กันตยา 4

กัญญาวีร์ตกใจสะดุ้งตื่น เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตุบ ๆ รัวเร็วไม่เป็นจังหวะ เธอกวาดสายตามองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ เพื่อทบทวนว่าเธออยู่ที่ไหน.. ภาพทุกมุมของห้องคุ้นตา..มันก็คือห้องนอนที่เธอเคยนอนเป็นประจำ ..เหลือบมองดูนาฬิกาที่โต๊ะข้างหัวเตียง นี่ก็เพิ่งตีสี่ เธอพยายามตั้งสติ รวบรวมสมาธิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ..พลัความทรงจำก็ปรากฏแว๊บขึ้นในสมอง ...เธอฝันไป สำหรับเธอแล้วการฝันช่วงเวลาใกล้รุ่งแล้วสะดุ้งตื่น มักจะเป็นลางบอกเหตุที่แม่นยำ ...เธอฝันว่าตัวเองอยู่ในท่านอนตะแคง คล้าย ๆ อาการหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่พอพลิกตัวลงนอนหงายเธอก็ต้องสะดุ้ง เพราะเธอได้นอนทับร่างนุ่มนิ่มสวมใส่ชุดนอนบางเบาที่ เป็น ‘เด็กหญิง’ ตัวน้อย ๆ นอนเบียดติดกับแผ่นหลังของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่บอกว่าหนูน้อยตัวจิ๋วจะมีโอกาสเติบโตขึ้น 

เช้าวันนั้น เธอรีบคว้าตำราโหราศาสตร์มาตรวจสอบดวงชะตาของหนูน้อย

 

วันศุกร์ เวลา 18.07 แรม 1 ค่ำ เวลาเกิดไม่ค่อยดีเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนเวลา จากกลางวันไปสู่กลางคืน จากสว่างไปสู่ความมืด จากภพมนุษย์ไปสู่ภพภูตผี/ดวงวิญญา

เกิดในช่วงเวลาบวกลบ 5 ของคืนจันทร์เต็มดวง ...นั่นหมายถึงบางช่วงเวลาอารมณ์แปรปรวนจากมากถึงมากที่สุด 

 

.           วันที่ 6 เดือน มิถุนายน ..ราศรีมิถุน..อา..มีความยืดหยุ่นสูง ชอบลุย บู้ ผจญภัย..ที่น่าจับตามองก็คือ ราศีนี้ สัญญลักษณ์ คือ..คนคู่ นั่นหมายถึงสองบุคลิก สองลักษณะ ประกอบกับเวลาเกิดก็สองภพ..คาบเกียวภพสว่างกับภพมืด...คงไม่ใช่บังเอิญ คงต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด 

 

ช่วงเวลาเกิดตำแหน่งของดวงจันทร์อยู่ราศีกรกฎ ราศีปู ..กระดองหุ้มเนื้อ อ่อนใน แข็งนอก อืม..อันนี้ดีหน่อย มันหมายถึง การได้รับการปกป้อง คุ้มครอง..แต่ข้อไม่ดีก็คือ.. เก็บกด เจ้าอารมณ์ และโดดเดี่ยว

              ‘ทุกชีวิตเกิดมาสมบูรณ์ในตัวมันเอง อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น’

กัญญาวีร์ผงกศีรษะยอมรับความจริงข้อนี้   สองวันต่อมา อรนุช น้องสาวของเธอก็ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่า ลูกสาวตัวน้อยมีพัฒนาการดีขึ้น ให้ไปรับกลับบ้านได้ วันนนั้นกัญญาวีร์ไปนั่งรอที่บ้านน้องสาว เด็ก ๆ ทั้งสามต่างก็ตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นหน้าน้อง กัญญาวีร์ก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเด็ก ๆ แต่สิ่งที่เธอตื่นเต้นและตั้งตารอคอยก็คือ หนู้น้อยตัวจิ๋วผ่านวิกฤตมาได้แล้วจุดหนึ่ง ส่วนถายภาคหน้ายังคงเป็นปริศนาให้ติดตามต่อไป พอรถเก็งคันเล็กของธนพลเคลื่อนเข้ามาจอด เด็กทั้งสามต่างวิ่งกรูลงไปเพื่อจะดูน้อง กัญญาวีร์เองก็ลุกเดินตามเด็ก ๆ ลงไป จี้เป็นคนเปิดประตูรถด้านหน้าคู่คนขับให้แม่ ...อรนุช ก้าวลงมาจากรถด้วยใบหน้าที่ซีดเชียวมีอาการเหมือนจะเป็นลม มือทั้งสองของเธอถือห่อผ้าน้อย ๆ กัญญาวีร์รีบเดินตรงเข้าไปหาน้องสาว

              “พี่รับไปที ..เมารถ..เวียนหัว จะอ๊วก”

เธอพูดพร้อมกับยื่นห่อผ้าในมือให้พี่สาว แล้วเดินโซซัดโซเซไปโก่งคออ๊วก กัญญาวีร์ จ้องมองดูใบหน้าเรียวเล็กสีแดงแจ๋ที่โผล่พ้นผ้าของเจ้าตัวจิ๋วด้วยความตื่นเต้น หนูน้อยยังคงหลับปุ๋ย

            ‘ลักษณะไม่น่าจะเป็นคนลุยเลยนะ’ กัญญาวีร์ยิ้มเยาะหนูน้อยผ่านสีหน้า ส่วนอรนุชหลังจากรู้สึกดีขึ้นบ้างเธอก็เดินโซเซไปหาที่นอนเหยียดพัก ภารกิจดูแลเด็กอ่อนจึงตกแก่กัญญาวีร์ โดยเริ่มจากพาหนูน้อยไปอาบน้ำอุ่น..เปลี่ยนผ้าอ้อม และจัดหาที่นอนให้ 

 

           ‘ ตัวหนูเบาหวิวเลย’ เธอพึมพรำขณะห่อตัวเด็ก

 

 

หนูน้อยมาอยู่บ้านได้หลายวันแล้ว แต่พัฒนาการไม่ดีขึ้นเลย เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ไม่ดิ้น ไม่ร้อง ดูดนมจากขวดได้วันละไม่กี่ออนส์ อรนุช มีอาการคลื่นไส้เวียนหัวบ่อย ๆ หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย  ธนพลกลายเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดจา เด็ก ๆ ก็พลอยหงอยเหงาไปด้วย เพราะน้องตัวเล็กไม่ยอมเล่นด้วย แม่ก็หงุดหงิดบ่อย ๆ กัญญาวีร์แนะนำให้น้องสาวไปพบแพทย์

 

              “หมอบอกว่าเป็นโรคเครียด ..ใหัพักผ่อนให้มาก ๆ “ ธนพลบอกป้าวีร์

 

กัญญาวีร์เข้าใจน้องสาวดี ลูก ๆ ทั้งสามกำลังกิน กำลังเล่น และเธอก็วิตกกับเจ้าตัวเล็ก เหมือนเป็นการให้เวลามันผ่านไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ อย่างช้า ๆ หรือว่าจะรอให้ถึงวันที่สิ้นสุด ดูเธอทั้งหมดหวัง และไม่มีกำลังใจ 

 

               ‘อารมณ์ของแม่จะสื่อถึงลูกได้’ กัญญาวีร์คิด

 

               ‘ถ้าอารมร์ของแม่ที่สื่อถึงลูกไร้ซึ่งพลัง และเรี่ยวแรง..อารมณ์ของลูกก็คงไม่ต่างไปจากแม่’' การรับรู้ความรู้สึกของกัญญาวีร์เปรียบเสมือนการเอาฟองน้ำจุ่มลงไปในน้ำ เธอซึมซับอะไรได้หลาย ๆ อย่าง เธอจึงรู้สึกสงสารหนูน้อยจับใจ และในที่สุด เธอจึงเอ่ยปากขอรับเอาเจ้าตัวจิ๋วไปดูแลเอง

 

               “พี่จะหาพี่เลี้ยงมาดูแลเวลาพี่ไปทำงาน”

               “เธอและเด็ก ๆ ไปหาแกได้ทุกเมื่อ”

              “เมื่อแกโตขึ้น แกจะกลับมาอยู่บ้านนี้ก็ได้”

 

 

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หนูน้อยตัวจิ๋วก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ในโซนบ้านสวนที่มีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่หลัง แต่ละหลังทิ้งระยะห่างกันพอสมควร และล้อมรอบไปด้วยสวนหญ้า สวนยางพาราและสวนมันสำปะหลัง บ้านหลังใหญ่ซึ่งมีเพียงป้าวีร์กับสุนัขอีกสามตัวอาศัยอยู่

น้าเดือน พี่เลี้ยงของเจ้าตัวเล็กจะมำดูแลเช้าไป-เย็นกลับ ในช่วงเวลาทำงาน พอเลิกงานกัญญาวีร์ก็จะดูแลหนูน้อยเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเพราะหนูน้อยยังคงเอาแต่นอนหลับตลอดทั้งวันทั้งคืน และดื่มนมตามเวลาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้น

 

เจ้าสามตัว ต่างแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจ้าหนูตัวน้อย ๆ ซึ่งเป็นสามชิก ใหม่เข้ามาอยู่ด้วย แต่พวกมันก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้ และพวกมันก็มีกฎห้ามเข้าข้างในบ้านอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว ซึ่งพวกมันก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด 

วันนี้วันหยุดกัญญวีร์จัดที่นอนของหนูน้อยวางลงบนพื้นไม่ไกลจากประตูบ้านแล้วเธอก็เปิดบานประตูออกเพื่อ เธอตั้งใจจะให้หนูน้อยได้สัมผัสกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านเข้ามา เธอบรรจงวางหนูน้อยซึ่งยังคงหลับพริ้มในห่อผ้าลงอย่างระมัดระวัง เธอจ้องมองใบหน้าของหนูน้อย...นี่ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วทุกอย่างยังเหมือนเดิม สีหน้าของเธอสลดลงอย่างไม่รู้ตัว ..หรือว่าหนูน้อยจะนอนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ หรืออาจจะตลอดชีวิต ..ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ... เธอถอนหายใจแรง ๆ และพยายามปัดความคิดนี้ออกไป เธอผละจากหนูน้อยไปนำงานในห้องครัว ..ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เธอจะสะสางเก็บกวาดจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย จัดเข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระเบียบ ..หนูน้อยคงนอนลำพังคนเดียว อย่างสงบ..เวลาผ่านไปนานเท่าไรกัญญาวีร์ไม่ได้สนใจ.. เสร็จจากงานบ้านเธอจึงมีช่วงเวลาที่เป็นของตัวเอง คือการนั่งจิบน้ำขิงร้อน ๆ พร้อมกับนั่ง

 

อ่านหนังสือเล่มโปรดบนโต๊ะอาหารในห้องครัว ..พลันเธอก็ต้องสะดุ้ง ..เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน มีเด็กเสียงร้อง ‘เย๊ะ’ จากตรงที่เธอวางหนูน้อยไว้ เธอรีบวางหนังสือแล้ววิ่งไปดูเจ้าหนูน้อย เธอรู้สึกตื่นเต้นขนลุกซู่และแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ด้วยความดีใจ กับภาพที่มองเห็น ใบหน้าน้อย ๆ ของหนูน้อยบิดเอียงไปมาข้างซ้ายที ข้างขวาที และสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจยิ่งขึ้นก็คือ ฟองน้ำลายเปียก ๆ เปอะเปื้อนบนใบหน้าของหนูน้อยบริเวณจมูกกับร่องแก้ม เธอกวาดสายตามองรอบ ๆ แล้วก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความขบขัน เมื่อเห็นรอยอุ้งเท้าโต ๆ รายรอบเจ้าหนูน้อยและบริเวณทางเข้าออกประตู

              “มิดไนท์ แกมาเลียหน้าน้องทำไม..ฮึ” แล้วเธอก็ระเบิดหัวเราะกับพฤติกรรมของมัน

ข่าวนี้ส่งถึงครอบครัวพู่วิริยะอย่างรวดเร็วและสร้างความยินดีให้กับทุกคนในครอบครัว

กัญญาวีร์จึงถือโอกาสนี้พาหนูน้อยที่ซุกตัวอยู่ในผ้าอ้อมเหมือนตัวดักแด้ ออกไปแนะนำอย่างเป็นทางการกับสมาชิกที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเธอ

                “นี่ มาทำความรู้จักกันหน่อยเร้ว ..อยู่ด้วยดันมาหลายวันแล้ว ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกันเลย นี่เริ่มจากตัวนี้นะ นี่ไงล่ะตัวที่เลียหน้าหนู มันชื่อ มิดไนท์นะ เพราะมันสีดำเหมือนความมืดมิดของตอนดึก ๆ ไงล่ะ ตัวมันใหญ่กว่าหนูหลายเท่า เวลาเห่าเสียงดังมากเลย หูของมันลู่สวย ขนปุกปุยของมันเลื่อมระยับเพราะมันอาบน้ำทุกสัปดห์”

พูดจบเธอก็วางหนูน้อยลงบนหลังเจ้ามิดไนท์ เจ้าสุนัขตัวโตอ้าปากยิ้มเสียงหายใจดังฟืดฟาดเสียงดัง หูทั้งสองข้างลู่ไปทางข้างหลัง กระพดิกหางไปมาอย่างแรง จนลำตัวส่ายไปมาด้วยความดีใจ

               “ตัวนี้ ถ้าเทียบกับพี่มิดไนท์แล้วก็ตัวเล็ก .. เป็นหนุ่มรูปหล่อ แข้งขาของมันแข็งแรง มีกล้ามเป็นมัด ๆ มันวิ่งได้เร็วเหมือนม้า ขนของมันสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง หรือสีเบจ มีสีขาวแทรกบ้างเล็กน้อย มันมีหางแข็งแรงด้วย ปลายหางของมันสีขาว บางครั้งก็เรียกมันว่า หางดอก นิสัยของมันเรียบร้อยน่ารัก ไม่กวน มันชื่อ อีคริปส์” 

แล้วเธอก็วางหนูน้อยลงบนหลังเจ้าอีคริปส์ มันกระโดดหลบและหันมาเอาจมูกมุดเข้าไปในผ้าสีขาว ๆ ดม ๆ หางดอกของมันกระดิกไปมาอย่างเร็ว ด้วยความอยากรู้

 

                “นี่ ตัวนี้น้องสาวคนเล็ก ตัวอ้วนกลมเชียว เป็นพี่น้องท้องเดียวกับเจ้าอีคริปส์ สีเหมือนกันเลย หางดอกเหมือนกัน ต่างกันที่ตัวเล็กว่า มันชื่อ ลูน่า” 

เธอก็ทำเหมือนเดิมคือวางหนูน้อยลงบนหลังเจ้าลูน่า เจ้าลูน่ากระโดดหลบ จากนั้นก็หันกลับมาเขย่งยืนสองขาเพื่อชะเง้อชะแง้ดูเจ้าหนูน้อย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา สุนัขทั้งสามก็ได้รับอนุญาตให้มานอนเล่นใกล้ ๆ เจ้าหนูน้อย โดยเฉพาะเจ้ามิดไนท์ที่ชอบมานอนหมอบอยู่ข้าง ๆ หนูน้อย และทุกครั้งที่สุนัขเข้าใกล้ หนูน้อยจะจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที ถีบแข้งถีบขาออกกำลังกาย ..กำปั้นน้อย ๆ ชูขึ้นกลางอากาศส่ายไปมา และบางครั้งส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก กัญญาวีร์รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ..

หรือว่า พลัง และไออุ่นของเจ้าสามตัวนั่น แผ่ซ่านไปถึงหนูน้อย ..

และนั่นก็เป็นเพื่อนกลุ่มแรกของหนูน้อย .. และผลที่ตามมาอย่างน่ายินดีของกัญญาวีร์คือ ร่างกายของหนูน้อยแข็งแรงขึ้น และพัฒนาการก็ดีขึ้นตามลำดับ

 

กันตยา เข้าไปนั่งรอในห้องรับรองก่อนถึงเวลานัดเล็กน้อย ทนายปกรณ์ตามเข้ามาในมือถือแฝ้มเอกสาร วันนี้ท่านสวมเสื้อสีฟ้า ผูกไทสีดำแดงเลือดนก กางเกงสแล็คสีดำ

‘จิตวิทยาพอสมควรนะบอสส์เรา’ กันตยาคิดขณะมองสำรวจบอสส์วัยห้าสิบต้น ๆ 

‘เสื้อผ้าสีอ่อน ๆ ดูแล้วสบายตา จะช่วยให้คนที่พูดคุยด้วยรู้สึกสบาย เหมาะกับการเจราพบปะกับลูกค้า ’ 

ลูกค้ามาถึงตามเวลานัดเป๊ะเลย เป็นฝรั่งแก่ รูปร่างสูงใหญ่ เค้าโครงหน้าบ่งบอกว่าตอนเป็นหนุ่มคงหล่อกระชากใจสาว ๆ แน่เลย ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อ อังเดร มาพร้อมกับภรรยาคนไทย ซึ่งก็เหมือนเมียฝรั่งทั่ว ๆ ไป ที่ได้สามีแก่และรวย คูณคนนี้ใส่ชุดเดรสแขนสั้นสีดำ ดิ้นลายสีเงินบริเวณรอบ ๆ คอ เสื้อทำให้ดูหรูเหมือนจะออกงานราตรี ถือกระเป๋าหลุยส์ใบเขื่องราคาหลายหมื่นบาท แขนซ้ายใส่นาฬิกาเรือนหรูแขนขวาสวมใส่กำลังทองอันเบ้อเร่อ..หน้าตาพอดูได้ เธอแต่งหน้าพอดูงาม ริมฝีปากบาง มุมปากข้างหนึ่ง เวลาพูดปากยิ้มตายิ้มอยู่ตลอดเวลา .. หลังจากทักทายกันตามมารยาททางสังคมเรียบร้อยแล้วทนายปกรณ์ก็เริ่มอธิบายให้ลูกค้าฟัง กันตยามีหน้าที่แปล และเธอก็สรุปเรื่องของลูกค้าคู่นี้ได้ว่า 

‘คุณอังเดรอายุ 70 ปีแล้ว กำลังจะสร้างบ้านที่เมืองไทยบนที่ของภรรยา แต่เกรงว่าเมื่อบ้านเสร็จแล้ว ภรรยาจะถีบหัวส่ง ตกลงกันไม่ได้ จึงมาทำสัญญาไวในลักษณะเช่า คือ ‘ผู้เช่า’ กับ ‘ผู้ให้เช่า’ ฝ่ายชายต้องการทำสัญญาเช่า 10 ปี แล้วบ้านและทรัพย์สมบัติทุกอย่างตกเป็นของฝ่ายหญิง แต่ฝ่ายหญิงต้องการให้ 5 ปี ‘ 

ก็รอบคอบดีนะ ถ้าดูจากลักษณะภายนอกของภรรยาคนไทยของเขาแล้ว ก็ไม่น่าไว้ใจ กันตยาคิด ประเด็น 5 ปี กับ 10 ปี ตกลงกันไม่ได้เลย จนกันตยาขอแสดงความคิดเห็นกับฝ่ายภรรยา

“พี่คะ ตอนนี้เขาก็อายุ 70 แล้ว อีก 10 ปีก็ 80 เขาอาจจะอยู่ไม่ถึงก็ได้”

 “ถ้าเขาอยู่จนถึง 100 ปีล่ะ”      เธอเถียงฉอด ๆ คุณอังเดรหันมามองด้วยความอยากรู้ แต่แกก็ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง             

 “ถึงยังไงพี่ก็คงต้องดูแลเขา หรือจะทิ้งเขา” เธอนิ่งฟังเงียบ แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ “เออ..วันนั้นไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกแกเป็นมะเร็งท่ออาหาร” นี่เป็นข่าวไม่ค่อยดีสำหรับกันตยา หรือคนที่ได้ฟังแต่เธอยังคงพูดไปยิ้มไปเหมือนเดิม 

“งั้นเขาก็คงอยู่ได้ไม่นาน”   กันตยาสรุปให้ทั้ง ๆ ที่รูสึกไม่ดี แต่ก็ต้องการให้การเจรจาสำเร็จลุล่วง และเธอก็ไม่อยากเลิกงานค่ำ พี่ผู้หญิงบ่นอุบอิบอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจออกมา    

     “เอ้า เอาก็เอา ..” แล้วก็บ่นอะไรต่อมิอะไรต่ออีก ส่วนคุณอังเดร คงดูท่าทางออกว่าการเจรจาสำเร็จ แกยิ้มเต็มหน้าเลย ‘นี่ไม่ใช่ความรักเลย ..มันคือข้อแลกเปลี่ยน..ฝ่ายหนึ่งต้องการเงิน..อีกฝ่ายต้องการคนดูแลบั้นปลายชีวิต’ กันตยาถอนหายใจแรง ๆ กับความคิดนี้

จากนั้นทนายปกรณ์ ก็ร่างสัญญาให้เธอ เพื่อไปแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกที ทนายปกรณ์ นัดให้ลูกค้ามาตรวจสัญญาและลงนามในอีกสองวันข้างหน้า เสร็จภาระกิจสำหรับวันนี้ กันตยามีสิทธ์กลับบ้านได้ แต่เธอต้องรอกลับพร้อมป้าวีร์ ซึ่งวันนี้ออกไปพบลูกความ นี่ก็สี่โมงกว่า ๆ แล้ว ยังไม่กลับเข้ามาเลย กันตยา ตั้งใจจะนั่งทำงานต่อเพื่อฆ่าเวลา ..แต่เธอไม่มีสมาธิเอาเสียเลย และรู้สึกเหนื่อย ล้า และอยากกลับไปอาบน้ำเย็น ๆ ที่บ้าน เธอจึงโทรหาป้าจะได้รู้ว่าจะเข้ามาตอนไหน ..เสียงโทรศัพท์ดังตืด..ตืด ..ไม่มีคนรับสาย..เธอกดไปอีกรอบ ..เอ๊ะ เหมือนเสียงมันดังใกล้ ๆ เธอจึงหันไปตามเสียง .. มันดังมาจากโต๊ะของป้าวีร์นั่นเอง .. ‘แย่เลยเรา..ป้าไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย’ เธอคว้าเอาโทรศัพท์ของป้าแล้วตัดสินใจไปหาเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ร้านข้าง ๆ ดีกว่า เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง รถของป้าวีร์ก็ยังไม่โผล่มา.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอรอนาน ๆ ..เมื่อเธอยังเด็ก.. .. ความคิดของกันตยาย้อนไปถึงเมื่อเธอยังเด็ก และเป็นวันแรกที่หนูน้อยเรียนรู้คำว่า ‘ไปโรงเรียน’  

            ‘หนูต้องไปโรงเรียน..ที่โรงเรียนมีเพื่อเยอะแยะเลย..มีคุณครูด้วย’ ป้าวีร์พยายามอธิบายให้หนูน้อยฟัง เธอได้แต่กระพริบดวงตาที่กลมโตถี่ ๆ ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเข้าใจหรือไม่

‘เพื่อน ๆ จะรักหนู และคุณครูก็จะรักหนูด้วย’

‘มิดไนท์ ไปด้วยไหม’ หนูน้อยถาม

‘คุณครูไม่ให้เอาสัตว์เลี้ยงไปโรงเรียนจ๊ะ มิดไนท์จะรอหนูที่บ้านจ้ะ’ 

‘เอาอีคริปส์ ไปได้ไหม’    

‘ไม่ได้จ๊ะ ลูน่าก็ไปด้วยไม่ได้’  

เนื่องจากป้าวีร์ต้องไปทำงานแต่เช้า จึงพาหนูน้อยไปที่ศูนย์ เด็กเล็กก่อนครูคนแรกมาถึงด้วยซ้ำ หนูน้อยกำลังกวาดสายตามองรอบ ๆ กับคำว่า ‘โรงเรียน’ เพราะไม่มีเพื่อนอย่างที่ป้าวีร์บอกเลย แต่ป้าวีร์ก็ยื่นหนูน้อยให้คุณครูอุ้มเอาเสียแล้ว จากนั้นป้าวีร์ก็โบกมือลา หนูน้อยตกใจ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ เพราะกำลังสงสัยคนแปลกหน้าที่อุ้มอยู่ และชี้ชวนดูโน่น นี่นั่น ....ไม่นานก็มีคนอื่น ๆ มาเยอะแยะเลย ทุกคนมีพ่อ แม่มาส่ง อยู่ กิน นอน กับผู้คนที่แปลกหน้านานแค่ไหนไม่รู้ได้ จากนั้นพ่อ แม่ คนเดิมของพวกเขาก็ทยอยมารับกลับบ้านไปทีละคน ๆ หนูน้อยยืนเกาะกรงประตูรั้วรอป้าวีร์ก้ไม่เห็นมาสักที ..และหนูน้อยก็ได้กลับเป็นคนสุดท้ายพร้อมคุณครู ..

 

วันรุ่งขึ้นป้าวีร์แต่งตัวให้หนูน้อยเสร็จและบอกว่าจะพาไปส่งโรงเรียน ..หนูน้อยร้องไห้จ้า..

 

‘ไม่ไปโรงเรียน หนูไม่ไป..ไม่ไป’  

 

ป้าวีร์เกลี้ยกล่อมอยู่นานก็ไม่สำเร็จ จนเจ้ามิดไนท์เข้ามา และส่งเสียงเห่า โฮ่ง โฮ่ง ..แล้วหนูน้อยก็ได้ยินเสียงเจ้ามิดไนท์พูด

 

‘หนูน้อยกันยาที่น่ารัก...โรงเรียนมีเพื่อนเล่นเยอะ มีหนังสือรูปภาพสวย ๆ ให้ด คุณครูจะพาร้องเพลง เสียดายนะที่เขาไม่ให้สัตว์เลี้ยงไปโรงเรียน’  

 

ดวงตากลมโตของหนูน้อยเบิกกว้างพร้อมกับจ้องหน้าเจ้ามิดไนท์แบบงง ๆ แต่ป้าวีร์ไม่ทันได้สังเกต พอหนูน้อยหยุดร้องเธอก็อุ้มหนูน้อยขึ้นรถ พาไปส่งที่โรงเรียน

 

หลังจากนั้น ทุก ๆ วันก่อนจะไปโรงเรียนหนูน้อยต้องวิ่งไปสั่งลาเจ้ามิดไนท์ และพอกลับจากโรงเรียน หนูน้อยก็มีเรื่องมากมายมาเล่าให้มิดไนท์ฟัง.. 

 

ทุกครั้งที่หนูน้อนขลุกอยู่กับเจ้ามิดไนท์ ก็เป็นช่วงเวลาที่ป้าวีร์มีเวลาทำงานที่บ้าน มีเวลาอ่านหนังสือเล่มโปรด ทำโน่นทำนี่ เธอรู้สึกเบาใจที่หนูน้อยไม่งอแงและไม่รบกวน 

 

แต่สำหรับหนูน้อยแล้ว มันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก และมันก็เป็นความลับไม่มีใครรู้ได้ นอกจากเธอกับมิดไนท์

 

เสียงแตรรถป้าวีร์กดเรียก ทำให้กันตยาสะดุ้ง เธอล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบเงินค่าเครื่องดื่มแล้ววางไว้บนโต๊ะ คว้ากระเป๋าถือและก้าวเดินช้า ๆ ตรงไปที่รถ




Create Date : 06 พฤษภาคม 2557
Last Update : 20 ตุลาคม 2557 22:53:39 น.
Counter : 509 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety