงร้อง อ้อ.. แต่ก็ยังถกกันว่า นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับดวงจันทร์ กันตยา เงียบ ไม่ถึยงความคิดเห็นนี้

         “เฮ้ บิ๊กอายส์” เสียงของอิสระ ดึงดูดความสนใจของเธอให้หันไปมอง

          “แล้วที่ว่ามีอิทธิพลกับสิ่งมีชีวิตล่ะ..อย่าลืมประเด็นสิคร๊าบ” ที่มุมปากยังคงปรากฏรอยยิ้มเยาะเหมือนเดิม .. ’นายคนนี้ตื้อจริง’ เธอคิด

            “ร่างกายของมนุษย์เราประกอบไปด้วยน้ำ 70 เปอร์เซ็นต์..เราจึงไม่สามารถต้านทานแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ได้”

           “ขอโทษครับ คุณกันตยา..ฟังดูยังไง ๆ มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ..ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของพวกเราเลย..I DON’T AGREE  WITH YOU” อิสระทิ้งประโยคท้ายด้วยภาษาอังกฤษ น้ำเสียงเน้นชัดทุกคำอย่างผู้มีชัย กันตยา ก็ไม่ยอมลดละ...เธอพยายามอธิบายต่อ  

        “ดวงจันทร์ ทำหน้าที่เปรียบเสมือนศาลแห่งจักรวาล มีหน้าที่ควบคุมกรรมดี กรรมชั่ว.. ดังนั้นสำนวนที่ว่า ‘ฟ้ามีตา’ ก็คงจะมาจากอิทธิพลของดวงจันทร์”            

         “งมงาย” เสียงนักศึกษาคนหนึ่งดังขึ้น            

        “ไม่งมงาย..ถ้าเราทำสิ่งไม่ดี ไม่ช้าไม่นานมันก็จะกลับมาสนองเรา” กันตยา รู้สึกร้อนที่หน้า ไม่พอใจที่ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูด         

          “เฮ้..นั่นมันคำสอนของศาสนาพุทธนะ..อย่านำมาปนกันสิ..เชิญเธอต่อทฤษฎีดาวเคราะห์ของเธอซิครับ” คำพูดของอิสระ ทำให้บรรยากาศภายในห้องคึกคักอีกครั้ง

           “ไร้สาระ”    

เสียงนักศึกษาคนหนึ่งดังขึ้น และในขณะนั้นไม่มีใครสนใจจะฟังเธออีกแล้ว นักศึกษาบางคนเก็บสมุด ปากกา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใส่กระเป๋า เพื่อเป็นการบอกว่า ‘จบได้แล้ว’ หรือ ‘เตรียมจะเลิกเรียนแล้วนะ’ สำหรับกันตยาแล้ว มันไม่น่าจะลงเอยอบ่างนี้ มันหมายถึงการสื่อสารของเธอล้มเหลว เธอควรจะจบการนำเสนอไว้เพียงเท่านี้ แล้วต่อจากนั้นก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นยายจอมเพี้ยนไปตลอดปีตลอดชาติเลยหรือ..

              ยายจอมเพี้ยน  .. ยายจอมเพี้ยน..

คำคำนี้ดังก้องกลับไปกลับมาในหัวของเธอ ..ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เธออาจเคยทำอะไรแปลก ๆ ไปบ้าง..แต็ไม่เคยมีใครบอกว่า เธอ เพี้ยน ..เธอบอกตัวเองให้ใช้สมอง..คิด..พยายามคิด เธอหันไปมองศาสตราจารย์สุทัต ท่านก็ยังคงนั่งในท่าเดิม  ในที่สุดเธอก็ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ให้ตัวเอง สีหน้าของเธอที่ซีดอยู่แล้ว ยิ่งซีดเผือดลงกว่าเดิมคงดูเหมือนแผ่นกระดาษ..เธอกำลังจะจบการนำเสนอไว้เพียงเท่านั้น.. พลันก็มีเสียงตะโกนออกมา ระคนกับเสียงหัวเราะอย่างขบขัน จนเรียกเสียงฮือฮา ได้ทั่วทั้งห้องอีกครั้ง ..

          “เพี้ยน..เพี้ยนจริง ๆ ..พวกเรามีใครมองเห็นบ้างว่า บนหัวของเธอน่ะ มีคำว่า Astrology ตัวเบ้อเริ่มงอกขึ้นมาแน่ะ ฮะ ฮ้า”

กันตยา รู้สึกวูบร้อนวูบหนาวบนใบหน้าเธอหันขวับไปมองเจ้าของเสียง..

        นี่จะตามจิกตามกัดกันไม่ปล่อยเชียวหรือ’            

       ‘คงต้องจัดการอะไรสักอย่าง ให้นายคนนี้หยุดพูดให้ได้’ แต่เธอก็รู้สึกแย่ ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร...และโดยวิธีไหน… พลันก็มีเสียงพูดดังก้องขึ้นในหัวของเธอ

       ‘การอ่านหนังสือจะทำให้เป็นคนฉลาดและทันคน คนฉลาดมักจะต่อสู้กันด้วยปัญญามากกว่าพละกำลัง’ คำพูดของป้าวีร์ดังก้องอยู่ในหัว ‘ลูกอย่าลืมนะ เจอปัญหาอะไร ให้รวบรวมสมาธิ คุมสติให้อยู่โดยการสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยตัวให้อยู่ในท่าสบาย มองทุกอย่างเป็นกลาง ไม่บวก และไม่ลบ..และสังเกตสิ่งรอบตัวให้จงดี    คนโง่นั้นจะพูดทุกครั้งที่คิด..แต่คนฉลาดจะคิดทุกครั้งก่อนจะพูด คนประเภทหลังนี่น่ากลัวและอันตรายกว่า’  

ใช่สินะ การพูดมากเป็นการแสดงความโง่ของตัวเองออกมา...นายคนนี้ คนนี้คนเดียวในห้องที่พูดมากที่สุด และเขาไม่ได้สนใจ ไม่ได้แยแสว่าข้อความที่พูดออกไปจะทำให้คนฟังรู้สึกอย่างไร

       ‘คนที่เรียกร้องความสนใจ มักจะคิดถึงแต่ตัวเอง’

นี่เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งของเธอ ตอนนี้ เรื่องการจะจบการนำเสนอขอพักไว้ก่อน กันตยาหันไปมองอิสระด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ดวงตากลมโตของเธอกระพริบช้า ๆ เหมือนเด็กไร้เดียงสา เธอยืนอยู่ในท่าทีที่สบาย ๆ แต่แท้ที่จริงแล้วเธอกำลังสำรวจบุคคลผู้ซึ่งนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเธอ.. สัมผัสที่มองไม่เห็นบอกได้ถึงพลังของเขาที่พุ่งโหมกระแทกอย่างแรง แต่ขาดการบังคับทิศทาง         

       ‘เขาเอาจริงเอาจังถึงขนาดนั้นเชียวหรือ  

แต่สำหรับเธอไม่จำเป็นต้องต้านทาน เธอปล่อยให้พลังที่โหมกระหน่ำของนายที่นั่งอยู่ตรงหน้าลอยผ่านทะลุตัวเธอไป ..และแล้วเธอก็มองเห็นช่องทางปราบคนพยศที่แขวะคนอื่นให้เจ็บปวดแล้วเห็นเป็นเรื่องสนุก

      ‘หนูไม่แข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ หนูจะใช้พละกำลังในการตัดสินแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้นะ...หนูต้องใช้สมองและปฏิภาณไหวพริบ’   เสียงป้าวีร์ดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้ง            

        “อ๋อ..เหรอคะ ถ้าเธอมองเห็น Astrology    บนหัวของฉันละก็ เธอเห็นเงาของตัวเองไหมค่ะ ... เออ..เธอต้องเห็นสินะ เพราะ Astrology หรือโหราศาสตร์น่ะ เปรียบเสมือนกระจกส่องหน้า... มันจะบ่งบอกความเป็นคุณ...ไม่ใช่คนที่คุณอยากให้คนอื่น ๆ รู้จัก....”

 เธอหรี่แววตาลงเล็กน้อยความเจ้าเล่ห์เข้ามาแทนที่ความไร้เดียงสา เธอก้มหน้ามองใกล้เข้าไปอีกนิดหนึ่ง...อิสระรู้สึกอึดอัด…             

          ’ยัยเพี้ยนนี่จะมาไม้ไหน’ ‘นายคนนี้สรวมสร้อยทองเส้นเล็กและห้อยเหรียญพระองค์เล็ก ๆ สีทองเหลืองอร่าม.. เดาได้ว่าเป็นคนต้องการความรักและการปกป้อง..ท่าใหญ่ใจปลาซิว ..’

 เธอยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดออกไป   

 “ใจของเธอไม่กล้าอย่างที่ปากเธอเป็น ..เธอเป็นคนขี้ใจน้อย ..แค่นั้นไม่พอ เธอยังเป็นคนขี้ตื่น ขี้ตกใจ”  

             อิสระยิ้มเยาะที่มุมปาก 

           “นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้..ความน่าจะเป็นมากกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ เพี้ยนยังไม่พอหรือครับ”  

             “และความเป็นคุณของคุณบอกฉันว่า คุณน่าจะเกิดวันอังคาร”  

 คำพูดของเธอดึงความสนใจจากทุก ๆ คน รวมทั้งศาสตราจารย์สุทัต  ให้หันมามอง กันตยารู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่เต้นถี่เร็ว ..ถ้าเธอพลาด ก็หมายถึงจบกัน..ซ้ำร้ายความเป็นยายเพี้ยนที่เขาตราไว้กับเธอก็จะตอกย้ำลึกลงไปอีก แต่เธอก็สังเกตเห็นม่านตาของอิสระเบิกกว้าง นั่นมันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาการประหลาดใจ  

         เธอจึงแกล้งทำท่าลังเล

           “หรือไม่ก็วันพฤหัส” บังเกิดรอยยิ้มเยาะที่มุมปากของอิสระ ในขณะที่บรรยากาศภายในห้องกลับมีเสียงฮือฮาดังขึ้น 

             “เฮ้อ..นึกว่าจะแน่แค่ไหน..ที่แท้ก็ใช้ทักษะการเดา”   รัชตะที่นั่งลุ้นอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น  

 สายตาของกันตยายังคงจ้องจับอยู่ที่อิสระอย่างแน่วแน่ สมองของเธอกำลังทำงานอย่างหนักภายใต้ภาวะกดดัน ...  

               ’ต้องไม่พลาด’ เธอบอกกับตัวเอง  

             ‘วางมาดแบบคนถือตัวและดูดีมีสง่าขี้โอ่นิด ๆ  จะมีอยู่สองวัน คือ อังคาร กับพฤหัสบดี แต่วางท่าทางข่มคนอื่น และปากร้ายอย่างนี้โป๊ะเชะเลย’  

             “วันอังคาร....วันเกิดของเธอคือวันอังคาร”  เธอพูดชัดถ้อยชัดคำ 

 ทุกคนต่างมองหน้าอิสระและมองหน้ากันตยาสลับกันไปมา ลุ้นว่าอิสระจะตอบว่าอย่างไร  

             อิสระรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า ริมฝีปากแห้งผาก  กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ..  

            ’ยายบิ๊กอายส์คนนี้แอบไปรู้มาจากไหนนะ ‘  

             “เฮ้ ..ใช่หรือไม่”  ฟ้าใหม่สะกิดถามอิสระที่กำลังนั่งแข็งทื่อ พอเขาได้สติ เขากลับยิ้มแหย ๆ แทนคำตอบ

 ถ้ามีใครสังเกตศาสตราจารย์สุทัต จะเห็นว่าสายตาของท่านมีแววฉงนเล็กน้อย แต่ก็ยังสงวนท่าทีเงียบเฉยเหมือนเดิม  

             “บางที ..เอ่อ..เธออาจเคยเห็นตอนอิสระเขียนโพรไฟล์ก็เป็นได้นะ อยากให้ดูอีกสักเรื่องสิเอ้า”  

 รัชตะยังเชื่อไม่ลง และสายตาหลายคู่ที่มองเธออยู่ ยังส่อให้เห็นแววคลางแคลงและเต็มไปด้วยความสงสัย            

           “และเขาก็มีเลือดกรุ๊ป บี” เธอโพล่งออกไปทันที ทำเอาอิสระหน้ามุ่ย              

           “ผมอยากพิสูจน์อีกครั้ง” รัชตะเอามือชี้ที่หน้าอกตัวเอง  

             ‘ทำไมคนเราถึงเต็มไปด้วยความสงสัยนะ’ แล้วเธอก็หันไปมองรัชตะแว๊บหนึ่ง  

 ‘ดูสิลำคอที่ดูบึกบึน แข็งแกร่งถ้าไม่กินเก่งก็ดื่มเก่ง ประเภทคอทอแดง ข้อดีก็คือ คนพวกนี้ล้มแล้วลุกขึ้นอีกครั้งได้เสมอ..พวกทอรัส ’  

             “คุณเกิดราศีพฤษภ” 

             “โว้ว..ไม่น่าเชื่อ ” รัชตะตะโกนก้องด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็มีเสียงใครต่อใครขอให้เธอทายโน่นทายนี่ให้ แต่กันตยา กลับนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เธอจบการนำเสนอด้วยการกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ และเดินกลับเข้านั่งที่เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ศาสตราจารย์สุทัต กล่าวชื่นชมเธอตามมารยาทและสรุปเนื้อหาการเขียนเพิ่มเติม

                                    ***********

 จากเหตุการณ์วันนั้น นันตยากลายเป็นคนลึกลับในสายตาของเพื่อน ๆ ใครจะพูดอะไรกับเธอก็ต้องระแวงระวังตัวเกรงจะมีช่องโหว่ให้เธอเห็น เวลาเรียน อิสระกับเพื่อน ๆ ยังคงั่งแถวหน้าเหมือนเคย  แต่ทว่า เขากลายเป็นคนเรียบร้อย สุภาพและพูดน้อยลง และทุกครั้งที่มีการเลคเชอร์ ศาสตราจารย์สุทัตกับกันตยา มักจะมีเรื่องโต้กันเสมอ ทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง แต่นักศึกษาคนอื่น ๆ และอีกครั้ง กับข้อความที่ยัยบิ๊กอายส์คิดเพี้ยนไปจากคนอื่น ๆ            

                 “ให้เลือกเลขจำนวน ตั้งแต่ 1-9 มาหนึ่งตัว และเขียนข้อความที่มีเลขจำนวนที่เลือกนั้นแทรกอยู่ด้วย”

จากนั้นศาสตราจารย์สุทัตให้นักศึกษาแต่ละคนอ่านข้อความที่ตัวเองเขียน ..เริ่มด้วย             

               “I have 1 cat”    

              “I was born on the 5 th of May”    

             “No. 7 is popular ...   

 

จนเวียนมาถึงกันตยา ความแหวกแนวของเธอก็ไม่ทำให้เพื่อน ๆ ผิดหวัง 

 

            “ The 3 Wise Men: Pythagoras, Nostradamus and Isaac Newton”  

ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอเขียนจะอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ แต่หลายคนอาจไม่รู้จักแต่ก็ทำเอาหลาย ๆ คนสงสัยและอดขำไม่ได้  

             ‘หัวของเธอคงเต็มไปด้วยเรื่องแปลก ๆ และงมงาย’  

           ‘เธอคิดอย่างคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปไม่เป็นรึไงวะ’  

             “กันตยา เธอนี่มีความรู้หลากหลายนะ เขียนได้ดีทีเดียว”   

ศาสตาจารย์สุทัต ออกปากชม แต่ก็เห็นท่านชมหลายคน และชมบ่อย ๆ ก็คงเป็นเพียงการเสริมแรงในบรรยากาศการเรีบนการสอน  

 

“ขอบคุณค่ะ คำชมเขาให้ชิมแต่ห้ามทาน”  

    ศาสตราจารย์สุทัตหยุดกึก หรี่ตามองกันตยาอย่างมีเลศนัย 

           ‘เบื้องหลังแววตาใสซื่อของสาวน้อยคนนี้  มีอะไรหลาย ๆ อย่างซ่อนอยู่...และเธอคงเปรียบเสมือนนิทานเรื่องยาวที่เล่าข้ามคืนไม่จบ...เธอผู้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แล้วจะมีความสุขตามความหมายของชื่อได้อย่างไร...’      




Create Date : 28 มีนาคม 2557
Last Update : 26 ตุลาคม 2557 11:38:44 น.
Counter : 317 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety