Walk in the dark! 12


เธอจัดแจงให้หลานชายไปพักบ้านพ่อซึ่งปกติในวันเสาร์อาทิตย์ไม่พ่อก็แม่ของเขาจะรับไปอยู่ด้วย และพามาส่งในเย็นวันอาทิตย์เธอจึงดำเนินตามแผนที่คิดไว้ได้สะดวกหน่อย เธอไปถึงที่นั่นก่อนตอนบ่ายจัด ๆ นั่งบนโขดหินรอให้พระอาทิตย์ตกดินสายตาก็จ้องจับไปที่ปากถ้ำคุ้งห้วยน้ำดำที่น้ำนิ่งมองดูเหมือนแผ่นหินสีดำก้อนใหญ่มีเพียงต้นหญ้าหลากหลายสายพันธุที่ลอยอยู่ริมขอบคุ้ง บริเวณรอบข้างเงียบกริบเธอพยายามทบทวนเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นเธออายุราว ๆ สิบขวบนอนป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูทำนา ในสมัยโน้นไปไหนมาไหนต้องเดินด้วยเท้าไม่มีรถเครื่อง ไม่มีรถยนต์ แม้แต่จักรยานก็ไม่มีพอหลังฤดูเก็บเกี่ยวไปไหนมาไหนยังพอได้นั่งเกวียนบ้าง เธอป่วยเดินกลับบ้านไม่ได้จำต้องนอนพักอยู่กับพ่อที่กระท่อมปลายนาที่ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนายาที่แม่ให้พี่ชายเอาไปให้คือยาทันใจซองสีชมพูอมม่วง เป็นชนิดผงห่ออยู่ในกระดาษสีขาวรสออกหวานสำหรับเด็ก ถ้าเป็นชนิดสำหรับผู้ใหญ่เรียกว่ายาปวดหายซองสีเขียว รสขมแต่เธอทานยาเข้าไปแล้วก็ยังไม่หาย ยังปวดหัว ตัวร้อนจี๋ เจ้าของนาที่อยู่ใกล้ ๆเป็นคนมาจากหมู่บ้านอื่นชื่อน้าเส เขาอาศัยอยู่กันทั้งครอบครัว ยังไม่ขนครัวกลับบ้านเย็นวันหนึ่งเขาเอาของกินมาฝาก

“ได้ข่าวว่าลูกสาวลุงไม่สบายเหรอผมเอาปิ้งกบน้อยมาฝาก เมื่อคืนไอ้เทิดมันไต้ได้เยอะพอสมควร” จากนั้นพ่อกับน้าเสก็พูดคุยกันสองสามประโยค

“ข้ายังสำนึกในบุญคุณลุงอยู่เสมอที่ช่วยไอ้เทิดลูกชายคนโตข้าขอให้ลูกสาวลุงหายเร็วไวนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรก็ช่วยกันไปขอบใจที่มีน้ำใจมาเยี่ยม” พอน้าเสกลับไปพ่อก็ยกกล่องข้าวเหนียวกับกบน้อยคลุกเกลือที่หนีบมากับไม้ไผ่ผ่าซีกปิ้งสุกส่งกลิ่นหอมมาวางตรงหน้าเธอ “ เอ้า วันนี้ทานกบปิ้งนะกินเยอะ ๆ จะได้หายไวๆ ”

“มันฝืดคอ คงกลืนไม่ลง” พ่อจึงไปเอาน้ำต้มจากกามาให้ดื่ม

“เอ้า ดื่มน้ำอุ่นนี่ก่อนจะได้ล่องคอ”เธอทำตาม และทานข้าวได้สามสี่คำ “กินอีกนิดสิ น้าเสเขาอุตส่าห์เอามาฝาก” แล้วพ่อก็พูดพร่ำไปคงจงใจจะเล่าเรื่องให้เธอฟัง “ถ้าเป็นเมื่อก่อน พ่อไม่อยากเอ่ยถึงพวกเขาเลยจนกระทั่งมีเรื่อง” เรื่องที่พ่อเล่ามีอยู่ว่าไอ้เทิดลูกชายคนโตของน้าเส กำลังย่างเข้าวัยรุ่น ในขณะที่พ่อกับแม่และลูกคนอื่น ๆลงแปลงนา ปักดำไอ้เทิดมีหน้าที่ต้อนฝูงวัว ควายไปเลี้ยงตามชายป่าชายเขาทุกครั้งที่ไปก็จะถือหนังสะติ๊กไปหายิงกิ้งก่า ยิงนก กระรอกกระแต หรืออะไรก็ได้ที่บังเอิญผ่านมา เมื่อหญ้าริมชายป่าเริ่มเบาบางไอ้เทิดก็ต้อนวัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงปากถ้ำคุ้งห้วยน้ำดำแล้วตะโกนโหวกเหวกทำเสียงดังหรืออาจจะทำอะไรมากไปกว่านั้นจนบังเอิญไปรบกวนเจ้าที่เข้าพอกลับมาถึงบ้านตอนบ่าย ๆ ไอ้เทิดก็ล้มตึงลง ชักกระตุก ลำตัวแข็งทื่อ ปากอ้าตาค้าง พ่อ แม่ไอ้เทิดทั้งนวดทั้งให้ดมยา พัดวีให้สารพัด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นตัวแข็งทื่อ ความชืดเย็นเริ่มก่อตัวจากที่ปลายเท้าเริ่มไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ผ่านแข้งหัวเข่า ขา น้าเสกระโดดลงเถียงนาร้องไห้โฮมาหาพ่อ บอกให้ไปดูลูกชายให้ด้วยพ่อรีบไปเอามือจับไอ้เทิดไว้และทำปากขมุบขมิบไม่นาน ไอ้เทิดเริ่มอ่อนตัวลงความเย็นแล่นหายกลับไปทางเดิม ไอ้เทิดลืมตาขึ้นทำหน้างง ๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พ่อถามไอ้เทิดว่าไปที่ไหนมา พอไอ้เทิดบอกพ่อบอกว่าเดาไว้แล้วไม่ผิดทั้งน้าเสและภรรยาต่างก้มกราบพ่อขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า

“ตกกลางคืน พอพ่อนอนหลับมันก็มาหาพ่อมันเป็นคลื่นไหลมายิก ๆ แล้วปรากฏร่างเป็นผู้เฒ่าแต่งชุดขาว หนวดเครายาวเฟื้อยผมขาวโพลนยาวถึงน่อง มันพูดกับพ่อว่า ‘มึงช่วยมันทำไม เกเรนัก ปากไม่มีหูรูดกูกะจะเอาให้มันตาย’

“เอาละเด็กมันไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ท่านปล่อยมันไปเถอะมันคงไม่กล้าย่างกรายไปแถวนั้นอีกแล้ว”

‘เอ้า เพื่อเห็นแก่มึงที่อยู่แถวนี้มานานและเป็นคนดี คนซื่อ’ พูดจบร่างนั้นก็หายแว๊บไป แล้วต่อ ๆ มาพ่อก็เล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเธอยิ่งโตก็ยิ่งไม่เชื่อ และเห็นว่าเรื่องที่พ่อเล่ามันนิทานหลอกเด็กจนกระทั่งได้ดูสารคดีหัวข้อ วิญญาณมีจริงหรือไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งออกมานำเสนอว่าวิญญาณมีจริงจากการทดลองกับคนใกล้จะตายจะพบว่าวิญญาณเคลื่อนที่ไปในลักษณะคลื่น ได้ฟังดังนั้นทำให้เธอต้องคิดทบทวนเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังพ่อเป็นคนรุ่นเก่าการศึกษาน้อย แต่พ่อบอกว่ามันเป็นคลื่นไหลมายิก ๆ การมาเยือนคุ้งน้ำดำครั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องที่พ่อเล่านั้นมีจริงหรือไม่

พอพระอาทิตย์ตกดินความวังเวงเคลือบคลานเข้ามาแทนที่ เธอตั้งสติไม่ให้จิตใจวอกแวก ควานหาธูปและไฟแซ็กที่นำติดตัวมาด้วย จากนั้นจุดธูป ตั้งจิตอธิษฐาน นึกแปลกใจตัวเองในตำราเรียนไม่เคยสอนแต่ก็จำเอามาจากที่ต่าง ๆ ในชีวิตไม่เคยติดต่อกับจิตวิญญาณหรือพลังลึกลับมาก่อนแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำด้วยวิธีไหนเพราะไม่มีสูตรตายตัว เธอพึมพำอธิษฐาน ปักธูปลงใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้โขดหินที่อยู่ใกล้ปากถ้ำมากที่สุดจากนั้นเดินฝ่าความมืดลงเขา ขี่รถเครื่องไปนอนรอฟังผลที่บ้าน อาบน้ำเสร็จรีบเข้านอนฟังหัวใจที่เต้นไม่เป็นปกติ เพราะรอลุ้น แต่ข่มตาให้หลับยากเหลือเกิน มองดูนาฬิกา4 ทุ่ม 5 ทุ่มผ่านไป 6 ทุ่มกำลังจะผ่านเลยไป เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็นึกขำตัวเองที่ทำอะไรตลก ๆ ลงไป เลิกคิดถึง เลิกสนใจมัน สักพักก็เผลอหลับไปแล้วก็ฝันเห็นตัวเองกำลังเดินผ่านสุมทุมพุ่มไม้เท้าเหยียบกิ่งไม้ใบต้องแห้งเสียงดับกรอบแกรบ เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าเดินไปไหน แต่ดูเหมือนว่าต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาสังเกตเส้นทางเบื้องหน้ามารู้ตัวก็ตอนที่ร่วงตกลอยละลิ่วดิ่งลงหน้าผาสูงชันปากเผลอตะโกนเรียกหาพ่อให้ช่วยสุดเสียง พลันทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ตัวเธอเองอยู่ในท่าตัวงุ้มงอแต่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศรอบๆ ลำตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้ รอบกายมืดมิด ไม่นานก็มีลำแสงเล็ก ๆ สีขาวนวลส่องเล็ดลอดแทรกความมืดออกมาแล้วแผ่รัศมีกว้างขึ้น ๆ ลำแสงนั้นพุ่งมากระแทกร่างของเธอจนสะดุ้งเฮือกหนาวสั่นสะท้านไปทั่วเรือนร่างมันไม่ใช่แสงอย่างที่เธอคิดแต่มันเป็นละอองน้ำเหมือนเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อน สายตาของเธอพร่ามัวเหมือนมองผ่านหมอกควันหนา ๆ มองอะไรไม่เห็นจากนั้นความเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งก็ลอยมาปะทะร่างของเธออีกเป็นครั้งที่สองคราวนี้เธอหนาวรู้สึกหนาวจี๊ดเข้าไปถึงกระดูก เหมือนลำตัวถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งกลุ่มไอน้ำที่ลอยอยู่ตรงหน้าหมุนเป็นเกลียวแนวตั้งจากหมุนไปช้า ๆ เป็นเร็วขึ้น ๆ แล้วเกรียวนั่นก็หยุดไอน้ำแตกกระจาย ปรากฏเงาเลือนรางอยู่กลางเกรียวแล้วเงานั่นก็เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ภาพผู้เฒ่าถือไม้เท้ายืนหลับตารูปร่างหน้าตาตรงกับที่พ่อเล่าให้ฟังทุกประการ มีเสียงสะท้อนก้องดังมาเหมือนเสียงเอคโคทั้งๆ ที่ผู้เฒ่ามิได้ขยับริมฝีปาก

“ลูกสาวเจ้าทองไทบ้าบิ่นเหมือนพ่อของมันจริง ๆ บังอาจริมาพร่ำเรียกหาข้า รบกวนเวลาอันสุขสงบของข้า”เสียงนั้นเกรี้ยวกราด เนื้อตัวของเธอสั่นงันงกอยากจะพูดขอโทษแต่กลับขยับริมฝีปากไม่ได้

“ตอนนี้เจ้าอยู่ตรงกลางระหว่างเป็นกับตายเพียงแค่ข้ากระดกนิ้วเท่านั้น เจ้าก็จะร่วงลงสู่เหวลึก” เธอกลัวจนตัวสั่นแต่ลำตัวยังคงลอยนิ่งอยู่ที่เดิม “เฮอะ พ่อของเจ้ากับเดรัจฉานชั้นต่ำที่เขาบูชานั้นเหรอ เดรัจฉานก็คือเดรัจฉานวันยังค่ำมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” ผู้เฒ่าเหมือนรู้ว่าเธอต้องการถามอะไร “เขาได้มันมาก็แค่มีคนเล่นไสยเวทออกล่าหาสมบัติพ่อเจ้าก็ไปหลงเชื่อ กลับมองว่าเป็นสิ่งดี ไม่มองถึงภัยในอนาคต”น้ำเสียงกราดเกรี้ยวจนแสบแก้วหู “ ฟังนะ มันจะเคลื่อนไหวตามจิตเจ้าถ้าเจ้าเฆี่ยนมันไม่ได้ มันจะครอบงำเจ้า อารมณ์ของเจ้าจะเพิ่มพลังให้มัน ไป๊ ไปซะ” พอผู้เฒ่าพูดจบเธอตกใจสะดุ้งตื่นคำพูดผู้เฒ่ายังก้องอยู่ในหัว

‘มันจะเคลื่อนไหวตามจิตถ้าเฆี่ยนมันไม่ได้มันจะครอบงำเจ้า อารมณ์ของเจ้าจะเพิ่มพลังให้มัน’ เธอทบทวนคำพูดของท่านผู้เฒ่ากลับไปกลับมา ถ้างั้นก็อย่าเพิ่มพลังให้มันเธอสรุปเอาง่าย ๆ

ชีวิตของเธออยู่แบบปกติสุขไปเรื่อยๆ ไปได้อีก 5 ปี เธอยังคงทำงานที่เดิม หลานชายก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเธอจึงอยู่บ้านคนเดียว ขณะเดินซื้อของที่ตลาดนัดวันอาทิตย์มีเสียงทักมาจากข้างหลัง เป็นเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งโหยง

“หวัดดีนายมาซื้อของเหรอ” มีคนเดียวที่เรียกเธอว่านาย เธอหันขวับไปตามเสียงนั้นเห็นเขายืนยิ้มที่มุมปาก ในมือหิ้วถุงพะลุงพะลัง

“อ้าวพี่มาทำอะไรที่นี่”เธอเปล่งเสียงให้ฟังดูตื่นเต้นและดีใจ ยังงง ๆ กับฟ้าที่เล่นตลกเข้าให้

“นายดูผอมไป” เขายืนจ้องมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

“พี่ดูตัวโตขึ้นสงสัยโตตามยศ” เขาหัวเราะชอบใจ

“นายรู้ไหมสวรรค์มันแกล้งฉันหรือเปล่า ฉันได้มาเป็นหัวหน้าสถานี ตำบลใกล้ ๆ นิ”

“อ้าวเหรอ สารวัตรใหญ่ละสิ” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม เดินเข้ามาก้มกระซิบใกล้ ๆ

“ฉันยังคิดถึงนายมาคราวนี้ฉันมาคนเดียว ทะบงทะเบียนสมรสฉันถอนแล้ว นายจะเชื่อฉันไหม”

“พี่ไม่เคยพูดความจริง”

“แต่ฉันเสี่ยงตายช่วยนายขนไม้นั่นนะเรื่องจริงยังไม่คิดว่าฉันจริงใจอีกเหรอ”

“ทวงบุญคุณละสิทำไมไม่ถามหนูแต่งงานรึยัง”

“ลูกน้องรายงานหมดแล้วมีแต่คนอยากเล่าเรื่องนายให้ฟัง”

“ฮื่อรู้หมดแล้วก็ไม่มีอะไรจะคุย ขอตัวนะคะ”

“คนเคยรักกันเจอกันพูดแค่นี้เหรอ” เธอโบกมือให้แล้วเดินจากมาหัวใจเต้นโครมคราม โลกใบนี้ตั้งกว้างใหญ่ทำไมต้องเจอ เขาครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันน่าจะจบลงตรงที่เธอเดินจากแล้วแต่มันก็ปิดฉากไม่ลง เมื่อจู่ ๆ มีผู้ปกครองนักเรียนสองคนที่เธอรู้จักดีมาหาเธอที่บ้าน มาทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ

“อาจารย์ทะเบียนสมรสน่ะเขาถอนจริงๆ เขาประกาศในที่ประชุมเลยว่า เขาโสด ต้องการรับสมัครแม่บ้าน พวกเรารู้มาว่าเขาเคยรักใคร่ชอบพอกับอาจารย์มานาน นับยี่สิบกว่าปี คนเราแก่เฒ่ามาก็ต้องการคนดูแลถ้าอาจารย์แต่งงานกับเขาก็ได้เป็นคุณนายสารวัตรใหญ่” และ จุด จุด จุด สารพันจะสรรหามาพูดแล้วเธอกับเขาก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น ๆ เสียงเชียร์เสียงสนับสนุนก็มากขึ้นจนเธอเกิดความคิดเห็นคล้อยตาม และคบกันถึงขนาดเป็นแฟนกัน เขาออกปากถึงจะขอจะแต่ง

“หนูเคยโดนพี่หลอกมาหลายครั้งแล้วถ้าหลอกครั้งนี้ หนูขอเอาปืนยิงที่ขาพี่นะ แล้วจะนำส่งโรงพยาบาล และให้บอกหมอไปว่าพี่ทำปืนลั่นใส่ขาตัวเอง”

“ได้เลยคราวนี้จะให้ฉันสาบานที่ไหน ปืนขนาดไหนก็เอามาเลย ฉันพูดความจริง”

โบราณว่าเอาไว้ความรักทำให้คนตาบอด เธอเองก็หนีคำกล่าวนี้ไม่พ้น จากไปไหนมาไหนด้วยกัน ทานข้าวด้วยกันโทรหากันทุกวัน ทุกคืน ทุกเช้าทุกเย็น เหตุการณ์นี้เป็นเพียงสองอาทิตย์พลันโทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่มีสัญญาณ ให้ฝากข้อความ โทรเข้าสถานีก็ไม่อยู่ใจเธอร้อนรุ่มเหมือนตั้งอยู่บนเตาไฟ ขับรถตะลอน ๆ ตามหาก็ไม่เจอถามลูกน้องก็บอกกลับบ้าน ถามว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็ตอบไม่ได้ วัน ๆ เธอก็ได้แต่นั่งกดโทรศัพท์ แล้วจู่ ๆเธอก็นึกอยากลองไปดูที่บ้านพักของเขา แล้วก็ต้องใจเต้นโครมครามที่เห็นรถประจำตำแหน่งของเขาจอดอยู่หน้าบ้านไฟข้างในส่องสว่าง เธอจึงลองเดินไปเคาะประตู คนที่เปิดประตูออกมาเป็นเขาดูท่าทางตกใจจนหน้าซีด แต่เขาก็เอามือจุ๊ปากเป็นสัญญาณไม่ให้ส่งเสียงดัง เธอมองผ่านไหล่เขาเข้าไปดูข้างในห้องสาวรุ่นสวมใส่เสื้อสายเดี่ยวคอกว้าง เว้าลึกโชว์ร่องอกอวบอิ่ม เข้ารูปกับกางเกงขาสั้นรัดติ้วโชว์เนื้อหนังที่อวบอั๋นพลันหล่อนก็หันมาเห็นเธอพอดี

“มาอ่อยผัวชั้นถึงบ้านหรือเชอะ นังนี่” หล่อนพูดพร้อมกับวิ่งมาหาเธอ ซึ่งกำลังหันหลังเดินลิ่วกลับไปที่รถส่วนเขาวิ่งหลบไปทางอื่น เธอยืนเผชิญหน้ากับหล่อน

“ฉันมาเพื่อตอกย้ำความโง่ของตัวเอง”พูดจบเธอก้าวขึ้นรถขับบึ่งออกไป พอพ้นสถานี เธอร้องไห้โฮสุดเสียง ต่อว่าตัวเอง

“เราน่ะมันโง่มันโง่ที่หลงเชื่อเขา นังโง่ นังโง่” เธอเหยียบคันเร่งจนเข็มไมล์หมุนติ้วจากร้องไห้กลายเป็นหัวเราะกับตัวเองเสียงหัวเราะของเธอดังเป็นเสียงเอ็คโคก้องไปก้องมาในรถ กลับมาถึงบ้านน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว แต่เพลิงแค้นเข้ามาแทนที่ สำหรับเธอแล้วนี่มันหยามกันชัด ๆสำหรับเธอกับเขาต้องเอากันให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย วันต่อมาเธอเข้าพบนายอำเภอบอกเหตุผลต้องการปืนพกสั้นไว้ป้องกันตัว

“ตายแล้วสวย ห้าวจนหนุ่ม ๆ ไม่กล้าจีบ แล้วยังจะมาเป็นสวยดุอีก คิดทบทวนใหม่นะครู”

“โธ่นายอำเภอก็เห็นว่าบ้านของหนูอยู่ชายป่ากลางคืนมักมีเด็กวัยรุ่น หายิงนก ยิงหนูป่ารอบ ๆ ริมรั้วหนูจะได้ยิงขู่พวกมันบ้าง” นายอำเภอก็แสนใจดี เว็นอนุมัติให้ไม่พอโทรสายตรงไปหาลูกน้องเก่าด้วย พอวางสายก็หันมาทางเธอ

“ศุกร์เช้าเข้าไปรับได้เลย ไปหาคนชื่อนี้” นายอำเภอพูดพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ “บอกว่ากระบอกที่นายอำเภอโทรมาจอง”เธอไหว้รับอย่างสวยงาม จ่ายเงินผ่านธนาคารแล้วถือสลิปไปเอาตามนัดวันถัดมาเธอไปติดต่อลูกศิษย์ที่เป็นตำรวจน้ำให้หาปืนไม่มีทะเบียนให้อีกกระบอกหนึ่ง

“อาจารย์จะเอาไปทำอะไร”

“ไว้ล่าหนูพุก”

“มันมีของจีนแดงกับของโซเวียตนะ ของจีนแดงหมื่นเจ็ด ของโซเวียตใหม่เอี่ยมก็แพงหน่อยสามหมื่นห้าครับ อาจารย์สนใจอันไหน”

“อันที่ยิงแล้วโยนทิ้งได้เลย”

“โธ่อาจารย์จะเอาไปยิงอะไร จะเป็นสาวบู้ไปถึงไหน หวังว่าคงไม่ไล่ยิงหนุ่ม ๆ นะ”

ตอนนี้อาวุธพร้อม ใจพร้อม รอวันได้ลุย ปิดบัญชีกันไปข้างหนึ่งเลย




Create Date : 01 มีนาคม 2560
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:58:57 น.
Counter : 768 Pageviews.

6 comment
walk in the dark! 11




เธอกับชานนย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้น ม.3 เขารู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว

“ทำมันมันเงียบจังเลยป้า” เขากวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณบ้าน“ข้างนอกก็มืดตึ๊ดตื๋อ”

“เงียบสิดีไม่ต้องมีอะไรมารบกวน” เธอจัดห้องนอนตัวเองไว้สองห้อง ชั้นบนอยู่ติดกับห้องชานนและชั้นล่างอีกหนึ่งห้อง แรก ๆ เธอก็นอนห้องชั้นบนและเปิดประตูโล่งไว้“ถ้าลูกมีอะไรก็เรียกป้าได้นะ ห้องป้าไม่ได้ล็อค” เขาพยักหน้ารับยิ้มอาย ๆที่ป้ารู้ทันว่าเขากลัวความมืด เธอนอนหลับสนิทได้ไม่กี่คืนก็เริ่มรู้สึกอึดอัดข่มตาให้หลับอย่างไรก็หลับไม่ลง เสียงรบกวนดังมาจากทั่วสารทิศเสียงแมลงร้องจนแสบแก้วหู เสียงนกฮูกที่ร้องครางอื๊ด ๆ มาจากที่ไกล ๆเสียงเดินยวบยาบของตะขาบที่ออกหากินยามค่ำคืน แถมยังรู้สึก ปวดเมื่อยตามแข้งขา เธอเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องมันบอกเวลาสี่ทุ่มเมื่อทนไม่ได้ก็ต้องลุกเดิน เริ่มจากเดินวนไปวนมารอบ ๆ ห้อง ตอนนี้หลานชายคงหลับปุ๋ยไปแล้วเธอจึงเดินลงบันไดไปชั้นล่าง พอถึงชั้นล่างอดสอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอกไม่ได้อากาศคงเย็นสบายกว่าในบ้าน มันคงช่วยผ่อนคลายได้บ้าง คิดดังนั้นเธอก็เปิดประตูบ้านเยื้อย่างก้าวออกไปลมเย็น ๆ ยามค่ำคืนลอยมาปะทะหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น เธอจึงเดินเล่นไปเรื่อย ๆยามวิกาลอย่างนี้ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา เธอจึงรู้สึกเพลิดเพลินยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอาการปวดเมื่อยบริเวณแข้งขาก็หายไป เธอเดินตามถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสวนยางพาราที่ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันแผ่กิ่งก้านปกคลุมแข่งกับความมืดไปทั่วมองเข้าไปในสวนรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นดวงตาสีเขียวของสุนัขเฝ้าสวน สองสามคู่ส่องแสงแวววาวอยู่ข้างๆ ต้นยาง เธออดยิ้มไม่ได้ที่เห็นพวกมันนั่งหางเหน็บก้นก้มหัวต่ำจนเกือบจะแนบชิดติดพื้นขณะที่เธอเดินผ่าน มีตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่สีดำจากรูปร่างหน้าตาคงเป็นพันธุ์ร็อดผสมกับอัลเซเซี่ยนมันทำเสียงขู่คำรามในลำคอเบา ๆ เธอไม่ได้ให้ความสนใจมันมากนักคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างสบายอารมณ์ ไม่นานก็ถึงสวนของพ่อ มองเห็นบ้านไม้ยกพื้นสูงที่มันมีขนาดใหญ่กว่ากระท่อมทั่วๆ ไป บ้านที่พ่อเคยพำนักอาศัยอยู่เกือบครึ่งชีวิต บันไดที่พาดอยู่เชื้อเชิญให้เธอขึ้นไปเปิดประตูห้อง เดินสำรวจดูรอบ ๆ นั่งเล่นบนเตียงเก่าที่เต็มไปด้วยหยากไย่ กลิ่นสาบคุ้นจมูกทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สูดหายใจลึก ๆ หลับตาพริ้มจนพออกพอใจ จากนั้นก็เดินกลับเส้นทางเดิม ตื่นขึ้นมาตอนเช้า พยายามทบทวนความทรงจำไม่แน่ใจว่ามันเป็นจริงหรือว่าฝันไป ก้มลงมองขากางเกงชุดนอนเห็นเม็ดหญ้าแห้งเกาะติดเต็มขาเธอเผลอเอามือปิดปาก มืออีกข้างทาบอก ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่เป็นไรตราบใดที่ไม่มีใครพบเห็นเข้า และถ้าไม่ปริปากพูดคงไม่มีใครรู้หวังว่าเหตุการณ์เช่นคืนนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก จากนั้นก็ไปทำงานตามปกติตกเย็นเธอเดินสูดอากาศเล่น สุนัขพันธ์อัลเซเซี่ยนร็อดตัวที่เห็นเมื่อคืนกระโจนเข้าหาเธอทำท่าจะกัดเธอหยุดกึกยืนนิ่งอยู่กับที่ มันก็หยุดกึกเช่นกันพร้อมกับส่งเสียงคำรามในลำคอเบา ๆ ยิงฟันโชว์เขี้ยวหมาทั้งสองข้างที่ดูแข็งแกร่งเลื่อมเป็นมันวาววับจากนั้นมันก็หันหลังกลับเดินอย่างเชื่องช้าราวกับพญาราชสีห์ที่ไม่หวั่นเกรงกลัวใครในรัศมีที่มันครอบครองอยู่

“คนไข้ถูกสุนัขกัดที่แขนมาหรือครับ” เธอได้ยินเสียงบุรุษพยาบาลที่ตรงรี่มาหาเธอทันทีที่โผล่เข้าไปโรงพยาบาลนาทรายเขาพาเธอไปห้องฉุกเฉินตะโกนบอกเพื่อร่วมงาน เธอก้มมองดูแขนขวาที่มีรอยเขี้ยวเป็นรูลึกโบ๋โชคดีที่ไม่โดนเส้นเลือดดำ เลือดสีแดงไหลลงเป็นทางเธอหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด พยาบาลคนหนึ่งล้างแผลอีกคนคอยซักถาม

“คนไข้โดนหมากัดที่ไหนคะ”

“จำไม่ได้”

“โดนหมาที่บ้านกัดหรือคะ”

“ที่บ้านไม่มีหมาค่ะ”

“อ้าว แล้วคนไข้ไปไหนมาไหนดึกดื่นจนโดนกัด”

“ไม่รู้ นึกไม่ออก”

“จะให้ดิฉันเขียนรายงานอย่างไรล่ะคนไข้มาทำแผลดึกดื่นเที่ยงคืนเพราะโดนหมากัด แต่พอถามกลับจำอะไรไม่ได้เลย” พยาบาลมองหน้าเธอแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “คนไข้ไปเข้าบ้านใครมารึเปล่า”

“เอ่อ เปล่า เปล่า” เธอรู้ตัวว่าเผลอหลับไปบนเตียงเก่าของพ่อมารู้สึกตัวก็เลยเที่ยงคืนไปแล้วต้องรีบกลับบ้านแปลกใจว่าขากลับหนทางมันมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็นอาศัยความคุ้นเคยเส้นทางขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินเพราะเกรงว่าเผื่อมีคนผ่านมาเห็นเข้า พอเดินผ่านสวนยางสุนัขเฝ้าสวนส่งเสียงเห่ากันขรมและแล้วเจ้าตัวที่ไม่ได้เห่ากลับทะยานพุ่งออกมา เจ้าอัลเซเซี่ยนร็อดนั่นเอง มันกระโจนพุ่งออกมาจากข้างทางพร้อมกับโชว์เขี้ยวสีขาวๆ ทั้งสองข้าง เธอยกแขนขึ้นปกป้องมันจึงฝังเขี้ยวลงไปที่แขนแล้วสะบัดอย่างแรงเธอร้องอ๊ากลั่นป่า ถ้าเธอเล่าความจริงว่าแท้ที่จริงมันเป็นยังไง ต้องมีคำถามต่ออีกแน่ๆ ว่าเธอไปไหนยามค่ำคืน เธอจึงเก็บเงียบไว้ดีกว่า กลับบ้านคืนนั้น เธอมองนาฬิกาเกือบตีหนึ่ง ความแค้นเคืองเจ้าหมาตัวนั้นยังครุกรุ่นอยู่ในหัวเจ็บแผลแล้วยังต้องมาเจ็บเพราะเข็มฉีดยาที่ฉีดทั้งทดลองเซรุ่มฉีดเข้าแผลที่หัวไหล่และที่สะโพกอีก นับรวมแล้วได้ 6 เข็ม โชคดีที่หลานชายตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเห็นผ้าพันแผลที่แขนป้าแต่ไม่ถามมากความเธอบอกเพียงว่าหกล้มตอนไปปิดประตูหน้าบ้านเห็นลูกเข้านอนแล้วจึงไม่ปลุก

คืนต่อมาเธอก็เหมือนฝัน เหมือนจริง ว่าได้เจอเจ้าอัลเซเซี่ยนร็อดตัวนั้นอีกมันแยกเขี้ยวทะยานพุ่งใส่เธออีก มีการปลุกปล้ำกันชุลมุนสะบัดเหวี่ยงเต็มแรงแล้วก็ได้ยินเสียงมันร้องเอ๋ง สุดเสียงด้วยความเจ็บปวด จากนั้นภาพความจำก็เลือนรางเหมือนมีเมฆหมอกหนาทึบมาบดบังทำให้มองอะไรไม่เห็น พอรุ่งเช้าเธอได้ยินสุนัขเฝ้าสวนยางตัวอื่น ๆส่งเสียงเห่ากันขรม ดังแว่วมาจนหนวกหู บางตัวร้องโหยหวนบางตัวส่งเสียงเห่าสลับกันไป แรก ๆ เธอก็ไม่ได้สนใจ แต่มีอะไรบางอย่างสะกิดใจ ทำให้ต้องเดินไปดูให้เห็นด้วยตาพอเข้าไปใกล้เห็นสุนัขตัวอื่น ๆ พากันมายืนอออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางเดินแต่ละตัวแหงนหน้ามองขึ้นเบื้องบน สูงขึ้นไปซากเจ้าอัลเซเซี่ยลร็อดท้องเสียบอยู่บนกิ่งไม้แห้งส่วนหัวและหางห้อยลงมา ลิ้นซีดเผือดของมันแลบออกมาเปลือกตาถลน เลือดไหลเป็นทางลงมาตามโคนต้นไม้ส่งกลิ่นคาวคุ้งทั่วทั้งบริเวณคนงานสวนยางกับภรรยาเดินวนรอบ ๆ พร้อมกับเอามือปิดจมูก กำลังหาทางเอาซากของมันลงมา

“โอ้! ทำไมโหดเหี้ยมทำทารุณขนาดนี้ เหมือนไม่ใช่น้ำมือมนุษย์ ” ผู้เป็นสามีพูด

“น่ากลัวนะครู”ภรรยาเขาหันมาพูดกับเธอทันทีที่เธอไปถึง

“หมาหนักตั้งเกือบสามสิบกิโล คนที่ทำต้องเป็นคนแข็งแรงหรือไม่ก็ต้องมีมากกว่าหนึ่งคนถึงยกมันขึ้นไหว”เมียของเขาพูดเสริม

“ฆ่าแล้วทิ้งข้างทางก็พอว่าแล้วนี่ทำกันขนาดนี้เพราะอะไร” สามีออกความเห็นต่อ ส่วนเธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนแทบจะอ๊วกต้องเอามือปิดปากไว้

“ครูอย่ามองสิมันไม่น่าดูเลย น่ากลัวด้วยซ้ำ” ผู้เป็นภรรยาบอกด้วยความห่วงใย กลับบ้านวันนั้นเธอพยายามทบทวนความจำภาพที่จำได้ก็เพียงแค่เห็นมันกระโจนพุ่งใส่เธอ ส่วนมันตายยังไงเธอจำไม่ได้แล้วอีกอย่างแขนของเธอก็ยังเจ็บอยู่ และมีผ้าพันแผลพันรอบเธอคงไม่มีแรงที่จะยกมันขึ้นไปเสียบกิ่งไม้ได้ เรื่องหมาดำของเธอก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก แต่เธอเคยถามแม่แล้ว แม่บอกว่าพ่อไม่เคยมีอะไรแต่เธอก็ยังไม่แน่ใจ วันต่อมาเพื่อนครูที่โรงเรียนชวนกันไปถวายสังฆทานที่วัดป่าซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนราวสามสิบกิโลเมตร หลังจากถวายเสร็จแล้ว เธอกับเพื่อน ๆก็พากันไปให้อาหารปลา มียายแก่คนหนึ่งถือตะกร้าเดินออกมาจากทางเดินแคบ ๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่

“อ้าวยาย ไปไหนมา” เธอร้องทักพอเป็นมารยาท

“อ้อยายเอาน้ำไปให้แม่ชี ท่านเพิ่งเดินทางมาถึงตอนเช้าตรู่วันนี้เห็นว่าจะพักสักคืนสองคืนแล้วจะไปต่อ

“แม่ชีกี่คนคะ”

“คนเดียวท่านเดินมานะ ค่ำไหนนอนนั่นเห็นว่าพื้นเพเป็นคนปทุมธานีแน่ะ” มีอะไรบางอย่างในใจทำให้เธออยากพบแม่ชีคนที่ยายพูดถึง เธอจึงหาโอกาสปลีกตัวหลบออกมาจากกลุ่มเพื่อนและเดินตามเส้นทางที่ยายเดินออกมาเพื่อไปหาแม่ชี

“ลูกมานี่ด้วยเรื่องอันใด” แม่ชีวัยห้าสิบกว่าๆถามเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าไหม้เกรียมแดดและมีฝ้าขึ้นเต็มหน้า

“คือ เอ่อ มีบางอย่างที่ลูกไม่เข้าใจแม่ชีพอรู้เรื่องของรักษา หรือของขลังบ้างไหมคะ” เธอก้มหน้าไม่กล้าสบตาแม่ชีเกรงว่าท่านจะหัวเราะว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

“พวกมนต์ดำ ศาสตร์ดำน่ะไม่เกี่ยวกับศาสนานะลูกแต่หลายคนก็เชื่อว่ามันมีจริง แล้วลูกมีแบบไหนล่ะ”

“คือเอ่อ ก่อนพ่อจะตาย พ่อได้มอบสิ่งหนึ่งให้ลูก ลูกไม่แน่ใจว่าได้มันมาหรือเปล่า”

“พ่อของลูกได้บอกไหมว่ามันคืออะไร”

“ไม่ค่ะ พ่อบอกแต่ว่ามันเป็นของดีให้เก็บเอาไว้ พ่อเรียกมันว่า ไม้ท่อนจิ๋ว” รอยยิ้มบนใบหน้าแม่ชีเจื่อนหายไปแววตาอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นดุดัน เคร่งขรึม และจ้องหน้าเธอเขม็งต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วครู่ จนเธอรู้สึกอึดอัด

“เอางี้”สีหน้าแม่ชีกลับมาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม “เมื่อพ่อของลูกบอกว่าเป็นของดี มันก็อาจจะดีอย่างที่ว่าตอนนี้ลูกต้องการทราบว่า ไม้ท่อนจิ๋วที่พ่อให้มาน่ะ ลูกได้มันมาหรือไม่ใช่หรือไม่”

“ค่ะ ใช่ค่ะ”

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะลองเล่าให้แม่ฟังซิ”

“เพราะ เอ่อ เหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป”แม่ชีใบหน้าเคร่งขรึมจ้องมองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ

“ลูกตอบคำถามตัวเองแล้วว่าลูกเปลี่ยนแปลงไป เอาล่ะ แม่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะมองอะไร ๆ ด้วยญาณทิพย์ แต่แม่จะให้ลูกเสี่ยงทายเองก็แล้วกันคำตอบที่ได้มันจะบอกลูกเอง” ว่าแล้วแม่ชีก็หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งก้มเขียนอะไรบางอย่าง จากนั่นก็วางลงตรงหน้าเธอ

“นี่เป็นภาษาทางธรรม แม่เขียนไว้ 5 คำให้ลูกเลือกเอาสามคำ แล้วเขียนใส่ฝ่ามือ แล้วกำมือไว้ แม่ก็จะเลือกเอาสามคำ เขียนลงฝ่ามือเช่นกันจากนั้นแม่จะนับสาม เราต่างต้องหงายมือ ถ้าคำที่ลูกและแม่เลือกตรงกันทั้งสามคำคำตอบคือ ใช่ ลูกได้มันมา” แม่ชีก้มเขียนก่อน แล้วยื่นปากกาให้เธอเธอพยายามเพ่งมองคำทั้ง 5 มันเป็นคำโดดที่สะกดแปลก ๆเธอจำเอารูปร่างหน้าตามันมากกว่าจะจำเป็นคำอ่าน เพ่งมองและเลือกสลับกันไปมา พอเขียนเสร็จเธอยื่นปากกาคืนให้แม่ชีรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมคราม เหมือนรอลุ้นอะไรสักอย่าง แม่ชีเริ่มนับ หนึ่ง สองพอสาม ทั้งเธอและแม่ชีต่างแบมือวางตรงหน้า คำที่หนึ่ง สอง สาม ทั้งบนฝ่ามือของเธอและฝ่ามือของแม่ชี เป็นคำเดียวกัน เรียงลำดับเหมือนกับทำสำเนา เธอเป็นคนแรกที่พูดขึ้นก่อน

“แสดงว่าลูกได้มันมา”

“ใช่ ของรักษาก็คือของรักษาลูกต้องรักษามันให้ดี ๆ ทุกอย่างมีสองด้าน ดี ร้าย มืด สว่าง ขอให้ลูกโชคดี”พูดจบแม่ชีขอตัวเข้าห้องพัก ไม่เปิดโอกาสให้เธอถามอะไรอีกเลย ทั้ง ๆที่เธอมีคำถามมากมาย เธอได้มันมาหรือแต่กลับไม่ดีใจเลย ทั้ง ๆที่เป็นสิ่งที่พ่อมอบให้ ในบรรดาลูก ๆ ของพ่อทั้งหมดสิบคน เธอคือคนที่พ่อเลือกคือคนที่พ่อไว้วางใจที่สุดใช่หรือไม่ คำถามที่ตามมาอีกคือ ทำไมจึงต้องเป็นเธอ

กลับบ้านวันนั้นเธอหาโอกาสไปพบแม่เพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ไม่มี พ่อไม่เคยมีอะไร” แม่ยืนยันคำเดิม

“แม่ก็บอกแต่ว่าไม่มี ๆ แม่ลองคิดดูดีๆ สิ ว่าพ่อเคยเล่าหรือเคยบอกอะไรไหม”

“ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา จนตายจากกันแม่ก็ไม่เห็นพ่อแกมีอะไร นอกจากซื่อสัตย์ ขยันก็เท่านั้น”

“แต่หนูจำตอนนั้นได้นะแม่ตอนที่มีรถขายแหนมตราหมูคู่จากนครพนมเข้ามาขายในหมู่บ้านเราครั้งแรก ห่อละบาทน่ะ หนูซื้อไปฝากพ่อ สองห่อ พ่อบอกว่าอร่อยรอบที่สองหนูซื้อไปฝากอีก แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ” แหนมเป็นการแปรรูปอาหารแบบใหม่ในสมัยนั้นและเป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านในหมู่บ้านของเธอรู้จักแหนม ซึ่งทำมาจากเนื้อหมูสับละเอียด ปรุงรส และห่อมาในใบตองกล้วยมัดแน่นเหมือนห่อข้าวต้มมัด

“ครั้งแรกมันใช่เนื้อหมูแต่ครั้งหลังมันไม่ใช่ เขาคงเอาเนื้อหมามาทำ” พ่อบอกเธอแค่นั้นแต่สำหรับพ่อมันไม่แค่นั้น รอบ ๆ ริมฝีปากพ่อ เป็นตุ่มหนอง พุพองเปื่อยน้ำเหลืองไหลย้อย เธอเห็นพ่อเด็ดดอกไม้ป่าพร้อมเทียนเหลืองเล่มเล็ก ๆ แต่งขันธ์ห้านั่งท่าเทพบุตรยกขันธ์ห้าขึ้นเหนือหัว ปากท่องขมุบขมิบอยู่หลายวัน

“แม่จำได้ไหมว่า พ่อแพ้แหนมนั่น และหลายปีต่อมาก็มีอาการเดียวกันที่ซื้อแหนมมาจากตลาด” แม่ทำท่าครุ่นคิด

“เออ แม่พอนึกออกแล้วก่อนเอ็งเกิดนิดหนึ่ง พ่อเคยขอผ้าขาวม้าผืนหนึ่ง กับเงิน สามสิบห้าบาทพร้อมดอกไม้เทียนคู่ พ่อบอกว่ามีนักพรตมาจากไหนไม่รู้ แม่รู้แค่นั้น” ถึงแม้จะแค่นั้นของแม่ แต่เธอก็ได้คำตอบที่ต้องการ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าพ่อมีของดีของรักษาจริงและเธอเดาคำตอบเองได้ว่าของรักษาพ่อคืออะไร มิน่าล่ะพ่อถึงปลีกตัวออกไปอยู่ตามท้องนา อยู่สวนเพราะพ่อไม่ชอบความวุ่นวายเวลาไปไหนมาไหนยามค่ำคืน พ่อไม่เคยถือไฟฉาย แล้วตอนนี้สิ่งนั้นมันตกมาอยู่กับเธอเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงกับมัน ถ้าเธอไม่ขอรับมัน หรือทิ้งมันไปจะได้ไหม นั่นคือปัญหาที่ทำให้เธอต้องขบคิด ธอเริ่มมองเห็นแล้วว่าชีวิตเธอเริ่มไม่เป็นปกติสุขแผลหมากัดยังคอยตอกย้ำ และภาพซากหมาบนต้นไม้นั่นก็ยังคงเป็นปริศนา เรื่องนี้แม่ก็คงให้คำปรึกษาหรือคำตอบอะไรไม่ได้เธอต้องตามหาคนที่รู้เรื่องพวกนี้ดี พลันเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนสมัยยังเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัวผู้เฒ่าแห่งคุ้งห้วยน้ำดำ ถ้าเรื่องที่พ่อเล่าเป็นจริง ผู้เฒ่าตนนั้นก็ต้องมีจริงผู้เฒ่าตนนั้นอาจรู้จักพ่อดี และคงมีญาณทิพย์พอที่จะรู้อะไร ๆและอาจช่วยเธอหรือให้คำแนะนำแก่เธอได้เธอจึงตัดสินใจจะไปพบผู้เฒ่าแห่งคุ้งห้วยน้ำดำ




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:55:08 น.
Counter : 491 Pageviews.

1 comment
walk in the dark! 10


“ฉันอยากเลี้ยงข้าวนาย แวะมาหาหน่อยสิ”  เขา โทรหาหลังเลิกงาน น้ำเสียงฟังดูเนือย ๆ เหมือนกำลังเซ็งเต็มประดาถ้าถามความรู้สึกของเธอตอนนี้แล้วไม่อยากไปเอาเสียเลย แต่ก็ต้องถนอมน้ำใจกันเอาไว้จึงต้องไปอย่างเสียมิได้ จอดรถไว้ตามที่เขาบอกจากนั้นก็นั่งรถกระบะไป เขาพาไปทานข้าวนอกเขตดงโป่งแดงต้องขับรถออกนอกเขตไปราว 30 นาที

“ไปกินปลากันนะนายชอบปลาไม่ใช่เหรอ” เธอนิ่ง ไม่ตอบคำถามปล่อยให้เขาตัดสินใจเอง เธอสังเกตเห็นเขามีแววหงุดหงิด สีหน้าบึ้งตึง เขาเลือกโต๊ะที่อยู่มุมห่างจากโต๊ะอื่นๆ

“เมียฉันหนีไปแล้วหอบเงินที่บ้านไปไม่พอ ยังเอาบัตร เอ ที เอ็ม ไปรูดเงินในบัญชีฉันไปจนเกลี้ยง”เธอมองเขาแต่ไม่แสดงความคิดเห็น มันเป็นเรื่องส่วนตัว “นายยังรักฉันอยู่ไหม”คราวนี้เขาหันมาจ้องหน้า เธอถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนี“เมียฉันก็คงรู้ว่าฉันไปไหน ๆ กับนายถึงได้ทำกับฉันอย่างนั้น ฉันรักนายนะ”

“ไม่อยากเชื่อคำพูดของพี่อีกแล้ว”

“นายจะให้ฉันอมพระมาพูดหรือจะให้สาบาน..เอ่อ” เขาหยุดกึกก่อนจะพูดต่อ” ฉันขอถามเพียงว่านายยังรักฉันอยู่ไหม”

“พี่มาถามทำไมตอนนี้นั่นมันเมื่อ 16 ปีที่ผ่านมา” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าหงุดหงิด

“16 ปี แล้วไงฉันยังรักนายอยู่เหมือนเดิม และสวรรค์ก็ลิขิตมาให้ฉันมาเจอนายอีกจนได้”

“หนูขอบคุณที่พี่ช่วยเหลือเรื่องไม้สร้างบ้าน ถือว่าพี่ทำทดแทนที่พี่เคยทำลายชีวิตหนูก็แล้วกัน”

“ฉันยังรักนายตลอดเวลาไปอยู่ที่อื่นฉันก็ยังคิดถึงนาย แล้วนายคิดถึงฉันบ้างไหม” เสียงคุยกันเริ่มดังขึ้นจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามอง เขาจึงลดเสียงลง

“ความรู้สึกนั้นมันตายไปแล้วสำหรับหนู”

“ทำไมฉันไม่ได้ทำอะไรนายสักหน่อย”

“พี่ทำลายชีวิตหนูทั้งชีวิตเลยแหละ” เธอโกรธจนตัวสั่นและสะบัดหน้าหนี ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่ผ่านมาภาพที่เธอพยายามเหยียบฝังดินให้มิดก็ลอยผุดขึ้นเหมือนนั่งดูหนังจอใหญ่อยู่ตรงหน้า

นายร้อยตำรวจหนุ่มตัวล่ำบึกหน้าตาคมคายผิวเข้ม ย้ายมาดำรงตำแหน่งที่สถานีตำรวจภูธรนาทรายเธอเองก็เพิ่งเรียนจบและบรรจุทำงานเป็นครูในโรงเรียนมัธยมที่ยู่ไม่ห่างจากสถานีตำรวจวันที่พบกับเขาครั้งแรก เป็นเวลากลางคืน เนื่องจากมีอุบัติเหตุรถสิบล้อบรรทุกข้าวเปลือกเต็มคันรถวิ่งไปส่งที่กรุงเทพฯมีคนขี่จักรยานตัดหน้าคนขับหักหลบรถเสียหลักพลิกคว่ำตกข้างทาง อีกคืบเดียวจะชนบ้านที่ตั้งอยู่ริมถนนข้าวเปลือกเกลื่อนกลาดเต็มไปหมดนายตำรวจหน้าตาคมเข้มคนนั้นกับลูกน้องมาทำคดี

“ใครพอเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”ชาวบ้านมุงดูกันเต็มถนนแต่พอเจ้าหน้าที่ถามต่างเดินหนีแยกย้ายไปหลบหน้าหลบตาบางคนก็กลับบ้าน“ใครพอจะพูดภาษากลางได้บ้าง ไม่ควรทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นะครับ ไม่รู้แต่ช่วยชี้หน่อยนะครับ” ในสมัยนั้นบ้านส่วนใหญ่พูดภาษาถิ่นน้อยคนนักจะพูดภาษาไทยได้ แล้วสายตาของเขาก็หันมาประสานกับเธอเข้าพอดี สาวน้อยร่างแบบบางในชุดนอนเสื้อยืดแขนยาวกางแกงขายาวสีเทาเป็นชุดที่เข้ากับบรรยากาศต้นฤดูหนาวเขาตรงดิ่งเข้ามาหา และขอร้องให้เป็นพยานให้เพื่อจะได้ทำคดีให้เสร็จสิ้นเธอตอบตกลง เขาถามคำถามเธอนิดหน่อย เธอเล่าไปตามที่ได้ยินเสียงไม่ได้แต่งเติมเรื่องราวทำตัวเป็นพลเมืองดีเท่าที่จะทำได้ เหตุการณ์คืนนั้นผ่านไปเช้าวันรุ่งขึ้นชายที่ทำตัวเป็นลูกน้องเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านมาชี้หน้าด่าเธอ

“ตำรวจเป็นญาติมึงเหรอ มึงช่วยมันทำไมฮะ”เธอกลัวจนตัวสั่นงันงก พ่อกับแม่ก็ได้แต่มอง พูดอะไรไม่ออกเธอมารู้ตอนหลังว่าชายที่ขี่จักรยานตัดหน้าเป็นคนมาจากประเทศลาวเป็นแรงงานเถื่อนของเจ้าพ่อ ในวันถัดมาเขากับลูกน้องมานั่งพิมพ์สำนวนเจ้าพ่อคนนั้นก็ส่งลูกน้องมากวน มาปล่อยลมยางรถสายตรวจ ตะโกนพูดจาถากถางท้าตีท้าต่อยแล้วก็มีเรื่องกันจนได้ มีเสียงเอะอะทะเลาะกันดังพอที่จะดึงดูดให้ชาวบ้านมามุงดูห่างๆ วัยรุ่นคนหนึ่งโดนจับใส่กุญแจมืออีกคนโดนเขาเอาหน้าผากโขกเลือดกำเดาไหล คนอื่น ๆ วิ่งหนีเอาตัวรอด

“เพราะอีผู้หญิงคนนี้พวกตำรวจถึงเข้ามาวุ่นวาย”เสียงหญิงที่เป็นแม่ของวัยรุ่นกลุ่มนั้นตะโกนแหวกวงไทยมุงเข้ามา คืนต่อมา เจ้าพ่อตัวจริงก็มาขอพบทำให้เธอได้รู้ว่าหัวหน้าใหญ่ที่แท้จริงเป็นครูที่สอนอยู่โรงเรียนประถมประจำหมู่บ้าน

“เป็นอะไรกับตำรวจนั่น”เขาถามแต่ฟังดูเป็นการข่มขู่มากกว่า “อย่าริซักศึกเข้าบ้าน ถือว่ามาพูดกันดี ๆนะหวังว่าคราวต่อไปหมู่บ้านของเราคงไม่เจอเรื่องวุ่น ๆ อีก ”พ่อกับแม่ก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบ เกรงกลัวบารมี เธอไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเจอลูกน้องเขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตกเย็นเขาขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาเธอที่บ้าน

“นายถูกข่มขู่แหรอฉันจะไม่ปล่อยให้นายเป็นอะไรไปหรอก ฉันจะคุ้มครองนายเอง” มีกลุ่มเปิดบ่อนเถื่อนโดนจับเธอก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายว่าแอบส่งวิทยุให้ข่าวพวกตำรวจในสมัยโน้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ แม้แต่โทรศัพท์สายก็ยังมาไม่ถึงจากเทียวมาถามข่าวคราวบ่อย ๆ ก็กลายเป็นความสนิทสนมคุ้นเคยและขยับขึ้นเป็นความรักความเข้าใจคบกันได้ระดับหนึ่งก็มีคนมากระซิบบอกเธอว่าเขามีเมียแล้ว

“ไม่มี คงมีคนอิจฉานาย ที่จะได้เป็นคุณนาย”พอเธอถามเขาก็ปฏิเสธ

“หนูต้องการความจริง”

“ฉันพูดความจริง”

“พี่กล้าสาบานไหมว่าพูดความจริง”

“ฉันท้าสาบานเลยเอ้า บอกมาที่ไหนเมื่อไหร่”

ด้วยความที่เธอเองก็อยากจะพิสูจน์ว่าเขาพูดจริงไหมเธอมองหาที่สาบาน ต่อหน้าพระพุทธรูป หรือว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ ๆ ดี พลันเธอก็นึกถึงศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านที่ผู้คนนับถือและอยู่คู่บ้านคู่เมืองมานาน เธอเด็ดดอกกุหลาบสีแดงสองดอก เทียนหนึ่งคู่ ธูปสองดอกพาเขาไปที่ศาล ขณะยืนอยู่ต่อหน้าศาลถ้าใครบังเอิญผ่านไปมาคงมองเห็นนายตำรวจแต่งชุดตำรวจเต็มยศกับสาวร่างแบบบางสวมใส่เสื้อยืดนุ่งผ้าซิ่นตามแบบสาวชาวบ้านทั่ว ๆ ยืนเคียงคู่กันอยู่หน้าศาล เธอจ้องมองเข้าไปข้างในศาลไม้เก่า ๆ มอง เห็นเครื่องไหว้สักการะวางระเกะระกะบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด จนเธอรู้สึกเย็นวาบรอบ ๆ กาย มือไม้ออกอาการสั่นนิด ๆ ศาลแห่งนี้มีเรื่องเล่าไว้มากมายแต่เธอก็อยากพิสูจน์ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงไหม เธอจุดธูปให้ตัวเองหนึ่งดอกยื่นให้เขาหนึ่งดอก

“ขอเจ้าปู่จงเป็นพยาน ชายคนที่อยู่ข้าง ๆนี้คบหาอยู่กับลูกและมีคนมาบอกว่าเขามีเมียแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับถ้าเขาโกหกลูกขอให้เขามีอันเป็นไป” พูดจบเธอเอาศอกกระทุ้งแขนของเขาเบาๆ

“กระผม ร้อยตำรวจตรีวันชัย โพธิ์เงินผมรักผู้หญิงคนนี้จริง ๆ และไม่ได้หลอกถ้าผมมีเมียอย่างที่เขากล่าวหาขอให้กระผมมีอันเป็นไปภายในห้าวัน เจ็ดวัน”พูดจบก็พากันปักธูป “นายพอใจหรือยัง “ เขาหันมาถาม เธอจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเพื่อค้นหาความจริง ทั้งที่ยังสงสัยแต่เธอก็เชื่อในสิ่งที่เขาสาบานเขาจึงฉวยโอกาสก้มลงหอมแก้มเธอทีหนึ่งก่อนแยกย้ายกันกลับ ริมฝีปากของเขามันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ตลอดช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ได้รู้จักกับเขาชีวิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เวลาเขาออกตรวจท้องที่ ออกจับไม้เถื่อนตามป่าเขาลำเนาไพรก็จะแวะรับเธอไปด้วยเขาสอนวิธียิงปืนให้โดยใช้กระสุนจริง ฝึกยิงปืน เอ็ม 16 พาไปเที่ยวงานวัดตามหมู่บ้านใกล้เคียงเธอเผลอจินตนาการเห็นเธอกับเขาอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภรรยาอย่างมีความสุขแต่ความสุขของเธอแม้ในจินตนาการก็แสนสั้นเพราะเย็นวันนั้นเองมีหญิงแก่วัยคุณแม่มาหาเธอที่บ้าน บอกว่าหล่อนเป็นใครแล้วเดินจากไป ส่วนเธอตัวแข็งทื่อ น้ำตาไหลอาบแก้ม หลังจากหล่อนคนนั้นกลับไปไม่นานเขา ก็แวะมาหาท่าทางก็ดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“หญิงแก่คนนั้นแอบหลงรักฉัน จะตามรังควานทุกคนที่ฉันคบ”

“แล้วทำไมไม่เจอกันทั้งสามคนเล่า”

“ฉันก็อยากเจอเหมือนกันถ้าต่อหน้าฉันยายนั่นก็ไม่กล้า” วันรุ่งขึ้นเธอก็ไปทำงานตามปกติพอเลิกเรียนหญิงแก่คนนั้นก็มาชี้หน้าด่าเธอต่อหน้านักเรียน ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน

“อีดอกทอง หาคนขี่ไม่ได้รึไงถึงมาแย่งผัวชาวบ้าน..อี..อี..”เธอกลับถึงบ้าน สะอื้นไห้แทบสลบรู้สึกทั้งอาย ทั้งเจ็บปวด จากนั้นเวลาเธอเดินไปไหนมาไหนชาวบ้านก็ซุบซิบกันดังพอที่จะให้เธอได้ยินและเสียงด่าทอของหญิงแก่คนนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอน

“มึงกับกูมันคนละชั้นโว้ย เชื่อเถอะพอเขาได้ขี่มึงเมื่อไหร่เขาก็จะเขี่ยทิ้งทันทีฉันเห็นมาหลายรายแล้วอย่าริอยากเป็นคุณนายเลย อีดอก”

“ก็คงเพราะแก่อย่างนี้เขาถึงหันหน้าออกนอกบ้าน” เธอทั้งอายทั้งโมโห

“หนอย เห็นแก่ ๆ อย่างนี้ก็เถอะ เขาน่ะขี่ฉันทั้งเช้าทั้งเย็นเลยแหละ” ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้มาโต้คารมกับใคร เธอจึงได้แต่เอามือปิดหน้ารีบเดินหนีก่อนที่น้ำตาจะร่วงให้หล่อนเห็นเหตุการณ์วันนั้นทำให้เธอรู้ว่า ในโลกของความรักไม่ใช่สิ่งสวยงามเสมอไป บางครั้งมันมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่าระเบิดมือหลายเท่าเปรียบได้กับอารมณ์ที่คลุกรุ่นเดือดพล่านอยู่ข้างในพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ คำสอนที่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจนั้นจริงแท้แน่นอน ตอนนี้เธอกำลังตกนรก จิตใจร้อนรุ่ม มีเพลิงเผาผลาญอยู่ในอก รักไม่เป็นดังหมายแถมมีมารร้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“คำสาบานมีประโยชน์อะไรเล่า” เธอตัดพ้อขณะนอนร้องไห้กลางดึก จู่ ๆ เช้าตรู่วันหนึ่งลูกน้องของเขาขี่รถเครื่องมาหาเธอที่บ้าน

“อาจารย์ครับหมวดเขาถูกยิง” เขาพูดด้วยสีหน้าตื่น ๆ

“ฮะใครยิง” เธอหลุดโพล่งออกไป

“อ๊ะคืองี้ครับ เมื่อคืนพวกเรานำกำลังไปล้อมจับเสือใบ พลันเขาก็ทำปืนลั่นใส่เท้าของตัวเอง” เธอนับวันที่ไปสาบานต่อหน้าศาลเจ้าปู่ จนถึงวันนี้ก็เจ็ดวันพอดี เธอนิ่งอึ้ง

“อาจารย์ไปเยี่ยมหมวดหน่อยนะครับ เขาอยากเจออาจารย์มาก ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล” เธอยังรู้สึกกลัวฝีปากเมียแก่ของเขา นั่งบวกลบ คูณหารในที่สุดก็ชวนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งไปเป็นเพื่อน ด้วยยังคิดดีอยู่ว่าแค่ไปให้เห็นหน้าแล้วจะรีบกลับแต่ถ้าย้อนเวลาได้เธอคงไม่ไปในวันนั้น เพราะทันทีที่โผล่หน้าที่โรงพยาบาลเมียแก่ของเขาก็ยืนขวางทาง

“หยุด ไม่ต้องไปเยี่ยม แกใช่ไหมที่พาเขาไปสาบานนังตัวดีเล่นของใช่ไหมมึง” บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นซึ่งมีเขานั่งอยู่ผ่านมาพอดีหญิงแก่จึงเปลี่ยนเป็นยิ้มให้เธอแทน ส่วนเขาถึงแม้จะส่งยิ้มให้เธอแต่ก็เป็นรอยยิ้มแบบฝืด ๆ วันนี้มีโอกาสเจอกันทั้งสามคนและเห็นแล้วว่าเขาหงอแค่ไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงแก่คนนั้น เธอหันหลังเดินกลับหอบความฟกช้ำกลับบ้านตัวเบาหวิว ไม่มีเรี่ยวแรง เนื้อหนังมังสาแทบจะปริแตกแหลกสลายมะลายไปกับสายลม จบกันทีกับรักครั้งแรก จากนั้นเธอก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลยมีคนบอกว่าเขาย้ายไปที่อื่นแล้ว ส่วนเธอต้องใช้เวลาเยียวยาและเลียแผลนานพอสมควร จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาโท เวลาผ่านไปความเจ็บปวด ความรู้สึกต่าง ๆ ค่อย ๆตกตะกอนลงไปนอนในก้นบึ้งของหัวใจ

“ฉันขอถามอีกครั้งนายจะไปกับฉันไหม หมายถึงย้ายตามฉันไป”

“ไม่ไปหนูต้องทำงาน”

“นายจดทะเบียนสมรสกับฉันแล้วใช้คำสั่งเดียวกัน ย้ายตามได้ทันที นายไม่อยากไปอยู่ขอนแก่นเหรอ”เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ “ที่ผ่านมานายหลอกใช้ฉัน ฉันเสี่ยงช่วยนายก็เพราะรักนายฉันจะจำไว้” อีกไม่กี่วันต่อมาเขาขับรถกระบะสีขาวมาดูบ้านของเธอที่สร้างจวนจะเสร็จแล้ว

“ฉันอยากมาดูให้เต็มตาว่าบ้านไปถึงไหนแล้วและฉันก็ดีใจที่เห็นคนที่ฉันรักมีบ้านอยู่อย่างมั่นคง” เธอไม่ตอบปล่อยให้เขาพูดไป“ฉันมาถามนายเป็นครั้งสุดท้าย นายจะไปอยู่กับฉันไหม”

“ไม่ค่ะ”เธอตอบโดยไม่มองหน้า พลันก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แขน อุ้งมือที่ใหญ่และแข็งแรงของเขาคว้าหมับเข้าที่แขนขวาของเธอพร้อมกับบีบจนเธอรู้สึกเจ็บเผลอร้องจ๊ากออกมาเขายังคงกำแน่น ถ้าดิ้นก็คือเจ็บเธอจึงอยู่นิ่ง ๆ เขาจึงค่อย ๆ คลายมือออก

“ฉันมาลาแต่ถ้าได้มีโอกาสเจอนายอีกฉันจะไม่ปล่อยให้นายหลุดมือไปอีก นายจำคำฉันไว้นะ” แล้วเขาก็จากไป เป็นครั้งที่สองแต่การจากไปคราวนี้ แตกต่างจากคราวแรก การจากครั้งที่สองเธอรู้สึกโล่งใจไม่ต้องไปทนนั่งเฝ้าเขากิน ดื่ม ไม่ต้องเสแสร้งว่าเป็นแฟนกันและที่สำคัญคงไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกชั่วนิจนิรันดร์




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:52:15 น.
Counter : 527 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark! 9




หัวหน้าชุดสายตรวจก้าวมายืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ยังคงยืนจับกลุ่มกันอยู่สายตาของเขาจ้องมาที่เธอ ริมฝีปากเหยียดนิด ๆ บรรยากาศในช่วงเวลานั้น ตึงเครียดนิ่ง เงียบ ลูกน้องบางคนกลอกกลิ้งลูกตาไปมองผู้เป็นหัวหน้าและมองเธอสลับไปมา ทุกคนเตรียมพร้อมรอเพียงคำสั่งจากหัวหน้าเท่านั้นเหตุการณ์มันช่างระทึกใจเหลือเกิน เหมือนราชสีห์กระหายหิวฝูงใหญ่ที่กำลังตีวงล้อมลูกกวางตัวน้อยนิดเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกมองหาช่องเล็ดลอดหลบหนีไม่มีเลยเขี้ยวเล็บของฝูงราชสีห์ก็พร้อมที่จะตะปบลงไปที่ร่างน้อย ๆ ที่กำลังสั่นเทางกงั่นด้วยความกลัวและรอเวลาที่จะแหลกเหลวคาอุ้งเท้าของเจ้าป่า

“ครู ไปหาพวกเขากันเถอะ ” เสียงน้าลามเตือนสติเธอ แทนที่จะเดินไปหาพวกเขาอย่างที่น้าลามบอกเธอกลับทรุดตัวลงนั่งลงตรงซุงไม้ที่ใกล้ตัวที่สุด ริมฝีปากเธอเม้มสนิท สายตาจ้องมองประสานกับหัวหน้าสายตรวจ

“สายของเรา” เขาพูดเสียงดังโดยไม่ต้องพึ่งโทรโข่ง“ได้รับแจ้งมาว่า มีการลักลอบขนไม้มาเส้นทางนี้” น้าลามดูสั่นเทิ้มมากขึ้นกว่าเดิมหันไปมองชุดสายตรวจทีหันมามองเธอที

“ออกไปยอมเขาเถอะครู ถ้าโดนยึดไม้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าทั้งรถทั้งไม้ครอบครัวผมจะกินอะไร” น้าลามพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ ครูพอมีตังค์ติดตัวไหม ขอเขาสัก5 พันคงเอาอยู่” น้าลามมีอาชีพรับจ้างขนของก็ถูกของเขาถ้าไม่มีรถครอบครัวของเขาก็ต้องลำบาก เธอจึงจำยอมลุกเดินอ้อยอิ่งเข้าไปหาพวกเขาหรือต้องพูดว่า ลูกกวางเดินเข้าไปหาฝูงราชสีห์ที่กำลังกระหายหิวถึงจะถูก สมองของเธอก็พยายามคิดหาทางออก เธอยืนเว้นระยะห่างพอควรพออยู่ในระยะใกชิดจึงมองเห็นชัดเจนว่าหัวหน้าสายตรวจคืนนี้คือ ผู้กองบารมีนายตำรวจไต่เต้า เป็นญาติของเพื่อนครูที่โรงเรียน จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ได้ข่าวมาว่ามีกิ๊กและเลี้ยงเด็กไว้หลายคนกินตะกละไม่เลือกที่ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูไม่มีมิตรไมตรีเอาเสียเลยเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“ขอโทษขอโพยนะครับคุณตำรวจ ครูเขาก็เอามาสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัยครับ” น้าลามยกมือไหว้คนนั้นคนนี้อย่างนอบน้อมปากก็พูดไม่หยุด ขณะที่เธอยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่

“ได้ข่าวมาว่าบ้านหลังนี้มีระดับนายตำรวจเป็นคนคอยดูแล”คนที่ยืนข้าง ๆ หัวหน้าสายตรวจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

“ใช่ค่ะ ทุกครั้งก็เป็นดังที่ว่า แต่บังเอิญวันนี้สารวัตรวันชัยไม่อยู่ ไปส่งผู้การที่ขอนแก่น” เธอจงใจซัดเปรี้ยงเข้าให้เลยไม่ต้องมาแย็บๆ อ้อมค้อม เจ้าหน้าที่คนที่พูดจ้องมองเธอด้วยสายตาเชือดเฉือน เธอเหลือบไปเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของผู้กอง เขาเม้มปากยืดอกพร้อมกับชูฝ่ามือขึ้นระดับไหล่ เธอเดาได้ว่ามันเป็นสัญญาณมือพร้อมจะออกคำสั่งให้ลูกน้องลุย พลันเขากลับทิ้งไหล่ลงฮวบ มือยังคงยกค้างตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระริก พูดเสียงดังพอที่จะได้ยินกันทุกคน

“กลับขึ้นรถ” โดยมีเขาเดินลิ่วนำหน้าอย่างเร่งรีบ เปิดประตูรถแล้วกระโจนขึ้นอย่างเร็วปิดประตูตามดังปึง ลูกน้องต่างมีสีหน้างุนงงแต่ก็กระโดดขึ้นรถตามคำสั่งบางคนกระโดดขึ้นแบบไม่เต็มใจ แม้รถจะกระชากออกไปแล้วเจ้าหน้าที่ที่นั่งบนกระบะหันมามองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป

“เขาเป็นอะไรไปล่ะครู ทำไมรีบโกยอ้าวอย่างนั้น” น้าลามก็มีสีหน้างงไม่แพ้ลูกน้องผู้กองบารมี

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอมีข้อสงสัยแต่ก็ยังไม่แน่ใจ

“วันนี้เจอหลายรายการ นี่ก็ดึกแล้ว ผมเหนื่อยมากเลยนะครู จอดรถไว้ที่นี่แหละพรุ่งนี้ค่อยขนลงนะครู”เธอพยักหน้า เหลือบดูนาฬิกา เกือบตีหนึ่ง ดึกกว่าที่เคย เธอขับรถไปส่งน้าลามที่บ้าน กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าล้มตัวลงนอนแต่กลับนอนไม่หลับวันนี้ต่อมอะดรีนาลีนถูกกระตุ้นหลายครั้งพลังงานที่หลั่งออกมายังคงหลงเหลืออยู่ เธอจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อกล่อมตัวเองให้หลับจากนั้นก็สะลึมสะลือครึ่งฝันครึ่งตื่นเห็นหมาดำตัวนั้นเดินผ่านทะลุประตูห้องนอนเข้ามาแล้วมันทิ้งร่างฮวบลงนอนหน้าประตูท่าทางของมันอ่อนล้ามากเธอตั้งใจจะลุกขึ้นเพื่อไปมองดูมันใกล้ ๆ ดูให้เต็มตาแต่เหมือนมีอะไรมากดทับร่างของเธอเอาไว้หนักอึ้งเลยแม้จะกระดิกตัวยังทำไม่ได้ ไม่นานก็ค่อย ๆ ม่อยหลับไป แล้วก็ฝันซ้ำอย่างที่เคยฝันเธอเดินเล่นอยู่ในทุงหญ้ากว้างสีเขียวสดใสกับหมาดำ ในฝันมันคือ หมาของเธอ เดินตามอยู่ห่างๆ คราวนี้มันไม่ร่าเริง ท่าทางมันดูเมื่อยล้า มันเดิน ๆ หยุด ๆ แล้วฟุบนอนลงกับพื้นเธอหันมามอง เห็นมันหลับตาปุ๋ย เธอรู้สึกเอ็นดูจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อลูบหัวมันพลันก็สะดุ้งตื่น

“แม่ พ่อมีของดี เอ่อ ของรักษาไหม” เธอถามแม่ในรุ่งเช้าวันถัดมา

“ของแบบไหนกันลูก”

“แบบของที่บูชาเขามาและเลี้ยงไว้ ของประเภทที่ถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นน่ะ”

“ไม่มี พ่อแกไม่เคยมีหรอก” ท่าทางของแม่ก็ไม่มีทีท่าลับลมคมใน

“แล้วเวลาพ่อไปอยู่ที่ท้องนา อยู่ป่าอยู่สวนคนเดียวทำไมพ่อไม่กลัว”

“เวลามีคนตายพ่อเขาช่วยจัดการศพทำตัวเหมือนสัปเหร่อโดยไม่หวังค่าตอบแทน เขาถึงมีบุญ โบราณว่า ไปไหนมาไหนพวกผีจะกลัว” เรื่องที่แม่ว่ามาเธอก็รู้ดีแต่ก็ยังไม่ทำให้เธอปักใจเชื่อตามนั้น

เหตุการณ์ชุดสายตรวจกับครูชันษาขนไม้เถื่อนกลายเป็นเรื่องที่พูดกันตั้งแต่หัวบ้านจรดท้ายบ้าน ปากต่อปาก พูดต่อ ๆ กันเรื่องก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริงแล้วเหตุเกิดตอนดึก ไม่มีผู้ใดสัญจรผ่านไปมาพานพบบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไปไม่ต่ำกว่า 100 เมตร และคนในบ้านนั้นก็คงไม่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์หรอกคนที่มาเล่าให้เธอฟังต่ออีกทอดคือน้องสะใภ้ของเธอ ภรรยาของเต็นนั่นเอง

“ป้า เขาพูดกันว่ารถสายตรวจเปิดหวอไล่ตั้งแต่ปากทางเข้า ถ้าป้าไม่มีเงินจ่ายป่านนี้ได้เข้าไปนอนแรมคืนที่ฮ่งกง(คำที่ชาวบ้านนิยมใช้กันเพี้ยนมาจากคำว่า ห้องกรง)แล้ว” ฟังดูมันก็สนุก ตื่นเต้นดีแต่มันไม่ใช่ความจริง เธอจึงได้แต่นิ่งเงียบ ส่วนเต็นก็ไม่พูดไม่ถามสักคำ คงได้ฟังเรื่องจากปากน้าลามตอนไปขนไม้ลงตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เธอไปทำงานตามปกติมีเพื่อนร่วมงานสองคนที่มีสามีเป็นตำรวจพวกเขาจับกลุ่มคุยอะไรกันเธอไม่ได้ยินแต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ทุกคนต่างเงียบแสร้งทำเป็นหยิบโน่นหยิบนี่ไม่มีใครถามหรือพูดกับเธอซึ่ง ๆ หน้า เลิกงานเธอแวะไปซื้อกับข้าวที่ตลาดจงใจไปเช็คข่าวด้วย เพราะเรื่องทุกเรื่องแม่ค้าในตลาดรู้ดีก่อนใคร ๆ ขนาดตลาดเล็ก ๆ ตรงปากทางแยกเข้าบ้านเธอชุมชนแถบนั้นพากันเรียกติดปากว่าตลาดปากทาง แต่มีทหารแก่คนหนึ่งตั้งชื่อให้ใหม่ว่าตลาดปากหมา สันดานแกเป็นคนเจ้าชู้ คบใครที่ไหนเวลาเมียที่บ้านมาเยี่ยมแวะลงตลาดแค่นั้นแหละรู้หมดทุกเรื่องเลย เธอจงใจเดินไปซื้อกับข้าวข้าง ๆแม่ค้าขายขนมจีนซึ่งเธอทราบว่าสามีของนางเป็นตำรวจ แต่ไม่รู้ว่าคนไหน

“เมื่อคืนสามีกลับบ้านดึกดื่น ท้องไส้ก็กิ่วกะจะตกเบ็ดให้ได้ทั้งช่อนปลาซิว แต่ก็ชวด ค่าข้าวต้ม น้ำชงน้ำชาก็ไม่มี”

“เห็นเขาว่า คนขนเล่นของไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นคงไม่รอด” อีกคนสอดรับ พร้อม ๆกับปลายหางตามามองเธอ ซึ่งเธอแสร้งทำเป็นไม่รู่ไม่ชี้

“เห็นว่าเส้นใหญ่นี่ แต่อย่าลืมนะว่าวันพระไม่ได้มีวันเดียว” ปล่อยให้แม่ค้าเม้ามอยกันต่อเดินออกมาจากตรงนั้นหันไปมองที่ป้อมยาม เจ้าหน้าที่สองสามคนกำลังจับกลุ่มคุยกันและหันมามองเธอหนึ่งในนั้นเธอจำได้ เป็นหนึ่งในชุดตรวจเมื่อคืน กลับไปถึงบ้านเธอลองโทรหา เขา ปรากฏว่าโทรติด

“ว่าไงแม่เลี้ยง” เสียงเขาทักมาท่าทางอารมณ์ดี

“พี่ ..หนูขนไม้แล้วนะ ขนเมื่อคืน”

“ฉันรู้แล้ว ลูกน้องเก่าโทรมารายงานตอนตีสอง นายนี่ร้ายจริง ๆ”

“ก็โทรติดต่อพี่ไม่ได้ “

“ฉันงานยุ่ง เออ..ว่าแต่ นายให้ค่าข้าวต้มพวกเขาบ้างรึเปล่า”

“ไม่เลยค่ะ ไม่จ่ายซักสลึง”

“นายควรจะให้เขาบ้างนะ น้ำใจ ให้ไปสัก 500 หรือ 1000 นึง พวกเขาก็มีปากมีท้องนะ”เธอเงียบ “ไว้นายเอาไปให้วันหลังก็ได้ แล้วรู้ไหมใครเป็นหัวหน้าสายตรวจ”

“ผู้กองบารมี”

“คงมาใหม่ ฉันไม่รู้จัก” เธออยากจะโต้กลับว่า จะรู้จักทุกคนได้ยังไงก็พี่เคยอยู่ที่นั่นตั้งแต่16 ปีที่แล้ว แต่เงียบไว้น่าจะดีกว่า เธอเล่าเรื่องจ่านำทางให้ฟังด้วย เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “จ่าดำน่ะฉันรู้จัก มันไม่น่ารับเงินนายมากขนาดนั้นเลยนะน่าจะสัก 200 เออ แล้วก็แล้วไป ฉันว่านายดวงดีนะรอดไปได้คราวต่อไปทำอะไรต้องระวังให้มากนะ เดี๋ยวได้เดือดร้อนกันทั้งคู่ อย่าลืมว่ามีวินัยค้ำคออยู่”

“คงไม่มีคราวต่อไปแล้วพี่ ขาดตกบกพร่องอะไรจะหาซื้อแถวใกล้ ๆ บ้านแพงกว่ากันนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะคงเหลืออีกเพียงเล็กน้อย”

นับต่อแต่นี้ไปเรื่องวิ่งหาซื้อไม้ ลักลอบขนไม้คงปิดชาพเตอะได้แล้วเหมือนสำนวนฝรั่งที่ว่า ดิส ชาพเตอร์ เอ็น อนะเธอะ ชาพเตอะบีกิน จบบทนี้ก็เริ่มบทใหม่ เรื่องที่เป็นที่โจษจรรไม่นานคงเงียบหายไปเธอก็จะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิม ทว่าถัดจากขนไม้มาได้เพียงแค่สองวันธุรการหน้าห้องผู้อำนวยการก็เรียกหา

“อาจารย์คะ ผอ.ต้องการพบค่ะ” เธอสะดุ้ง มีเรื่องอะไร ผอ.ถึงต้องการพบด่วน

“ตอนนี้ติดสอนค่ะ จะว่างตอน 10:30 สอนเสร็จจะรีบไปค่ะ” พอถึงเวลาเธอก็ไปตามนัดวิตกจริตเกรงว่าผู้อำนวยการจะรู้ว่าเธอทำอะไรลงไปแล้วเรียกไปตักเตือน พอโผล่หน้าเข้าไปที่ห้องธุรการซึ่งอยู่ติดกับห้อง ผอ.น้องตรีรัตน์เจ้าหน้าธุรการยิ้มแป้นให้เธอ

“อาจารย์คะ ผอ.ไม่ว่างติดประชุมที่สภาวัฒนธรรม ผอ.ฝากบอกว่าถ้าอาจารย์ว่างแล้วให้ไปที่สถานีตำรวจหน่อย ให้ไปพบ รองผู้กำกับกำธร พอไปถึงให้บอกเลยว่ามาหาคนชื่อนี้”ตัวเธอเย็นวาบ อยากจะแทรกแผ่นดินหลบหนีไปสักระยะหนึ่ง แต่คงทำยังงั้นไม่ได้แน่ ๆน้ำลายก็ติดคอเหลือเกิน เธอบอกตรีรัตน์ว่าจะไปตอนบ่ายโมงเพราะภาคบ่ายไม่มีสอนจริง ๆ แล้วเธอพยายามยืดเวลาอย่างน้อยก็มีเวลาทำใจ

ก่อนถึงบ่ายโมงเธอขับรถไปถึงล่วงหน้าเล็กน้อย มองหาที่จอด ที่ผ่าน ๆ มาซีวิคบลูไซโคลนเป็นที่สนใจแก่ด่านตรวจนักหนาวันนี้เอามาจอดที่โรงพักซะเลย เธอคิดจากนั้นก็เดินตัวลีบขึ้นโรงพัก ทั้งสถานีเงียบเชียบคงพากันไปทานข้าวมื้อเที่ยงพอดีมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินขึ้นบันไดตามหลังเธอมา

“ขอโทษค่ะ” พอเขาหน้ามาเธอต้องผงะเพราะเขาคือหนึ่งในคืนที่ไปบ้านของเธอ เขาเองก็ผงะเช่นกัน แล้วหรี่ตาลงทำหน้าสงสัย “เอ่อ..มาพบ รองผู้กำกับกำธรค่ะ”

“กำลังมีประชุมที่ชั้นบน รอสักครู่เดี๋ยวไปตามให้” เขายังส่งยิ้มอย่างมีนัยยะ

“ขอบคุณค่ะ” จากนั้นเธอยืนรีๆ รอ ๆ กวาดสายตามองดูรอบ ๆ นี่คือสถานที่ที่ไม่มีใครอยากมาเป็นนดับหนึ่งอันดับสองคือป่าช้า อันดับสามคือ โรงพยาบาล

“อ้าว อาจารย์ชันษา มำทำอะไร” เธอสะดุ้งโหยงที่มีคนรู้จักทักมา ดาบบุญเงินนั่นเองผู้ปกครองนักเรียนที่เธอรู้จักดี เขาแต่งเครื่องแบบครึ่งท่อนใส่กางเกงเครื่องแบบท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวมีโลโก้สีแดงเลือดหมูสกรีนที่หน้าอกสวมสร้อยสแตนเลสห้อยพระเครื่ององค์โต ขณะเขาพูดเธอเห็นเขาเผลอเอามือกุมพระเครื่องบ่อยๆ

“มาพบรอง กำธรค่ะ มีคนไปตามให้แล้ว เขาให้รอที่นี่”

“ฝ่ายสืบสวนเหรอ” เธอสังเกตเห็นสีหน้าเขามีแวววิตกพลันรองกำธรก็เดินลงบันไดมา

“อ้าว ขอโทษนะอาจารย์ที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” อายุเขาคงจะห้าสิบกว่า ๆ เธอไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน เขาเดินนำหน้าเข้าห้องทำงานส่วนตัวของเขาบนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าเครื่องใหญ่เทอะทะตั้งอยู่ พร้อมกับแฟ้มเอกสารกองโต

“เชิญนั่งครับ”เขาผายมือให้เธอนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะของเขา

“ขอบคุณค่ะ” พอนั่งลงเสร็จ เธอแอบบีบมือตัวเอง เหงื่อชื้น ๆผุดขึ้นกลางฝ่ามือ

“เฮ้ เอากาแฟมาเสริฟอาจารย์หน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ หนูไม่ดื่มกาแฟค่ะ”

“อ้อ เหรอ งั้นน้ำเย็นไหม” เขาก้มหน้าก้มตาเปิดแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่ อิริยาบททุกเป็นไปอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

“คืองี้นะอาจารย์ อยากรบกวนอาจารย์หน่อย มีเอกสารที่อยากให้อาจารย์ดู” เธอไม่แน่ใจว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร กลืนน้ำลายฝืดคอเหลือเกิน

“คดีนี้ผมปิดไม่ได้มานานแล้วเพราะติดเรื่องเอกสาร มีเอกสารสำคัญที่ต้องส่งศาลมันส่งมาจากฮ่องกง 2 ฉบับ บังเอิญเมื่อเช้านี้เจอผู้อำนวยการ ผมถามว่าใครชำนาญภาษาอังกฤษที่สุดในโรงเรียน และพอแปลเอกสารได้ ผอ.ก็เขียนชื่ออาจารย์ให้ผมผมขอรบกวนอาจารย์หน่อยนะครับ”

“ค่ะ ถ้าช่วยได้ยินนดีช่วยค่ะ” เฮ้อ คิดมากไปได้เรา เธออดขำให้กับตัวเองไม่ได้

“ผมขอกรอกประวัติของอาจารย์ด้วยนะครับผมหมายถึงประวัติของผู้แปลเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ผมจะถามอาจารย์เป็นข้อ ๆนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“อันดับแรก ขอดูบัตรครับ” เธอดึงออกมาจากกระเป๋ายื่นให้”วุฒิการศึกษา ครับ”

“ปริญญาโท ศษ. ม. ศ ศาลา ษ บอฤษี จุด ม ม้า จุด”เขาจิ้มคีบอร์ดตามที่เธอบอก

“สาขาวิชาครับ”

“การสอนภาษาอังกฤษ” เขาพิมพ์ไปเรื่อย ๆ เขาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่า เป็นคดีชายไทยถูกฟ้องเรื่องหนีเกณฑ์ทหารแต่ผู้ต้องหามีเอกสารมาอ้างอิง เขาก็ยื่นเอกสารให้ดู เป็นหมายศาลให้ไปขึ้นศาลเนื่องจากทำผิดข้อหาผิดเงื่อนไขการพำนักในประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาต้องมาเกณฑ์ทหาร รองผู้กำกับพิมพ์ตามที่เธอแปล เมื่อเสร็จแล้ว เขาปริ้นออกมาให้เธอลงนามกำกับ แล้วเขาก็เดินออกมาส่งเธอถึงทางลงบันไดท่ามกลางเจ้าหน้าที่หลายคนในนั้นซุบซิบชะเง้อด้อม ๆ มอง ๆ เธอจึงตีบทสนิทสนมทันทีฉีกยิ้มกว้างยกมือไหว้เขาก่อนเดินลงจากสถานี

สองวันถัดมา น้องตรีรัตน์แจ้งว่ามีหนังสือจากทางอำเภอขอให้เธอไปเป็นพิธีกรงานวันต่อต้านยาเสพติดที่ทุกภาคส่วนทุกหน่วยงานร่วมมือกันจัดขึ้น เวทีกับไมค์เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เธอถนัดวันนั้นเธอจึงได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ ได้ร่วมถ่ายรูปทั้งกับนายอำเภอคุณนายนายอำเภอซึ่งอยู่กรมกองเดียวกัน ผู้กำกับปลัดอาวุโสและใครต่อใครอีกมากมาย เธออดภูมิใจไม่ได้การได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อย่างน้อยมันก็เป็นเหมือนเกราะคุ้มกันอย่างหนึ่งคงไม่มีใครคอยตามจิกเธอเรื่องลักลอบขนไม้ เธอสรุปเองว่าตอกตะปูปิดฝาโลงไปเลย เสร็จจากงานราชงานหลวงก็เป็นงานวัดญาติของครูที่โรงเรียนนำผ้าป่ามาทอดที่วัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงาน งานบุญครั้งนี้จึงร่วมด้วยช่วยกันเธอมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ถวายผ้าป่าเสร็จก่อนฉันท์เพล หลังจากนั้นจึงร่วมทานมื้อเที่ยงด้วยกันเธอเห็นดาบบุญเงินมาด้อม ๆ มอง ๆ

“หวัดดีค่ะดาบ เข้ามานั่งด้วยกันสิ”

“ครับ อาจารย์ ทานข้าวอิ่มรึยังครับ ถ้าต้องการอะไรบอกผมได้นะครับ วัดบ้านผม บุญบ้านผม อาจารย์มาช่วยผมก็ดีใจ” ดาบบุญเงินเป็นคนอัชฌาสัยดีน่าคบหาวันนี้เขาแต่งตัวเหมืออุบาสกทั่ว ๆ ไป และยังห้อยพระเครื่องเช่นเคย จากนั้นทั้งเธอและเขาก็คุยเรื่องลูกชายของเขาที่เธอสอนอยู่พอคนอื่น ๆ ลุกไปหมดแล้วเหลือเพียงเธอสองคน ดาบบุญเงินก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที คุยไปแกก็เผลอเอามือกุมพระเครื่องอยู่บ่อยครั้ง

“อาจารย์ ผมน่ะเคารพรักอาจารย์เอ็นดูอาจารย์เหมือนน้องเหมือนนุ่ง ผมได้ยินแต่คนอื่นเขาพูดกันขออนุญาตถามอาจารย์ตรง ๆ หน่อยจะได้ไหม” นึกว่ามันถูกปิดตายไปแล้ว เธอคิด แต่เธอก็เออ ออ ให้เขาถามได้

“ได้ข่าวว่าอาจารย์สร้างบ้าน” เขาพูดอย่างระมัดระวัง

“มันจวนจะเสร็จแล้วค่ะ จะขึ้นบ้านใหม่เร็ว ๆนี้แหละ”

“อ้อ เหรอ” แกก้มหน้าเหมือนไม่กล้าถามต่อ

“ดาบจะถามหนูเรื่องไม้เหรอถามได้เลยเพราะหนูรู้ว่าดาบไม่เป็นพิษเป็นภัยสำหรับหนู เออดาบอยู่ข้างในเล่าให้หนูฟังหน่อยก็ดีค่ะ” เธอเห็นดาบบุญเงินยิ้มแฉ่งเลย

“ผมชอบอาจารย์ที่เป็นคนพูดอะไรตรง ๆ อย่างนี้แหละอย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้นะ ผมอยู่ข้างในก็จริง แต่คนละสาย ผมไม่ได้อยู่ปราบปราม หรือสืบสวน ผมอยู่ธุรการแต่ก็พอรู้เรื่องบ้างเวลาพวกเขาคุยกัน”

“ดาบเล่ามาเลย หนูก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆพูดเกี่ยวกับหนูยังไง”

“เขาจ้องมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุด พวกเขากะจะเอาให้ได้คาหนังคาเขาเลยแหละเขาว่าอาจารย์ทำข้ามหน้าข้ามตา ไป ๆ มา ๆ ไม่เซ่นไหว้” แกหัวเราะคิก ๆกับประโยคหลังนี่ “ คือตามธรรมเนียมก็ต้องจ่ายค่าเบิกทางบ้างแต่กรณีของอาจารย์พวกเขาก็เกรงใจตรงมีสารวัตรคอยช่วยอยู่นั่นแหละ คงได้แต่คำรามกันอยู่ฮึ่ม ฮึ่ม บางคนก็ว่า ไม่ใช่สารวัตรนาทรายไม่เกี่ยวกันผมก็ได้แต่เอาใจช่วยอาจารย์ แอบทำหนูน้อยฟังเวลาพวกเขาคุยกัน”

“ล่าสุดนี่ ทำไมพวกเขารู้” ดาบเงินตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่

“นี่แหละที่ผมอยากจะพูด อยากถาม อาจารย์ลองเล่าก่อนว่าเหตุการณ์คืนนั้นเป็นยังไง”เธอเล่าให้ฟังคร่าว ๆ คิดว่าดาบบุญเงินคงได้ฟังมาหมดแล้ว

“อาจารย์เอ้ย ทุกครั้งที่เห็นรถอาจารย์แล่นผ่าน พวกด่านจะหูผึ่ง ตาโตทันทีอย่าลืมว่ารถอาจารย์น่ะจำง่าย ในอำเภอนาทราย คันนี้ สีนี้เห็นมีอยู่คันเดียว แล้วล่าสุดนี่นะ พวกเขาเห็นอาจารย์ตั้งแต่หัวค่ำแล้วเห็นรถหกล้อวิ่งตามด้วย พวกเขาวางแผนว่าคืนนี้จะจับไม้ให้ได้ไม่ว่าสารวัตรจะมาด้วยหรือไม่ก็ตาม พวกเขาว่าจะเอาไม้กับรถไว้ให้มาไถ่เอา ส่วนค่าเสียเวลาเล็กๆ น้อย ๆ อยู่ที่การเจรจา”

“พูดตรง ๆ ก็คือต้องการเงิน ไม้กับรถ แล้วจะปล่อยคนไป”

“ผมก็อยากพูดอย่างนั้นแหละครับ”

“แล้วไงต่อ”

“คือ” เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนเกรงจะมีคนแอบฟัง และพูดเบาลง“ผมคิดว่าเหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว คงไม่เป็นการไขความลับทางราชการนะอาจารย์ “เธอยิ้มกับความซื่อสัตย์ของเขา พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาเล่าต่อ “ผู้กองให้ลูกน้องไปดูลาดเลาบ้านใหม่ของอาจารย์แล้ว ไปดูเส้นทางเข้าออกพวกนั้นไปในชุดนอกเครื่องแบบ ตั้งแต่หัวค่ำ อาจารย์เอ้ย ผมอยากหาทางส่งข่าวให้อาจารย์แต่ก็ทำไม่ได้ พอมืดพวกเขาก็ออกลาดตระเวนไปเส้นทางบ้านอาจารย์วนไปวนมาหลายรอบ ผมแกล้งทำเป็นไปนั่งเล่นที่ป้อม เพื่อแอบฟังวิทยุที่เขาส่งหากัน ”แล้วเขาก็ถอนหายใจ

“หนูว่าดาบยังเล่าไม่จบหรอก” เขายิ้มก่อนจะพูดต่อ

“แล้วเขาก็พากันกลับมาตอนห้าทุ่มกว่า ๆ ผู้กองคิดว่าอาจารย์อาจจะไม่ขนคืนนี้ หรืออาจไปทำธุระที่อื่นและรถหกล้อที่วิ่งตามก็อาจไม่ได้ไปด้วยกัน พวกลูกน้องต่างพักนั่งดื่มกาแฟ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงได้กลับไปอีก”เธอถามเพราะอยากรู้ความจริง เพราะคืนนั้นมีหลายเหตุการณ์น่าคิด

“ตอนรถอาจารย์เลี้ยวผ่านป้อมยามพวกนั้นก็สงสัยว่าอาจารย์มาทำอะไรดึกดื่นแต่มองไม่เห็นว่าใครนั่งมาด้วย ไม่นานก็มีสายโทรเข้า 191เป็นตำรวจที่อื่นเขาพบเห็นกลางทาง ทางนี้ต้องเรียกระดมพลที่เพิ่งจะแยกย้ายกันไปกลับมาใหม่วอ หาพลขับกันวุ่น จากนั้นก็กระชากรถออกสุดแรง” คาบบุญเงินหัวเราะหึ ๆก่อนจะเล่าต่อ “โชคคงไม่เข้าข้างพวกเขา แต่บุญเข้าข้างอาจารย์พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านอาจารย์ เห็นบอกว่าตรงนั้นเป็นสี่แยกพลขับลืมเลี้ยวขวากลับวิ่งตรงไปจนถึงหมู่บ้านถัดไปพอเห็นหมู่บ้านรู้ว่ามาผิดทางตีรถกลับมันเป็นเวลากลางคืนทั้งพลขับกับพวกที่ไปดูลาดเลาด้วยกันจำทางไม่ได้ ต้องจอดถามคนที่ผิงไฟอยู่หน้าบ้านเขาบอกว่าอ้อมไปเส้นหลังได้

“ถ้าไม่อ้อมก็คงทันรถขนเพราะวิ่งอืดยังกะเต่าคลาน ถ้าเลี้ยวขวาวิ่งทางตรงระยะทางไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรแต่ถ้าอ้อมระยะทางคูณสามเข้าไป เฮ้อ! คืนนั้นหนูก็ใจหายใจคว่ำเส้นยาแดงผ่าแปดเลยแหละดาบเอ๋ย”

“เอ่อ..” ดาบเงินมีสีหน้าลังเลมือของแกเผลอไปกุมพระเครื่องอีกครั้ง “แล้วเรื่องที่เขาลือกันน่ะ มันจริงหรือ”

“ลือเรื่องอะไรล่ะ”

“เขาว่า คืนนั้นผู้กองเห็น เอ่อ สงสัยจะเป็นเจ้าที่มั้ง”

“เห็นอะไร “ เธอหันขวับไปจ้องหน้าดาบบุญเงินอย่างเร็ว

“ท่านว่า ตอนที่อาจารย์เดินมาหา เห็นหมาดำตัวใหญ่เดินตามก็คิดว่าเป็นหมาธรรมดาคงเป็นหมาของอาจารย์ พออาจารย์หยุดมันก็นั่งลงข้าง ๆ เหมือนหมาแสนรู้ทั่วไปมันนั่งก้มหน้า แต่พอมันเงยขึ้นมาแค่นั้นแหละตาของมันออกแสงสีแดงเพลิง ท่านรู้สึกเย็บวาบทั้งตัวเลย พอขึ้นรถถามลูกน้องปรากฏว่าไม่มีใครเห็น แถมไม่มีใครเชื่ออีกกลับพูดว่าท่านอายุก็มากแล้วอาจเพลียและตาฝาดก็เป็นได้ลูกน้องที่ไปด้วยตั้งห้าหกคน พูดเหมือนกันว่าเห็นแค่อาจารย์กับคนขับรถ รุ่งเช้าคุณนายผู้กองก็มาถามหาพวกที่ไปกับผู้กองถามว่าเป็นจริงอย่างที่ผู้กองเล่าหรือเปล่า พวกนั้นก็ตอบเหมือนเดิมคือไม่มีใครเห็นคุณนายเล่าว่า ผู้กองกลับถึงบ้านกลัวจนตัวสั่น นอนหลับก็ละเมอ ร้องตะโกน กลัวแล้ว กลัวแล้ว แล้วอาจารย์ไม่เคยฝันเห็นอะไรบ้างเลยหรือ” ดาบบุญเงินเผลอกุมพระเครื่องอีก แกยิ้มอาย ๆที่เห็นเธอมองมาพอดี

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่” แต่ถ้าดาบสังเกตจะเห็นว่าเธอหลบสายตาเสหันไปมองทางอื่น เพราะมันเป็นเรื่องที่เธอเองก็กำลังคิดตัวเธอเองก็ยังไม่รู้

“สองวันต่อมา อาจารย์รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” คำพูดชวนให้อยากรู้เธอหันขวับไปจ้องหน้า “ผู้กองขอลาออกจากหัวหน้าชุดสายตรวจ อ้างปัญหาสุขภาพของานที่มีความเสี่ยงน้อยก่อนเกษียณ แต่คนอื่นๆ ซุบซิบกันว่าท่านเข็ดหลาบจากที่บ้านของอาจารย์”

“ก็สุดแต่ใครจะเดานะดาบ”

“ผมก็ว่างั้นแหละ แต่ถ้าอาจารย์ไปอยู่แล้วมีอะไรแปลก ๆ ฝันเห็นเลขเด็ด ก็อย่าลืมผมนะครับ”ดาบปิดท้ายด้วยคำพูดแซวเล่น ๆ แต่เธอกลับขำไม่ออกบทที่จะเปิดอ่านต่อไปเหมือนมีแต่กระดาษสีดำว่างเปล่า




Create Date : 16 ตุลาคม 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 15:36:39 น.
Counter : 492 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark! 8


ออกจากโนนก่อ แทนที่จะตรงรี่กลับบ้าน เขาบอกว่าขอแวะเยี่ยมเด็ก ๆ แถวนั้นหน่อย ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าหมู่บ้านเล็กๆ แล้วไปจอดไว้ข้างร้านค้าประจำหมู่บ้าน

“สวัสดีครับสารวัตรมาแบบไม่บอกล่วงหน้าเลยนะ” ชายร่างผอมกร่องแกร่ง นัยตาแดงกล่ำ เดาว่าอายุคงไม่เกิน 30 ไว้หนวดเครารุงรังนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนทักมาแต่ไกลพร้อมยกมือไหว้

“มีข่าวคราวอะไรไหม” ชายคนนั้นมองหน้าเธอด้วยท่าทีลังเล “ พูดได้เลยไม่มีปัญหา”

“เห็นไอ้ไข่เล่าว่าช่วงก่อนฟ้าสางรถสายตรวจของป่าไม้ไล่กวดรถหกล้อที่บรรทุกพะยูงมาเต็มคันพวกมันต้องถีบไม้ลงข้างทาง ผมรักและจริงใจต่อสารวัตรนะเชื่อใจผมได้” เสียงพูดอ้อแอ้กลิ่นเหล้าขาวโชยมาเป็นระยะ ๆ เธอสังเกตเห็นตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น

“เส้นทางไหนละ”

“ทางเกวียนเลาะตีนเขา”

“เอ็งได้มากี่ท่อน”

“ไม่ได้ครับสารวัตร” เขาพูดโดยไม่สบตา

“เอ้าวันนี้สารวัตรเลี้ยงเหล้า” พูดจบเขาก็นั่งลงตรงข้ามชายคนนนั้น เธอจึงนั่งลงข้างเขา เขาสั่งเหล้ามา รินและชนแก้วกัน เธอสังเกตเห็นเขาจิบเพียงนิดเดียวแต่ชายคนนั้นกระดกรวดเดียวหมด จากที่พูดอ้อแอ้คราวนี้ลิ้นห้อยเลย

“เอ็งพูดอีกทีซิ เอ็งได้มากี่ท่อน”ชายคนนั้นยิ้มแหย ๆ คอพับคออ่น ชูนิ้วชี้ขึ้น พร้อมกับหัวเราะแหะ ๆ

“เอาเป็นว่าผมจริงใจคราวหน้าคราวหลังสารวัตรเมตตาผมหน่อย ท่อนที่ได้มายกให้สารวัตรเลย”

“เออขอบใจเอ็งว่ะ เอาเหล้ามาอีก”

“เอื๊ อ ก..วันนี้ผมเดินไม่ไหวแล้ว ผมขอเอาไปไว้ดื่มที่บ้านได้ไหม สา- วัตร”

“ไม่มีปัญหา”

“สา-วัตร ครับ ” น้ำเสียงอ้อแอ้ “ผมซื่อสัตย์ต่อสารวัตรนะผมถึงบอก ไอ้ไข่มันก็ได้มาท่อนหนึ่ง”

“ไปงั้นขึ้นรถเลย” ชายคนนั้นปีนขึ้นกระบะหลังอย่างทุลักทุเล รถวิ่งไปเอาไม้พะยูงที่บ้านของเขา เป็นพะยูงต้นใหญ่ตัดเป็นท่อนความยาวไม่เกิน 1 เมตร จากนั้นแวะไปบ้านคนชื่อไข่ คนนี้ดูดี รูปร่างเล็กบาง แต่งกายสะอาด อายุประมาณสามสิบต้น ๆ นายไข่ปฏิเสธว่าไม่มีไม่รู้ ไม่เห็น

“งั้นกูขอเข้าดูข้างในบ้านมึงนะ”เจอประโยคนี้นายไข่ยิ้มแหย ๆ ยอมยกให้แต่โดยดี และก็เป็นนายไข่ที่เป็นคนนำทางพาไปสำรวจเส้นทางที่ว่า มันเป็นเส้นทางสัญจรกว้างขนาดเกวียนผ่านไปมาได้เส้นทางขรุขระ รถวิ่งโครงเครงตกหลุมบ่อตลอดทาง ต้องเจอกับโขดหิน หลุมบ่อแอ่งน้ำ ลำห้วย

“พวกคนทำไม้เรียกเส้นทางนี้ว่าถนนสายทองคำเพราะการลักลอบขนมักจะผ่านเส้นทางนี้ ถ้าคิดเป็นเงินถนนเส้นนี้ลาดด้วยทองคำได้” นายไข่อธิบาย รถวิ่งไปเรื่อย ๆ หันหลังให้พระอาทิตย์ซึ่งตอนนี้กำลังคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ สองข้างทางเงียบกริบเขาควานหาปืนลูกโม่ .38 ที่เก็บไว้ใต้ที่นั่งคนขับ

“นายถือไว้ถ้ามีอะไร พร้อมยิงเลยนะ” เธอจำต้องรับมันมาถือไว้ ไม่นานนายไข่บอกให้จอดรถ

“มันอยู่แถวๆ นี้แหละครับ” ทุกคนจึงลงจากรถเดินลงไปดูข้างทาง เธอคืนปืนให้เขา

“นายเดินตามหลังฉันนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องข้ามศพฉันไปก่อน เดินก้มหัวต่ำ ๆ ไว้” ท่าทีและน้ำเสียงฟังดูจริงจังจนเธออดชื่นชมเขาไม่ได้ ทั้งสามคนเดินตามหลังกันมีเธออยู่ตรงกลาง ยกเท้าวางเท้าเบาๆ มองซ้ายทีขวาที เกรงว่าพวกรถขนจะย้อนรอยกลับมาตามเก็บไม้ หัวใจเธอเต้นโครมครามทั้งตื่นเต้นทั้งเสียวสันหลังสถานการณ์แบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เจอไม้พะยูงซุกซ่อนอยู่ในแนวป่าสามท่อน เขาและนายไข่ช่วยกันยกขึ้นรถจากนั้นก็ขับรถต่อไปอีกเรื่อย ๆ มันเป็นเส้นทางที่ตัดต่อเชื่อมหลายหมู่บ้านจึงไม่ต้องย้อนทางเดิมระหว่างทางเห็นท่อนไม้แดงทิ้งระเกะระกะ เธออยากได้ กะจะเอาไปให้เต็นซอยทำเป็นขาเก้าอี้

“นายจะเอากลับยังไงมันใหญ่เกินกว่าจะใส่ท้ายรถ”

“ถ้าอยากได้แถวนี้เขาทิ้งขว้างเยอะแยะครับ ไว้วันหลังค่อยมาเอา” นายไข่ออกความเห็น พ้นป่ามาได้ก็มืดพอดีตอนนี้ในกระบะรถมีไม้พะยูงอยู่ 5 ท่อนใหญ่ ๆ ท่าทางเขาดูตื่น ๆ

“ถือว่าเราไปด้วยกันฉันจะแบ่งให้นายด้วยนะ” เขาบอก สำหรับเธอจะให้หรือไม่ให้เธอก็รู้สึกเฉย ๆ บนท้องถนนบางช่วงเขาปิดไฟหน้ารถวิ่งฝ่าความมืด เกรงว่าจะมีใคพบเห็นหรือเจอเข้าให้ตอนนี้เวลาสองทุ่มเศษ ๆ แล้วรถยังวิ่งอยู่บนท้องถนนอยู่เลย เธอรู้สึกหิวจนท้องร้องจอกๆ ขับรถไปจอดอยู่ใกล้บ้านหลังหนี่ง มืดออกอย่างนี้เธอไม่รู้หรอกว่ามันอยู่แถวไหนเขาทำสัญญาณไฟเปิดปิด เปิดปิดอยู่สามครั้ง มีชายรูปร่างท้วมอายุคงประมาณ ห้าสิบต้นๆ ปิดเปิดไฟฉายทำสัญญาณตอบกลับ ทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม จากนั้นก็เอาไม้ไปเก็บส่วนเธอได้แค่นั่งเฝ้ามองจากข้างในรถ

“วันนี้ถือว่านายนำโชคได้พะยูงมาจะพานายไปเลี้ยงข้าว กินให้เต็มที่เลยนะ” เขาพาไปทานข้าวพูดคุยไม่หยุดหย่อน พร้อม ๆ กับจิบเบียร์ไปเรื่อย ๆส่วนเธอทานข้าวอิ่มแล้วก็นั่งฟัง นั่งดู นั่งเฝ้าเขา คืนนั้นเธอกลับถึงบ้านตอนเที่ยงคืน รุ่งเช้าเห็นแม่นั่งรอในห้องครัว

“ลูกไปไหนมาไหนดึกๆ ดื่น ๆ แม่เป็นห่วงนะ ทุกครั้งที่ลูกไป แม่จะนอนไม่หลับจนกว่าจะได้ยินเสียงรถของลูกเข้าบ้าน ไหนจะห่วงเรื่องความปลอดภัยไหนจะห่วงเรื่องว่าสักวันลูกอาจจะโดนจับ เป็นอะไรมาแม่ช่วยลูกไม่ได้นะเงินคำกำแก้วก็ไม่ค่อยมี”

“โธ่แม่ ไม่เป็นไรหรอกหนูมีเพื่อนตำรวจคอยช่วยเหลืออยู่ค่ะ”

“งั้นก็แล้วไปแต่ก็ควรระวังหน่อยนะ ประมาทไม่ได้”

เธอไม่ลดละความพยายามกดโทรศัพท์ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังติดต่อเขา ไม่ได้ เธอจึงเปลี่ยนเป็นโทรหาคนทำไม้

“ฮัลโหล”เสียงยาน ๆ ตอบรับ

“หวัดดีค่ะน้าเรื่องไม้ของหนูเรียบร้อยรึยัง”

“จากไหนล่ะ”

“นาทรายไม้พื้น ไม้แดงค่ะ”

“โอ้ะเรียบร้อยแล้วครับ ขนมาเตรียมไว้ให้ที่บ้านหลายวันแล้ว”

“หนูพยายามติดต่อแต่โทรไม่ติด ติดต่อสารวัตรก็ไม่ได้”

“มันไม่มีสัญญาณตอนนี้ผมก็เข้ามาทำธุระในเมืองพอดี”

“จะให้หนูไปเอาวันไหนคะ”

“วันไหนก็ได้ตามสะดวกพวกผมพร้อม อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ล่ะ”

“ค่ะไม่ลืม เอาเป็นว่าถ้าหนูพร้อมหนูไปเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหมคะ” เธอก็พยายามโทรหาเขา อีกสุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเอง ถึงวันขนค่อยบอกเขาก็ได้ จากนั้นก็ไปติดต่อรถขน

“สองวันนี้รถน้าไม่ว่างถ้าวันถัดไปน่ะได้” น้าลามบอกเธอ

“แต่หนูจะไปพรุ่งนี้ค่ะเดี๋ยวหนูไปดูอีกคันนะถ้าไงหนูจะกลับมาหาน้าใหม่” เธอไปหาเจ้าของรถอีกหมู่บ้านหนึ่งที่เคยจ้างเขาคราวที่แล้ว

“ครูเอ้ย คงจะไม่มีคนขับให้ ไปที่อื่นล่ะพอว่า ถ้าเป็นดงโป่งแดง ไอ้ป๊อกลูกชายบอกว่าเข็ดแล้วไม่ขอไปเส้นทางนั้นอีกแล้ว”

“เพราะอะไร”เธออยากรู้สาเหตุ

“ไอ้ป๊อกมันว่าครูมีแฟนเป็นถึงสารวัตร ขับรถขนแบบสบาย ๆ ไม่ต้องกังวลอะไรแต่มีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น ” เขาหันมาสบตาเธอ “แถว ๆ นั้นเวลาไป ๆ มา ๆ ครูไม่เคยเจออะไรแปลกๆ เลยหรือ”

“ไม่เข้าใจว่าลุงหมายถึงอะไร” เขาก้มลงกระซิบกระซาบทำเสียงต่ำ ๆเหมือนเกรงว่าจะมีใครได้ยิน

“ไอ้ป๊อกมันว่าตอนขาไป มันมองจากกระจกส่องหลังเห็นหมาดำวิ่งตามห่าง ๆ แรก ๆ ก็ไม่คิดอะไรพอเห็นมันตามนาน ๆ ก็ชักแปลกใจ พอขากลับเห็นมันอีก คราวนี้เห็นดวงตาของมันสีแดง ลมหายใจที่มันพ่อนออกมาก็เป็นเปลวไฟสีแดงหันไปมองน้องของเจ้าที่นั่งข้าง ๆ เห็นเขานั่งเฉย ๆ จะพูดไปก็กลัวเขาตื่นกลัว พอมันกลับมาถึงบ้านเข้านอน หลับก็ฝันเห็นมันอีก ในฝันมันกระโจนจะขย้ำคอจนไอ้ป๊อกละเมอตะโกนดังลั่นจนคนทั้งบ้านตื่นกันหมด ไอ้ป๊อกมันยิ่งเป็นคนขวัญอ่อนเจ้าที่แรงจริง ๆ ครูเอ้ย” หมาดำ หมาดำหมาดำอีกแล้วแต่เรื่องที่ลุงคนนี้เล่าแตกต่างจากที่พวกน้องปุ๊กและน้าลามเล่า ถ้าคันนี้ไม่ไปก็ต้องรอวันน้าลามว่าง

สองวันที่รอคอยมันเป็นช่วงที่เธอกระวนกระวายเหลือเกิน ร้อนรุ่มวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูกอาจเป็นเพราะติดต่อเขาไม่ได้

“สารวัตรมาส่งเหมือนเดิมใช่ไหม”น้าลามถาม

“ติดต่อเขาไม่ได้คงไปเจอกันที่โน่นแหละ” เธอคาดหวังไว้อย่างนั้นจริง ๆคืนก่อนจะถึงวันนัดหมายขณะนอนหลับ เหมือนมีเสียงกระซิบฟังได้ความว่า ‘อย่าไปวันนี้’ แม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่ก็ทำเอาเธอสะดุ้งตื่นมองดูนาฬิกา ตีห้าครึ่ง เธอเอามือทาบอกหัวใจยังคงเต้นตุ้มต่อมไม่เป็นจังหวะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาถ้ามีข่าวมาบอกพร้อมกับสะดุ้งตื่นตอนใกล้รุ่งมักเป็นเรื่องจริง อย่าไป อย่าไปไหน เธอถามตัวเองพลันก็นึกได้ว่าวันนี้ต้องไปขนไม้ เธอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาแต่ก็อยากให้มันเสร็จสิ้นเร็วไวไม่อยากรอให้มันเนิ่นนาน เธอลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานตามปกติเจอความวุ่นวายของนักเรียนก็ทำให้เธอลืมความฝันไป แต่ว่างเมื่อไหร่ก็กดโทรหาเขา เลิกงานรีบดิ่งกลับบ้านจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้หลานชายเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวยิ่งใกล้เวลาออกเดินทางก็ยิ่งว้าวุ่น หันขวับไปดูปฏิทิน วันนี้ วันพุธแรม 14 ค่ำข้างแรมเดือนมืดคืนวันพุธถือว่าเป็นวันไม่ดีเอามาก ๆ ทำอะไรจะส่งผลด้านลบมากกว่าด้านบวกเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลางไม่ดีเอาเสียเลย เธอนึกถึงไพ่ยิปซีที่ใช้เสี่ยงทายเป็นประจำ คว้าสำรับไพ่ออกมา คลี่ออกเป็นรูปพัดครึ่งวงกลมพนมมืออธิษฐาน เธอเลือกไพ่เสี่ยงทายขึ้นมา 1 ใบ พอหงายหน้าไพ่ก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวได้ไพ่ดาบ แค่ได้ไพ่ดาบก็ถือว่าโชคร้ายแล้ว ใบนี้ 9ดาบ อะไรก็เกิดขึ้นได้ งานที่ทำเผชิญปัญหาอย่างหนัก ยิ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนๆ หนาว ๆ เธอเก็บไพ่เข้าสำรับ มองหาธูป หยิบขึ้นมา 1 ดอก จุดและอธิษฐาน

‘ใครก็ได้ต้องช่วยให้ลูกรอด ต้องช่วยให้รอดปลอดภัย คืนนี้ลูกขอช่วยเปิดทางให้ด้วย สาธุ’ แล้วเธอก็ไปหาน้าลาม ซึ่งกำลังเตรียมเชือกผ้าใบอยู่ที่กระบะรถ

“โทรหาสารวัตรได้รึยัง”

“ไม่ติดค่ะถึงโน่นแล้วหนูจะโทรเข้าโรงพัก”

“เต็นไปด้วยไหม”

“ไม่ค่ะจะมีลูกน้องคนทำไม้มาด้วย เขาขอให้พาไปเลี้ยงที่ที่มีไฟแสงสี ขากลับพวกเขาจะกลับไปพร้อมสารวัตร”

เธอขับรถนำหน้าน้าลามทิ้งระยะพอสมควร วิตกตลอดทางจนไปถึงบ้านทำไม้ คนที่เป็นหัวหน้ายืนคุมลูกน้องสี่คนให้เร่งมือช่วยกันขนไม้ขึ้นรถ

“พรรคนี้งานเข้าบ่อยคุณนายเอ้ยสัปดาห์ที่แล้วก็ไปส่งไม้ของผู้ว่า สองรถสิบล้อ ไม้สวย ๆ ทั้งนั้นเพราะท่านสะสมอยู่เกือบสองปีแนะ โน่นได้ไปเมืองจันทร์โน่น เจอด่านงี้ แค่บอกว่าผู้ว่าเกษียณขนครัวท่านกลับบ้าน ไม่มีด่านไหนเปิดผ้าคลุมดูเลย” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจส่วนลูกน้องที่กำลังช่วยขนไม้ขึ้นรถแต่ละคนหัวเราะร่าเริงดีใจจะได้ไปเที่ยวตามที่ตกลงกันไว้ บรรทุกเสร็จแล้ว เธอจ่ายเงินส่วนที่เหลือ พวกลูกน้องที่ช่วยยกช่วยขนขอตัวกลับไปอาบน้ำปะแป้งแต่งตัว เที่ยวนี้เที่ยวสุดท้ายของเธอไม้เต็มคันรถซ้ำมิหนำท่อนไม้ยาวจนไม่สามารถปิดฝาท้ายรถได้ ต้องเปิดโล่งแล้วน้าลามใช้ผ้าใบผืนใหญ่ที่เตรียมมาคลุมปิดเอาไว้ แต่ก็คลุมไม่มิดคงปิดได้เฉพาะข้างบนข้างล่างยังคงมองเห็นไม้เรียงเป็นตับ พวกที่กลับไปอาบน้ำกลับมากระโดดขึ้นไปนั่งกระบะรถส่งเสียงคุยกันอย่างสนุกสนานส่วนเธอลองเสี่ยงโทรเข้าเบอร์โรงพัก มีเจ้าหน้าที่เวรรับสายเธอบอกไปว่าจะพูดสายกับใคร เสียงตอบกลับมาว่าไม่อยู่

“ทราบไหมคะว่าไปไหน”

“เอ่อ..ไปส่งผู้การที่ขอนแก่นครับ”เธอรู้สึกชาวูบตั้งแต่หัวจรดเท้า หันไปบอกน้าลาม

“วันนี้สารวัตรไม่อยู่ไปส่งผู้การที่ขอนแก่น” เธอสังเกตเห็นน้าลามเข่าทรุดเลย คนทำไม้ต่างมองหน้ากันเลิกลั่กหน้าซีดระคนผิดหวังต่างก็กระโดดลงจากรถ

“เอ้า ไม่ไปด้วยแล้วเหรอ”เธอถามขึ้นเพราะเธอเองก็ต้องการเพื่อนร่วมทาง

“ไม่ขอเสี่ยง กลัวคุกตะราง” หนึ่งในนั้นตอบ

“จะเอาไม้ลงแล้วค่อยมาวันใหม่ยังงั้นไหม” หัวหน้าคนทำไม้ถาม น้าลามมาจ้องหน้าเธอ มือที่กำลังผูกเชือกอยู่หยุดชะงักเพราะรอฟังว่าจะแก้หรือจะมัดต่อ

“ถึงขั้นนี้แล้ว ลุยต่อ” เธอตอบอย่างหนักแน่น

“ค่อย ๆ ขับไปละกันให้ระวังสายครวจป่าไม้นะ คุณนายจะต้องขับล่วงหน้าถ้ามีอะไรตีรถกลับมาส่งข่าวรถหลัง”เธอพยักหน้ารับทราบและกล่าวขอบคุณ ลูกน้องทั้งสี่คนของเขาทำหน้าทำตาละห้อยเหมือนสวรรค์ที่มองเห็นอยู่รำไรหายวับไปกับตา

รถเก่าแถมบรรทุกหนักจึงวิ่งอืดมากทำความเร็วอยู่ระหว่าง 30 - 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เธอต้องวิ่งโฉบไปมาแล้วหยุดรอข้างทาง พอรถน้าลามเข้ามาใกล้ เธอก็ออกวิ่งนำหน้าด่านชุมชนปากทางด่านแรกไม่ตั้งด่าน แต่ประโยคที่ว่า ระวังสายตรวจป่าไม้ ก็ยังคงดังก้องในหัวไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสายตรวจของป่าไม้ เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ให้รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เธอวิ่งไปสอดส่ายสายตามองกระจกส่องข้าง ส่องหลังอยู่ตลอดเวลา รถวิ่งไปได้เรื่อย ๆ ระยะทางจากหมู่บ้านที่ไปซื้อไม้ถึงบ้านของเธอประมาณ70 กิโลเมตร ตอนนี้เหลือราว ๆ 25 กิโลเมตรจะถึงบ้านและต้องผ่าน 2 ด่าน นั่นคือ ด่าน สภต.หนองกก กับ สภอ. นาทราย ที่ด่านหนองกกถึงแม้ว่าเขาเคยบอกฝากเนื้อฝากตัวเธอไว้แต่เธอก็ไม่กล้าเสี่ยงแม้จะเตรียมเงินมาจนกระเป๋าตุงก็ยังไม่มั่นใจเพราะไม้จำนวนมาก พอเธอวิ่งไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรจะถึงด่านหนองกก เท้าก็ต้องเหยียบเบรคห้ามล้อกระทันหันโชคดีที่ขับไม่เร็วเท่าไหร่ไม่เช่นนั้นคงได้ยินเสียงยางรถบดถนนเป็นแน่ หมาดำตัวใหญ่ยืนจังก้ากลางถนน มันก้มหน้านิ่ง เธอจำมันได้ทันทีเป็นตัวเดียวกันกับที่เคยฝันหรืออาจจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเข้า ๆ ออกบ้านของเธอและทุกครั้งที่เห็นมันจะก้มหน้า หัวใจของเธอเต้นแรง มันมีตัวตนจริง ๆ หรือนี่ แล้วมันมาได้ยังไง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิด เธอบีบแตรสั้น ๆ ขอทางสองสามครั้งมันยังคงยืนนิ่ง อะไรบางบอกเธอว่าลางไม่ดี เธอจึงหลับตา อธิษฐาน ขอให้เปิดทาง ขอไปดูด้วยตาแล้วจะรีบกลับมา พอลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นมัน เธอคาดเดาได้เลยว่าข้างหน้าต้องมีอะไรบางอย่างและแน่นอนพอรถแล่นเข้าไปใกล้ด่านหนองกก แสงไฟด่านกระพริบวูบวาบ เธอทำอะไรไม่ถูกลองขับรถผ่านด่านไปไม่นานก็วกย้อนกลับมาทางเดิมเธอมองกระจกข้างเห็นเจ้าหน้าที่สองสามคนมองตามหลังรถของเธอ บางคนเอามือชี้ที่รถด้วยเธอรีบวิ่งไปจนถึงรถน้าลาม แล้วปรึกษากันว่าจะแก้ปัญหายังไง

“หาที่ฝากรถชั่วคราวก่อนน้ารู้จักจ่าตำรวจคนหนึ่งที่นาทราย เขาเชี่ยวชาญทางหนีสายตรวจเราต้องไปหาเขาที่บ้าน พาเขามาด้วย” เธอตกลงตามนั้น บังเอิญเหลือบเห็นบ้านสองชั้นเก่า ๆ หลังหนึ่งเปิดไฟวับแวมอยู่ไม่ไกลจากถนน มีรถสิบล้อจอดอยู่หน้าบ้าน น้าลามขับรถเข้าไปเธอขับตามไป เห็นชายแก่ผมขาวโพลนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าบ้าน ตอนรถสองคันวิ่งเข้าไปบริเวณบ้านดูเขาไม่ได้หันมาสนใจเลย

“หวัดดีครับขอโทษครับ ขนไม้ไปสร้างบ้าน แต่ไม่กล้าผ่านด่าน ขอฝากรถสักเดี๋ยวได้ไหมจะไปรับคนนำทางก่อน แล้วจะกลับมาเอา” ชายแก่คนนั้นพยักหน้า ไม่พูดอะไรไม่หันมามอง น้าลามนั่งคู่ไปกับเธอขับไปนาทรายซึ่งห่างจากที่เธอฝากรถราว ๆ 20 กิโลเมตร พอผ่านด่านหนองกก เจ้าหน้าที่หยุดรถเธอเลื่อนกระจกลง

“หวัดดีค่ะกำลังพาน้าชายไปหาหมอ เขาปวดท้องอย่างแรงค่ะ” เธอปลายตามองเห็นน้าลามสวมบททำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที

“ผมเห็นคันนี้วิ่งผ่านไปมา”

“อ๋อตอนแรกว่าจะไปซื้อยามาทานเอง แต่น้าโทรตามบอกไม่ไหวขอไป โรงพยาบาลค่ะ”เจ้าหน้าที่คนนั้นส่องไฟฉายกวาดดูข้างในรถ เมื่อไม่มีอะไรผิดสังเกตเขาจึงพยักหน้าให้ผ่านไปได้ ไม่นาน พวกของเธอก็ย้อนกลับมาอีกคราวนี้จ่าตำรวจนั่งคู่กับเธอ น้าลามนั่งเบาะหลัง จึงให้น้าลามก้มหัวลงให้ต่ำเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่มองเห็นว่ามี 3 คน เพราะมั่นใจว่าพวกเขาต้องจำรถได้

พอเข้าไปเอารถขนไม้ตั้งใจจะขอบคุณชายแก่เจ้าของบ้าน แต่เขาคงเข้านอนแล้วเพราะปิดไฟมืดมิดทั่วทั้งบ้าน ให้จ่าคนนำทางนั่งคู่ไปกับน้าลามคอยบอกเส้นทางส่วนเธอขับตามไปติด ๆ ขับรถย้อนกลับทางเดิมไม่นานก็ถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน มีทางแยกคดเคี้ยว เลี้ยวหักศอก หลายที่ ถ้าขับตามไม่ทันคงหลงทางเป็นแน่แท้ เธอมองนาฬิกาหน้ารถ10:30เป็นเวลาดึกและเงียบสงัดสำหรับพื้นที่ในชนบท ผ่านหมู่บ้านบางแห่งเห็นชายแก่ ผู้สูงอายุ

จับกลุ่มรอบกองไฟช่วงนี้อากาศตอนกลางคืนเริ่มเย็นลง ลมเปลี่ยนทิศทางบ่งบอกว่าฤดูหนาวเคลือบคลานเข้ามาแล้วเธอเห็นสายตาของพวกเขามองตามหลังรถบรรทุกที่คลานไปอย่างช้า ๆถ้ามีใครวิ่งตามก็คงทัน สีหน้าเรียบเฉยบึ้งตึงพวกเขาคงเห็นการลักลอบขนไม้ยามวิกาลบ่อย ๆ จนเป็นเหมือนเหตุการณ์ปกติ ขณะที่เธอเองก็กำลังขับรถผ่านคนกลุ่มนั้นไปช้าๆ เพราะถนนเป็นหลุมบ่อมาก เธอมองเห็นรถน้าลามโยกซ้าย เยกขวาบางครั้งตามด้วยเสียงเบิ้ลน้ำมันแรงๆ เธอผู้คอยสังเกตจากข้างหลังต้องลุ้นสุดโก่งกลัวเครื่องยนต์จะติดขัด รถของเธอกำลังจะพ้นหมู่บ้านไปแต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงมือทุบกระจกหน้ารถดังปึง ปึง พร้อมเสียงตะโกน

“จอดจอด จอดรถ” เธอหยุดรถทันที มองเห็นเงาตระคุ่มของกลุ่มวัยรุ่น 4-5 คนยืนขวางถนนหนึ่งในนั้นถือไม้ท่อนใหญ่อยู่ในมือเงื้อขึ้นอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะทุบกระจกรถ เธอเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าถือ คงต้องจ่ายค่าผ่าน พวกเจ้าไม่มีศาล เธอคิดพร้อมกับเลื่อนกระจกรถลง

“อ๊ะเป็นผู้หญิงเหรอ” มีเสียงร้องออกมาจากในกลุ่มด้วยความประหลาดใจถึงแม้จะมืดจนมองอะไรไม่ถนัดเธอก็มองออกว่าแต่ละคนเป็นวัยที่กำลังคะนองแต่ละคนอายุไม่เกิน 18 ปี

“ขอโทษค่ะจะลัดไปนาทราย มีคนบอกว่ามาเส้นนี้ได้ ไม่แน่ใจว่าหลงทางรึเปล่า”ไฟจากหน้าปัดรถส่องสว่างพอให้มองเห็นหน้าตาเธอชัดเจน เธอส่งยิ้มให้พวกเขาคนที่ถือไม้อยู่ในมือลดไม้ลง เดินเข้ามาใกล้ประตูรถ เธอสังเกตเห็นเขามีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ เขินอาย

“อ้าว! ไม่ได้มากับรถ คันนั้นเหรอ” เขาทำปากบุ้ยใบ้ไปทางรถน้าลามที่อยู่ข้างหน้า

“ไม่ตอนแรกพี่ตั้งใจจะแซง แต่ไม่แน่ใจเส้นทางจึงตามมันไปเรื่อย ๆคิดว่าคันนั้นก็ต้องออกถนนใหญ่”

“ ครับพี่ พี่ขับตามเส้นนี้ไปเรื่อยๆ พอเจอแยกแล้วให้เลี้ยวขวานะครับ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มอายๆ เธอยิ้มพยักหน้าเชิงขอบคุณแล้วเคลื่อนรถออก ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาดัง ๆ

“แหม! -ร๊า-บ พี่ สวย อ่ะ” เธอรู้สึกโล่งใจที่ผ่านมาได้ เธอเกาะติดรถน้าลามไปเรื่อยๆ เป็นเส้นทางที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีในแผนที่ ในที่สุดก็ทะลุสู่ถนนสายหลักอีกเพียง 7 กิโลถึงบ้าน แต่ก็พ้นด่านนาทรายมาแล้ว น้าลามจอดรถ เธอขยับรถเข้าไปจอดใกล้ๆ

“ขอส่งแค่นี้นะระยะทางที่เหลือคงไปกันเองได้ หมดห่วงเรื่องด่านแล้ว” จ่าพูดพร้อมกับเปิดประตูขึ้นมานั่งคู่กับเธอนั่นหมายถึงให้น้าลามวิ่งล่วงหน้าไปก่อนส่วนเธอต้องตีรถวกกลับไปส่งจ่าที่นาทรายซึ่งห่างจากที่จอดรถ 6 กิโลเมตร

“น้าจะให้ส่งที่ไหนคะ”เธอถามเมื่อรถวิ่งถึงหน้าตลาดนาทราย

“ส่งที่โรงพักก็ได้”เธอจึงหักเลี้ยวรถเข้าถนนข้างตู้ยาม เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรยามหันพรึบมามองจ้องตาเป็นมันพวกเขาคงมีคำถามให้คิด เกิดอะไรขึ้นเกือบจะหกทุ่มแล้ว จ่านั่งมากับรถคันนี้ผู้หญิงคนนี้ ส่วนเธอรีบไปจอดให้จ่าลงหน้าโรงพัก

“ค่าน้ำชาค่ะ”เธอยื่นแบงค์ 500 บาทให้ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าจำนวนมากพอสมควร พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณน้าลามบอกว่าให้พูดว่าค่าน้ำชา แล้วเธอรีบออกรถด้วยความรีบเร่งเพราะตอนนี้ทิ้งน้าลามไว้คนเดียวพอได้ยินเสียงอืด ๆ ของรถเบื้องหน้าเธอค่อยรู้สึกโล่งใจ อีกประมาณ 2กิโลเมตรจะถึงทางแยกเข้าบ้าน หมายถึงแยกออกจากถนนใหญ่และเข้าไปบ้านเธออีก 1กิโลเมตร พอแล่นเข้าไปใกล้ก็ต้องให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อมองเห็นรถกระบะสีเทาขับจี้ติด ๆ รถน้าลาม เธอเองก็จี้อตามติด ๆ กระบะคันนั้นพยายามจะเบียดแซงขึ้นหน้าเพื่อเข้าไปกั้นกลางและบังให้ได้ขณะที่รถกำลังตีคู่เพื่อแซงเธอมองเห็นคนขับเป็นชายร่างสูงใหญ่ตัดผมสั้นดูดีเดาได้ว่าคงเป็นพวกสวมเครื่องแบบ และดูเหมือนเขาจะรู้ทัน เขาจี้เข้าไปจนเกือบชิดกับท่อนไม้ที่โผล่พ้นท้ายรถแล้วเปิดไฟสูงแสงไฟเจิดจ้าทำให้มองเห็นกระบะรถหกล้อชัดแจ๋วท่อนไม้เรียงใต้ผ้าใบสีเขียวเป็นตับ ๆ เธอกลัวเหลือเกินว่าชายคนนั้นจะขับปาดไปข้างหน้าและหยุดรถ พอดีถึงทางแยกเข้าบ้านของเธอน้าลามเปิดไฟเลี้ยวขวา กระบะสีเทาคันนั้นจึงชะลอหลีกเปิดทางให้และไม่เลี้ยวตามแต่เธอเห็นเขายกโทรศัพท์ขึ้น หัวใจเธอจะวายให้ได้อยากให้ถึงบ้านเร็วๆ ภาวนาอยากให้ตัวเองมีคาถาจะได้เป่าเสกให้รถเหาะไปให้ถึงบ้านเลย อีกเพียงกิโลเมตรเดียว อีก 60 เมตร อีก 50 เมตร แต่ดูเหมือนมันกินเวลานานเหลือเกินรถยังคงทำหน้าที่ของมันลากเสียงดังอืด ๆ พ่นควันโขมง พอเห็นไฟรถน้าลามตบสูงเพื่อมองหาทางเลี้ยวเข้าบ้านเธอก็รู้สึกโล่งใจถึงกับถอนหายใจอย่างแรง รถน้าลามค่อย ๆ กระดึบ ๆ ทีละนิด ๆเข้าไปจอดใต้ถุนบ้านของเธอซึ่งตอนนี้ยกโครงมุงหลังคาเสร็จแล้วน้าลามดับเครื่องยนต์ พร้อม ๆ กับเธอที่จอดประกบอยู่ข้าง ๆ พลันได้ยินเสียงล้อรถบดถนนดังเอี๊ยด! อย่างแรง รถสายตรวจพร้อมเจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบครึ่งท่อนสวมหมวกแก็ปสีดำเต็มคันรถ พวกเขากระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็ว บางคนถือปืน เอ็ม 16 ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ข้างรถไฟข้างทางส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าทุกคน และทุกสายตาที่จ้องมองมาทางเธอ ประตูรถข้างคนขับเปิดออกหัวหน้าสายตรวจเดินลงมาจากรถ น้าลามยืนตัวแข็งทื่อ หน้าซีด มือไม้สั่นงันงก





Create Date : 12 ตุลาคม 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:12:00 น.
Counter : 560 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety