กันตยา 15
 

กันตยานั่งมองปฏิทินตั้งโต๊ะ มองหาวันหยุดช่วงยาว ๆ ติดต่อกัน เธอทำงานที่นี่มาเกือบจะครบสองปีเต็มแล้วที่ไม่เคยขอลาพักร้อนเลย ชีวิตของเธอช่วงนี้มันช่างราบเรียบเหลือเกิน เหมือนทะเลไม่มีคลื่น เบื้องลึกก้นบึ้งของหัวใจมันเรียกร้องหาการผจญภัย เธอนึกถึงวันที่เธอนั่งรถสองแถวสีแดงไปพบศาสตราจารย์สุทัต ที่วัดมหาธาตุตามนามบัตร  ที่กำแพงด้านหน้าของวัดมีป้ายผ้าผืนใหญ่สีขาวมีข้อความ ‘ชมรมโหราศาสตร์ภาคเหนือ’  ติดแปะไว้. ‘ได้เจอของจริงแล้ว’  กันตยาคิด เธอเดินเข้าไปในวัด บรรยากาศข้างในร่มรื่น เห็นหมอดูอาวุโสหลายท่าน บางคนนั่งพบปะลูกค้าใต้ร่มไม้  บางคนนั่งประจำโต๊ะข้างในศาลาหลังเก่า  กันตยามองหาศาสตราจารย์สุทัต ท่านหันมาพอดี เธอจึงยกมือไหว้ จังหวะนั้นเองก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของท่าน กันตยาจึงนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ

 

“อยากขยายธุรกิจค่ะ ดูว่าจะทำเงินได้ไหม” สุภาพสตรีท่านนั้นถามขึ้น ศาสตราจารย์สุทัต ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหม้อฮ่อมข้างที่ตุงนิด ๆ หยิบเอาเลนส์แก้วใสวงกลมขึ้นมาส่องดูลายมือสุภาพสตรีท่านนั้น

 

‘ที่แท้ก็พกเลนส์ขยายนี่เอง’    

“ได้ครับ กำไรแน่นอน”  

 

“ขอบคุณค่ะ คราวที่แล้วที่มาดูตอนจะเปิดสาขาใหม่ ก็แม่นมากเลยค่ะ”  จากนั้นเธอก็วางแบงค์ร้อยสามใบตรงหน้าศาสตราจารย์ ยกมือไหว้แล้วลุกเดินออกไป ศาสตราจารย์หยิบแบงค์ร้อยสองใบใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ อีกใบหนึ่งหย่อนลงในกล่องซึ่งเขียนข้อความ “บำรุ่งชมรมฯ” ที่ข้างกล่อง แล้วท่านก็พยักหน้าเรียกเธอ

“มาจนได้นะ”

 

 “ค่ะ”   

 

“มีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้หรือ” ท่านจ้องหน้ากันตยาเหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน ท่าทางของท่านแตกต่างจากอยู่ในห้องเรียน กันตยารู้สึกเกร็ง  

             “ค่ะ..หนูอยากรู้เกี่ยวกับตัวเองค่ะ”   

 “แบมือมาสิ  ทั้งสองข้าง ..อย่าเกร็ง ให้วางในท่าสบาย ๆ “  กันตยาทำตามอย่างว่าง่าย  เธออ่านบุคลิกลักษณะคนอื่นได้ แต่อ่านตัวเองไม่ได้  ศาสตราจารย์กวาดสายตามองแว๊บเดียว  

 

“อยู่ห่างพ่อแม่น่ะดีแล้ว..อืม..นิ้วมือเนื้อแน่นเป็นสปริงขัดกับร่างกายที่ดูอ่อนแอ...มีพลังเยอะนะ เส้นลายมือลึกตัดกันไปมา  ชีวิตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  โชคดีที่มีเส้นคุ้มครอง น้อยคนนักจะมี  จะเดินทางไกลบ่อย “   

 

“อย่างกลับบ้านใช่ไหมคะ”  

 

“อย่างนั้นเลิกพูดกัน”

  

“ เนินเสาร์เด่น..มันหมายถึงสิ่งลี้ลับ..กรรมเก่าในอดีตอาจย้อนกลับมาท้าทาย  เอาล่ะเชิญ” ท่านผายมือเป็นสัญญาณบอกว่า ‘ไปได้แล้ว’  กันตยายกมือไหว้ขอบคุณและรีบลุกขึ้นเพราะมีลูกค้านั่งรอคิวอยู่  

 กันตยาถอนหายใจ ‘แต่ตอนนี้ดูมันนิ่งเหลือเกิน’   ถ้าลาได้จะไปไหนดี ทะเลก็ไม่ชอบ หรือว่าจะกลับไปเยือนเชียงใหม่อีกครั้ง ..ไปทานข้าวซอยแล้วขึ้นดอยสุเทพชมทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา 

‘เฮ้อ! แค่คิดก็สุขใจแล้ว’     

พลันความคิดของเธอก็ต้องสะดุดกึกเมื่อมีเสียงเคาะที่ประตู  

            “เข้ามาได้ค่ะ”    

            “หนูกันตยาคะ บอสใหญ่เชิญที่ห้องค่ะ”   น้าพอใจ แม่บ้านประจำสำนักงานแง้มประตูแล้วโผล่หน้าเข้ามาบอกเธอ กันตยาเกือบจะโพล่งถามออกไปว่า มีเรื่องอะไรหรือ แต่นึกได้ว่าแม่บ้านมีหน้าที่แค่รับคำสั่ง คงไม่รู้อะไร เธอจึงลุกเดินตามออกไป   

            “วันนี้ผมนัดลูกความไว้ 4 โมงเย็น เธอต้องทำล่วงเวลานะ”    

ทันทีที่เธอหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของทนายปกรณ์ บอสใหญ่วัยกลางคนหน้าตาดี บุคลิกภูมิฐาน เหมาะสมกับวัยวุฒิและคุณวุฒิ เขาก็รีบสั่งงานเลย            

               “ค่ะ”      

 ทนายปกรณ์มองหน้าเธอนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ  

             “ลูกความรายนี้จะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ลงเครื่องที่อุบลฯ ราว ๆ บ่ายสองโมง ผมจะให้น้าบุญล้ำพนักงานขับรถกับทนายวิทยะไปรอรับที่สนามบิน ส่วนหนูให้รอที่นี่”            

              “ค่ะ”    

            “ลูกความเป๋นชาวอเมริกัน คดีนี้เพื่อนจากทางอุบลฯโอนมาให้ผมอีกทีหนึ่ง หน้าที่ของหนูคือ ทำความรู้จักกับลูกความและซักซ้อมสำนวนที่ยังไม่แปล เพราะอยากตรวจเช็คให้แน่ใจว่า สำนวนและข้อมูลที่ได้มาถูกต้องตรงกันหรือไม่”    

             “ค่ะ”            

             “มีอะไรจะถามไหม”    

            “ลูกความชื่ออะไรคะ”    

            “โรบิน  ดันแคน”   

 

ออกจากห้องบอสใหญ่ กันตยาเดินไปบอกป้าวีร์ว่าวันนี้กลับค่ำ เพราะบอสนัดลูกความไว้หลังเลิกงาน ป้าวีร์พยักหน้ารับทราบ เธอจึงเดินกลับโต๊ะทำงาน สมองของเธอก็จินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ    

            ‘นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เจอลูกความจากเมืองลุงแซม’    

          ‘จะผอมสูงโย่ง หรือว่าอ้วนเหมือนลุงแมคโดนัลนะ’    

          ‘ไปทำอะไรมานะถึงต้องได้ขึ้นโรงขึ้นศาลที่เมืองไทย’ 

   

ก่อนถึงเวลานัดกันตยาเข้าไปนั่งรอในห้องรับรอง พอใกล้จะถึงเวลานัดทนายวิทยะก็มาเปิดประตูให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งรูปร่างสันทัด สูงไม่เกิน 160 เซนติเมตรเข้ามา กันตยาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอคิดว่าคงเป็นเพื่อนหรือญาติของทนายวิทยะ เธอจึงส่งยิ้มที่มุมปากให้และผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้นั่ง  ชายแปลกหน้าคนนั้นก็พยักหน้าเชิงขอบคุณรับเช่นกัน แล้วต่างคนก็ต่างนิ่ง จากบุคลิกภายนอก กันตยาเดาได้เลยว่าเขาเป็นคนอ่อนไหว ระแวดระวัง ประกอบกับนิ้วมือเล็ก สั้น ปลายตัดตรง แสดงว่าเป็นคนโมโหง่ายประเภทฟีวส์สั้น อาจจะถึงกับโมโหร้าย  ถ้าจะเข้าหาคนคนนี้ จะบุ่มบ่ามไม่ได้ต้องมีพิธีรีตอง...  ดวงตาแฉะถ้าไม่ใช่คนดื่มมากจนลิสซึ่มก็แสดงว่าอมทุกข์ ถึงขนาดแอบนอนร้องไห้บ่อย ๆ   ..พลันประตูห้องก็เปิดออกทนายวิทยะเดินเข้ามาพร้อมกับบอสใหญ่ 

            “ทำความรู้จักกันรึยัง”  ทนายปกรณ์ถามกันตยา พร้อมกับวางซองเอกสารลงบนโต๊ะรับรองเล็ก กันตยาตีสีหน้างุนงง 

             “ส-วัส-ดี ครับ อืม..อืม”     

กันตยาแทบช็อค เพราะคาดไม่ถึงว่าชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าที่เธอหรือใคร ๆ ก็ดูออกว่าเป็นคนไทย แต่กลับเป็นชาวอเมริกัน    

            “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อกันตยาค่ะ”  

            “ยิน-ดี-ที่..อืม..อืม..รู้..”  แล้วเขาก็เอาอุ้งมือทุบหัวตัวเองเบา ๆ พยายามนึกคำพูด 

 กันตยาต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ มันไม่เหมือนอย่างที่เธอคาดหวังไว้เลย ถือว่าเป็นบิ๊กเซอร์ไพร์ที่ได้เจอคนไทยที่ชื่อว่า Mr. Robin Duncan เธอคิดว่าชายคนนี้น่าสนใจไม่น้อย 

 

เรื่องที่พูดคุยกันในวันแรก ก็เกี่ยวกับรูปคดี  จากสำนวนคดีที่เธอได้อ่านจึงทราบว่ามิสเตอร์ดันแคนฟ้องหย่าภรรยาคนไทย เขาขอบ้านที่กรุงเทพฯและแหวนเพชรคืน  กันตยายังไม่กล้าเจาะลึกไปถึงชีวิตส่วนตัว และเธอยังพบว่ามิสเตอร์ดันแคน เป็นคนขาดความมั่นใจ  พูดจาวกไปวนมา พอย้อนกลับมาถามคำถามเดิมก็จำไม่ได้ ต้องทบทวนกันใหม่ บอสปกรณ์จึงขอนัดให้มาอีกในวันพรุ่งนี้บ่ายโมงตรง ขากลับบอสให้น้าบุญล้ำ ขับรถไปส่งที่พัก รีสอร์ท ออกนอกเมืองไปไม่กี่กิโล 

            “สวัสดี-ครับ-คุณ-กันตยา”  

มิสเตอร์ดันแคนยิ้มแป้นทักทายทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ในมือเขาถือหนังสือนวนิยายเล่มโตและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์มาด้วย วันนี้ดูเขาสดชื่นกว่าเมื่อวาน และไม่ได้มาคนเดียว มีเพื่อนหญิงซึ่งดูอ่อนกว่าเขามากติดตามมาด้วย  เขาไม่ได้แนะนำเธอให้กันตยารู้จัก  และเธอคนนั้นก็ไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งเฝ้าดูเงียบ ๆ  

 วันนี้ก็ซ้อมสำนวนเหมือนเดิม  กันตยาเริ่มสังเกตเห็นว่าเขาจะสับสนกับคำถามค้าน ที่ให้ตอบว่า ‘ใช่’ กับ ’ไม่ใช่’ แต่วันนี้ดูเขาทำได้ดีกว่าเมื่อวาน ท่าทีเขาผ่อนคลายมากขึ้น บอสให้นัดต่ออีกหนึ่งวัน เพราะอีกสามวันข้างหน้าเขาต้องไปขึ้นศาลที่จังหวัดนนทบุรี   ขากลับเขาหยิบเอาหนังสือนวนิยายติดมือไปด้วยส่วนหนังสือพิมพ์ทิ้งไว้ที่สำนักงาน กันตยาจึงเอากลับไปอ่านที่บ้าน

ทานมื้อเย็นเสร็จเธฮก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือมา  ส่วนใหญ่ก็นำเสนอข่าวทั่ว ๆ ไป  เธออ่านผ่านโฆษณาชิ้นหนึ่งที่โชว์ภาพสัตว์และมีข้อความ 

             ‘สัมผัส  The Big Five of South Africa’   

‘สายการบิน เอส เอ แอร์ไลน์ เปิดเส้นทางใหม่ บินตรงสู่กรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน วันอังคารและวันพฤหัสบดี’     

‘ลุ้นรับรางวัลตั๋วเครื่องบินไป-กลับ และไวน์เลิศรส’    

‘ เพียงสะสมคูปองรายวันติดต่อกันจำนวน 7  ใบ กรอกชื่อ ที่อยู่ ตอบคำถาม และส่งคูปองไปที่...’  

                                                                                                                   ก่อนออกจากบ้าน เธอไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์กลับไปที่ทำงานด้วย และวันนี้มิสเตอร์ดันแคนมาคนเดียว และถือหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์มาเหมือนเมื่อวาน 

            “วันนี้เพื่อนหญิงไม่ได้มาด้วยเหรอคะ”    

            “ไม่ เธอบอกว่าน่าเบื่อ ขอนอนเล่นในห้องพักดีกว่า”    

จากท่าทางที่เป็นมิตรของเขา กันตยาจึงกล้าเอ่ยปากถามถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขา เขาก้มต่ำมองพื้น ยิ้มเศร้า ๆ ก่อนตอบคำถาม  

 

            “สิ่งที่เป็นทุกข์ที่สุดก็คือ การไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”  

 กันตยารู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกตรงหัวใจ 

 

 ‘ถ้าเช่นนั้น ไม่ใช่มีเราเพียงคนเดียวที่ไม่รู้จักตัวเอง’  




Create Date : 19 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2557 20:24:52 น.
Counter : 484 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety