กันจยา 12
 

เสียงเอะอะ โวยวายดังไล่หลังใกล้เข้ามา กันตยาเนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว  เธอวิ่งสุดแรงเกิด ฝ่าผู้คนทะลุไปยังทางออกวิหาร บ่ายหน้าไปที่ท่าเรือ

                     

              

                ไม่มีเรือจอดอยู่ตรงนั้น มันหายไปแล้ว’  

                " หนูอยากกลับบ้าน"

 

 

                

เธอตะโกนออกไป และได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนก้องในหัว  เธอเงยหน้าขึ้นแล้วปิดเปลือกตาลง สูดหายใจลึก ๆ  เตรียมพร้อมรับชะตากรรม                                                                          

                  ‘ ถ้าจะต้องตาย  ..ก็คงหนีมันไม่พ้น'    

                                                                                                                           

พลันภาพเธอจมน้ำในอ่างเก็บน้ำก็ลอยผุดขึ้นมา เห็นสาหร่ายกำลังพันรอบ ๆ ตัวเธอ  เธอลอยเคว้งคว้างตามจังหวะโยกของสาหร่าย วัตถุสีดำรูปทรงคล้ายเรือลอยพุ่งเข้ามาหาเธอ มันเหมือนกำลังจะพุ่งชนเธอในตอนนี้ จนเธอสะดุ้งตกใจพร้อมกับลืมตาขึ้น...ไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า..เรือจริง ๆ ด้วย   ขนาดของมันเล็กมาก เธอรีบกระโดดขึ้น แต่มันเล็กเนกว่าจะนั่งได้ ต้องยืนเท่านั้น   มันแล่นฉิวแทรกแหวกผิวน้ำออกไปอย่างเร็ว  น้ำสีดำพุ่งแตกกระจายเป็นทาง  ทันใดนั้นเธอก็เซถลาไปข้างหน้าเกือบล้มเพราะแรงส่ายที่ผิดปกติของมัน  เธอก้มดูท้องเรือ มันกำลังถูกน้ำกัดกร่อนเป็นรูโบ๋ใหญ่  ชิ้นส่วนท้องเรือขาดวิ่นหล่นจมหายไปในน้ำที่เดือดปุด ๆ …แต่แปลกที่น้ำไม่ท่วมเรือ... ไม่ช้าเธอก็คงหล่นลงไปพร้อมกับเรือ เนื้อตัวของเธอสั่นเทิ้ม... เธอขยับหนีขึ้นไปจนชิดหัวเรือ  เธอละสายตาจากท้องเรือมองหาความหวังเบื้องหน้า    

              ‘โอ! ฝั่งอยู่ตรงหน้านี่เอง ...สลัดเรือ’

เธอกระโดดตัวลอยขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว   พอหันกลับไปมองก็พบว่าไม่มีซากเรือหลงเหลืออยู่เลย  ทว่า ณ ขณะนี้ไม่มีเวลาจะอาลัยอาวรณ์สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น  สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้คือ  

             ‘หาทางกลับบ้าน’

กันตยาสังเกตเห็นว่า แสงสลัวตีวงกว้างเป็นรัศมีอยู่ใจกลางหุบเขา เธอนึกถึงตอนเดินทางมา    

             ‘เราเดินตามแสง ขากลับก็ต้องหันหลังให้แสง...’  คิดได้ดังนั้น เธอก็กลับหลังหัน แต่ก็พบว่าต้องเผชิญกับความมืด            

                ‘มันมืดตึดตื๋อเหมือนกันไปหมด ...ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี’

เธอยื่นมือออกไปปัดป่ายสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอด แต่ก็ไม่สัมผัสอะไรเลย เธอตัดสินใจเดินฝ่ามันเข้าไป  ทันใดนั้นปรากฎมีแสงสีขาวนวลดวงเล็ก ๆ ลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอ  พอเธอสาวเท้าก้าวเข้าไปหา มันก็ลอยไป

 ข้างหน้า พอเธอหยุด มันก็หยุด  มันคงทำหน้าที่เป็นนแสงส่องทาง ดังนั้นเธอจึงเดินตามมันไปเรื่อย ๆ ..พลันเธอก็สัมผ้สถึงแรงดึงดูดเหมือนแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ไล่ตามเธอมาราวกับจะดูดกลืนเธอไปทั้งตัว พลังของมันแรงขึ้น แรงขึ้น 

                ‘หนี ! ’

เธอเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่ง ..วิ่ง..และวิ่งสุดชีวิต เธอนึกถึงกระต่ายป่าขนปุยสีขาวน่ารักที่อาศัยอยู่บนภูเขาหิมะในประเทศญี่ปุ่นที่เธอเคยอ่าน  เวลามันวิ่งหนีศัตรู.. หรือวิ่งหนีตาย มันจะวิ่งได้เร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เธออยากทำอย่างนั้นได้บ้าง     ทว่า..ไม่ว่าเธอจะเร่งความเร็วเท่าไรดูเหมือนมันจะช้าลงเรื่อย ๆ   เธอทานแรงดึงดูดแทบไม่ไหว เนื้อตัวแทบปริแตกหลุดลอยออกเป็นเสี่ยง ๆ  เธออ้าปากตะโกนร้องสุดขีด แต่ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา ที่เลวร้ายกว่านั้น แสงสีนวลนำทางของเธอก็พลันหาบวับไปต่อหน้าต่อตา เธอรู้สึกหมดสิ้นทุกอย่าง แข้งขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อไป  ..เข่าอ่อนทรุดฮวบร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น  จังหวะที่ร่างของเธอกระทบพื้นเกิดแรงสั่นสะเทือน ครืน ครืน คล้ายแผ่นดินไหว  เสียงสะท้อนก้องทอดยาวเป็นระยะ ๆ แล้วก็จางหายไป    .แล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ..ส่วนเธอ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา และเงยหน้าขึ้น  เพราะเธอกำลังรอ ..รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ  

                 ‘ชายแก่หน้าผีคงมากระชากเอาไปโยนลงทะเลสาบมรณะ..โอ..ไม่นะ.. หรือเป็นยามเฝ้าประตูมาจับเธอไปมอบให้กับเทพหัวสุนัข...ไม่ไป ..ไม่อยากถูกกักบริเวณ อยากกลับบ้าน..’

กันตยายังคงนอนนิ่งใบหน้าแนบกับพื้น ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะถูกกระชาก.. ถ้าลืมตาก็เกรงว่าต้องเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัว ..  แต่..ทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบ ...แล้วเธอก็สัมผัสถึงความหยาบกระด้าง แห้งกร้านของพื้นผิวใต้ใบหน้าและลำตัวของเธอ ...เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูรอบ ๆ  กลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นคาวคลุ้งลอยมาโป๊ะจมูอย่างแรง จนรู้สึกคลื่นไส้แทบจะอาเจียน เธอรีบเอามือปิดปากปิดจมูก .. จากนั้นมีเสียงพูดคุยกันที่จับความไม่ได้ศัพท์ ลอยมาแต่ไกล  เธอพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นเริ่มดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น ..อา..สุดท้ายมันก็อยู่รอบ ๆ ตัวเธอนั่นเอง    

             “ดูสิยังเด็กอยู่เลย ช่างผอมบางเหลือเกิน”  

              “ตัวขาวซีดยังกับเด็กเผือก”    

 

             “เธอเป็นอะไรตายล่ะ” เสียงหญิงแก่คนหนึ่งถามเธอ  

 

             ‘ตายเหรอ? ’   

 

             ‘ที่นี่ที่ไหน?’    

เธอรวบรวมความกล้า ค่อย ๆ หันไปทางเสียง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความมืด..กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นคาว โชยมาเป็นระยะ ๆ

                  “ให้เธอเห็นพวกเราดีไหม”   

      “อย่าเพิ่งดีกว่า..ท่าทางเธอดูตื่นกลัว”

      “ดูสิ..มาตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย”  

                    “หนีมารึเปล่า”

 เสียงคุยกันยังคงดำเนินต่อไป เสียงผู้คนร้องไห้ เสียงทะเลาะวิวาท เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่รอบ ๆ กันตยาหันหน้าไปมาตามทางที่มาของเสียง

             “ปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ปิดตาก็จะมองไม่เห็น”    เสียงยายแก่คนเดิมบอกเธอ กันตยาทำตามคำแนะนำ มันเงียบหายไปจริง ๆ คงมีแต่เสียงถกเถียงกันใกล้ ๆ ตัวเธอ

             “ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเลย”    

             “ดูน่าสงสารออก”    

 

            “คนเถื่อนอย่างเอ็งสงสารคนเป็นด้วยเหรอ”  

             “ถ้าไม่ทำแท้ง ลูกสาวข้าก็คงโตเท่า ๆ นี้แหละ”  พูดจบก็มีเสียงร้องโฮ ตามด้วยเสียงสั่งน้ำมูกปี๊ด ๆ            

               “หนูน้อย ถ้าอยากมีเพื่อนก็ตามเรามา หรือจะอยู่ที่นี่คนเดียวก็ตามใจ แต่..มันอันตรายนะจะบอกให้”   

น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน เธอจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น และเดินตามกลุ่มคนที่เธอได้ยินแต่เสียงไป  รอบกายมืดมิด แต่ไกลออกไปข้างหน้าปรากฏแสงสีแดงเพลิงคู่หนึ่งส่องแสงระยิบระยับ มันกำลังเคลื่อนที่ตรงมาอย่างเร็ว  ยิ่งใกล้เข้ามาลำแสงสีเพลิงก็ยิ่งแผ่รัศมีใหญ่ขึ้น ..ใหญ่ขึ้น พลันก็เกิดแสงสว่างจ้าเหมือนมีใครมากดสวิตช์เปิดไฟสีส้มพรึบอยู่ตรงหน้า กันตยาสะดุ้งตกใจเอียงหน้าหลบวูบ  ยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องแสงไม่ให้แผดเผาลูกตา  กลุ่มคนที่เดินนำทางมาส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายด้วยความตกใจกลัว แล้ววิ่งเตลิดไปคนละทาง ทิ้งกันตยาให้อยู่คนเดียว  ให้เผชิญอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็นตัว คงมีแต่ลมหายใจของมันที่พ่นออกมารดหน้าเธอ ตามด้วยเสียงขู่คำรามแห่ แห่    พอลมหายใจเบาลง แสงสีเพลิงก็หรี่ลงตามจังหวะเข้าออกของการหายใจ  กันตยาจ้องมองไปทางเสียงก็เห็นเงาทะมึนยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า..ภาพนั้นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ..  

             ‘หมาดำ’

ใบหน้าของมันแหลมยาวใบหูใหญ่ตั้งชันเหมือนกับตัวที่เรียกว่าทูตมรณะไม่มีผิด ต่างกันตรงที่ว่า ตัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ เป็นหมาที่มีสี่ขา ตัวมันใหญ่กว่ามิดไนท์หลายเท่า  นัยน์ตาสีแดงของมันจ้องเขม็งมาที่กันตยา  มันยังคงแยกเขี้ยวส่งเสียงร้องคำรามในลำคอเบา ๆ 

              ‘อย่าเผชิญหน้า  อย่าสบตา ทำเป็นไม่สนใจ’        

                                                 

 กันตยาจำคำพูดที่มิดไนท์เคยบอกเวลาเจอสุนัขจรจัด เธอจึงก้มหน้ามองต่ำ และเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อจะให้ดูเป็นหันข้างให้มัน  ...เสียงครางของมันหยุดไป   กันตยาจึงค่อย ๆ ชำเลืองมองด้วยหางตาเห็นหางปุกปุยของมันส่ายไปมา  มันเปลี่ยนเสียงขู่เป็นร้องอ้อนหงิง ๆ แล้วหันข้างและหมอบลงตรงหน้า เธอเข้าใจท่าทางมันทันที เพราะมิดไนท์ทำอย่างนี้บ่อย ๆ  

             ‘ตอนนี้ก็ไม่มีที่จะไปอยู่แล้ว ลองเสี่ยงดูดีกว่า’  

กันตยาปีนขึ้นบนหลังของมัน แขนทั้งสองโอบรัดรอบคอมันไว้แน่น ...มันกระโจนทะยานออกไปอย่างรวดร็ว  

                 ‘ถ้าปิดตาก็จะมองไม่เห็น’   

 เธอจึงหลับตาลง เพราะไม่อยากเสี่ยงเจอสิ่งที่ไม่ต้องการจะเห็น             ‘

                  เหมือนตอนนั่งบนหลังมิดไนท์เลย’         

 เสียงของความวุ่นวาย โกลาหล เสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะเสียงร้องโอดโอย ความร้อน ความหนาว กลิ่นสารพัดกลิ่น ลอยมากระทบเป็นระยะ ๆ แล้วมันก็ลอยไกลออกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเงียบ  ความรู้สึกสบาย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมวลพฤกษาลอยเข้ามาแทนที่ การเดินทางก็ช้าลง ๆ จากวิ่งเป็นย่างก้าว กันตยารู้สึกสบายและปลอดภัย เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น   บริเวณแห่งนี้มีแสงสีนวลเหมือนแสงจันทร์สาดส่องไปทั่วทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่รอบกายได้ชัดเจน .. มันเหมือนอยู่ในรีสอร์ท่ามกลางหุบเขา สวนจัดแต่งอย่างสวยงาม เป็นระเบียบ  ผู้คนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน  ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึก  ต่างคนต่างทำภารกิจของตนไป  มีบ้านทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่สวยงามตั้งอยู่ตรงกลาง  หมาดำปล่อยเธอลงจากหลังแล้วเดินนำหน้าพาเธอตรงไปยังเรือนทรงไทย  พอเดินเข้าไปใกล้ เธอเห็นชายแก่ผมสีดอกเลาตัดสั้นเกรียน สวมเสื้อเชิตสีขาว นุ่งกางเกงสีครีม นั่งอยู่ชานหน้าบ้าน ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความดีใจ        

             “คุณตา”

 ชายแก่ที่กันตยาเรียกคุณตา หันมามองเธอสีหน้าเรียบเฉย เหมือนใบหน้าตุ๊กตา  กันตยารีบเดินเข้าไปหาแล้วก้มกราบไม่แบมือหนึ่งครั้ง  

             “หลงทางมาหรือ”    

             “ทำไมคุณตารู้คะ”  

 

            “ใครจะไปจะมาคนแถวนี้รู้กันทั้งนั้นแหละ”  

 

            “แล้วคุณตายังไม่ได้ไปเกิดเหรอคะ”

 คุณตาตายด้วยโรคมะเร็งตอนเธออายุได้แปดปี เธอไม่ค่อยสนิทกับคุณตานักหรอก  คุณตาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในสวนห่างจากบ้านที่เธออยู่ราวห้ากิโลเมตร  ที่สวนคุณตาปลูกบ้านเล็กยกพื้นสูงไว้หลังหนึ่ง เครื่องอำนวยความสะดวกไม่มีเลย  บางครั้งเวลาที่ป้าวีร์เอาของกินไปส่งให้คุณตา กันตยาก็จะติดรถไปด้วย

            “ไม่มีใครได้ไปไหน พวกเราก็มาอยู่รวมกันที่นี่แหละ และที่นี่ก็แยกออกมาจากส่วนอื่น ๆ ”

พูดจบคุณตาก็นิ่งเงียบ

             “เอ่อ..ที่นี่น่าอยู่นะคะ ..”  

 แล้วก็เงียบกันไปทั้งคู่  กันตยารู้สึกอึดอัดที่คุณตาทำตัวยังกับหุนยนต์ติดตั้งโปรแกรม หรืออาจจะดูเฉื่อยชาด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็น่าจะแสดงความดีใจบ้างที่เห็นเธอโผล่มา

             “เอ่อ..หมาสีดำพาหนูมาที่นี่ค่ะ” เธอพยายามชวนคุย  

            “หมาใน มันเป็นหมาของตาเอง เลี้ยงมันไว้ตั้งแต่ตาอายุได้ 35 ปี”  

            “คุณตา ตา-ย ..เอ่อ..จากพวกเรามาตอนอายุ 66 บวกอีกสอง งั้นตอนนี้อายุของมันก็ 33 ปี”

               (กันตยาตั้งเลข 66 -35 = 31  คุณตาตายตอนเธออายุได้ 8 ขวบ ตอนนี้เธอ 10 ขวบ = 31+2)

             “มันไม่มีอายุ มันอยู่ของมันได้เรื่อย ๆ ตอนที่มันมาอยู่กับตา มันก็โตแล้ว มันจะรู้จักทุกคนที่ตารู้จัก”

 

แต่กันตยาจำได้ว่า ทุกครั้งที่ไปหาคุณตาที่สวน เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย และไม่มีใครเคยพูดถึงว่าคุณตาเลี้ยงหมาเอาไว้ ตัวใหญ่เบ้อเร่ออย่างนี้คงซ่อนตัวได้ไม่ง่ายหรอก

              “หนูกันต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวป้าวีร์จะเป็นห่วง”  

              “หนูอยากกลับค่ะ  แต่ไม่รู้จะไปทางไหน” 

 

             “งั้นหนูกันจงนอนรออยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลาตาจะไปส่ง”   




Create Date : 23 ตุลาคม 2557
Last Update : 23 ตุลาคม 2557 22:48:28 น.
Counter : 472 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety