กันตยา & ซาช่า 25
 

ราตูรู้สึกเป็นกังวลบ่ายคล้อยแล้วทาคิไม่กลับบ้าน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยอยู่ห่างแม่นานเกินสองชั่วโมง มันป็นความผูกพันที่เธอสองแม่ลูกมีต่อกันหลังจากที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน  ทาคิคือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ไม่มีเขาชีวิตของเธอก็คงไม่มีความหมาย 

 

‘ผมจะไปพบเพื่อนผู้หญิงที่ตลาด บ่าย ๆ ผมจะกลับครับแม่’

             ‘เดี๋ยวนี้ลูกมีเพื่อนผู้หญิงแล้วเหรอ’   เธอย้อนถามลูกชายด้วยใบหน้าที่ราบเรียบปราศจากความรู้สึก ซึ่งทาคิชาชินเสียแล้วกับบุคลิกนี้  แม่ไม่ค่อยพูด  เขาไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของแม่เลย แต่ละวันแม่จะขลุกอยู่กับงานบ้าน ปลูกผักและเลี้ยงไก่  นอกจากกินเป็นอาหารแล้วยังขายได้พอมีค่าใช้จ่ายสองแม่ลูก ส่วนเครื่องใช้อื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วมิชชันนารีซินเธียเป็นผู้จัดหามาให้ หรือบางทีก็ได้มาจากการบริจาค  

          ‘ครับแม่   ..เขาก็คงเหมือนผมนี่แหละ คือต้องการเพื่อน’ 

 

นางเฝ้าแต่ชะเง้อมองออกไปตรงทางเดินเข้าโบสถ์ด้วยหวังว่าจะเห็นลูกชายของนางโผล่มา ถ้าเขาไม่กลับบ้านคืนนี้นางคงนอนไม่หลับแน่ ในที่สุดนางก็ทนรออีกต่อไปไม่ไหวแล้ว          

 

          ตลาดมินนาอาเปลี่ยนไปแทบทุกเดือนตามกาลเวลา ร้านค้าหนาตามากขึ้น ตั้งแต่ทาคิโตขึ้น และทำหน้าที่บางอย่างแทนนางได้ นางก็แทบจะไม่ได้ย่างกรายมาแถวนี้เลย จุดแรกที่นางจะไปถามไถ่หาลูกชายคือร้านขายของชำเถ้าแก่ชาวจีน ที่ซึ่งทาคิไปส่งไข่ทุกสัปดาห์  วันนี้ผู้คนในตลาดไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ ดูเงียบเหงายังไงชอบกล ขณะที่นางกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังร้านเถ้าแก่ จู่ ๆ ก็มีชายร่างบึกบึนคนหนึ่งเข้ามายืนขวางหน้า นางสะดุ้งตกใจหยุดกึก พอเงยหน้ามองนางก็ต้องอ้าปากค้าง 

 

          “โยฮัน!” นางอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาร่วงพรู นางอยากจะโผเข้ากอดเขาซบหน้าลงบนอกเขา อยากให้เขาแบ่งเบาความทุกข์ใจของนางบ้าง แต่นางก็ทำไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นแม่และมีลูกชายที่โตแล้ว นางไม่ใช่สาวรุ่นเหมือนตอนที่เขามาชอบพอกับนาง โยฮันเองก็มีสีหน้าตื่นเต้นไม่ต่างจากนาง เขาคว้าแขนของนาง ดึงเข้าไปหลบอยู่ซอกตึก

           “มำทำอะไรอยู่ที่นี่  ชาตินี้นึกว่าจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว”             

 แล้วทั้งสองก็เล่าความหลังให้ซึ่งกันและกันฟัง ราตูยิ่งร้องไห้หนักเมื่อได้ข่าวคราวผู้เฒ่าเซกา คุณตาของเธอ  

          “หัวหน้าเผ่าสั่งให้ลูกน้องมาจับตัวเขาไป  พวกมันทรมานเขาโดยเอาเชือกมัดข้อมือทั้งสองข้างแล้วดึงโยงขึ้นกับต้นไม้มีเพียงปลายเท้าเท่านั้นที่แตะพื้น ห้ามใครให้น้ำให้อาหารจนกว่าเขาจะยอมบอกว่าเธอและลูกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเขาเพราะกลัวกฏของเผ่า ..เขากล้าหาญและเสียสละมาก เขาไม่ยอมปริปากเลย “ เขาหันมาจ้องหน้าราตู เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ราตูไปหลบอยู่ที่ไหน 

 

          “ทั้งคุณตาและฉันก็รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันไม่มีทางเลือก คุณตาขอร้องแกมบังคับให้ฉันต้องไปเพื่อเห็นแก่ลูก” 

 

                   “ตอนนี้เธอพูดแล้วเหรอ” เขานึกถึงสาวน้อยราตูที่เขาเคยเฝ้าหลงรัก ปากของเธอเม้มปิดสนิทก่อนเขาจะรู้จักเธอเสียอีก ผู้เฒ่าเซกาบอกเล่าว่า เธออยู่ในอาการช็อค ตั้งแต่เธอได้เห็นพ่อแม่ถูกคนขาวฆ่าตายต่อหน้าต่อตาตอนนั้นราตูอายุสิบขวบ  

 

          “เออ มีเรื่องหนึ่ง คิดว่าสำคัญมากสำหรับเธอ” เขาเห็นราตูหันมาจ้องหน้ารอฟังเขา เบ้าตาทั้งสองข้างยังคงเอ่อล้นด้วยน้ำตา

 

          “คืนก่อนที่เขาจะสิ้นใจ ฉันแอบเอาน้ำไปให้เขาดื่มเพราะรู้สึกสงสารที่เห็นลิ้นของเขาแลบออกมา ดูแห้งและแข็งทื่อ พอได้ดื่มน้ำแล้ว เขาพยายามพูดอย่างยากลำบากเพราะลิ้นที่แข็งจุกปากแต่ก็จับใจความได้ “ 

 

             ‘โยฮัน เจ้าน่ะเป็นคนดี แต่ราตูโชคร้ายที่เจอเรื่องแบบนั้น. ถ้า..ถ้า เจ้าได้มีโอกาสพบเธออีก..ช่วยแก้ไขคำพูดของข้าให้ด้วย..ว่า ..ลูกสาวของเธอไม่ได้ตายตอนคลอด..น้ำ..น้ำ..’  โยฮันยกขวดน้ำกรอกใส่ปากของเขา แต่ตาเฒ่าสะบัดหน้าหนี 

          “ ‘น้ำ..น้ำ’   เขาพูดได้แค่นั้น และเช้าวันต่อมาก็พบว่าร่างของเขาแข็งทื่อแล้ว”

 พอเขาพูดจบราตูถึงกับร่วงทรุดฮวบลงกองกับพื้น โยฮันรีบคว้าเอาไว้ และเธอร่ำไห้เสียงดังขึ้นกว่าเดิม  ผู้คนเดินผ่านไปมาหันมามอง  แล้วเดินผ่านไป คงคิดว่าเป็นเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ 

 

          “โอ พระเจ้า ฉันคงบาปหนา เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ลูกก็หายไปแต่มาได้ข่าวว่าลูกอีกคนไม่ได้ตายตอนคลอด แล้วจะรอดชีวิตไหมล่ะ” ตอนนี้อารมณ์ความรู้สึกของเธอหนักอึ้งเธอทิ้งตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดของโยฮัน ซบหน้าลงบนไหล่อันแข็งแรงของเขา ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเรื่อย ๆ ฝ่ายโยฮันก็สุดจะกลั้นเช่นกัน น้ำตาซึมเบ้าตา เขารู้สึกดีใจที่ได้เจอคนรักเก่า แต่ก็สงสารเธอกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น   พอเธอนึกถึงทาคิ เธอรีบผละออกจากเขา ถ้ามัวแต่เสียเวลากับเรื่องในอดีตเดี๋ยวก็จะเสียการไปหมด 

 

            “แล้วเธอมาทำอะไรอยู่แถวนี้”  เธอถามขึ้นบ้าง

 

เขาเอามือจุ๊ปาก แล้วมองซ้ายมองขวาเหมือนเกรงว่าจะมีคนแอบได้ยิน 

 

          “ฉันมาส่งข่าวให้สมาชิกร่วมต่อต้าน” โยฮันพูดพร้อมกับยืดอกด้วยความภาคภูมิใจที่ตัวเองมีความสำคัญ 

 

             “ต่อต้านอะไร” ราตูไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องการต่อต้านมาก่อน มิชชันนารีซินเธียไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้เธอฟังเลย 

 

          “เธอต้องมาร่วมกับพวกเรานะ ..ไม่นานพวกเราต้องชนะแน่” โยฮันเห็นสีหน้างงของราตู เขาจึงรีบเล่าต่อ 

 

          “ตอนนี้กำลังมีการรวมตัวกันของกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ โดยมีเผ่าโฟวชาเป็นศูนย์  ธิดาของหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นร่างทรงบอกว่า เราจะชนะแน่และจะสามารถขับไล่คนขาวออกนอกพื้นที่ได้ วิธีการต่อสู้ของพวกเราก็คือ ทำลายไร่ปศุสัตว์ และฆ่าสัตว์เลี้ยงให้หมด  ให้คนงานในไร่หยุดทำงาน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้คนขาวจะอยู่ไม่ได้”  ราตูเผลอเอามือทาบอกด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน   

 

          ‘ต่อต้านคนขาวเหรอ ..มิใช่คนขาวหรอกหรือที่ช่วยเธอกับลูกไว้ ’ 

 

          ตกตอนกลางคืนเธอกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ วันนี้มีหลายเรื่องประเดประดังเข้าในหัวของเธอ  ลูกชายก็ยังไม่กลับบ้าน การได้พบกับโยฮันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง แต่เขาก็นำทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมาให้  เธอไม่กล้าแม่แต่จะเดินไปบอกมิชชันนารีซินเธียเรื่องทาคิไม่กลับบ้าน เพราะกลัวอดเล่าเรื่องรวมกลุ่มต่อต้านไม่ได้ เธอจึงยอมนอนร้อนรนอยู่คนเดียว 

 

          ‘ลูกสาวของเธอไม่ได้ตายตอนคลอด..น้ำ..น้ำ.’ 

 

เสียงเล่าของโยฮันดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมา สิ่งที่ต้องคิดต่อก็คือ ลูกของนางจะยังมีชีวิตรอดอยู่ไหม และตอนนี้อยู่ที่ไหน   เธอพยายามคิดเรียบเรียงเหตุการณ์ตามใจฝ่ายเดียวของเธอที่อยาจะให้มันเป็นจนม่อยหลับและเก็บไปฝัน

             ในฝันเธอเห็นแม่น้ำสายใหญ่มหึมา เสี่ยงน้ำไหลดังโครม ๆ สายน้ำแตกเป็นฟองกระจายพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นละอองสีรุ้งยามต้องแสง เธอยื่นมือทั้งสองออกไปเพื่อให้เม็ดน้ำเย็น ๆ ตกใส่มือเพื่อรองรับความชุ่มฉ่ำ แต่มีก้อนอะไรบางอย่างหนัก ๆ ตกลงลงมาบนมือทั้งสองข้างจนเธอเซถลา เธอคิดว่าคงเป็นปลาตัวโตกระโดดลงมา แต่พอเธอก้มลงมองเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว จนสะดุ้งตื่น เธอเผลอเอามือทาบอกเพื่อสัมผัสความสั่นสะเทือนของหัวใจ  

          “ เด็กทารก..”           

 

ภาพผู้เฒ่าที่นอนยาวเหยียดอยู่บนเตียงดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง  ร่างกายที่แข็งแกร่ง เสียงกังวานที่ทรงพลังแห่งอำนาจ แววตาที่แข็งกร้าวที่ทำให้ต้องหลบสายตาทุกครั้งที่ประสานสายตากัน หายไปหมด ตอนนี้ซาช่ามองดูเหมือนเสือแก่ ๆ ที่สิ้นเขี้ยวเล็บ สิ้นลายแล้ว  ทันที่ที่ซาช่าย่างกรายเข้ามา เจ้าซีโรก็เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาทักทายมันกระดิกหางส่ายไปมาอย่างดีใจ มันแก่มากแล้ว ไปไหนมาไหนไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม สายตาของมันก็พร่ามัวมองอะไรได้ไม่ถนัด จมูกของมันก็ดูเหมือนจะเสื่อมสภาพตามอายุขัยด้วย เวลามันดมอะไรมันต้องเอาจมูกไปชนกับสิ่งนั้นมันถึงรับรู้กลิ่น  ซาช่าลูบหัวมันอย่างรักใคร่  ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถม้าจอดหน้าบ้าน มาสเตอร์กิลเบอร์ตเดินออกไปต้อนรับ และช่วยถือกระเป๋าให้คุณหมอ เมื่อเข้ามาข้างในห้อง มาสเตอร์กิลเอร์ตวางกระเป๋าคุณหมอลงข้าง ๆ เตียง แล้วถอยออกไปนั่งมองห่าง ๆ 

 

คุณหมออังเดรอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับมาสเตอร์ผู้เฒ่า  ทว่ารูปร่างตุ้ยนุ้ย หน้าตาอิ่มเอิบสดใส แก้มแดงเรื่อท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี 

 

          “คุณเกลมัง ดูท่านหมดสภาพความเป็นเสือภูเขาเลยนะ” หมออังเดรแหย่อย่างอารมณ์ดี  

 

            “ทุกคนต้องมาถึงวัยนี้ แต่ผมดูท่าจะมาถึงเร็วกว่าท่านนะ” เสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าตอบรับอย่างอารมณ์ดีเช่นกัน 

 

          “อยากให้เอาผ้าซุบน้ำเช็ดตัว แล้วเช็ดให้แห้งก่อนค่อยฉีดยานะจะได้รู้สึกสบายหน่อย” หมออังเดรพูดขึ้นหลังจากที่จับดูชีพขจร แตะฟังการเต้นของหัวใจ 

 

กิลเบอร์ตหันไปสบตาซาช่าเป็นเชิงออกคำสั่ง ซาช่ารีบลุกขึ้นไปหาชามน้ำอุ่นและผ้าขนหนู  เธอไม่รู้ว่าจะหาชามขนาดเล็กได้ที่ไหน เดาได้ว่ามันต้องอยู่ห้องชั้นล่างไม่ห้องใดก็ห้องหนึ่ง ห้องที่อยู่ซ้ายมือของบันไดไม่ได้คล้องกุญแจ  เธอจึงเปิดผลั๊วะเข้าไป กลิ่นอับชื้น กลิ่นสาบสางลอยมาปะทะจมูก สิ่งที่เธอเห็นคือ เขาสัตว์ที่ตรึงอยู่ข้างผนังและขนสัตว์ที่วางพาดระเกะระกะไม่เป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะและเก้าอี้  เธอรีบปิดประตูและเปิดดูห้องถัดไปซึ่งเป็นห้องเก็บของ เธอได้สิ่งที่มองหา  จากนั้นจึงไปเอาน้ำร้อนที่ห้องโถงใหญ่ผสมกับน้ำเย็น ห้องนี้แม้ว่าเธอไม่ค่อยได้ขึ้นมาบ่อย แต่ก็พอคุ้นเคยอยู่บ้าง เธอยกชามน้ำอุ่นขึ้นข้างบนซึ่งมาสเตอร์กิลเบอร์ตยืนรออยู่แล้วในมือถือผ้าขนหนูผืนเล็ก 

 

ขณะที่ซาช่าเดินเข้าไป คุณหมออังเดรหันมามองเธอ  แล้วเขาหันขวับมามองอีกครั้ง แล้วอมยิ้ม แต่ก็ไม่พูดว่ากะไร คุณหมอ และมาสเตอร์กิลเบอร์ตลุกออกไปนั่งจิบกาแฟคุยกันข้างนอกปล่อยให้ซาช่าเช็ดตัวให้มาสเตอร์ผู้เฒ่า  มือของเธอรู้สึกเกร็งและสั่นเล็กน้อย เพราะไม่เคยมีโอกาสเข้าใกล้ผู้เฒ่าเท่านี้มาก่อน  เธอค่อย ๆ เช็ดลูบไล้ไปเรื่อยตามบริเวณหน้าอก แขน ขา .ในขณะที่ผู้เฒ่านอนหลับตาปรือเรี่ยวแรงไม่ค่อยมี 

 

          “มาสเตอร์คะ พลิกตัวหน่อยได้ไหมคะ” 

 

ผู้เฒ่าค่อย ๆ พลิกตัวนอนคว่ำหน้า ซาช่าลูบไล้เช็ดแผ่นหลัง มือเธอกระตุกเล็กน้อยพร้อม ๆ กับผู้เฒ่าร้องโอ๊ะเบา ๆ 

 

          “รอยแผลเป็นยังรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่มีอะไรแตะต้องมัน เธอเบามือหน่อยก็แล้วกัน” 

 

          “ค่ะ หนูขอโทษด้วยค่ะ” ซาช่าค่อย ๆ ถลกเสื้อด้านหลังขึ้น เพื่อจะเช็ดได้ถนัด รอยแผลเป็นสีแดงช้ำนูนเด่นสี่แถบปลายเรียวแหลมบริเวณหัวไหล่ด้านขวา หัวใจของเธอเต้นตึกตักเมื่อจินตนาการถึงการต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้ายที่มีขนาดใหญ่ และเมื่อถูกมันจู่โจม  มีชีวิตรอดมาได้นับว่าบุญแล้ว

           คุณหมออังเดรฉีดยาให้ผู้เฒ่า พร้อมกับมอบยาจำนวนหนึ่งกำซับว่าให้ทานวันละสองมื้อ เช้า และก่อนนอน ก่อนลากลับ เขาหันมาทางมาสเตอร์กิลเบอร์ต  

          “ยีแบร์..คุณพ่อของคุณไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร แต่เป็นโรคเครียด คนแก่น่ะไม่ควรปล่อยให้อยู่คนเดียวควรหาใครมาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

 ซึ่งเรื่องนี้กิลเบอร์ตก็รู้ดี ตั้งแต่แม่ออกจากบ้าน  ลอเร็นก็จากไปอีกคน และเขาก็ไม่อยู่บ้าน จะเอาครอบครัวของเขามาอยู่ด้วยก็ไม่สะดวก เพราะเบ็ตตี้ตองดูแลกิจการให้ป้า และลูกชายของเขาแบริก็กำลังจะเข้าโรงเรียนคืนนี้เขาจะนอนค้างที่นี่ แต่พรุ่งนี้ต้องกลับเพราะมีงานต้องทำ  เขาถอนหายใจเพื่อขจัดปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกจากสมอง

           “เออ ซาช่า ..พรุ่งนี้เธอมาดูแลแทนฉันหลังเที่ยงนะ ฉันจะต้องกลับตอนบ่าย ๆ ”    

             ‘เขาทำตัวว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น’ 

 

           ‘บุตรของกิลเบอร์ต’  เธอจำคำที่ผู้คนในเหมืองร้างพูด  ทันใดนั้นมีแรงกระตุ้นจากข้างในที่เธอก็ไม่อาจควบคุมันได้ มันเป็นความอยากรู้ เธอโพล่งถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง 

 

          “มาสเตอร์กิลเบอร์ตคะ” 

 

กิลเบอร์ตหันขวับมาทำสีหน้าแปลกใจในท่าทีจริงจังของเธอ 

 

          “หนูมีคำถามจะถาม  หนูเป็นลูกใคร” 

 

ประโยคหลังน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย กิลเบอร์ตทำหน้างง ๆ และต้องยิ้มเฝื่อน ๆ ที่เห็นซาช่าขอบตาเริ่มแดง ทำท่าจะร้องไห้  ที่ผ่านมาเขาคิดว่าเธอรู้แล้ว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

 

          “เฮ้อ..นึกว่าเรื่องอะไร มาร่าไม่ได้บอกเธอหรอกหรือ” 

 

    ซาช่า ก้มต่ำมองพื้น เธอกัดริมฝีปากแน่น และส่ายหัวแทนคำตอบ 

 

            “เธอคงเป็นธิดาแห่งสายน้ำทูเกลูลามั้ง” กิลเบอร์ตพยายามพูดให้เธอขัน แต่เธอก็ไม่ยอมเงยหน้าจากพื้น 

 

“เออ..คือว่า ..เธอมาจากไหนฉันก็ไม่รู้ เพราะวิธีที่เธอเดินทางมามันพิสดาร เจ้าซีโรเป็นคนพบเธอในสายน้ำ”

 ถึงตรงนี้ หัวใจของเธอเหมือนร่วงหล่นจากที่ที่มันอยู่ เรี่ยวแรงเธอหายไป แทบจะทรงตัวให้ยืนนิ่ง ๆ ไม่ได้ เธอพยายามฝืนทำตัวให้เข้มแข็ง เธอรู้สึกผิดหวังอย่างแรง  เธออยากให้เขาคือพ่อของเธอ ถึงแม้เขาจะไม่ยอมรับ ขอแค่ได้เห็นหน้าเธอก็มีความสุขแล้ว ..  

 “เรื่องก็มีอยู่แค่นี้  คงไม่เป็นไรใช่ไหม”  

“ค่ะ” 

 

ซาช่าเดินกลับไปยังห้องสี่เหลี่ยมของเธอ เจ้าซีโรวิ่งต้วมเตี้ยมตามมาเธอจึงบอกให้มันกลับไปบ้าน ไปเฝ้าเจ้านายที่แท้จริงของมัน มันปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย พอกลับถึงห้อง เธอรู้ว่าลุงซาลิมทำงานอยู่ในคอกม้า แต่เธอก็ไม่แม้แต่จะปลายตามอง ตอนนี้เธอกับเขาเหมือนอยู่ห่างไกลกันหลายร้อยโยชน์   เธอทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย จึงทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนเก่า ๆ  สมองก็คิดเรื่อยเปื่อย เธอพยายามตัดเรื่องพ่อลูกออกไป และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่คิดถึงมันอีก  เรื่องใหม่นี่สิปัญหาต้องคิดหนัก

          "เราเป็นเด็กที่เขาโยนทิ้งน้ำหรอกหรือ"  คิดถึงตรงนี้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาไหลพราก แล้วสารพันปัญหาก็ผุดขึ้นมาในหัว

           “เราไม่ใช่บุตรของมาสเตอร์กิลเบอร์ตตามที่พวกนั้นเข้าใจ ’  

          “ทาคิไม่กลับบ้าน  แม่ของทาคิจะรู้สึกอย่างไร “ 

 

          “ถ้ารู้ทาคิปลอดภัย เธอคงจะโล่งใจ” 

 

          “ถ้าพวกนั้นไม่รักษาคำพูดล่ะ” 

 

          “จะหาทางช่วยทาคิยังไง” 

 

          “จะไปส่งข่าวแม่ของเขาได้ที่ไหนนะ” 

   แล้วเธอก็ม่อยหลับไปด้วยความเพลีย  




Create Date : 23 สิงหาคม 2558
Last Update : 23 สิงหาคม 2558 21:27:35 น.
Counter : 409 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 24

ทันทีที่เห็นใบหน้าลูกชายโผล่ประตูเข้ามาผู้เฒ่าอังซอมีอาการสะดุ้งเล็กน้อย  ดวงตาทั้งคู่ส่อแวววิตก ระยะหลัง ๆ มาทุกครั้งที่กิลเบอร์ตกลับบ้านมาจะมาพร้อมกับข่าวที่คนขาวอย่างพวกเขารู้สึกเสียวสันหลัง  

           “ตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้ว” ผู้เฒ่ายิงคำถามทันที    

สีหน้าผู้เป็นลูกเคร่งเครียดใบหน้าอิดโรย เหมือนอดหลับอดนอนมาเนิ่นนาน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบคำถาม    

          “พวกเผ่าโฟวชาได้ป่าวประกาศเชิญชวนให้ชาวพื้นเมืองทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อเพื่อต่อต้านชาว ตะวันตก  ตอนนี้พวกเขาได้บุกทำลายไร่ปศุสัตว์  วัวและสัตว์เลี้ยงอื่น ๆถูกฆ่าตายอย่างทารุณนับแสน ๆ ตัว   พวกแรงงานในไร่พากันทิ้งงาน  ความรุนแรงเริ่มก่อตัวจากเมืองเคปทาวน์ทางใต้สุดและลุกลามแผ่กระจายเป็นวงกว้างขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็คงมาถึงพรีทอเรีย”   

         

            “ไปดูที่ไร่หรือยัง”  

          “ไปมาแล้ว ทุกอย่างยังคงปกติดี  แต่ทั้งวูโยะและไอชิชิก็มองด้วยสายตาแปลก ๆ “  

ผู้เฒ่าขบกรามกรอด เกือบสามสิบปีที่เขาได้อพยพมาอยู่ที่นี่   นี่เป็นครั้งแรกที่มีการต่อต้านอย่างรุนแรง  

          “เอ็งมีแผนอย่างไรว่ามา”    

          “เราควรอพยพกลับปารีส”    

          “แล้วแม่เอ็งล่ะ”  

กิลเบอร์ตสูดลมหายใจหนัก ๆ จนมองเห็นอกกระเพื่อม นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดไม่ตก  ทั้งเขาและพ่อก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน    

          “ผมคิดว่ามาร่าน่าจะรู้ว่าแม่อยู่ที่ไหน  ผมจะไปสืบถามแล้วจะลองเกลี้ยกล่อมดู”    

สองพ่อลูกสบตากัน ต่างมองหาความหวังจากกันและกัน   

          “ผมอยากให้พ่อย้ายไปอยู่กับครอบครัวผมที่ในเมืองชั่วคราวก่อน พ่อจะว่าอย่างไร”    

          “ยีแบร พ่อรู้ว่าลูกเป็นห่วง แต่รอดูสักระยะหนึ่งก่อน  เผื่อรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้”          

            “อืม..ผมเตรียมอาหารสำเร็จรูปและอาหารกระป๋องมาให้คิดว่าคงเพียงพอ   ผมจะบอกมาร่าให้งดงานครัวบ้านใหญ่ชั่วคราว”

 

                 ซาช่าทำหน้าแหวะ หันหน้าหนี    มือที่เหี่ยวย่นแต่ทรงพลังอีกข้างหนึ่งของโคปาจับคางของเธอบิดหันกลับมาแล้วบีบขากรรไกรล่างอย่างแรง จนเธอเผลออ้าปากร้องโอ้ย ทันใดนั้นน้ำจากชามดินก็พร่วงพรูลงไปในลำคอไหลลงสู่ท้องที่ว่างจนกรวงโบ๋วของเธอ   พอโคปาปล่อยมือ เธอก็พยายามโก่งตัวอ๊วกมันออกมา แต่ก็มีเพียงไม่กี่หยดเท่านั้นที่เอาออกมาได้ ส่วนที่เหลือก็อยู่ในพุงของเธอต่อไป  เสียงสวดภาษาที่เธอไม่รู้จักดังกระหึ่มขึ้นจากกลุ่มคนแต่งกายผ้าคลุมดำ เมื่อทุกอย่างสงบลง โคปาก็เดินเข้ามาหาเธออีกครั้ง

           “เจ้าคนไร้ซึ่งศัรทธา ไม่มีศาสนา บัดนี้เจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว  ราบิอะเทพผู้ให้กำเนิด ให้ชีวิต ให้ความอุดมสมบูรณ์และผู้เบิกทางสู่ดินแดนแห่งนิรันดร์ ได้เปิดใจและอ้าแขนต้อนรับเจ้าเข้าสู่อ้อมกอด ขอเพียงเจ้ามีศรัทธา วิญญาณของเจ้าจะเป็นอิสระสู่นิรันดร์ในบั้นปลาย”  

ซาช่าคว้อนขวับ  ไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ เธอทั้งเหนื่อยทั้งหิว เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน ยกเว้นน้ำ..เธอทำท่าขย้อนเมื่อนึกถึงน้ำที่โดนกรอกใส่ปาก  โคปากัดกรามกรอดไม่พอใจในท่าทีของเธอ แต่เขาก็เดินกระแทกเท้าถอยห่างออกไป หญิงที่คลุมผ้าดำเปิดโชว์เฉพาะใบหน้าเดินยิ้มเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวเข้ามาแทนที่           

                “สวัสดีจ้ะ ฉันชือ ราฟิคิ..และฉันรู้ชื่อของเธอแล้ว  ซาช่า เป็นชื่อที่ไพเราะมาก”    

ราฟิคิเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างซูบผอมสูง ท่าทางเป็นคนใจดี ทำให้ซาช่ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง  

           “เอาละ ฉันจะช่วยแก้มัดให้เธอ และหวังว่าเธอคงจะไม่คิดหนีหรอกนะ” เธอยิ้มขณะแก้มัด

           ” หริอถ้าคิดก็คงหนีได้ไม่พ้นประตูหรอก เพราะมียามเฝ้าอยู่ตรงนั้น”   

ข้อมือ ข้อเท้าที่ถูกมัดไว้นานทำให้รู้สึกแข็งชาไปหมดเธอต้องเอากำปั้นทุบเบา ๆ ตามข้อมือข้อเท้า หลังจากผ่อนคลายแล้ว เธอหันไปจ้องมองแท่นบูชา    

          “ชายที่คลุมผ้าที่มองไม่เห็นใบหน้านั่นคือเทพราบิอะ เทพตนนี้จะมีเล่ห์กลมนต์คาถา ท่านสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์นานาชนิดหรือบางครั้งเป็นมนุษย์ในตัวตนที่แตกต่างกันไป” ราฟิคิอธิบายทันทีที่เห็นซาช่ามองอย่างสนใจ   ซาช่าเคลื่อนสายตาจ้องมองภาพสัตว์ที่เขียนไว้หลังฉาก นี่เป็นเรื่องเล่าที่เธอได้ยินเป็นครั้งแรก          

         “แล้วชายสองคนที่อยู่ด้านข้างล่ะ”    

          “คนที่ อืม ไม่ใช่สินะ ต้องเรียกหุ่นปั้น ตัวที่แต่งคาวบอยคือมาสเตอร์เรมิ น้องชายฝาแฝดของมาสเตอร์กิลเบอร์ต ส่วนอีกตัวที่ถือหอกคือพี่ชายของมาร่า ...ลุงของหนูไง“ 

ซาช่าสะดุ้งกับประโยคหลัง ณ เวลานี้เธอไม่อยากคิดเลยว่าพวกนั้นคือเครือญาติ เธอสนใจหุ่นปั้นของมาสเตอร์เรมินึกถึงภาพถ่ายที่แขวนไว้ตรงทางลงบันไดที่บ้านทูเกลูล่า เด็กผู้ชายคางบุ๋มที่ทำหน้าบึ้งตึง  เธอเผลอยกมือขึ้นแตะคางบุ๋มของตัวเอง จากนั้นจ้องหน้าราฟิคิให้เล่าต่อ    

          “คือ เอ่อ เชื่อกันว่า ก้อนทองบริสุทธิ์นั่นเป็นหัวใจของแม่ธรณี มีเพียงชิ้นเดียวอันเดียวในโลก ใครก็ตามที่คิดครอบครองต้องมีอันเป็นไป”  ราฟิคิปลายตาไปจับจ้องหัวกะโหลกที่เรียงรายอยู่แถวล่าง เพื่อให้ซาช่าเข้าใจ         

              “แล้วมาสเตอร์เรมิเกี่ยวข้องด้วยหหรือ”    

ราฟิคิหลับตาถอนหายใจลึก ๆ พยายามรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเนิ่นนาน  

          “ช่วงขุดเจาะเหมือง แรก ๆ มาสเตอร์อังซอจะมาควบคุมดูแลเอง บางครั้งก็มากันสองพ่อลูกคนพี่คนน้องสลับกันไปมา  ตอนหลัง ๆ ท่านให้ลูก ๆ มาควบคุมงานแทน นาน ๆ ท่านถึงจะแวะมาดู   วันเกิดเหตุขณะที่     มาสเตอร์เรมิ ดูแลคนงานอยู่ข้างนอก เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นจากข้างในอุโมงค์ เสียงร้องโอดโอยโหยหวนสะท้อนก้องออกมา  มาสเตอร์เรมิคว้าปืนลูกซองแล้ววิ่งเข้าไปในอุโมงค์  ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด   มาสเตอร์กิลเบอรตผู้พี่และคนงานจึงตามเข้าไปดู  ภาพที่เห็นก็คือ..”     

 

ราฟิคิหยุดก้มหน้า กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเล่าต่อ    

           ” มาสเดอร์กิลเบอร์ตเล่าว่า มันเป็นการมองสองภาพสองอารมณ์ไปพร้อม ๆ กัน  ภาพหนึ่งคือสภาพศพหกศพนอนอาบเลือดเกลื่อนพื้น กลิ่นเลือดคาวคลุ้งชวนอาเจียนต้องเอามือปิดปากไว้  อีกภาพที่ทำให้ต้องเบิกตาโพลงจนลูกตาแทบถลนออกมา และเผลออ้าปากค้างก็คือทองคำบริสุทธิ์ก้อนเท่าหัว ยิ่งอ้าปากกว้างเท่าไรกลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบก็ไหลทะลักเข้าปากเข้าจมูก  ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องโก่งคออาเจียน   ..มาสเตอร์เรมิถูกฟันหลายแผล พี่ชายของมาร่าถูกกระสุนเจาะกลางหน้าผาก  มาสเตอร์อังซอโศกเศร้ากับการสูญเสียลูกชายมากถึงกับสั่งปิดเหมือง ส่วนนายหญิงไอลีนก็เสียใจจนคลุ้มคลั่ง  แต่โชคดีที่ร่างทรงโคปาชวนให้มาร่วมปฏิบัติด้วย ตอนนี้นายหญิงก็เชื่อว่าวิญญาณของเรมิและคนอื่น ๆ ที่ตายผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับทองก้อนนั้น”    

          “คุณบอกว่ามีคนตายหกศพ แต่หัวกะโหลกที่วางไว้มีราวสิบอัน”  

          “นั่นภายหลังจ้ะ ใครก็ตามที่คิดจะขโมยทองนั่น ถึงจุดจบกันทุกคน”  

พลันก็ได้ยินเสียงฮือฮาจากข้างหลังเบา ๆ มีชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาไม่ได้แต่งกายหรือคลุมผ้าดำเหมือนคนอื่น ๆ  เขาใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาว กางเกงสีเทาซึ่งทำให้ดูดีกว่าคนอื่น ๆ ณ บริเวณนั้น    

          “เจเด็น หลานรัก มาได้เวลาพอดี ..ข่าวคราวข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”    

ซาช่าเห็นทุกคนล้อมวงฟังเขาแต่เธอไม่ได้ยินว่าเขาพูดเรื่องอะไร บังเกิดเสียงอือ อา แสดงความดีใจเป็นระยะ ๆ  จากนั้นก็มีชายรูปร่างแข็งแกร่งสองคนมาจับแขนทั้งสองข้างของเธอหิ้วปีกยกขึ้นพาไปยังห้องที่มีเตียงไม้หยาบ ๆ สองเตียงวางใกล้กัน เธอถูกจับกดให้นอนลง ซึ่งเธอก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเพราะอ่อนเพลียจนไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน ชายคนที่มาใหม่จัดตั้งอุปกรณ์บางอย่างอยู่ระหว่างสองเตียง  นายหญิงไอลีนถูกพามานอนเตียงอีกข้างหนึ่ง เธอร้องโอดโอยเบา ๆ เป็นระยะ ๆ    

          “นายหญิงทนเอาหน่อยนะครับ พิธีถ่ายโอนเลือดจะเริ่มขึ้นแล้ว ..เลือดที่พุ่งฉีดแรงของคนหนุ่มจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้แก่นายหญิงนะครับ”  

ซาช่าฟังด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก เหมือนมองเห็นความตายรออยู่ตรงหน้า ขณะที่เจเด็นถือเข็มแหลมใหญ่ในมือ และกำลังคลำหาเส้นเลือดบนแขนของเธอ เธอเหลือบไปเห็นหญิงแก่มองเธอและแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ  พลันใบหน้าเศร้า ๆ ของทาคิก็ลอยเข้ามาในหัว  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นซาช่ายังคงอยากเจอเขาแม้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ยอม  เธอรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายสะบัดแขนหลุด กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งสุดชีวิตไปตามทางที่เดินเข้ามา  

          “ปล่อยหล่อนไป  หนีได้ไม่พ้นขอบประตูหรอก” เสียงแหบพร่าของโคปาตะโกนลั่น  พลันเท้าที่ก้าววิ่งของซาช่าก็หยุดกึก เมื่อมีคนสองคนโผล่ออกมาจากซอกกำแพงข้างอุโมงค์ ถึงแม้จะมีเพียงแสงไฟสลัว ๆ เธอก็จำร่างผอมสูงนั้นได้ดี          

              “ทาคิ..โอ้.. ไม่ ไม่”    

ซาช่ากรีดร้องเสียงแหลม ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอทรุดฮวบลงกองกับพื้น  ทาคิถูกจับเอามือไพล่หลังแขนทั้งสองข้างถูกบิดอย่างแรงเขาทำหน้าเหยเกจนเผลอร้องโอ้ยออกมาด้วยความเจ็บปวด  เขาอยู่ในสภาพตกใจสุดขีดไม่แตกต่างไปจากซาช่า เขาไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น และไม่มีใครบอกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เขานึกถึงตอนที่เขากำลังนั่งรอซาช่าใกล้ตลาดจู่ ๆ ก็มีชายสองคนโผลมาจับตัวเขา สวมถุงดำคลุมหัวและพาขึ้นรถม้าจนได้มาอยู่ที่นี่  ตอนนี้เขาก็ได้แต่มองซาช่า ทั้งเขาและเธอต่างก็อยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน          

            “เอาละ ตอนนี้เธอมีทางเลือก ระหว่างชีวิตเพื่อนชายของเธอกับการยอมทำตามเสียแต่โดยดี” เสียงมาร่าดังอู้อี้ในหู แต่ซาช่าหูอื้อตาลายเกินกว่าจะสนใจอะไร มีมือแข็งแกร่งมาซ้อนร่างเธออุ้มไปวางไว้ที่เตียง เธอหมดเรี่ยวยวแรงที่จะขัดขืน  ได้ยินเสียงพึมพรำเบา ๆ ข้างหู

               “เพื่อนชายเธอจะปลอดภัยตราบใดที่เธอให้ความร่วมมือ”   

น้ำตาไหลรินเป็นสายลงข้างแก้ม รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นแขน เธอรู้สึกหายใจไม่สะดวก เรี่ยวแรงห่ายไปหมด จากนั้นเธอก็ดับวูบลงไม่รู้สึกอะไรอีกเลย   

บ่ายของวันนั้นเอง พวกเขาพาเธอมาส่งที่บ้าน ทั้ง ๆ ในสภาพปิดตาเหมือนตอนขาไป ราฟิคิเข้ามาส่งข่าวก่อนออกเดินทาง

           “ทาคิจะปลอดภัย  พวกเขาจะดูแล เรื่องน้ำ อาหาร ในช่วงรอดูอาการของนายหญิง เมื่อครอบเจ็ดวันแล้วหนูต้องมาอีก จะมีคนไปรับ ถ้าไม่มาทาคิจะมีปัญหา ขอร้องนะซาช่า ถ้าหนูให้ความร่วมมือ ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี แล้วพบกันใหม่นะ  โชคดีจ้ะ” 

 

กลับถึงห้องพักซาช่าก็ล้มตัวลงนอนหลับเหมือนตายด้วยความเพลีย  มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงจับกลุ่มคุยกันกระซิบกระซาบ   

          “ข้าไม่อยากลงมือเอง” เสียงลุงซาลิม    

          “ต้องช่วยกันสิ จะกลัวอะไร” เสียงที่เธอไม่คุ้นเคย         

            “เดี๋ยวพวกเราจะแวะมาอีกที แกเงียบไว้ก็แล้วกัน”  เสียงที่เธอไม่คุ้นเคย  จากนั้นก็เงียบไป เธอม่อยหลับต่อ นานเท่าไหร่ไม่รู้เธอฝันไปต่าง ๆ นา ๆ จนจับตันชนปลายไม่ถูก มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ เธอลังเลใจว่าจะเปิดดีไหม เมื่อเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งเธอจึงตัดสินใจลุกจากที่นอนไปเปิดประตู  

           “โอ๊ะ มาสเตอร์กิลเบอร์ต” เธออุทานด้วยความคาดไม่ถึง พลันความคิดบางอย่างแล่นเข้ามารบกวนที่สมอง เธอจึงวางท่าเย็นชากับเขา เธอแสร้งมองไปทางอื่น            

               “เออ ฉันขอโทษที่มาปลุก”  เขายื่นห่อกระดาษให้ กลิ่นหอมโชยของขนมทำเอาซาช่าน้ำลายแทบหก และเธอก็กำลังหิวจนท้องไส้แทบจะขาดอยู่แล้ว เธอเห็นเขาเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อแขน ซึ่งซาช่ารู้ดีว่าเขาหมายถึงทำไมคนใช้อย่างเธอจึงนอนตื่นสายจัง        

              “ฉันขอโทษค่ะ ฉันรู้สึกเพลียเลยหลับเพลินไปหน่อย”  

             “เธอสบายดีไหม”  

 ซาช่ามองเห็นแวววิตกบนใบหน้าของเขา เธอเกือบโพล่งบอกไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และเธอได้พบกับแม่ของเขาแต่เรื่องมันอาจจะยาวและฟังดูไม่น่าเชื่อถือ และอีกอย่างเขาคงไม่มีเวลาสนใจเพราะดูสีหน้าอิดโรยเหมือนคนนอนไม่หลับมานาม  

          “ฉันสบายดีค่ะ มีอะไรให้ทำหรือคะ”   

          “เออ ..ใช่สินะ ฉันมารบกวนเธอให้ไปที่บ้านหน่อย คุณหมออังเดรกำลังเดินทางมาเผื่อท่านต้องการคนช่วย”    

          “มาสเตอร์ผู้เฒ่าเป็นอะไร” แวววิตกฉายบนสีหน้าของเธอ  

          “ไม่สบายนิดหน่อย  โรคคนแก่มั้ง”

พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับ  ซาช่ารีบควักขนมออกมาจากถุงทานรองท้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนอนแล้วแต่งตัวเสียใหม่ และเดินมุ่งตรงไปยังบ้านใหญ่ทูเกลูล่า แต่จิตใจของเธอก็ล่องลอยทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และ เป็นห่วงทาคิ  




Create Date : 03 สิงหาคม 2558
Last Update : 3 สิงหาคม 2558 22:25:15 น.
Counter : 411 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 23
 

ซาช่ารู้สึกตัวเมื่อละอองน้ำเย็น ๆ ลอยมาปะทะ ผ้าคาดปิดตารัดแน่นทำให้ดวงตาทั้งคู่มืดสนิท  ข้อมือ ข้อเท้า  ถูกมัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ใครบางคนกำลังแบกร่างของเธอ  คงไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรนขัดขืน เธอจึงปล่อยตัวตามสบาย พยายามใช้ประสาทสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบข้าง   และรู้ว่าคนที่แบกเธอกำลังพยายามทรงตัวอย่างระมัดระว้งทุกก้าวย่าง ได้ยินเสียงน้ำไหลเบื้องล่างลึกลงไป

 

          ‘กำลังเดินบนสะพานแขวนข้ามแม่น้ำ’

 

เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสะพานแบบนี้ที่ไหน คำนวณจากระยะทาง แม่น้ำคงจะใหญ่พอสมควร และมีที่เดียวในแถบนี้ คือทูเกลูล่า   พอพ้นสะพานแขวน  เธอได้ยินเสียงฝีเท้าน่าจะมีอยู่สามคนด้วยกัน     ไม่นานร่างของเธอก็ถูกส่งให้ชายอีกคนแบก  ทางเดินเริ่มลาดชัน เหมือนกำลังขึ้นภูเขา เดินไปอีกไม่นานก็หยุด ได้ยินเสียงเปิดประตูเหล็ก  และปิดประตูตามเมื่อเดินผ่านเข้าไป ไม่นานกลิ่นอับ ๆ ก็โชยมาปะจมูกตามมาด้วยกลิ่นอับชื้น กลิ่นสนิม  กลิ่นควันจากน้ำมัน ไอร้อนลอยมาปะทะหน้าของเธอบางช่วง เสียงพรึบพรับของไฟที่กำลังลุกในขณะที่ก้าวย่างไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เธอเดาได้ว่าคนที่เดินนำหน้าถือคบเพลิงอยู่ในมือ  ไม่นานทุกคนก็หยุด แล้วเธอได้ยินเสียงพูดงึมงำ ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ตรงหน้าเธอ จากนั้นร่างของเธอก็ถูกยกลงวางพื้นที่ปูด้วยผ้ากลิ่นสาปอับ ๆ   เสียงฝีเท้ากลุ่มคนที่พาเธอมาก้าวห่างออกไป

 

          ‘นี่คงไม่ใช่การมาหาญาติแบบฉันท์มิตรหรอกนะ’ เธอคิด พลันเธอก็นึกถึงทาคิ เขาคงจะรอเธอเก้อ หรืออาจจะโกรธที่เธอผิดนัด เธอนึกภาพทาคิเดินก้มหน้าตอตกกลับบ้าน

 

          ‘ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องนั้น ตัวเองยังเอาไม่รอด ต้องหาทางหนีออกไปให้ได้’  

  

มาร่าเดินตรงไปหาผู่เฒ่ารูปร่างซูบผอมที่มองเห็นกระดูกบางที่นูนเด่นชัดเจน ผมขอดหยิกงอของเขาเป็นสีขาวโพลน หนวดเครายาวรุงรังก็สีขาวดุจเดียวกัน

 

          “ฉันพามาถึงนี่แล้วค่ะ ปู่”

 

ผู้ที่เธอเรียกว่าปู่ หันมาจ้องเขม็ง ใบหน้าอิดโรย ปีกจมูกบานกว้าง ปากงองุ้ม เพราะฟันที่หลุดร่วงไปหลายซี่  เบ้าตาใหญ่ลึก แต่ดวงตาสีเทาแข็งกร้าว

 

          “ดีมาก ”  เสียงที่เปร่งออกมาแหบพร่า ผู้เฒ่าหันหลังเดินมุ่งไปข้างหน้าแล้วหายเข้าไปในเงามืด  มาร่าเดินตามไป ไม่นานก็มาถึงพื้นที่เป็นลานกว้างใหญ่ กลิ่นเหม็นคาว กลิ่นอับชื้นลอยมาปะทะจมูก แต่เธอชาชินกับสิ่งเหล่านนี้เสียแล้ว แสงไฟจากคบเพลิงข้างผนังทำให้มองเห็นผู้คนได้ชัดเจน ซึ่งมีอยู่เกือบยี่สิบคน มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ต่างห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ตามแต่จะหาได้ ผู้ชายบางคนมีผ้าโพกศีรษะ ผู้หญิงบางคนใช้ผ้าสีดำคลุมยาวลงมาถึงไหล่ แต่ละคนผมเผ้าสกปรกรุงรัง ร่างกายซีดผอมเนื่องจากอาหารการกินไม่ค่อยสมบูรณ์อีกทั้งไม่ค่อยได้รับแสงแดด ใบหน้าอิดโรยเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกใด ๆ มีเพียงดวงตากลมโตเท่านั้นที่กลิ้งกรอกไปมาบ่งบอกว่าพวกเขายังมีความอยากรู้อยากเห็น สายตาทุกคู่หันมามองมาร่าเหมือนรอฟังเรื่องสำคัญ สำหรับพวกเขาแล้ว มาร่าเปรียบเสมือน  ‘เจ้าแห่งการสื่อสาร’

 

          “มาร่า หลานย่ากลับมาแล้วหรือ” เสียงแหบพร่าไร้พลังของหญิงแก่หง่อมทักทาย แล้วเธอก็มองซ้ายมองขวา  “ไหนล่ะ สายเลือดกิลเบอรตไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”  มาร่ามองไปรอบ ๆ มองสายตาที่จ้องมองเธออย่างภาคภูมิใจที่เธอได้รับหน้าที่ทำภารกิจที่สำคัญ

 

          “หญิงสาวนอนอยู่ข้างนอก” เธอพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำให้ได้ยินกันทุกคน  เกิดเสียงฮือฮาด้วยความดีใจ  หญิงแก่ที่เรียกคัวเองว่าย่า เดินตัวสั่นงกเงิ่นเข้าไปในซอกมืดข้างผนังซึ่งมีเตียงไม้หยาบ ๆ วางชิดผนัง มีเงาทะมึนของร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำ ส่งเสียงร้องครวญครางเบา ๆ เป็นระยะ ๆ   หญิงแก่หยุดยืนอยู่ข้างเตียง ท่ามกลางความมืดสายตาที่เธอมองร่างนั้นก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี

 

          “นายหญิง   บุตรสาวของกิลเบอรตมาถึงแล้ว”

 

ผ้าห่มถูกกระชากออกอย่างแรง เผยให้เห็นใบหน้าที่มีแผลพุพอง กลิ่นคาวของน้ำเหลืองลอยครุ้ง แววตาแดงก่ำ เหมือนคนกำลังโกรธจัด

 

          “โคปาอยู่ไหน  จะเริ่มพิธีตอนไหน” เสียงแหลมสูงแหบพร่าของเธอ ทำให้หญิงแก่ที่มาบอกข่าวตัวสั่นงันงก รีบเดินออกไป ไม่นาน ชายแก่โคปาก็เดินเข้ามา

 

          “อา..นายหญิง .เราจะทำพิธีในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้”

 

          “ทำไมต้องรอพรุ่งนี้เช้า รู้ไหมว่าฉันเจ็บปวดแสบร้อนทรมานแค่ไหน กับโรคบ้าบอนี่”

 

          “ให้เจ้าของเลือดได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนโดยไม่ทานข้าวทานน้ำ และในช่วงเวลาตอนเช้า เลือดจะไหลเวียนดีกว่าเวลาอื่น”  ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

          “เอา  เอางั้นก็ได้” พูดจบหญิงแก่ก็เหวี่ยงผ้าขึ้นคลุมโปง ส่งเสียงร้องครวญครางต่อไป แต่ในใจของนางเต็มไปด้วยความหวัง  

 

          “แผลพุพองเน่าเหม็นเกิดจากระบบเลือดและต่อมน้ำเหลืองไม่ดี โอกาสหายมีทางเดียว คือต้องถ่ายเลือดที่เน่าเสียทิ้งไป และเลือดที่จะเอามาแทนได้ต้องเป็นสายเลือดเดียวกัน ..มันไม่เพียงแต่หายเท่านั้น มันยังทำให้แข็งแรงและอ่อนเยาว์ลงด้วย”  คำพูดของโคปาช่างจุดประกายความหวังของนางเหลือเกิน

 

คืนนั้นเมื่อคบเพลิงทุกดวงดับลง ทุกคนงีบหลับ ความเงียบเข้ามาแทนที่ หญิงแก่อดรนทนไม่ไหว อยากจะเห็นหญิงสาวผู้ซึ่งเชื่อว่าจะมาช่วยรักษา ให้พลังใหม่ และชีวิตใหม่แก่นาง  นางจึงค่อย ๆ ตะเกียกตะกายด้วยความเจ็บปวดทรมานลุกจากเตียง แล้วเดินมุ่งไปห้องข้างนอก  นางเห็นเงาทะมึนนอนขดกองอยู่บนพื้น นางเดินเข้าไปชะโงกหน้าดูใกล้ ๆ สายเลือดของกิลเบอรต นางย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ เอื้อมมือที่มีแผลพุพองออกไป พลันนางมองเห็นความเคลื่อนไหวในความมืดร่างที่นอนอยู่เบือนหน้าหนี

 

          “สวัสดียามราตรีจ้ะสาวน้อย  ขอโทษนะที่คนของฉันต้อนรับเธอแบบนี้”

 

ซาช่าหัวใจเต้นตึก ๆ เนื้อตัวสั่นน้อย ๆ ด้วยความกลัว ประกอบกับกลิ่นคาวน้ำเหลืองทำให้เธอรู้สึกคลื่นใส้ แต่เธอก็พยายามบังคับตัวเองให้นอนแน่นิ่ง

 

          “ฉันดีใจที่กิลเบอรตมีลูก ..หรือจะเรียกอีกอย่างเธอก็คือ..แต่เอ้อช่างเถอะมันกระดากปากที่จะเอ่ยออกมา มาร่าเคยบอกฉันว่าเธอเป็นเด็กสาวที่น่ารัก แข็งแรงราวกับลูกม้า สายเลือดของเกลมังช่างเข้มข้นเหลือเกิน”

 ซาช่าอยากตะโกนออกให้ดังสุดเสียงว่า  ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ลูกของใครทั้งนั้น แต่ก็คงไร้ประโยชน์ เธอจึงเงียบ

 

          “แล้ว ค..คุณเป็นใคร”  ซาช่าพยายามข่มความกลัว แล้วถามออกไป

 

          “เออ  นั่นสินะ เราน่าจะได้แนะนำให้รู้จักกันและกันอย่างเป็นทางการ ..แต่ตอนนี้ อย่าดีกว่า”  แล้วมือที่มีแผลพุพอง น้ำเหลืองแห้งเกรอะตามง่ามมือก็ยื่นไปลูบหัวซาช่า พลันก็ต้องรู้สึกเจ็บแปลบที่เล็บอันแข็งแกร่งของนางกำลังจิกลงบนหนังศีรษะของเธอ   แต่สัญชาตญาณเตือนว่านี่เป็นลางร้าย เธอพยามยามตะเกียกตะกายถอยห่างออกไป

 

          “ไม่ต้องดิ้นรนหนีหรอกนะหนูน้อย ..เธอหนีไปไหนไม่พ้นหรอก  ที่นี่มีขอบเขต  มิดชิด ต่อให้เธอเป็นแมลงก็ยังออกไปได้ยาก“

 ผ้าที่ปิดตาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ซาช่าพยายามกลั้นสะอื้น เธอได้ยินเสียงหญิงแก่หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

           “จะบอกให้นะ อะไรก็มาขัดขวางฉันไม่ได้ ฉันสู้อุตส่าห์ทนความยากลำบากบำเพ็ญเพียรมานานนับสิบปี เพื่อให้ตัวเองได้อยู่เหนือสิ่งอื่นใดในจักรวาล ไม่ต้องมีสิ่งใดนำมาซึ่งความสูญเสีย มาตอกย้ำความเจ็บปวดกำหนดเวลาเป็นเวลาตาย  ฉันจะเป็นผู้กำหนดมันเอง  หวังว่าเธอคงเสียสละสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ให้ฉันบ้างนะ “

 

          “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ซาช่าถามออกไปด้วยเสียงเครือเล็กน้อย

 

          “ฮึ...จะว่าไปแล้วเธอก็รู้ไร้ค่าสิ้นดี  พ้นจากท้องแม่ไม่ถูกโยนให้เสือสิงห์กินก็บุญโขแล้ว  โชคดีนะที่กิลเบอรตเขาเมตตา และก็พลอยเป็นความโชคดีของฉันด้วย”   ทุกคำพูดของนางเหมือนเข็มเล็กแหลมนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเธอ

 

 “ ไอ้โรคบ้า ๆ ที่มันเกิดกับฉันนี่ มันทรมานแค่ไหน  มันแสบคันทั้งตัว.. ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด แล้วหญิงแก่ก็ลุกเดินจากไป ทิ้งซาช่าให้นอนหนาวเหน็บพนพื้นคนเดียว เธอพยายามคิดประติดประต่อเรื่องราว

           มาร่าไปเยี่ยมญาติบ่อย ๆ  

          มาสเตอรอังซออยู่บ้านคนเดียว  

นายผู้หญิงหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ลี้ลับจนหนีออกจากบ้านไป  

          ฉันดีใจที่กิลเบอรตมีลูก  

          สายเลือดของเกลมัง

 

           ‘ภาพครอบครัวเกลมัง’ เธอนึกถึงสุภาพสตรีน่ารักในภาพที่เธอเห็นในบ้านทูเกลูล่า ‘ที่แท้หญิงแก่คนนี้ก็คือนายหญิงแม่บ้านเทเลกูล่าภรรยาของมาสเตอรอังซอ’ 

  

ซาช่าเผลอหลับไปตอนใกล้สว่าง จริง ๆ แล้วเธอไม่รู้เวลาด้วยซ้ำว่าตอนไหนมืดตอนไหนสว่าง เพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย อาศัยฟังสรรพสิ่งรอบ ๆ ตัว พลันก็มีมือใหญ่เทอะทะแข็งแรงมาแก้เชือกมัดที่ข้อเท้า แล้วดึงเธอลุกขึ้น ซาช่าเสียการทรงตัวเซถลาไปเล็กน้อย  มือนั้นกระชากแขนเธอให้เดินตาม กี่ชั่วโมงแล้วที่เธอไม่ได้ยืดเส้นยืดสายเลย เชือกที่รัดแน่นทำให้แข้งขาชาทั้งสองข้าง เวลาเดินรู้สึกเสียวแปลบ ๆ ซาช่าพยายามก้าวย่างอย่างระมัดระวังและเธอก็ได้รู้ว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าของเธอขรุขระ เธอเดินเหยียบก้อนหินเล็ก ๆ และมีไม้แผ่นเล็กวางไว้เป็นระยะ ๆ เธอนึกถึงรางรถไฟที่เคยเคยเห็นในหนังสือเรียน  ไอร้อนจากเปลวเพลิง กลิ่นควันลอยปะทะจมูกเป็นระยะ ๆ   เดินไปได้ไม่นานมือใหญ่เทอะทะนั่นก็กดไหล่เธออย่างแรงให้นั่งลง จากนั้นเสียงฝีเท้าของผู้ที่นำเธอมาก็ถอยห่างออกไป  ความเงียบเข้ามาแทนที่ เงียบจนเธอได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง ตัวเธอสั่นน้อย ๆ ด้วยความกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าที่เธอไม่สามรถจะมองเห็นได้  เธอได้ยินเสียงเท้าย่างก้าวเบา ๆ ก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ มือเล็ก ทว่าทรงพลังจับแขนทั้งสองข้างของเธอให้ลุกขึ้นแล้วหมุนให้กลับหลังหัน แล้วกดเธอให้นั่งในท่าคุกเข่า   

          “แก้ผ้าผูกตาออก”  เสียงแหบพร่าของโคปาออกคำสั่ง  มือเล็กบางเบาแก้ปมผ้าตามคำสั่ง  ซาช่าเดาได้ว่าเป็นมือผู้หญิง แต่ไม่ใช่มือมาร่าแน่นอน  พอซาช่าปรับสายตาให้คุ้นเคยกับสิ่งรอบตัว เธอต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

           ‘ทอง’    

บนแท่นหินตรงหน้ามีทองคำบริสุทธิ์เนื้อละเอียดคล้ายฝุนละอองบางเบาเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อน ขนาดใหญ่เท่าหัวคนที่ตัวโต  มันเรืองแสงประกายเหลืองอร่ามยามต้องแสงไฟจากคบเพลิง  เธอดื่มด่ำกับประกายทองไม่นานก็ต้องรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อมองรอบ ๆ ฐานล่างของแท่นวางที่มีหัวกะโหลกวางเรียงเป็นแถวราว ๆ สิบอัน แต่ละอันมีชื่อติดไว้ด้านหน้า  สองข้างของแท่นเป็นหุ่นปั้นดินหยาบ ๆ ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนปกติ ตัวหนึ่งแต่งตัวแบบคาวบอยตะวันตกตั้งแต่หัวจรดเท้า ดึงหมวกลงมาถึงครึ่งหน้า มือทั้งสองถือปึนลูกซองสั้นในท่าเตรียมพร้อมยิง  อีกตัวเป็นชาวพื้นเมืองใส่ผ้าเตี่ยวผืนเดียว  นัยน์ตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง ในมือถือหอกในท่ากำลังจะจ้วงแทงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า   ทว่าซาช่าสนใจชื่อของหุ่นคาวบอย

 

          ‘เรมิ (Remi)’  เธอคุ้นหูกับชื่อนี้มาก แต่ตอนนี้เธอคิดไม่ออกและไม่มีเวลาคิด  ข้างหลังแท่นยังมีหุ่นปั้นคลุมด้วยผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ในท่ายืนก้มหน้า แต่มองไม่เห็นใบหน้าเพราะผ้าคลุมปิดเกือบหมด  หลังสุดเป็นผนังอุโมงค์เต็มไปด้วยรอยเจาะตามซอกหินปนดิน มีภาพค้างคาวกางปีกเน้นดวงตาโตที่นูนเด่นเหมือนมันกำลังจ้องมองเหยื่อ แยกเขี้ยวเห็นฟันแหลมคมกริบ  ถัดจากค้างคาวเป็นภาพหมาป่าสีดำมันทำท่าเหมือนกำลังย่องเข้าหาเหยื่อ ดวงตาสีเขียวของมันจ้องเขม็งแน่วแน่  ตามด้วยภาพเสือโคร่ง สิงโต และหมี ทุกตัวอยู่ในท่ากำลังจะตะครุบเหยื่อ ซาช่ารู้สึกเย็บวาบไปทั้งตัว หญิงคนที่แก้ผ้าผูกตาให้เธอเดินก้มหน้าถอยไปนั่งอยู่รวมกลุ่มกับผู้คนที่แต่งกายคลุมผ้าดำที่นั่งกันเป็นแถวเงียบกริบอยู่ข้างหลังเธอ  ชายแก่ที่ดูน่ากลัว เดินเข้ามาใกล้ในมือถือเหยือกและชามดินปั้น เขาวางชามดินไว้ฐานล่างสุดจากนั้นยกเหยือกขึ้นเทน้ำราดก้อนทองคำ น้ำไหลรินแตกกระเซ็นกระสายผ่านหัวกระโหลกแถวล่างไหลลงสู่ชามดิน  เขายกชามดินขึ้นจ่อติดปากซาช่า  

          “เจ้าย่างกายเข้ามา พร้อมกับกลิ่นอายความหายนะ  น้ำศักดิ์สิทธ์นี่จะช่วยชำระล้างจิตใจเจ้า..ดื่มซะ”   

 




Create Date : 03 มิถุนายน 2558
Last Update : 3 มิถุนายน 2558 22:47:32 น.
Counter : 374 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 22

 พักหลัง ๆ มา มาร่ามักมีข้ออ้างบ่อยขึ้น  ไปทำธุระบ้าง ไปเยี่ยมญาติบ้าง หรือไม่ก็แวะไปหาโทนิ บางทีก็บ่นเหน็ดเหนือย  ซาช่าแทบจะรับงานเธอมาเกือบทั้งหมด ตอนนี้เธอโตเป็นสาวแล้ว  รูปร่างสูงใหญ่ ลำแขนทั้งสองข้างแข็งแรง เธอก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนคนรับใช้ทั่ว ๆ ไปเพื่อแลกกับอาหารและที่นอนอุ่น ๆ  หน้าที่จ่ายตลาดก็ตกเป็นของเธอ แต่เธอก็ชอบเพราะจะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง  เดี๋ยวนี้มีรถม้ารับจ้างขนส่งสินค้าวิ่งผ่านปากทางเข้าบ้านทูเกลูล่า   บางวันโชคดีเธอก็ได้โดยสารรถรับจ้าง วันไหนไม่มีรถม้าผ่านก็ต้องเดินเท้าเหมือนตอนสมัยเป็นนักเรียน

 

ตลาดชุมชนใกล้โรงเรียนเก่าของเธอเปลี่ยนแปลงไปมาก มันถูกเรียกว่าตลาด มินนาอา มีสินค้าแบกะดินของชาวพื้นเมืองวางขายมากมาย  บริเวณรอบ ๆ ตลาดมีร้านค้าของคนขาว  ชาวแอฟริกาเรียกชาวตะวันตกว่าคนขาว เรียกตนเองว่าคนดำ จากตำนานของเผ่าซูลูที่ว่า ผู้สร้างโลกได้สร้างมนุษย์  คนดำ กับคนขาว และมอบหมายงานบนดินให้คนดำ งานทางทะเลให้คนขาว และยังได้กำหนดให้คนดำมีหอก ทวน เป็นอาวุธในขณะที่คนขาวมีปืน และไม่แปลกที่ดูเหมือนคนขาวจะควบคุมเศรษฐกิจของพรีทอเรียหรืออาจจะเกือบทั้งประเทศ    มีร้านของชาวอินเดียปะปนอยู่บ้าง   และยังมีร้านชาวจีนที่เธอชอบไปเดินดูสินค้า นอกจากจะขายของชำทั่ว ๆ ไปแล้ว ยังมีพวกเครื่องเทศ อาหารเส้นผลิตจากแป้ง ชารสดี ผักดองเค็มหลากหลายชนิด  และเธอยังชอบฟังสำเนียงแปล่งหูของเถ้าแก่เจ้าของร้าน  วันนี้เธอตั้งใจจะมาซื้อไข่ไก่สดกับเส้นหมี่ถั่วเหลือง  เธอเดินดูสิ่งของหน้าร้านแต่ไม่เห็นเจ้าของร้าน  เธอจึงเดินเข้าไปข้างใน มองเห็นหลังชายหนุ่มร่างผอมสูงกำลังจัดไข่ไก่ลงในตะกร้าไม้ไผ่

 

          “หวัดดีค่ะ  ขอไข่ไก่ครึ่งโหลค่ะ”  พูดจบเธอก็ยืนรอ แต่ชายคนนั้นก็ยังคงทำงานต่อโดยไม่หันมาสนใจเธอ    

          “เฮ้ คุณ  ฉันต้องการซื้อไข่ไก่ครึ่งโหล ช่วยส่งให้ด้วยค่ะ”    

พอจัดเรียงเสร็จ เขาก็นับซ้ำอีกรอบ ซาช่ารู้สึกโมโหที่คนขายของไม่สนใจลูกค้า เธอจึงเดินเข้าไปหา    

          “นี่คุณ ไม่ได้ยินหรอกหรือ ฉันตะโกนสั่งไข่ตั้งสองครั้ง...”    

          “อะ..ขอโทษ   ผมไม่ใช่เจ้าของร้าน”   เขาพูดพร้อมกับหันมามองเธอใบหน้าซีดเซียวของเขายิ้มแหย ๆ  ซาช่ารู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกใจจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ความซาบซ่านแผ่ไปทั่วร่าง เหมือนเคยรู้จักเขามาก่อน อาจจะในฝันหรือจินตนาการ  ตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเขาตาไม่กระพิบ  เขาอยู่ในจำพวกเดียวกันกับเธอ    แต่ก็ดูโดดเด่น รูปร่างผอมสูง หน้าตาคมคาย จมูกแหลมโด่ง นัยตาเจือสีเขียวนิด ๆ ขนตายาวเหยียดตรง ผมหยักศก ผิวสีแทน  ภาพลักษณ์ภายนอกดูเปราะบางเหลือเกิน  ซาช่าจ้องมองลึกลงไปในดวงตาทั้งคู่ของเขา  มันเป็นสายตาที่ว่างเปล่า ดูใสซื่อ  ออกไปทางเฉื่อยชาไม่ต่างกับบุคลิกภายนอกของเขา  ตรงข้ามกับเธอที่รู้สึกร้อนวูบวาบเลือดฉีดไปทั่วร่าง ม่านตาขยายโตด้วยความตื่นเต้น  และมีบางอย่างที่สะกิดใจเธอ  

           ‘เคยเห็นแววตาอย่างนี้ที่ไหนนะ’       

จังหวะนั้นเองชายวัยกลางคนผิวเหลืองตาเฉียงก็เดินเข้ามา   

          “ทั้งหมกท่าวหร่าย”    

          “สามสิบฟองครับ”     

เถ้าแก่ยื่นเงินให้ เขารับมันมานับคร่าว ๆ กล่าวคำขอบคุณและเดินออกจากร้านไป  ซาช่ารู้สึกผิดหวัง เขาทำเหมือนกับไม่มีเธออยู่ตรงนั้น   เธอชะเง้อมองตามจนลับตา  เถ้าแก่เจ้าของร้านทำเสียงกระแอมขัดจังหวะ    

          “นี่..นังหนู..สงใจเขาเหรอ”    

          “เอ่อ ..ฉัน..พูดไม่ดีกับเขา เพราะคิดว่าเขาเป็นคนใช้ในร้าน”   

          “อ๋ายย!  ร้านฉันไม่มีคงใช้หรอก ไม่เหมือนพวกฝาหรั่งเขา ฉันกักเมียฉันทำเองทุกอย่างเลย”  

            “เออ..เถ้าแก่ หนูขอซื้อไข่ครึ่งโหลค่ะ..เอ่อ..“   เจ้าของร้านหยิบไข่ใส่ถุงกระดาษแล้วยื่นให้ เธอรับมาแต่ยังมีท่าทีลังเล “เอ่อ..เขามาส่งไข่ทุกวันเหรอคะ”  

            “คาย  ทาคิเหรอ   เขามาอาทิตย์ละครั้งนา”    

            “ปกติแล้วเขาจะมาวันไหนคะ”    

            “ต้งสัปดาห์ ไม่จังก็อังคาร ”      

ซาช่าอยากจะถามต่อว่าเขาอาศัยอยู่แถวไหน บังเอิญมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เธอจึงรีบจ่ายเงินและออกจากร้านไป  ขณะยืนรอรถม้าโดยสารใจเธอร้อนรนเกินกว่าจะอยู่นิ่ง ๆ ได้ เธอจึงเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่พองโต ระหว่างทางยังเผลอยิ้มคนเดียว    

‘อย่างน้อยวันนี้ก็ประหยัดเงินไปหนึ่งแรนด์ ... เขาชื่อทาคิ’    

ขณะเดินเข้าบ้านเธอมองเห็นรถโคชสีดำจอดอยู่หน้าบ้านใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วที่มาสเตอรกิลเบอรตไม่ได้แวะมา แต่เธอก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องของพวกนายจ้าง  เธอรีบ ไปทำงานที่โรงครัวตามปกติ  พักหลัง ๆ มาเธอสังเกตเห็นมาร่าใบหน้าตรึงเครียดบ่อย ๆ  บางครั้งก็คุยกับซาลิมด้วยเสียงกระซิบกระซาบ  บางคืนก็คุยกันจนดึกดื่น และมาร่าก็ไปเยี่ยมญาติบ่อยขึ้น คงเป็นเพราะมีเธอทำงานแทน มาร่าจึงไปไหนมาไหนได้สะดวก   ทุกครั้งที่มาร่าไปก็จะเจียดเอาของกินใส่ย่ามไปด้วย   มาสเตอรกิลเบอรตแวะมาที่กระท่อมก่อนกลับ ท่าทางเขาดูอ่อนเพลีย และเมื่อยล้า เขาเดินเข้ามาหาเธอในห้องครัว ซึ่งเธอกำลังสาละวนอยู่กับการล้างผัก เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วกวาดสายตามองเธอหัวจรดเท้า   

            “หวัดดี ซาช่า อืม..โตเป็นสาวแล้วสินะ”    

กลิ่นแอลกอฮอลอ่อน ๆ โชยมาปะจมูก   เธอก้มหน้าหลบสายตาเขา เพราะรู้สึกร้อนวูบที่หน้าเมื่อมีคนทักว่าโตเป็นสาว   

          “หน้าตาสวยดีนี่ ..เออ..ฉันมีลูกชายแล้วนะ ชื่อ แบริตอนนี้อายุ 4 ขวบแล้ว”  เขาพูดเสียงอ้อแอ้นิดหน่อย มือที่กำลังล้างผักของซาช่าหยุดกึก ความรู้สึกอิจฉาผ่านแว๊บเข้ามา   ‘เขามาบอกเราทำไม’  จากนั้นเธอก็พยายามปลอบใจตัวเอง ‘เด็กคนนั้นโชคดีกว่าเรา เฮ้อ’ แล้วเธอก็ก้มหน้าทำงานต่อ  

 

กว่าจะถึงวันจันทร์มันช่างนานเหลือเกิน ตอนนี้เธอหันมาเอาใจใส่ตัวเองมากขึ้น ส่องกระจกบ่อยครั้ง บางเวลาก็เผลอยิ้มคนเดียว  เธอพูดคุยหยอกล้อเจ้าซีโรหัวเราะเริงร่า เป็นเสียงหัวเราะที่กังวานเจือปนด้วยความสุข  แต่หารู้ไม่ว่ามาร่าเฝ้าจับตามองอยู่    

วันนี้หลังจากช่วยมาร่าทำงานบ้านเสร็จแล้ว ซาช่าแต่งตัวให้ดูดีที่สุด  แล้วไปตลาด มินนาอา  เธอออกไปได้ไม่นานมาร่าก็มีธุระต้องออกจากบ้านเช่นกัน   เธอจับจ่ายซื้อของอย่างรวดเร็ว  จนไม่มีเวลาสังเกตดูบรรยากาศทั่ว ๆ ไปที่ผู้คนจับกลุ่มพูดคุยแบบกระซิบกระซาบ ใบหน้าแฝงด้วยแวววิตก  เมื่อได้สิ่งของครบแล้วเธอรีบเดินตรงไปร้านเถ้าแก่  และต้องลิงโลดใจสุด ๆ ที่เห็น ทาคินั่งอยู่หน้าร้าน สายตาของเขากำลังเหม่อมองไปทางอื่น 

            “หวัดดี  จำฉันได้ไหม”     

เขาหันหน้ามาช้า ๆ สายตายังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม ใบหน้าปราศจากความยินดียินร้าย    

            “ฉันชื่อซาช่า  เธอชื่ออะไร”  เธอถามรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น    

            “ซาช่าเหรอ   ชื่อของเธอเป็นภาษาฝรั่งเศสนี่”  เขาจ้องมองเธอเหมือนจะมองหาอะไรสักอย่างที่ติดอยู่บนใบหน้า   “พ่อของเธอเป็นชาวฝรั่งเศสเหรอ”   

            “เออ..อา ..ฉันไมรู้  คือ  อ่า  ฉัน  ไม่มีพ่อ”  เธอก้มต่ำมองพื้น 

            “โอ๊ะ  ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ  ที่ถามคำถามโง่ ๆ แบบนั้น..คือ..เอ่อ..ผมก็ไม่มีพ่อเหมือนกัน”    

ซาช่าเงยหน้าขึ้น ทั้งสองสบตากัน จ้องมองซึ่งกันและกันแล้วหัวเราะ    

            “แล้วเธออยู่กับใครล่ะ” เธอยิงคำถามต่อ   

            “แม่  อยู่กับแม่มาตั้งแต่เกิด  เธอล่ะ”    

เขามีแม่ แต่เธอไม่มีใครเลย อารมณ์ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องครอบครัวที่เธอโหยหามาตลอดถาโถมเข้ามาอย่างแรงจนสุดจะต้านธารน้ำตาที่เอ่อล้นทะลักออกมา เธอกลั้นสะอื้นเบา ๆ พูดไม่ออกได้แต่ส่ายหน้า ทาคิยื่นมือมาโอบไหล่เธอมืออีกข้างลูบที่ตันแขนเบา ๆ ซาช่าสุดจะกลั้นเธอซบหน้าลงบนไหล่ของเขา มือทั้งสองสรวมกอดเขาไว้แน่นปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย  เธอกำลังร้องไห้ทว่ามันเป็นความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่กระแสเลือดที่ไหลเวียนบนเรือนร่าง มันเหมือนเธอเอื้อมถึงสิ่งที่พยายามไขว่คว้าหา  เติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า เธอหลับตาดื่มด่ำกับความรู้สึกไม่นานก็ผละออกจากเขา เอามือปาดน้ำตา แล้วหัวเราะ 

             “ขอโทษนะที่แสดงอารมณ์งี่เง่าออกมาให้เธอเห็น ทั้ง ๆ ที่เพิ่งพบเธอ”  

            “ผมชื่อทาคิ”    

แล้วท้งสองก็เดินคุยเคียงคู่กันไป  ภาพหนุ่มสาวเลือดผสมเผ่าพันธ์อีกกลุ่มที่พบเห็นไม่บ่อยนักในแถบนั้นจึงเป็นเป้าสายตาของผู้คนในตลาด  สีหน้าผู้คนที่มองเธอต่างแสดงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป  

 

            “ฉันไม่มีเพื่อนเลย เออมีตัวหนึ่งที่ฉันรักมาก มันชื่อซีโร” ทาคิทำหน้านิ่วเชิงถาม “ตัวมันใหญ่มาก ตอนนี้มันแก่เป็นคุณลุงแล้ว  อืม..จริง ๆ แล้วฉันไม่ใช่เจ้าของมันหรอก มันเป็นของนาย ”

               “แอส อี แอร์โอ เป  ซีโร (sirop)  แปลว่า น้ำเชื่อม ชื่อหมาก็เป็นภาษาฝรั่งเศส แสดงว่าเจ้านายของเธอ..”    

            “ลุงซาลิมเคยบอกว่า พวกเขามาจากเมืองที่เจริญทางยุโรป  มาสเตอรกิลเบอรต บางทีก็เรียก ยีแบร  แล้ว  เธอเรียนภาษานี้มาจากไหน”   

            “กับมิชชันนารีที่โบสถ์”      

            “อยู่ระดับไหนล่ะ”    

“พอสื่อสารเอาตัวรอดได้..แต่ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้หรอก  เธอล่ะ”    

“ฉันแย่หน่อย  ออกจากโรงเรียนกลางครัน พออ่านออกเขียนได้” ซาช่าก้มหน้าเศร้า    

“ผมว่า..เออ..เราคุยเรื่องอื่นดีกว่า”    

“วันแรกที่เจอเธอ ฉันคิดว่าเธอคงเป็นแรงงานของร้านเถ้าแก่ แต่ก็แปลกใจที่เห็นเธอผอมบาง ดูไม่ค่อยแข็งแรง คงไม่มีใครอยากจ้าง”    

             “แล้วเธอล่ะ ตัวใหญ่ มือ แขนก็ใหญ่ เป็นแรงงานในไร่แน่เลย” ทาคิทำหน้าล้อเลียน 

            “ดีกว่านั้นย่ะ ฉันทำงานบ้าน”   

แล้วทั้งสองก็หัวเราะ ซาช่าอยากหยุดเวลา หยุดโลกไว้ตรงนี้ ไม่อยากต้องจากเขาไป ไม่อยากกลับไปเจอสภาพเดิม ๆ ที่เธอเป็นอยู่    

            “เธอเคยอยากรู้ไหมว่าใครเป็นพ่อ แม่” ทาคิถามแต่เบือนหน้าไปทางอื่น   

            “ที่สุดในโลก  แต่ก็ดูไร้วี่แวว  เธอล่ะรู้ไหมว่าใครเป็นพ่อ”  

            “แม่ไม่ยอมปริปากพูดเรื่องนี้  เวลาถามแม่ก็จะเอาแต่ร้องไห้” เขาก้มหน้าทำท่าจะร้องไห้ “ผมดีใจที่เจอคนที่เหมือนผม”   

“เราเป็นกลุ่มนอกรีด เป็นสิ่งประจานความเสื่อมของจิตใจคน” ซาช่าพยายามย้ำเตือนสถานะของตนเอง  

“แต่มิชชันนารีซินเธียบอกเสมอว่า มนุษย์เรามีความเท่าเทียมกัน พระเจ้ารักทุกชีวิตเท่าเทียมกัน”  ทาคิพูดแบบไม่ค่อยแน่ใจ    

“แล้วพระเจ้าไปอยู่เสียที่ไหนล่ะทำไมไม่มาดูพวกเรา”    

“เธอไม่มีศาสนาเหรอ”    

“มีเวลาสนใจอะไรเสียที่ไหนล่ะ ตั้งแต่จำความได้ฉันก็ทำแต่งานเพื่อแลกกับการมีกิน มีที่หลับนอน” น้ำเสียงของซาช่าดูเอาจริงเอาจัง ทาคิเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบคุยเรื่องอื่น    

            “เออ..ทุกเช้าวันอาทิตย์  แถวแคปปิตอลพารคห่างจากตลาดไปไม่ไกล  จะเป็นถนนดนเดิน มีกิจกรรมให้ชมหลายอย่าง  สนใจไหม?”    

            “เช่นอะไรบ้าง”    

            “ขายสินค้าพื้นเมือง  อาหารการกิน  มีดนตรี และคณะนักร้องประสานเสียง”   

            “ว้าว! เยี่ยมเลย  ฉันยังไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย”    

            “งั้นเจอกันเช้าวันอาทิตย์นะ”  

 

พอกลับถึงบ้าน ซาช่ามองเห็นรถม้าของมาสเตอรกิลเบอรตจอดที่หน้าบ้านใหญ่อีกครั้ง รู้แปลกใจนิดหน่อยที่พักหลังเขากลับบ้านบ่อยขึ้น แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงม้าควบออกไป   วันนี้มาร่าไม่อยู่บ้านอีกเช่นเคย ส่วนซาลิมก็กำลังทำความสะอาดคอกม้า  ตั้งแต่โทนิออกเรือนไป พักหลัง ๆ รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเปลี่ยนไป ทุกคนเหมือนมีความลับต่อกัน มีเวลาพูดคุยกันน้อยลง  แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเก็บมาคิดให้รกสมอง เพราะเธอมีทาคิให้คิดถึงอยู่ทั้งคน 

            ‘สักวันหนึ่งคงได้มีโอกาสเจอแม่ของเขา’  ซาช่าแอบยิ้มคนเดียว  

ลุงซาลิมเดินมาบอกว่า มาร่าไปเยี่ยมญาติ   เธอถอนหายใจนั่นหมายความว่าเธอต้องทำงานบ้านทั้งหมด  ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นมาร่าไปบ่อย ๆ บางครั้งซาลิมก็ไปด้วย แม้แต่โทนิก็เคยไป และทุกครั้งที่กลับมาทั้งมาร่าและซาลิมมีเรื่องต้องคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ  

            ‘ถ้ามาสเตอรกิลเบอรตมาถามหาให้บอกว่าฉันไปตลาด’   มาร่าเคยสั่งเสียไว้ แต่เธอก็ไม่เคยอยากรู้เลยว่าพวกเขาไปที่ไหนกัน  

 

ทันทีที่มาร่ากลับมาถึงกระท่อมเธอรีบตามหาซาลิม ทั้งคู่มีเรื่องต้องถกกันอีก แต่คราวนี้ถถกันนาน และบางครั้งซาลิมก็หันมาทางเธอ เหมือนมีเธออยู่ในหัวข้อสนทนาด้วย  หรือว่าเราคิดไปเอง  และก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นในวันต่อมาเมื่อมาร่าบอกว่าจะพาเธอไปเยี่มญาติด้วย  

ก่อนจะถึงวันนัด ซาช่าตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ ใจว้าวุ่นกระสับกระส่ายทั้งคืน พอเผลอหลับไปก็ฝันร้าย ในฝัน เธอเดินฝ่าความมืดมิด ได้ยินเสียงน้ำไหล จอก จอก  กลิ่นสาปอับ ๆ  เสียงพูดคุยกันงึมงำแต่จับใจความไม่ได้ พลันมีอะไรบางอย่างสัมผัสที่แขนของเธอ พอหันไปมองก็พบกับมือเหี่ยวย่นที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเหมือนมือผี เธอตกใจร้องกรี๊ดจนสะดุ้งตื่น หัวใจยังคงเต้นตึก ๆ  

            “ฝันร้าย  เราฝันไป”  เธอพยายามรวบรวมสติ    

เธอรีบลุกจากที่นอน ทำภารกิจทุกอย่างเหมือนเช่นเคย เมื่อเสร็จเรียบร้อยเธอรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดทำงานออก แต่งตัวเสียใหม่ พลันได้ยินเคาะประตู เธอเดินไปเปิด  รู้สึกแปลกใจที่เห็นมาร่ายืนส่งยิ้มให้  มาร่ากวาดสายตามองเธอหัวจรดเท้า    

            “อืม..ม..วันนี้แต่งตัวสวย   ..แม่..เอ่อ..จะพาสาวน้อยแสนสวยไปเยี่ยมญาติจ๊ะ”  

ซาช่ารู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า เธอมีนัดที่สำคัญ จะให้ทาคิรอเก้อไม่ได้ และเธอก็อยากเจอเขา    

            “ขอโทษมาก ๆ ค่ะ  หนูเกรงว่าคงไปไม่ได้ เพราะหนูมีนัดค่ะ”  

            “นัดเหรอ มีนัดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  กับใคร  อ๊ะ.. โธ่  อย่าโง่ไปเลยเด็กน้อย มีอีกหลายวันที่หนูจะนัดใหม่ได้  ฉันอุตส่าห์เล่าเรื่องหนูให้พวกเขาฟังตั้งมากมาย บอกพวกเขาว่าหนูน่ารักแค่ไหน จนพวกเขาอยากเจอตัวจริง”  

ซาช่าถอนหายใจ เธอรู้สึกอึดอัดที่ถูกขัดอารมณ์  เธอจ้องหน้ามาร่าเขม็ง ล้วงลึกเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของเธอ ด้วยสายตาที่แน่วแน่ แข็งกร้าวจนมาร่าหน้าถอดสีเล็กน้อย   

            “บอกหนูได้ไหม ว่าหนูมาจากไหน”  เธอถามทั้ง ๆ ที่ไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบ             “เฮ้อ  ก็อย่างที่เคยบอก เรื่องของผู้ใหญ่มับซับซ้อน  เราเป็นบ่าวรับใช้พูดมากไปก็ไม่ดี ตกลงวันนี้เราไปด้วยกันนะ  เก็บโต๊ะบ้านใหญ่เสร็จค่อยออกเดินทาง”   

            “ขอโทษหนูไปไม่ได้จริง ๆ  ”    

ซาช่าแอบเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของมาร่า  แต่เธอก็ยังฝืนยิ้มขณะพูด   

            “งั้นไว้วันหลังก็ได้จ๊ะ สัญญานะว่าหนูจะไปด้วย”    

ซาช่าดีใจไม่นึกว่ามันจะลงเอยง่ายขนาดนี้ จนอยากเข้ากอดเธอแทนคำขอบคุณ  แต่ก็ยับยั้งตัวเองไว้ เพียงแค่ก้มหัวต่ำนิ่ง ๆ แทนคำขอบคุณ   พอมาร่าเดินจากไป เธอรีบปิดประตูแล้วหันมาสำรวจตัวเองหน้ากระจกต่อ พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เธอรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกรบกวนจึง รีบเดินไปเปิด   ทันทีที่บานประตูเปิดผลัวะออก มือที่ใหญ่และแข็งแกร่งก็เอื้อมมารัดคอของเธอจากนั้นมืออีกข้างก็ปิดปากเธอแน่น เธอดิ้นรนขัดขืนพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เธอมองเห็นซาลิมยืนอยู่หลังคอกม้าเขายืนหันหลังให้หันหน้าไปทางอื่น ทำตัวเหมือนไม่มีอะเกิดขึ้น     

              ‘นี่มันอะไรกันทุกคนกลายเป็นศัตรูไปแล้วหรือ’      

พลันกำปั้นหนัก ๆ ของพวกมันอีกคนก็ซกเข้าที่ท้องน้อยของเธออย่างแรง จนลำตัวโก่งงอจากนั้นก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นสติดับวูบ  




Create Date : 23 เมษายน 2558
Last Update : 3 สิงหาคม 2558 22:09:04 น.
Counter : 270 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 21
 

มื้อค่ำวันนี้ผู้เฒ่าอังซอต้องแปลกใจที่เจ้าซีโรไม่มาปฏิบัติหน้าที่เหมือนดังที่มันเคยทำ เขามองผ่านกระจกประตูบ่อย ๆ บางทีมันอาจโผล่มา แต่ก็ไร้วี่แวว 

 

          “ไป..ไปกันให้หมด”  เขาพูดกับตัวเอง “ไปทั้งแม่ทั้งลูก แม้แต่สัตว์ก็ไม่ยกเว้น”  แล้วเขาก็หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

 

มาร่ามายกจานชามกลับตามเวลาปกติที่มาสเตอรผู้เฒ่าควรจะทานเสร็จและเดินขึ้นชั้นบนไปแล้ว แต่วันนี้เธอต้องแปลกใจที่ผู้เฒ่ายังคงนั่งอยู่  หันหน้ามาทางประตู  มาร่ารีบก้มหน้าหลบสายตา   

 

            “แกเห็นหมาของฉันไหม”  น้ำเสียงแข็งกร้าว เย็นชา   

            “คือ อ่า..  ช่วงบ่ายเห็นเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ค่ะ”

 

เธอโล่งใจ เพราะมัวกังวลเรื่องซาช่าจมน้ำ แท้ที่จริงแล้วเธอลืมนึกไปว่า บรรดาคนรับใช้ใครจะเป็นจะตาย ชายแก่คนนี้ก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว   

 

              ซาช่าเป็นเพียงเด็กที่ถูกทิ้งและเธอก็เลี้ยงเอาไว้ตามคำสั่งของมาสเตอรกิลเบอรต เมื่อตายไปก็หมดหน้าที่ของเธอ

 

เจ้าซีโรเห็นเพื่อนเล่นของมันผลุบ ๆ โผล่ ๆ มันกระโดดตูมลงไป มันใช้ปากคาบคอเสื้อของซาช่า ขาหน้าที่ใหญ่แข็งแรงของมันพุ้ยน้ำไม่นานก็ถึงฝั่ง  ซาช่าตะเกียกตะกายขึ้นบก เธอสำลักน้ำไปหลายอึก ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว โผกอดคอเจ้าซีโรปล่อยโฮร่ำไห้

 

            โทนิไม่ชอบเธอ  ที่ผ่านมาเธอก็มักจะถูกแกล้งบ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง อาจเป็นเพราะไม่มีใครสนใจจะมาฟังเธอ กลับจากโรงเรียนบางครั้งโทนิก็วิ่งหนีกลับไปก่อน เธอต้องพยายามวิ่งตามให้ทัน วิ่งไปร้องไห้ไปเพราะความกลัว ส่วนโทนิก็จะหัวเราะเยาะเธอ   มิหนำซ้ำเวลาไปกลับโรงเรียนในแต่ละวันเธอต้องแบกกระเป๋าทั้งสองใบขณะที่โทนิเดินตัวเปล่า

 

            “แกไม่ต้องฟ้องแม่หรอกนะ เพราะแกไม่ใช่ลูกแม่  แกมันเด็กที่นายน้อยเอามาให้แม่เลี้ยง  แม่แกเป็นคนบาปทิ้งได้แม้แต่ลูกของตัวเอง” 

             “ฉันจำได้ ตอนแกยังเด็ก แกดื่มนมแพะ ดีหน่อยก็นมวัว ไม่ใช่นมแม่มาร่าซักหน่อย อีกหน่อยแกก็จะรอง แบร แบร หรือไม่ก็ แบร แบร มอ มอ” แล้วเธอก็หัวเราะงอหงาย

            “นายน้อยยังไม่เลี้ยงแกเลยทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพ่อ”

 

คำพูดของโทนิ  ที่กระแนะกระแหนเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอไม่เชื่อ แต่ก็เริ่มมีกำแพงระหว่างเธอกับแม่  และเธอร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อนึกถึงตอนที่โทนิผลักเธอตกน้ำ

 

พอได้สติเธอหยุดร้อง เหลียวมองรอบ ๆ  ต้นไม้ครึ้มใหญ่ สายน้ำที่กว้างมหึมา ความเงียบในช่วงเวลาใกล้ค่ำ ชวนให้ขนลุก  เธอจึงรีบลุกขึ้น  เดินกลับบ้านเคียงคู่ไปกับเจ้าซีโรมืออีกข้างกอดคอของมันไม่ยอมปล่อย นอกจากช่วยให้รู้สึกอุ่นแล้วยังรู้ด้วยว่ามันจะปกป้องเธอได้  เธอก้มหน้าก้มตาเดินไม่กล้าแม้แต่จะมองสองข้างทาง  พลันหูทั้งสองของเจ้าซีโรก็ตั้งชัน มันยกจมูกขึ้นสูง ซาช่ารู้ทันทีว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหน้า  เธอกำขนแผงคอของมันแน่น ดึงมันเข้าไปหลบอยู่ข้างทาง  พอเสียงก้าวเท้าสวบสาบดังเข้ามาใกล้เธอแอบมองผ่านพุ่มไม้จึงรู้ว่าเป็นลุงซาลิม แว๊บ แรกที่เห็นเธอรู้สึกดีใจ แต่พอนึกถึงคำพูดของโทนิ มันทำให้เธอไม่แน่ใจ  เจ้าซีโรมีท่าทีลุกลี้ลุกลนด้วยความดีใจ เธอจึงเอามือจุ๊ปากให้มันเงียบ   มันทำตามที่เธอสั่งเพราะมันคงคิดว่าเป็นเกมเล่นซ่อนหาที่เคยเล่นกันเป็นประจำ  

 

ลุงซาลิมวิ่งผ่านไปไม่นานก็วิ่งกลับในขณะที่ทั้งเธอและซีโรยังซ่อนตัวอยู่ที่เดิม เธอเห็นลุงซาลิมร้องไห้  เธอรีบเอาหลังมือปาดน้ำตาที่มันไหล่เอ่อออกมาด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็มีคนเป็นห่วงเธออยู่บ้าง

 

            ‘ถ้านายน้อยเป็นพ่อ อย่างโทนิว่า เขาจะห่วงเราไหม’ ความคิดนี้ทำให้น้ำตาเธอไหลพรากออกมามากกว่าเดิม

 

ลุงซาลิมผ่านไปนานพอสมควรทั้งสองจึงออกมาจากพุ่มไม้ ซาช่าเดินช้า ๆ เพราะไม่อยากเข้าบ้าน ไม่อยากเจอหน้าโทนิ ไม่อยากเจอแม่ ทั้ง ๆ ที่โทนิบอกว่ามาร่าไม่ใช่แม่ของเธอ แต่เธอก็อยากเป็นลูกของมาร่า  อากาศช่วงเวลาตอนเย็นในฤดูร้อนอุณหภูมิจะลดลงอย่างเร็ว ทำให้เธอรู้สึกหนาว การได้กอดเจ้าซีโรช่วยทำให้เธออุ่นขึ้นบ้าง แต่ท้องก็เริ่มร้องเพราะความหิว เธอจึงรีบเร่งฝีเท้า   

 

 กลับถึงที่พักซาลิมพยายามสงบสติอารมณ์ คนใช้อย่างพวกเขาชาชินเสียแล้วกับความเจ็บปวดและการสูญเสีย   เขาได้ยินเสียงแม่ลูกคุยกัน ไม่นานมาร่าก็เดินหน้าเครียดมาหา  ส่วนโทนิคงเอาแต่ร้องไห้อยู่ในห้อง

 

“เจออะไรบ้างไหม”   

“เห็นแต่ถังดำเล็ก”

             “โทนิก็เอาแต่ร้องไห้ คงตกใจและเสียใจที่น้องจมน้ำต่อหน้าต่อตา” มาร่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วส่ายหัวไปมา  ซาลิมจ้องหน้าลูกพี่ลูกน้องของเขา “แล้วเธอจะเอายังไง”  

 

“เฮ้อ...ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา ถ้ามาสเตอรกิลเบอรตถามก็บอกเขาตามตรง อย่างมากเขาก็คงเสียดายที่แรงงานในวันข้างหน้าขาดไปก็เท่านั้น  คนอย่างพวกเราพวกฝรั่งตาน้ำข้าวไม่เคยสนใจใยดีอยู่แล้ว”  น้ำเสียงของมาร่าเจือด้วยความเจ็บปวด

 

“ถ้าบังเอิญว่าซาช่าเป็นลูกเขาจริง ๆ ล่ะ”  

 

“ก็ดูเขาสนใจใยดีเด็กนั่นซะที่ไหนล่ะ  ฉันว่าเขาคงกลัวเสียหน้าและอับอายมากกว่าที่จะยอมรับ ถ้ามันเป็นดั่งพี่พูดจริง “  

 

มืดแล้ว ซาลิมทานมื้อค่ำไม่ค่อยลง เขาจึงดับตะเกียงเตรียมเข้านอน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคงนอนไม่หลับ พลันเขาได้ยินเสียงกระซิกเบา ๆ ดังมาจากทางคอกม้า  เขาคิดว่าตัวเองหูแว่ว  เขาเงี่ยหูฟัง

 

            “ใคร” เขาตะโกนออกไป  

            “โฮ่ง โฮ่ง” เจ้าซีโรขานรับแทน

 

 เขารีบผุดลุกขึ้นจากที่นอนแล้ววิ่งออกไปดู และต้องอ้าปากค้าง  ถึงแม้มันจะมืดแต่เขาก็สามารถมองเห็นได้ถนัด  

            “มาร่า มาดูอะไรนี่สิ”

 

ทั้งมาร่าและโทนิวิ่งออกมาดู มาร่ามีท่าทีตื่นเต้น ส่วนโทนิยืนหลบอยู่หลังแม่แล้วค่อยยื่นหน้าออกมามอง โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน เพราะถ้ามีใครสังเกตจะเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของโทนิ  มาร่าเข้าไปกอดซาช่าแต่เธอรู้สึกว่าเนื้อตัวของหนูน้อยแข็งทื่อจนรู้สึกได้เธอจึงคลายแขนออก 

 

ซาลิมมองดูซาช่าที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มของเขา เธอไม่ยอมไปนอนที่กระท่อม ยืนยันจะนอนที่นี่ ทำให้ห้องนอนที่แคบของเขายิ่งแคบลงกว่าเดิม ข้าง ๆ ห้องนอน เจ้าซีโรนอนบนกองหญ้าของเจ้าไวคาส   แว่วเสียงไวโอลินดังมาจากบ้านใหญ่ เป็นบทเพลงคร่ำครวญที่เสียดแทงเข้าไปในขั้วหัวใจ 

 

            ‘ผู้เฒ่าคงนอนไม่หลับ’  

คืนวันนั้นซาช่าเป็นไข้  ตัวร้อนจี๋ นอนละเมอเพ้อฟังไม่ได้ศัพท์  ซาลิมต้องคอยเช็ดตัวให้ เขาไม่อยากไปปลุกมาร่าอีกอย่างโทนิกำลังอยู่ในอาการช็อคลูกของเธอย่อมมาก่อนเสมอ

 

เช้าตรู่วันถัดมา เขาต้องแปลกใจที่เห็นผู้เฒ่าอังซอมาเยี่ยมเจ้าไวคาส  เพราะปกติผู้เฒ่าแทบไม่ย่างกรายออกนอกประตูบ้าน หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ซาลิมสังเกตเห็นความร่วงโรยของสังขาร์ตามอายุ  ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะเจ็ดสิบกว่า ๆ แล้ว แต่ท่านก็ยังดูกระปรี้ประเป่ร่า  ซาลิมทอดถอนใจ ‘อดีตเสือภูเขาที่ยิ่งใหญ่’   เขาเผลอเอามือลูบตาข้างขวาของเขา ภาพความทรงจำก็ลอยเด่นออกมา 

ขณะที่เขากำลังจูงไวคาสซึ่งมีมาสเตอรอังซอนั่งอยู่บนหลังไต่ไปตามโขดหิน พลันหมีดำใหญ่กำลังตกมันก็พุ่งเข้าจู่โจม อุ้งมือของมันตะปบเข้าที่ใบหน้าของเขา เล็บที่โค้งยาวทิ่มแทงเข้าไปในเบ้าตา เลือดและน้ำเมือกเหนียว ๆ ทะลักออกมา เจ้าไวคาสตกใจมันยกสองข้าหน้าขึ้นสูงร้องสุดเสียงทำให้มาสเตอรอังซอร่วงหล่นลงมากองคว่ำหน้าลงกับพื้น หมีดำก็ตกใจเช่นกันมันกระโดดเข้าจู่โจมผู้เฒ่า โชคดีที่เจ้าไวคาสช่วยไว้ทันกระโดดถีบสองขาหลังโดนมันเข้าอย่างจัง มันเซถลาแล้ววิ่งหนี ผู้เฒ่าลุกขึ้นได้ยกปืนลูกซองขึ้นประทับบ่า แต่ก็แค่ยิงขู่ให้มันกลัว ตั้งแต่นั้นมาเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยได้ติดตามผู้เฒ่าไปอีกเลย  

 

ขณะเดินผ่านห้องนอนของซาลิม ผู้เฒ่าปรายหางตามองเข้าไปข้างใน ที่มีซาช่านอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มเก่า ๆ   แต่ผู้เฒ่าก็ไม่ถามอะไรสักคำ คงเดินไปหาเจ้าไวคาสและลูบแผงคอของมัน  สุนัขของเขานั่งประจบอยู่ใกล้ ๆ  เขายื่นมืออันเหี่ยวย่นไปตบหัวมันเบา ๆ  แววตาของล่องลอยมองไปข้างหน้า  

 

            ‘ตอนนี้ฉันก็เหลือเพียงแกกับม้าแก่เท่านั้น’  

 

เมื่อหายดีแล้ว ซาช่าก็ไปเรียนตามปกติ  ที่โรงเรียนโทนิจะทำตัวเย็นชากับเธอมาก ไม่ยอมเล่นด้วยและไม่ให้เข้ากลุ่มด้วย  เวลาเดินไป -กลับ โทนิก็จะเดินลิ่วนำหน้า ปล่อยให้ซาช่าเดินตามหลังเงียบ ๆ  และเธอยังถูกเพื่อน ๆ ร่วมห้องล้อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อ และถูกแม่ใจบาปทอดทิ้ง  เธออดทนเรียนต่ออีกจนพออ่านออกเขียนได้ จากนั้นก็หยุดเรียนเอาดื้อ ๆ     เรื่องที่นอนก็เหมือนกัน  เธอบอกลุงซาลิมว่าจะไม่กลับไปนอนที่กระท่อมของมาร่า เขาจึงยกห้องกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นั้นให้เธอ และไปต่อเติมเพลิงหมาแหงนอีกฟากหนึ่งของคอกม้าเพื่อใช้เป็นที่หลับนอน    

 

ยิ่งโตขึ้นซาลิมก็ยิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับซาช่า เธอกลายเป็นคนพูดน้อย บางครั้งเจ้าอารมณ์  เวลาโกรธหรือไม่พอใจเธอจะยืนยืดตัวและเชิดหน้าขึ้น กัดกรามกรอดแววตาจะฉายแววดุดัน  มันเป็นแววตาที่เขาคุ้นเคยมาก แต่เขานึกไม่ออกว่าเขาเคยเห็นที่ไหน   

 

โทนิอายุย่างเข้า 18 ปี ก็เริ่มออกไปเที่ยวบ่อย ๆ ส่วนซาช่าต้องช่วยงานบ้านสารพัด แต่ก็มีงานที่เธอโปรดคือการโกยหญ้าแห้งให้เจ้าไวคาส เพราะจะได้นั่งเล่นพูดคุยกับมัน  เจ้าซีโรก็มาร่วมวงด้วยเสมอ  ไม่นานโทนิก็ออกเรือนไปอยู่กับสามี   ในวันเข้าพิธีตามประเพณีท้องถิ่น ซาลิมกับมาร่าต้องพาเจ้าสาวไปส่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น  มาร่าเตรียมอาหารเช้าให้เธอยกไปบ้านใหญ่ และกำซับเรื่องข้อห้ามต่าง ๆ  ‘เมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้วต้องไปเก็บโต๊ะ’ เธอรู้สึกหวั่นวิตกนิด ๆ สำหรับเธอแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เหยียบย่างเข้าไปบ้านใหญ่ทูเกลูล่า  จริง ๆ แล้วเธอเคยไปเมื่อตอนยังเล็ก แต่เธอจำอะไรไม่ได้ แน่นอนตามทฤษฏีทางจิตวิทยา เด็กจะเริ่มจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เมื่ออายุห้าขวบ

 

ก่อนจะถึงเวลาเล็กน้อย เธอจัดแจงตัวเองให้ดูดีที่สุด มือสั่นเล็กน้อยขณะรวบผมที่เป็นลอนฟูของเธอ จากนั้นก้มดูเสื้อแขนพองสีเทาที่ปิดกระดุมจนถึงคอ กระโปรงที่ยาวปิดหัวเข่ามิดชิด ผ้ากันเปื้อนดึงแน่นเปี๊ยะ เธอล้างหน้า ล้างมือ แล้วเช็ดให้แห้ง ยืนมองตัวเองในกระจกหมุนตัวไปมา  รู้สึกพอใจกับภาพสะท้อนที่เห็น  ปากของเธอเม้มสนิทนี่เพิ่งจะย่างสิบสามแต่ดูเธอเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง

 

            ‘ประตูไม่ได้ล็อค ให้กดกริ่งก่อน และเปิดประตูเบา ๆ’  เสียงของมาร่าดังก้องในหัว พักหลัง ๆ มาเธอไม่กล้าเรียกมาร่าว่าแม่อีกแล้ว จากสิ่งที่โทนิบอกและบางครั้งมาร่าก็เย็นชากับเธอ    ขณะเอื้อมมือไปกดกริ่ง เนื้อตัวเธอสั่นจนมองเห็นถาดอาหารที่ถืออยู่พลอยสั่นไปด้วย   แต่พอก้าวเท้าเข้าไปข้างในก็ต้องโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เจ้าซีโรเดินตามเข้า

มา แล้วมันก็นั่งลงข้างประตู   เธอจัดวางเรียงจานอาหารตามที่มาร่าสั่ง แก้วน้ำส้ม มีด ช้อน ผ้าเช็ดมือ เสร็จแล้วเธอจ้องมองอย่างภาคภูมิใจ   

 

            ‘เราทำได้  มันไม่ยากอย่างที่คิด’    

เธอยิ้มให้กับตัวเอง ขณะกำลังจะหันหลังกลับพลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรูปภาพครอบครัวที่แขวนอยู่บนผนังตรงทางเดินลงบันได ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงย่องเท้าเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ หัวใจของเธอเต้นตึกตักขณะแหงนดูภาพเพราะเธอกำลังแหกกฎ  ภาพชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูงแต่งกายด้วยชุดสูทผ้าเนื้อดีสีดำ สวมหมวกทรงสูง ใบหน้าผอมเรียว จมูกโด่ง ปากเม้มสนิท หน้าตาดีแต่ดูน่าเกรงขาม  ยืนข้างสุภาพสตรีที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสุ่มสีเข้มประดับด้วยลูกไม้ เกล้าผมหลวม ๆ และปล่อยปอยผมลงข้างแก้มเล็กน้อย เสียบหมวกใบเล็ก ไว้ที่ศีรษะข้างซ้าย  หน้าตาจิ้มลิ้ม เผยอยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก เธอนั่งบนเก้าอี้ มือที่อวบอิ่มข้างซ้ายของเธอโอบไหล่เด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ  เธอมีผมสีทองยาวสลวยสวมใส่ชุดกระโปรงขลิบด้วยลูกไม้ สวมถุงเท้า และรองเท้ามีสายคาด หน้าตาสะสวย เธอยิ้มกว้าง  แต่ที่น่าสนใจก็คือ ภาพเด็กผู้ชายสองคนที่หน้าตาคล้ายกันและแต่งตัวเหมือนกัน ทั้งคู่ใส่สูทกางเกงขาสั้น สีดำ สวมถุงเท้า รองเท้าหนังสีดำ  คนหนึ่งเอามือกอดอกและยิ้มอย่างร่าเริง อีกคนมีลักยิ้มที่คางทำหน้าตาบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง  เธอพอจะดูออกว่าคนที่ยิ้มคงจะเป็นมาสเตอรกิลเบอรต   ขณะมองความคิดของเธอก็ล่องลอย เธอจินตนาการว่าเธอเป็นหนึ่งในท่ามกลางพวกเขา  

 

‘อยากมีพ่อ แม่เหมือนอย่างนี้บ้าง’

พลันเธอต้องสะดุ้งจนหัวใจแทบร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อเธอได้ยินเสียงกระแอมมาจากชั้นบนของบันได  เธอไม่กล้าเงยหน้ามอง ไม่กล้าพอที่จะกล่าวคำขอโทษ ได้แต่ก้มหน้าต่ำแล้วเดินถอยหลังรีบออกไปให้พ้นประตูเร็วไว  กลับถึงที่พักเธอก้มดูสารรูปตัวเอง เป็นการย้ำเตือนว่าเธอแตกต่างจากพวกเขาอย่างไร  รู้สึกใจสั่นหวิวคล้ายจะเป็นลม  

            ‘ความโดดเดี่ยวเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบใหญ่มันเป็นความทุกข์ที่ไร้ขอบเขต’   เธอคว้าตุ๊กตาเสือชีต้าเข้ามากอด น้ำตาซึมเบ้าตา   




Create Date : 03 เมษายน 2558
Last Update : 3 เมษายน 2558 10:35:30 น.
Counter : 546 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety