กันตยา & ซาช่า 20
 

ตั้งแต่ลอเร็นกลับไป กิลเบอรตเหงาหงอยเซื่องซึมไปหลายวัน เขาจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ กลับเอาตอนค่ำมืดดึกดื่น บางคืนก็ไม่กลับมานอนที่บ้าน บางทีก็หายไปติดต่อกันนานหลายคืน แรก ๆ มาสเตอรอังซอก็นั่งรอลูกชายมาทานมื้อเย็นด้วย  พอหลัง ๆ มาดูเหมือนผู้เฒ่าจะชินกับการนั่งทานคนเดียว จะว่าไปก็ไม่คนเดียวเลยทีเดียว เพราะ เจ้าซีโรจะนั่งเฝ้าข้าง ๆ ประตู มันจะทำหน้าที่ของมันไม่ให้ขาดตกบกพร่อง พอนายของมันทานอิ่มและเดินขึ้นชั้นบน มันก็จะวิ่งไปป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ กระท่อม และดูเหมือนมันจะเป็นเพื่อนเล่นที่เข้ากันได้ดีกับซาช่า  

 

บ่ายวันนี้กิลเบอร์ตกลับมาบ้าน พักหลัง ๆ เวลาเขามาเอาข้าวของไปส่งคนสวนมาร่า แอบสังเกตเห็นหน้าตาของเขาดูสดใส เป็นใบหน้าของคนมีความสุข เขาผิวปากฮัมเพลงเบา ๆ ขณะเอื้อมมือไปเปิดประตูเบาบ้าน  ทันทีที่ประตูเปิดแง้มออก เขาก็ต้องสะดุ้งที่เห็นร่างผอม ๆ แววตาแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางอิดโรยของผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้และหันหน้าจ้องมองมาทางประตู             “พ่อ .. เกิดอะไรขึ้น ทำไมมานั่งอยู่ที่ตรงนี้” แววตาผู้เฒ่าแข็งกร้าววาววับ จ้องมองผู้เป็นลูกเขม็ง เขากวาดสายตามอง หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว ด้วยสายตาที่เหยียดหยามดูแคลน จนกิลเบอรตรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัว เวลาพ่อโมโหอารมณ์พ่อจะร้ายสุด ๆ เหมือนพายุเพลิงถูกเทราดด้วยน้ำมัน                                

                 “แกน่าจะมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ ปล่อยให้ฉันรอจนข้ามคืน” เสียงหอบหายใจดังฟืดฟาดขณะพูด           

                   “แกไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรืออย่างไร”  

 

กิลเบอรตรู้สึกถึงหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ และไม่เข้าใจว่าพ่อหมายถึงอะไร  หรือว่าพ่อรู้เรื่องที่เขาคบกับเบ็ตตี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเขาไม่ใช่เด็ก                     

            “แกมันพวกชอบเกลือกกลั้วกับสถุล”  

           ‘พ่อยังไม่เคยเจอเบ็ตตี้ ทำไมต้องว่าเธอถึงขนาดนั้น’ เขาคิด            

            “ผมขอโทษ ผมตั้งใจจะบอกพ่อเหมือนกันเรื่อง เอ่อ..”    

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนยื่นมือที่สั่นเทาชี้หน้าด้วยโทสะ   

 

            “จะบอกตอนนี้หรือตอนไหนข้าก็รับมันไม่ได้ แกมันระยำ แกทำให้สายเลือดของตระกูลเกลมังต้องแปดเปื้อน” 

พลันผู้เฒ่าหยุดกึก แววตาสลดวูบลง เขาก้มหน้ามองพื้น แขนห้อยตกลงข้างลำตัว เขาหมุนตัวหันข้างให้ลูกชาย ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หัวเราะหึ หึ ในลำคอ พร้อมกับพึมเพาเบา ๆ  

 

            “แกรู้ใช่ไหมว่าแรงปรารถนามันช่างทรงพลังเหลือเกิน...มันมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด”  

พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินกลับขึ้นไปชั้นบน กิลเบอรตรู้สึบร้อนวูบที่หน้าและในทรวงอก ถ้าเขาคิดจะมีคนรักใหม่ มันจะผิดตรงไหน และเบ๊ตตี้ก็เป็นคนดี เขาหันรีหันขวางสุดท้ายก็ผลุนผลันออกนอกประตู ไปหยิบเอาของที่ซื้อมาจากในรถเพื่อเอาไปส่งให้มาร่า แล้วเขาจะได้ไปเสียให้พ้น ๆ จากบ้านหลังนี้  ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่แวะมาที่นี่    

 

เขาสาวเท้าก้าวยาว ๆ ด้วยแรงโทสะ เจ้าซีโรวิ่งมาทักทายด้วยความยินดี เขาไม่มีอารมณ์จะทักทายมัน ระหว่างทางก่อนจะถึงกระท่อม สัญชาตญาณบอกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเขา  เขาหันขวับไปตามทิศทางที่เขาสัมผัสได้ และต้องตะลึงกับภาพที่เห็น เด็กผู้หญิงผมหยักศกสีทองแดง คิ้วโหนกนูนเข้ม ดวงตารียาวยืนกอดตุ๊กตาเสื้อซีต้า เขาจำได้นั่นมันเป็นตุ๊กตาที่เขาซื้อมากับมือ เขาจำมันได้ดี เพราะวันนั้นเป็นวันที่เขาได้พบกับเบ็ตตี้   คางของเธอบุ๋มเหมือนเรมิน้องชายคู่แฝดของเขา   เขาเดินลิ่วตรงเข้าไปหาเธอ  เจ้าซีโรวิ่งไปหาเธอก่อน  มันส่ายหางไปมาและเดินวนรอบ ๆ เด็กหญิง เหมือนจะแนะนำเพื่อนของมันให้นายรู้จัก  กิลเบอรตโน้มตัวต่ำลงไปหาเธอ เขาสังเกตเห็นหนูน้อยก้มหน้าหลบสายตาเขา แต่เธอไม่ถอยหนี กิลเบอรตแปลกใจว่าทำไมเขาไม่เคยเจอเธอก่อนหน้านี้   แล้วเด็กคนนี้เป็นลูกใคร เธอเป็นลูกครึ่งที่หน้าตาคล้ายเรมี่ แต่เรมี่ตายไปเกือบสิบปีแล้ว   

            “หนูชื่ออะไรจ๊ะ”    

          “ซาช่าค่ะ”    

            “ซาช่า เป็นชื่อที่เพราะมาก  แล้วมาร่าอยู่ไหนจ๊ะ”  เขามองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของเธอ มันเป็นแววตาที่สดใสฉายแววเด็ดเดี่ยว เขารู้สึกเหมือนคุ้น ๆ กับแววตาเช่นนี้ เขาพยายามนึก 

            “แม่อยู่ในครัว”  

 

‘แม่’  เธอเรียกมาร่าว่าแม่ เขารู้สึกแปลกใจแต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะเรียกคนที่ใกล้ชิดว่าแม่  ซาลิมที่คอยยืนมองอยู่ห่าง ๆ ข้างหลังคอกม้าเห็นภาพมาสเตอรผู้ลูกกับหนูน้อยแล้วอดน้ำตาไหลไม่ได้ เขารู้สึกสงสารหนูน้อยจับใจ ที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีเหมือนเด็กคนอื่น ๆ     

            “มาร่า  เด็กนี่ เอ่อ ซาช่าไปเดินเล่นแถว ๆ บ้านใหญ่บ้างไหม”    

มาร่าเดินออกมาจากห้องครัวตามเสียงเรียก เธอถอนใจเฮือกใหญ่ ใบหน้ามีแววกังวล  

             “พวกเรา.. ที่นี่ไม่มีใครพาเธอไปหรอกนะคะมาสเตอร เรารู้ข้อห้ามดี..แต่..” มาร่ากระพริบตาถี่ ๆ ทำท่าจะร้องไห้ “ซาช่านะค่ะ ตอนที่พวกเราไม่อยู่บ้าน เธอเดินไปทางโน้นคนเดียว  มาสเตอรผู้เฒ่าคงโกรธมาก ดิฉันขอโทษนะคะนายน้อย ”  

             “เอาละ เอาละ  คงไม่เป็นไรหรอก” เขาแหงนมองไปทางหน้าต่างบ้านหลังใหญ่ ทุกอย่างยังคงเงียบกริบ แล้วหันมาจ้องมองเด็กหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า มีคำถามผุดขึ้นมาในสมองเขามากมาย  ส่วนมาร่า เธอพยายามอ่านสีหน้านายน้อยของเธอเวลาเจอหน้าซาช่า เธอรู้สึกผิดหวังนิด ๆ ที่เขาไม่แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา                          

             “เธอต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าเด็กนั่นหน้าตาคล้ายแฝดผมมาก” กิลเบอร์ตเล่าให้เบ็ตตี้ฟัง 

             “จะเชื่อได้ยังไงคะ เพราะฉันไม่เคยเห็นทั้งคู่แฝดคุณและเด็กนั่น”  

           “เรมี่หน้าตาคล้ายผม ใคร ๆ ก็บอกว่าเราเหมือนกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก ต่างตรงที่เรมี่คางบุ๋ม ส่วนผมไม่มี”  

 กิลเบอรตเล่าอย่างอารมณ์ดี จนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเบ็ตตี้ที่มองเขาด้วยสายตาแปลกไป           

ซาช่าเข้าโรงเรียนเมื่ออายุได้ 6 ขวบ เธอไปโรงเรียนเดียวกันกับโทนิ ซึ่งต้องเดินเท้าเปล่าไปเกือบสี่กิโลเมตร เป็นโรงเรียนอาคารคอกม้า มีนักเรียนไม่ถึงยี่สิบคน ทุกคนจะเรียนในห้องเดียวกัน แต่จะแยกกลุ่มกันนั่งตามระดับความสามารถ มีครูผู้หญิงตัวผอมสูงชื่อคิมเบอะสอนประจำอยู่หนึ่งคน และมีมิชชันนารอาสาสมัครมาช่วยสอนสัปดาห์ละครั้ง โรงเรียนอยู่ใกล้กับตลาดชุมชน ซาช่าตื่นเต้นกับโรงเรียนมาก มันทำให้เธอได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ   เธอเป็นจุดสนใจของทั้งครูและนักเรียนคนอื่น ๆ เพราะเธอเป็นเด็กเลือดผสมที่น่ารัก  

 

โทนิเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่นเธอสนใจตัวเองมากขึ้น และอารมณ์ฉุนเฉียวบ้างเป็นบางครั้ง เธอเติบโตขึ้นมาก็เห็นอยู่เพียงสองคน คือแม่กับลุงซาลิม แม่เคยบอกแก่เธอว่า พ่อหายไป ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าหายไปไหน  ตั้งแต่มีซาช่าเข้ามาอยู่ในครอบครัว แม่และลุงซาลิมก็สนใจแต่น้อง มีขนมอรอ่ย ๆ มาจากบ้านใหญ่เธอก็ต้องแบ่งน้อง บางทีน้องกินหมดก่อนก็ร้องไห้เอาอีก แม่ก็จะบอกให้เธอแบ่งให้น้องอีก เพราะน้องจะได้หยุดร้อง แม่บอกว่าเสียงร้องของน้องแสบแก้วหูน่ารำคาญ  แต่ในขณะเดียวกันน้องก็เป็นเพื่อนเล่นของเธอ แต่บางเวลาเธอก็อดอิจฉาน้องไม่ได้ โดยเฉพาะที่โรงเรียน ที่มีแต่คนสนใจน้อง  จนเธอรู้สึกว่าเหมือนไม่มีเธออยู่ตรงนั้น 

 

บ่ายวันนี้แม่บอกว่าจะไปเยี่ยมญาติ ให้เธออยู่บ้านกับน้อง ส่วนลุงซาลิมพาเจ้าไวคาสแก่ไปฉีดวัคซีนที่มีอาสาสมัครมาตั้งจุดตรวจชั่วคราวใกล้ ๆ กับตลาดกว่าจะกลับมาก็คงค่ำ เธอรู้สึกเบื่อที่อยู่แต่ภายในเขตบริเวณบ้าน เธออยากจะออกไปเล่นที่อื่นบ้าง เธอจึงชวนซาช่าไปหาปลาตามแอ่งริมแม่ใหญ่ทูเกลูลาที่แม่กับลุงซาลิมเคยพาเธอไป มันอยู่ไม่ไกล ใช้เวลาเดินไม่นานก็ถึง  ซาช่าตื่นเต้นที่จะได้เห็นแม่น้ำใหญ่เพราะเธอไม่เคยไปมาก่อน โทนิบอกให้เธอถือถังใบเล็กไปด้วย 

            “เอาไปใส่ปลา” เธอบอก  

            “ถ้าตัวมันใหญ่ล่ะ”     

            “ไม่หรอก ปลาใหญ่อยู่ในน้ำลึก ปลาเล็กเท่านั้นที่จะขึ้นมาน้ำตื้น” 

 

เจ้าซีโรก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยที่จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอก มันวิ่งเหยาะ ๆ นำหน้าพอถึงแม่น้ำ โทนิชี้ให้ซาช่าดูปลาเล็กปลาน้อยที่แหวกว่ายไปมาตามแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่แยกออกจากแม่น้ำใหญ่ ซาช่าตื่นเต้นมาก เธอรีบลงลุยน้ำไล่จับมัน  เธอจับไม่ทันหรอก แต่ก็รู้สึกสนุกหัวเราะเริงร่า บางคร้งก็ร้องวี๊ดว้าย  เจ้าซีโรก็ลงลุยน้ำกับเธอ  แรก ๆ โทนิก็สนุก แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกเบื่อ แต่ซาช่ายังคงวิ่งไล่ปลาอย่างสนุกสนาน 

 

            “จับได้แล้ว ดูนี่สิ”  

ซาช่าชูปลาตัวเล็ก ๆ ให้โทนิดูก่อนจะวิ่งไปหย่อนมันลงถังอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นเธอเดินไปดูสายน้ำใหญ่ใกล้ ๆ  ดูมันกว้างใหญ่มหึมา ชวนให้จินตนาการได้สารพัด  มันไหลเอื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน เธออยากรู้ว่ามันจะลึกสักแค่ไหน ใต้ท้องน้ำคงมีสัตว์น่ากลัวขนาดใหญ่อาศัยอยู่ หรือไม่ก็คงมีจระเข้ พอนึกถึงจระเข้เธอรีบก้าวถอยหลังทันที แต่เธอก็ต้องตกใจที่ชนเข้ากับโทนิอย่างแรง สีหน้าของโทนิก็ดูตกใจเช่นกันจังหวะนั้นเธอก็ได้เห็นมือทั้งสองข้างของโทนิที่ยื่นมาผลักเธออย่างแรงจนเธอหงายหลัง

              “ตูม”  

 

ฟองน้ำแตกกระจัดกระจาย  เธอดิ้นพรวดพราดผลุบ ๆ โผล่ ๆ กลืนน้ำเข้าไปหลายอึกกระแสน้ำขอบตลิ่งไหลเชี่ยวแรงกว่าที่เธอคิด มันกำลังพัดพาเธอไปและเธอกำลังจะจมน้ำ เธอพยายามตะโกนร้องให้โทนิช่วย พอเธออ้าปาก น้ำก็ทะลักเข้าเต็ม ๆ  มือก็ไขว่ขว้าสะเปะสะปะ เธอพยายามมองหาโทนิและก็ได้ประสานกับสายตาที่เย็นชา จากนั้นเธอก็หันหลังวิ่งจากไป  

 

ซาลิมกำลังจูงเจ้าไวคาสเข้าคอกต้องแปลกใจที่เห็นโทนิวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตื่นมา แต่เธอไม่ได้มองมาที่คอกม้า เธอวิ่งตรงเข้ากระท่อม ซาลิมผูกม้าเสร็จรีบตามเข้าไปดู เขาเปิดประตูเข้าไปเห็นโทนินั่งสั่นงันงกอยู่ใต้ผ้าคลุมเขากระชากผ้าออกอย่างแรง จนโทนิกรีดร้องด้วยความตกใจ              

 เกิดอะไรขึ้น”  

โทนิไม่ตอบเธอหันหลังให้เขา ร้องไห้ฟูมฟาย เนื้อตัวสั่นเทา 

 

            “ซาช่าอยู่ไหน”  

 

โทนิยังคงร้องสะอึกสะอื้น และเสียงดังขึ้นกว่าเดิม ซาลิมมองดูเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ และเขาสังเกตเห็นแววตาหวาดกลัวของโทนิ   

            “ไปเล่นน้ำมาใช่ไหม”    

          โทนิพยักหน้า    

“แล้วซาช่า ....”  เขาจ้องหน้าโทนิเพื่อค้นหาความจริง  

“..เธอ..เธอ  ..จมน้ำ”

 

ร่างกายของเขาเกร็งไปทั้งตัว รู้สึกชาที่ใบหน้า หูอื้อ  เขารีบวิ่งตรงไปยังแม่น้ำทูเกลูล่า สายน้ำที่เป็นบ่อเกิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งต่าง ๆ  แม้แต่ซาช่าก็ได้พึ่งพานาวาสายนี้เดินทางมาถึงที่นี่และได้เติบโตขึ้น แต่ตอนนี้มันกำลังดูดกลืนเอาชีวิตของเธอไป  เขาไม่มีเวลาสนใจกับน้ำตาทีเอ่อล้นเบ้าตา เขายังคงก้มหน้าก้มตาวิ่งต่อไป  พอไปถึงเขารีบมองหารอยเท้าแล้วเดินตามไป มันมุ่งตรงไปยังแอ่งน้ำเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลำน้ำใหญ่ เขามองเห็นถังสีดำใบเล็กตั้งอยู่ เขารีบวิ่งเข้าไปดู มีปลาตัวเล็กนอนหงายท้องอยู่ข้างใน 

 

            “ซาช่า...”

เขาตะเบ็งจนสุดเสียง เขาทรุดฮวบลงกับพื้นซบหน้าลงบนฝ่ามือ แล้วคร่ำครวญด้วยภาษาที่จับใจความไม่ได้  พอควบคุมสติอารมณ์ได้ เขาหยุดร้อง  แล้วยักไหล่ นอกจากเขาและมาร่าแล้ว ยังมีใครสนใจซาช่าบ้าง มาสเตอรกิลเบอรตก็ดูไม่สนใจใยดี ได้ข่าวว่ามีภรรยาใหม่นาน ๆ ถึงจะแวะมบ้านที ต่อให้มีซาช่าหรือไม่ก็คงไม่แตกต่าง  

 

ถึงเขาจะพยายามหาเหตุผลมายกความรู้สึกผิดออกไป แต่ภาพความไร้เรียงสาความน่ารักของซาช่าผุดขึ้นมาในหัวของเขา ทำนบน้ำตาของเขาต้องพังลงอีกครั้ง เขาเดินคอตกกลับบ้าน 




Create Date : 15 มีนาคม 2558
Last Update : 26 มีนาคม 2558 21:35:50 น.
Counter : 440 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 19

วันนี้ กิลเบอร์ต ไปซื้อของในเมือง  เขาเหลือบไปเห็นกล่องตุ๊กตาเสือชีต้าในท่านั่งราคาเก้าสิบเก้าแรนด์  มันเหมาะที่จะเป็นของเล่นเด็กกล่อก เขานึกถึงเด็กที่เจ้าซีโรเจอเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา นี่ก็จะสิ้นสุดฤดูร้อนแล้ว นับได้หกเดือนเศษ ๆ ที่เขาไม่เคยเจอหน้าเด็กนั่นอีกเลย จริง ๆ แล้วเขาไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ เพราะวิตกเกินเหตุ เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ข้างในกล่องไม้ เป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงเขาก็ไม่รู้   แต่เขาก็เพิ่มเงินสำหรับค่าใช้จ่ายและค่าเลี้ยงเด็กให้หล่อนทุกเดือน  คิดถึงตรงนี้เขารู้สึกตำหนิตัวเองที่ไม่ใส่ใจเอาเสียเลย แต่จะโทษตัวเองฝ่ายเดียวก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะกฎของที่บ้านไม่อนุญาตให้คนสีผิวเข้าบ้านยกเว้นเฉพาะเวลายกอาหารไปตั้งโต๊ะกับมารับตะกร้าเสื้อผ้าไปซัก  ส่วนงานภายในบ้าน ลอเร็นทำหน้าที่ดูแล  ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ พวกคนงานหรือคนสวนจะไม่มาเดินแถวบริเวณบ้านใหญ่ เขายักไหล่ปัดความคิดนั้นไป  หยิบกล่องตุ๊กตาไปที่โต๊ะชำระเงิน นี่คงเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เด็กกล่องนั่นได้รับ

            “โอ.. มันน่ารักมากค่ะ ซื้อไปฝากลูกชายเหรอคะ” เจ้าของร้านเป็นหญิงชาวอังกฤษวัยกลางคนถามขึ้น

“เอ่อ.. ซื้อไปฝาก..เอ่อ..เด็กข้างบ้าน”

“แหม คุณช่างใจดีเหลือเกิน นี่เป็นของเล่นที่ราคาแพงเชียวนะ”

“เอ่อ..ครับ”  

“คุณจะให้ห่อให้ไหมคะ”

กิลเบอร์ตสะดุ้งที่ได้ยินเสียงใส ๆ ถามเขาจากข้างหลัง พอเขาหันไปก็พบกับสาวน้อยผมสีทองเป็นลอนยาวสลวยยืนห่างจากเขาไม่กี่ฟุต

“เอ่อ..ครับ” เขาตอบไปโดยไม่ทันตั้งตัว สาวน้อยเดินมาหยิบเอากล่องตุ๊กตาจากมือเขา  กิลเบอร์ตจ้องมองเธอตาไม่กระพริบ  เธอเดินอ้อมโต๊ะไปยืนฝั่งตรงข้ามกับเขา แล้วก้มหน้าก้มตาห่อของขวัญ  

“นั่นหลานสาวดิฉันเองค่ะชื่อเบ็ตตี้ เธอเพิ่งเรียนจบไฮสคูล แล้วฉันก็ให้มาช่วยงานที่นี่ คุณอาศัยอยู่แถว ๆ นี้หรือคะ”  หญิงเจ้าของร้านคงสังเกตเห็นว่าเขาจ้องเธอตาไม่กระพริบ

“เออ..ไม่ครับ ผมอยู่ทางฝั่งตะวันออก แถว ๆ แม่น้ำ ทูเกลูล่า”

“อ้อ..แถว ๆ นั้นทำเหมืองและกสิกรรมเยอะนะ”

“ครับ..ก็เคยทำ แต่ตอนนี้เหลืออย่างหลังครับ” แววสลดปรากฏบนสีหน้าของเขา พอดีจังหวะนั้นเบ็ตตี้ยื่นของขวัญที่ห่อเสร็จแล้วให้เขาพร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ ให้

“ฉัน นาเดีย หรือจะเรียก นานาก็ได้ค่ะ ฉันกับสามีเพิ่งมาซื้อกิจการต่อจากพวกดัทช์ได้ไม่นาน ยินดีที่รู้จักค่ะ” เจ้าของร้านแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“ผม กิลเบอร์ต ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ลาก่อนนานา ลาก่อนเบ็ตตี้” 

ขณะเดินออกจากร้านเขาเห็นเบ็ตตี้โบกมือให้  เขารู้สึกดีใจและมีความสุขกับการจับจ่ายซื้อของในวันนี้

แต่ถ้าเขาได้รู้ล่วงหน้าว่าการซื้อของเล่นไปฝาก ‘เด็กข้างบ้าน’ อย่างที่เขาบอกเจ้าของร้านไปทำให้เขากับลอเร็นต้องถึงจุดแตกหัก เขาไม่แน่ใจว่าถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะยังซื้อมันอยู่ไหม

            “คุณแอบเอาเด็กเข้าบ้านโดยไม่บอกฉัน คุณเห็นฉันเป็นอะไร” ลอเร็นขึ้นเสียงกับเขา

            “ผมพยายามจะบอกคุณตั้งแต่วันแรกที่เจอเด็กแล้ว แต่คุณก็ตวาดผมทันทีที่เจอหน้าผม ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เพียงแค่ผมวางเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไว้บนเตียงนอน”

            “แล้วต่อจากนั้นอีกหลายวันล่ะ คุณมัวทำอะไรอยู่  อย่านะ อย่าเอาปัญหาครอบครัวคุณมาเป็นข้อแก้ตัวนะว่าคุณมีเรื่องคิดมากพออยู่แล้ว  ฉันไม่อยากฟังอีกแล้ว ฉันเบื่อเต็มทน”

            “ผมก็สุดจะทนเหมือนกันที่คุณไปงานปาร์ตี้น้ำชาบ่อย ๆ  ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ตามสโมสร ขณะที่ผมทำงานอยู่ในไร่ หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว”

            “ก็ที่นี่มันน่าเบื่อ ฉันไม่ชอบบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้ ฉันจะไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ฉันจะกลับไอร์แลนด์”

ทุกครั้งที่มีปากมีเสียงกันลอเร็นก็มักจะพูดประโยคนี้บ่อย ๆ แต่ก็อยู่กันมาได้เกือบยี่สิบปี แต่คราวนี้เธอทำจริง คืนนั้นเธอจัดเก็บกระเป๋าทั้งคืน และเรียกรถมารับในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดกับเขา

            “เพราะฉันไม่มีลูกให้คุณใช่ไหมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ คุณคงคิดว่าฉันโง่ เป็นยายบื้อที่คุณจะหลอกได้เรื่องเด็กนั่น โบราณว่าเอาไว้  ส่องกระจกก็จะเห็นเงาตัวเอง”  

เขาสะดุ้งกับความคิดของเธอ คำพูดของเธอเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเขา เขาไม่มีอารมณ์จะอธิบาย เพราะเธอไม่เคยฟังเหตุผล และนี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชีวิตคู่ระหว่างเขากับเธอคงถึงกาลอวสานที่ไม่มีวันย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกแล้ว

“ลาก่อนกิลเบอร์ต ฝากบอกลาทุก ๆ คนด้วย”

มันเป็นวันลาจากที่น่าเศร้า แต่ลึก ๆ กิลเบอร์ตกลับบอกตัวเองว่า มันควรถึงจุดจบเสียที ถึงแม้เขาจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดมากมายนัก  มันเหมือนเขาได้ปลดปล่อยอะไรออกไป แล้วเขาก็ถามตัวเองว่า’ มันจะดีกว่าไหมถ้าไม่มีลอเร็น’

บ้านทูเกลูลาที่เคยเงียบเหงา คุณลอเร็นจากไปอีกคนความเงียบเหงามันยิ่งทวีมากขึ้น มาสเตอร์อังซอ ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ในห้องชั้นบน  หน้าที่ทำความสะอาดบ้านใหญ่ตกอยู่กับมาร่า แต่เธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องส่วนตัว   มาสเตอร์กิลเบอร์ต เข้าไปในเมืองบ่อยขึ้น และทุกครั้งที่เขากลับมา เขามักจะซื้อขนมจากร้านคุณนายนาเดียมาฝากเธอกับลูก รวมถึงซาช่าด้วย

เด็กกล่อง ตามที่กิลเบอร์ตเรียก  โตวันโตคืน ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เธออายุครบหนึ่งปีเธอเป็นคนเจ้าเนื้อนิด ๆ พวงแก้มใหญ่  ผมสีน้ำตาลเข้มฟูหยิกหยอง ดวงตารียาวนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเหลือง มองดูเหมือนนัยน์ตาของแมว  จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ผิวสีแทน ซาลิมนั่งดูหนูน้อยที่กำลังเล่นกับตุ๊กตาเสือชีต้า

            “มาร่า ดูสิ ยิ่งโตซาช่าก็ดูหน้าตาคล้ายมาสเตอร์กิลเบอร์ต  นัยน์ตาก็ดูคล้ายมาสเอตร์อังซอ”

            “ก็สองคนนั่นพ่อลูกกันไม่ใช่รึ”

            “มาสเตอร์กิลเบอร์ตเคยเห็นซาช่าหรือยัง” ซาลิมถามเพราะไม่แน่ใจ

            “พี่ลืมที่เขาเคยพูดแล้วหรือ ‘.ให้เลี้ยงไว้ช่วยงาน’ เขาคงไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ จึงต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นี่กระมังที่ทำให้คุณลอเร็นแยกทาง“

            “แต่เขาก็ยังซื้อของเล่นให้”

            “ชิ..สำหรับเขาแล้วมันก็อาจแค่เศษเงิน อย่าลืมว่าตอนครอบครัวเกลมังทำเหมืองน่ะ เขารวยขนาดไหน ขนเงินกลับฝรั่งเศสเป็นว่าเล่น นี่ถ้ามาสเตอร์เรอมี่ไม่เกิดอุบัติเหตุ..”

            “หยุดเถอะอย่าเล่าต่อเลย เราต่างก็สูญเสีย”  พูดจบซาลิมก็ก้มหน้า เอามือลูบตาข้างที่บอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกัดฟันพูด “พวกเราต่างก็ทุ่มเทกับครอบครัวนี้มามากพอแล้ว ดูสิตัวเธอเองก็แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในบ้านหลังใหญ่ แต่ต้องกลับมาเป็นคนใช้เขา”

            “ในวันข้างหน้าฉันกะจะใช้ซาช่าเป็นเครื่องมือต่อรอง” นัยน์ตามาร่าลุกวาว

           “ก็อย่าหวังให้มากนัก เพราะดูท่าทางมันคงเป็นไปได้ยาก ผู้เฒ่านั่นไม่เคยยอมใครง่าย ๆ ”

           

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในกระท่อม จนอายุได้สามขวบกว่า ๆ ชีวิตในแต่ละวันของหนูน้อยวนเวียนอยู่ในกระท่อม ห้องครัว ห้องพักของลุงซาลิม คอกม้าเจ้าไวคาส  ไม่เคยไปไหนไกลกว่านั้น  มีเพื่อนเล่นชื่อซีโร มีพี่ชื่อโทนิ เธอเล่น กิน นอน หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น  บ่ายวันนี้ก็เช่นกัน เธอเล่นกับตุ๊กตาเสือชีต้าจนม่อยหลับไป ซึ่งปกติเธอจะหลับนานตลอดบ่าย จะตื่นราว ๆ ห้าโมงเย็น  แต่วันนี้เธอหลับไปได้สองชั่วโมงเศษ ๆ ก็สะดุ้งตื่น เธอแหงนมองเพดาน และมองไปรอบ ๆ ดูมันเงียบผิดปกติ เธอมองออกนอกประตูที่เปิดอ้าอยู่ เห็นเจ้าซีโรนั่งแลบลิ้นยิ้มทักทายอยู่ตรงประตู เธอคว้าเอาตุ๊กตาเสือชีต้ามาถือไว้แล้วลุกเดินออกไปหามัน เอามือตบหัวมันเบา ๆ   เธอเดินตรงไปที่คอกม้า เจ้าซีโรก็เดินตาม เห็นเจ้าไวคาสนอนสบายแต่ไม่มีวี่แววลุงซาลิม 

            “ลุงซาลิม”  เธอเรียกเบา ๆ เงียบไม่มีเสียงตอบ เธอวิ่งเข้าไปดูในห้องครัว

              “แม่..โทนิ” ทุกอย่างยังคงเงียบกริบ เธอมองซ้ายมองขวา ทำท่าจะร้องไห้

พลันเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังแว่วมา  ฟังแล้วมันไพเราะจับใจ ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นเสียงแมลงร้องดังมาจากป่าด้านหลัง  แต่มันดังก้องกังวาลเป็นท่วงทำนองชวนเคลิบเคลิ้ม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเดินตามเสียงนั้นไป มันดังมาจากบ้านหลังใหญ่ เธอเดินไปเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าไปใกล้บ้านหลังใหญ่เท่าไร เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้น  เธอเหลียวมองรอบ ๆ บ้านแต่ไม่เจอใคร หันมามองดูเจ้าซีโร่มันยังคงกระดิกหางอย่างอารมณ์ดี เธอจึงเดินตรงไปที่ประตูบ้าน ใช้มือผลักเบา ๆ ประตูไม่ได้ล็อค เธอเดินผ่านเข้าไป เจ้าซีโรดูท่าทางคุ้นเคยดีกับที่นี่มันยิ้มตลอดเวลา เธอแหงนหน้ามองตามเสียงที่ดังมาจากชั้นบน เธอหยุดนิ่งลังเลใจ แต่เจ้าซีโรกระดิกหางเดินนำหน้าไปก่อน เธอจึงเดินตาม ทั้งสองก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ  เมื่อโผล่พ้นบันไดก็ยังมองไม่เห็นใคร เสียงสั้นดังกังวาลจนน่ากลัวมันดังมาจากห้องข้าง ๆ นี่เอง ซึ่งประตูเปิดแง้มเอาไว้  เจ้าซีโรนั่งลงตรงหัวบันไดขณะที่ซาช่าเดินไปอย่างช้า ๆ ในมือกอดคอตุ๊กตาเสือชีต้าไว้แน่น เธอไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังประตูแล้วค่อย ๆ ยื่นหน้ามองเข้าไปข้างใน เธอสะดุ้งกับภาพที่เห็น ชายแก่ร่างผอมสูง ผมสีขาวโพลน สวมใส่ผ้าชุดผ้าแพรสีขาว ในมือถืออะไรบางอย่างที่ประทับไว้บนบ่ายืนหันหลังให้เธอ   สายตาเธอยังไม่ละไปจากมืออันเหี่ยวย่นของชายแก่ที่เลื่อนไปมาบนของเล่นบนบ่า เธอเผลอตัวก้าวเท้าเข้าไปเรื่อย ๆ เพื่อจะดูหน้าชายแก่   พลันเสียงนั้นก็หยุดกึก จังหวะเดียวกันเธอก็หยุดกึกด้วยตกใจ ชายแก่นั่นก็หันขวับมา นัยน์ตาสีเขียวของชายแก่ลุกวาว จ้องมองเธอไม่กระพริบ   เธอสะดุ้งหัวใจเต้นตุ้มต่อมไม่เป็นจังหวะเธอยกตุ๊กตาเสือชีต้าขึ้นบังหน้า แล้วค่อย ๆ ยื่นหน้ามอง   ไม่ต่างอะรับชายแก่ซึ่งก็ตกใจเช่นกันที่จู่ ๆ ก็มีใบหน้าของเด็กหญิงยื่นโผล่บานประตูเข้ามา  ทั้งคู่ประสานสายตากัน  

 ‘นี่ช่างเป็นภาพที่น่ากลัว ชายแก่ที่มีใบหน้าที่เหี่ยวย่น ปากเรียวเล็กเม้มสนิทแววตาดุดันที่จ้องมองเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ’  

‘เด็กเนื้อตัวมอมแมมนี่เป็นลูกใคร ขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง  ดูของเล่นที่เธอกอดอยู่สิ เป็นตุ๊กตาเสือชีต้าตัดเย็บด้วยผ้าชั้นดี ’  เขากพินิจพิจารณาดูให้ถ้วนถี่อีกครั้ง ‘ผมสีน้ำตาลเข้มเฉดทองแดงยามต้องแสง นัยน์ตาน้ำตาลอมเหลือง ถึงเธอจะผมหยิกหยอง เธอมีคางบุ๋มเหมือนเรอมี่ ดวงตารียาวเหมือนยีแบร์ ..หรือว่า..’  พลันความคิดแว๊บหนึ่งก็ผานเข้ามาในสมองของเขา ‘..นี่ใช่ไหมที่ทำให้ลอเร็นทิ้งเขาไป’  แล้วความโกรธจัดก็พุ่งปรี๊ด เขาขบกรามกรอด

“ปาอีซัง (คนบ้านนอก) ขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง ออกไปให้พ้นหน้าฉัน”  เขาตวาดดังลั่น  เด็กน้อยร้องไห้จ้าวิ่งลงบันไดหนีสุดชีวิต ซีโรวิ่งตามไปติด ๆ

ลุงซาลิมเพิ่งกลับจากไปดักปลาที่แม่น้ำใกล้ ๆ บ้าน ทันที่ที่ได้ยินเสียงเขารีบวางสัมภาระแล้ววิ่งอ้าแขนรอรับหนูน้อยที่วิ่งร้องไห้ฟูมฟายมา เธอถลาเข้าหาเขาซบหน้าลงกับอก  ร้องไห้สะอึกสะอื้นซาลิมสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะด้วยความตกใจกลัว

“ลุงขอโทษ ลุงนึกว่าหนูจะไม่ตื่นกลางครัน”  เขาแหงนหน้ามองไปยังบ้านใหญ่  มองเห็นเงาลาง ๆ เคลื่อนไหวหลังม่านหน้าต่างชั้นบน  แล้วดวงตาของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แม่แต่ข้างที่บอดก็มีน้ำตาไหลซึมออกมา

“แม้แต่เด็กก็ไม่ปราณีเลยนะ ตาเฒ่า” 

 



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 23 มีนาคม 2558 22:51:15 น.
Counter : 620 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 18
 

รถจิ๊ปสีเทาดำมุ่งออกนอกเมืองพรีทอเรียไปทางทิศตะวันออก ฟาโก้มีสีหน้าเคร่งเครียด ข้าง ๆ เขาเบลล่าประคองกันตยาที่หลับสนิทคอพับอยู่บนไหล่ของเธอ  ใช้เวลาเกือบชั่วโมง รถก็เลี้ยวเข้าประตูรั้วเหล็กมาจอดหน้ากระท่อมที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นในสวนพืชผลการเกษตรขนาดใหญ่  ฟาโก้ลงจากรถเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกข้างหนึ่งแล้วเอามือซ้อนร่างกันตยาออกมาจากรถ  หญิงชราวัยหกสิบต้น ๆ รูปร่างผอมสูง ผมหยิกขอดแบบชาวแอฟริกันทั่ว ๆ ไป กุลีกุจอเปิดประตูกระท่อมให้พวกเขาเข้าไปข้างใน  

             “ ’หล่อน’ จะหลับไปนานแค่ไหน” เบลล่าถามฟาโก้ขณะจัดท่านอนให้กันตยา  

             “28 ชั่วโมง”    

             “นั่นมันสองวันเต็มเลยนะ  ไม่น่าเชื่อว่าตำรับสมุนไพรตระกูลของเราใช้ได้ผล”  

หญิงแก่ยื่นหน้ามามองร่างของกันตยาที่นอนแน่นิ่งบนเตียง ริมฝีปากของเธอกัดแน่น คิ้วย่นเข้าหากัน              ‘ในที่สุด’หล่อน’ ก็มาตามคำทำนาย’  เธอพูดงึมงำในลำคอ 

              “ยาจะออกฤทธิ์ทำให้คนไข้หลับสนิท จิตใต้สำนึกจะไร้การควบคุม เราต้องเฝ้าจับตาดู ‘หล่อน’ อาจจะหวนกลับไปยังสถานที่ ๆ หล่อน คุ้นเคย”   ฟาโก้พูดออกไปทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่ายาสูตรพิเศษที่เขาปรุงขึ้นจะใช้ได้ผลจริงหรือ  เพราะที่วางขายในร้านของเขาจะเป็นเพียงยากล่อมประสาทอ่อน ๆ และใช้ในปริมาณน้อยสำหรับผู้ที่มีความเครียดสูง หรือนอนไม่ค่อยหลับ

                “ถ้าเกิดมันไม่ได้ผลล่ะ” คำถามของเบลล่าทำให้เขารู้สึกร้อนวูบที่หน้า เพราะนั่นแหละคือสิ่งที่เขาเองก็ไม่แน่ใจ  

                 “ไม่ลองไม่รู้ ” ดวงตาของหญิงแก่ฉายแววระยิบระยับ  “เล่ากันต่อ ๆ มาว่ามีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ในนั้นด้วย”            

                   “สมบัติอะไรอีกล่ะยาย เห็นทวดบอกแค่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษถูกกักขัง”  มาถึงจุดนี้แล้วเบลล่ายังปักใจเชื่อไม่ลง หญิงแก่ถลึงตาจ้องหน้าเธอเขม็ง แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ เหมือนเกรงว่าจะมีคนแอบได้ยิน      

     

                    “ทวดไม่บอกพวกแกละสิ ..อย่าลืมสิว่าที่ตรงนั้นมันเป็นเหมืองเก่า” แล้วสายตาของหญิงแก่ก็เจือปนไปด้วยแววเจ็บปวด

                     “พวกฝรั่งตาสีน้ำข้าวมันมีเงิน มีปืน มันมาแย่งการครอบครองดินแดน จนบรรพบุรุษของเราต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตก็แทบเอาไม่รอด เพราะ’หล่อน’ คนเดียวแท้ ๆ“ เธอหันมาจ้องมองร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววโกรธจัด

 

รถโคชสีดำพร้อมม้าเทียมคู่งามของกิลเบอร์ตเลี้ยวเข้าจอดหน้าบ้านสองชั้นหลังใหญ่เก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินกว้างที่เรียกว่า ทูเกลูลา เป็นชื่อเรียกตามแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน ปศุสัตว์และการเกษตรของผู้ที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของจังหวัดกัวเต็ง  ซึ่งมีเมืองที่มีความสำคัญคือพรีทอเรีย ด้านข้างห่างออกไปราวห้าสิบเมตรเป็นกระท่อมที่พักของแม่บ้านสร้างติดกับโรงครัว  ด้านข้างโรงครัวเป็นคอกม้า ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงม้าแก่เดียวชื่อ ไวคาช ติดกับคอกม้าเป็นห้องพักรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่ซาลิม ชายวัยกลางคนอาศัยอยู่ ซาลิมตาบอดข้างขวา ซึ่งมีตำนานเล่าขานถึงความกล้าหาญของเขา   ซาลิมมีหน้าที่ดูแลม้าและงานจิปาถะทั่ว ๆ ไป   พอรถจอดสนิท กิลเบอร์ตกระโดดลงจากรถ คว้ากล่องไม้แล้วเดินลิ่วตรงไปยังที่พักของแม่บ้าน  สุนัขซีโรเดินตามไปติด ๆ ท่าทีของมันตื่นเต้นซึ่งต่างกับเจ้านายของมันที่มีสีหน้าเคร่งเครียด

  “มาร่า .. ผมเจอไอ้นี่..ไม่ใช่สิ ซีโร่เจอมันในแม่น้ำหลังสวน ..”  เขาวางมันลงตรงหน้าเธอ         

 “ได้ยินเสียงเด็กร้อง  แต่ผมไม่กล้าเปิดดู “ พูดจบเขาก็ผลุนผลันหันหลังกลับ

“ลอเร็น ..ลอเร็น ”  เขาเรียกชื่อภรรยาขณะเดินตรงไปบ้านใหญ่

 มาร่าแม่บ้านร่างอ้วนกลม บั้นท้ายใหญ่ตามรูปแบบชาวพื้นเมืองทั่ว ๆ ไป เธออายุสามสิบต้น ๆ อาศัยอยู่กับโทนิลูกสาววัยหกขวบ มาสเตอร์กิลเบอร์ตอายุห่างกับเธอไม่กี่ปี  เขาอายุสี่สิบต้น ๆ เป็นคนหน้าตาดี พูดน้อย จู่ ๆ เขาก็หิ้วกล่องไม้มีเด็กอ่อนอยู่ข้างในมาให้เธอ แล้วรีบกลับไป            

                 ‘ท่าทางมีพิรุธ’   

 มาร่ามองตามหลังเขา มาร่ายกกล่องเข้าไปข้างใน เสียงร้องเงียบไปแล้ว เธอเปิดกล่องดู หัวใจของเธอเต้นตูมตาม ..ตื่นเต้นกับภาพที่เห็น  เธอเดินลิ่วตรงไปยังบ้านใหญ่เพื่อจะแจ้งข่าวให้ มาสเตอร์กิลเบอร์ตทราบ  แต่เท้าที่กำลังก้าวย่างก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทะเลาะกัน  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ของสามีภรรยาคู่นี้ เธอจึงหันหลังกลับ ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถโคชเคลื่อนออกไปอย่างเร็ว มาร่าเดาได้เลยว่าคนขับคือ คุณลอเร็น ซึ่งปกติเธอก็ชอบออกนอกบ้านเป็นประจำอยู่แล้ว            

                 “โทนิ มาเฝ้าน้องหน่อย แม่จะไปหาซื้อนมแพะที่ตลาดสักเดี๋ยว”            

                 “จ๊ะแม่”   เด็กหญิงวัยหกขวบรูปร่างตุ๊ยนุ้ย ผมหยิกหยองฟูฟ่อง แต่งกายห่มเฉียงด้วยผ้าฝ้ายพื้นเมืองหยาบ ๆ  สีขาวหม่น  เธอรีบวางมือจากของเล่น  และไม่ลืมคว้าตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์เก่า ๆ เพื่อนเล่นตัวโปรดที่เธอเก็บได้ที่ไหนสักแห่งบริเวณรอบ ๆ บ้านนี่แหละ เธอเดินต้วมเตี้ยมผ่านประตูจะเข้าไปข้างใน สวนทางกับแม่ซึ่งกำลังออกมาพอดี  

         

                  “ไปล้างมือซะ ถ้าน้องร้อง ให้เอานิ้วมือให้น้องดูดนะ ..แม่จะรีบไปรีบมาจ๊ะ”        

                  “จ๊ะแม่” แล้วเธอก็เดินไปนั่งยอง ๆ ข้างกล่องไม้  เอื้อมมืออวบอ้วนน้อย ๆ ไปจับที่แก้มน้องเบา ๆ 

                  “น้องน่ารักจัง..ชื่อไรน่ะ”  เจ้าซีโร่ส่งเสียงร้องอี๊ก ๆ อยู่ข้างนอกกระท่อม โทนิจึงเรียกมันเข้ามา            

                   “ชีโร่ เข้ามา เข้ามา” เจ้าซีโร่วิ่งเข้ามายืนข้าง ๆ โทนิแล้วใช้จมูกดมฟุตฟิตข้าง ๆ กล่องไม้ หางของมันกระดิกไปมา จากนั้นมันหมอบลงข้าง ๆ ส่งเสียงเห่าดังก้อง   

         

                    “ไม่หรอกซีโร่ น้องยังเล็ก น้องยังไม่เล่น”  โทนิเอามือตบหัวของมันเบา ๆ แต่มันยังคงเห่าเหมือนเดิม เสียงหนูน้อยในกล่องร้องจ้า โทนิจึงแหย่นิ้วชี้เข้าปากน้องตามที่แม่สั่ง    น้องหยุดร้องแล้วแต่เจ้าซีโร่ยังไม่ยอมหยุด ยังคงส่งเสียงเห่าอย่างอารมณ์ดี   เสียงของมันก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวบนชั้นสองของบ้านหลังใหญ่  ม่านหน้าต่างถูกแหวกออก

สามวันแล้วที่มาร่าทำหน้าที่ดูแลเด็กอ่อน ทำให้เธอมีภาระงานมากขึ้น  ยังไม่มีใครจากบ้านหลังใหญ่แวะเวียนมาถามไถ่เลย เวลาจัดเตรียมอาหารก็ไม่เจอใคร พอเข้ามาเก็บโต๊ะทุกคนต่างก็แยกย้ายออกไปหมดแล้ว ซึ่งเธอก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว ‘เกลมัง’ ดูเย็นชาและห่างเหิน

เช้าวันนี้ เธอสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นมาสเตอร์กิลเบอร์ตยังคงนั่งที่โต๊ะอาหาร          

               “เด็กนั่น สบายดีไหม”  เขาทักขึ้นก่อน            

                “ค่ะ สบายดีค่ะ”  มีบางอย่างที่เธออยากพูด แต่กลับพูดไม่ออก เธอก้มหน้าหลบสายตาผู้เป็นนาย

                 “คงไม่มีใคร..ออกตามหานะ” เขาหยุดพูด แววตาล่องลอยเหมือนคนจมอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะพูดต่อ 

                 “เลี้ยงไว้ช่วยงานก็แล้วกัน จะเพิ่มค่าอาหารกับรายเดือนให้ก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็ลุกเดินออกนอกบ้านไป มาร่ามองตาม รู้สึกฉุนขึ้นมานิด ๆ  ‘เลี้ยงไว้ช่วยงานช่างทำได้ลงคอ’  เธอเม้มริมฝีปาก แต่ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บรวบรวมจานชาม แล้วยกกลับโรงครัว  

ซาลิมยืนรอพบเธอที่นั่น  เขาเป็นญาติทางทวดของเธอ อายุแก่กว่าเธอไม่กี่ปี รูปร่างผอมสูงใหญ่กำยำ แข็งแรง เปลือกตาข้างขวาหย่อนลงมาปิดเกือบสนิท  เขาเป็นคนงานที่ดีมากคนหนึ่ง จนมาสเตอร์อังซอชอบเรียกหาให้ติดสอยห้อยตามเสมอ ๆ     

       

               “บ้านใหญ่ว่าอย่างไรเกี่ยวกับเด็ก”            

                “มาสเตอร์ผู้ลูกบอกฉันว่า ให้-เลี้ยง-ไว้-ช่วย-งาน”  มาร่ายักไหล่            

                “เขาทำได้ยังไง..เพราะเด็กนั่น...”            

                “จุ๊..จุ๊..อย่าเอ็ดไปเชียว เดี๋ยวจะเดือดร้อนเปล่า ๆ ” มาร่าเอามือจุ๊ปาก  

ซาลิมถอนใจเฮือกใหญ่ คนผิวขาวมีแต่ความกระหาย อยากได้ ไม่เคยมองว่าคนอย่างพวกเขาก็มีหัวใจ มีความรู้สึกนึกคิด  มือของเขากำแน่น   

         

                  “เด็กอาจจะมีประโยชน์ต่อพวกเราในภายภาคหน้าก็ได้”  ทุกครั้งที่มาร่ามองดูเด็กในกล่องนั่น เธอมักจะวาดฝันไปหลาย ๆ เรื่อง จนบางครั้งเธอก็เผลอยิ้มออกมาอย่างคนมีชัย 

                 “คนสีผิวอย่างพวกเราไม่เคยมีใครมีโอกาสดี ๆ ”

มาร่าค้อนควับ รู้สึกไม่พอใจที่ซาลิมมักไม่เห็นด้วยกับเธอในหลาย ๆ เรื่อง เขาอ่านสีหน้าของเธอออก  จึงเดินเลี่ยงออกไปเสียจากโรงครัว   

มาร่าอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ จากคำพูดที่มาสเตอร์กิลเบอร์ตบอกเธอ นั่นแสดงว่าเด็กนั่นจะได้อยู่กับเธอ เด็กจะเรียกเธอว่า ‘แม่’   คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเธอเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น เธออยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ วันที่เด็กน้อยโตเป็นผู้ใหญ่      นับตั้งแต่วันที่สามีเธอหายสาบสูญไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกมีความสุขและมีความหวัง นั่นมันหมายถึงพลังที่จะช่วยให้เธอฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหน้า  และแล้วใบหน้าอันเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากของคุณตาโคปากับคุณยายทาทูมก็ลอยเด่นเข้ามาในหัวของเธอ   

         

               ‘คุณตาคุณยายจงอดทน หลานจะพยายามหาทางช่วย’

แล้วนัยย์ตาของเธอก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เธอปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในห้วงความรู้สึกนี้ไปอีกหลายนาที เธออยากเห็นภาพที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า และมีความสุขด้วยกันที่บ้านหลังใหญ่อีกครั้ง

มาร่ากลับจากจ่ายตลาด เธอเดินตามหาซาลิมด้วยท่าทีตื่นเต้น  ซาลิมซึ่งกำลังโกยหญ้าแห้งให้ไวคาชหันมามองด้วยความแปลกใจ     

       

                 “เช้านี้ฉันแวะไปหาแม่ชีมา ” ซาลิมไม่พูดว่ากระไร หันไปโกยหญ้าแห้งในรางต่อ            

                  “ไม่ถามฉันบ้างหรือว่าฉันแวะไปทำไม”  เธอรู้สึกน้อยใจที่ญาติผู้พี่ดูจะไม่สนใจเรื่องที่เธอกำลังพูด            

                    “ก็เล่าไปสิ”  น้ำเสียงของเขาฟังดูรำคาญนิด ๆ  

                    “ฉันบอกแม่ชีว่า อยากได้ชื่อดี ๆ เผื่อเด็กจะได้เจอสิ่งดี ๆ บ้าง”  เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ เพราะลึก ๆ ในใจของเธอ  ไม่ได้คาดหวังเช่นนั้น แต่เธออยากให้เกิดความทัดเทียมในสิ่งที่ใจของเธอเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา คำพูดที่เธอโกหกแม่ชียังคงดังก้อง 

             ‘ญาติอิฉันคลอดลูกค่ะแม่ชี  เขาอยากให้เด็กมีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ’  

             “แม่ชีเอ่ยมาสองสามชื่อ และให้ฉันเลือกเอา  และฉันเลือกชื่อที่มีความหมายว่า ‘ผู้ปกป้องมนุษย์’  พอดีจังหวะนั้นโทนิเดินเข้ามาพอดี  

             “โทนิ น้องมีชื่อเรียกแล้ว ..ซาช่า  น้องชื่อ ซาช่า นะ”   

 

มาร่าหันไปจ้องมองบ้านทูเกลูล่าหลังใหญ่ซึ่งมันยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในที่ ๆ มันเคยอยู่ สภาพภายนอกของมันยังคงเหมือนเดิม ความคิดของเธอล่องลอยทะลุเข้าไปทุกซอกทุกมุมของบ้านที่เธอรู้จักมันดี  เธอโหยหาเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของสมาชิกครอบครัว โอลูเซยี ซึ่งตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว บรรยากาศภายในบ้าน สำเนียงและเสียงพูดคุยได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่ครอบครัว เกลมัง เข้ามาแทนที่ 

 

 

 

 




Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 13 เมษายน 2558 23:14:35 น.
Counter : 562 Pageviews.

0 comment
กันตยา & ซาช่า 17
 

         “ จะหา หล่อน เจอได้ที่ไหน และมันหมายถึงน้ำอะไร” เบลลาหงุดหงิด   

            “ กุมภาพันธ์ Aquarius แอควะ แปลว่าของเหลว แปลว่าน้ำ ใช่แล้ว” ฟาโก้ตีขาตังเองฉาดใหญ่            

                “พี่มาดูแผนที่เก่าแก่ที่แม่เจอใต้หมอนยายทวดสิ เผื่อมันบอกอะไรได้บ้าง” ฟาโก้กางแผ่นกระดาษสีเทาซีดขนาดเล็กกว่า A4 ออกมาดู รูปเข็มทิศระบุตำแหน่งทิศเหนือ มีเส้นลูกศรสีแดงซีดขีดโยงจากจุดกลม ๆ เฉียงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้ววกย้อนกลับมายังจุดเดิม             “นี่คือพรีทอเรีย ..แล้วนี่ล่ะ” ฟาโก้ลากมือไปตามเส้นไปยังจุดที่มีเครื่องหมายวงกลมใหญ่  

             “อ่าวตรงนี้..อ้อใช่แล้ว Gulf of Thailand ไง.”  เบลลาตื่นเต้นกับสิ่งที่ค้นพบ            

              “อา..ผมนึกอะไรบางอย่างได้ “ ฟาโก้เอานิ้วมือเคาะหัวตัวเองทำท่าครุ่นคิด “เห็นข่าวในทีวีพูดถึงเส้นทางบินสายใหม่ โจฮันเนสเบิร์ก- กรุงเทพฯ ”  แล้วทั้งสองก็สบตากันทั้งคู่มีแววตาตื่นเต้น  

 กุมภาพันธ์ผ่านพ้นไป ไร้ซึ่งวี่แววบุคคลที่พวกเขาตามหา เบลลารู้สึกหมดหวังและหงุดหงิด  

             “ยายทวดอาจจะเลอะเลือน” เธอบ่นกับแม่ “กุมภาพันธ์ เดือนน้ำของฟาโก้ก็สิ้นสุดลงแล้ว จะมีอะไรอีกล่ะ พลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบลลากดรับ เสียงฟาโก้ดังมาตามคลื่น  

             “เบลลา ตามโหราศาสตร์ กลุ่มธาตุน้ำ คือ มีน  กรกฎ  พฤศจิก”  

             “ งั้นก็ต้องเป็นเดือนนี้สิ มีน  มีนาคม ” เบลลาค่อนข้างมั่นใจ 

  กัปตันบนเครื่องประกาศเตรียมจะแลนดิ้งในไม่กี่นาทีข้างหน้า  กันตยารีบเลื่อนหน้าต่างขึ้นมองออกนอกหน้าต่าง เห็นเพียงเมฆหมอกในยามเช้าที่หนาทึบจนบดบังทิวทัศน์เบื้องล่าง  

             ‘ในที่สุดเราก็ได้มาเหยียบผืนแผ่นดินแห่งแอฟริกา’  

 พอลงจากเครื่อง ลมหนาวกรรโชกมาอย่างแรง กันตยารู้สึกถึงคางที่กระทบกันดังกึก ๆ  รถเมล์ถ่ายโอนผู้โดยสารจอดรออยู่ข้างหน้า  เธอเลือกที่นั่งข้างหญิงอ้วนชรา  ผู้คนรอบข้างเธอทั้งหมดล้วนเป็นคนสีผิว เธอดูเป็นตัวประหลาดในกลุ่ม  

             “คุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือ” เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองถามแต่เหมือนเป็นคำถามตั้งโปรแกรม เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าผู้ถูกถามจะตอบอย่างไร  

 ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองพลันสายตาของเธอก็มองเห็นรถตู้บริการที่เรียกว่า ชัทเทอร์ คาร์ (shutter car) จอดรอรับผู้โดยสารตรงทางออก ข้างรถเขียนว่า โจฮันเนสเบิร์ก-พรีทอเรีย หัวใจของเธอก็เต้นไม่เป็นส่ำ

                 ‘ ทำไมต้องพรีทอเรีย ทำไมชื่อนี้มันเรียกร้องหาเธอเหลือเกิน ตลอดเวลาที่ยังไม่บิน เธอพยายามไม่เอ่ยถึงมัน ..แน่ละอาจเพราะมันเป็นเมืองหลวงมั้งเธอถึงอยากจะไปนักหนา’  

  กว่าจะตั้งสติได้เธอก็นั่งอยู่บนรถเสียแล้ว และเห็นตัวเองกำลังยื่นแบงค์ 50 แรนด์ให้พนักงานเก็บเงิน

                   ‘ถึงบ้านแล้วค่อยบอกป้าวีร์’    

พอรถเคลื่อนออก เธอพยายามเก็บภาพแห่งความทรงจำบริเวณข้างทางให้ได้มากที่สุด แต่หารู้ไม่ว่า ผู้โดยสารที่นั่งข้างหลังกำลังจับตามองเธอทุกความเคลื่อนไหว    

 ทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่อ้อย ข้าวโพด ปลูกเป็นแถวลดหลั่นเป็นขั้นบันไดตามการโก่งตัวของดินและยังมีพื้นที่ว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา    

            “จะลงที่ไหนครับ”    

 กันตยาสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามจากพนักงานขับรถ และเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไปไหน  

 

                  “สวนพฤษศาสตร์ "เป็นชื่อที่เธอจำได้จากหนังสือนำเที่ยวแอฟริกาใต้ที่ทางบริษัททัวร์จัดส่งให้        

                “ไม่ตรงไปที่พักหรือ?”  โซเฟอร์ท่าทางใจดีและเป็นมิตรถามต่อ  

             “นัดเพื่อนตรงนั้นค่ะ”    

            “ฉันก็นัดเพื่อนไว้ที่สวนสาธารณะเหมือนกัน “ เบลลาพูดขึ้น” ดีค่ะเราจะได้ลงที่เดียวกัน”  ประโยคหลังนี้ดูเหมือนเขาจะพูดกับกันตยา  พูดจบเบลลาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  

หัวใจของกันตยาเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ เธอพูดโกหก เธอกะจะหาที่นั่งพักเหมาะ ๆ แล้วค่อยเปิดหนังสือนำเที่ยวหาที่พัก ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเธอยังไม่มีที่จะไป เพราะเธอยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่   พอลงจากรถเธอรีบลากกระเป่าก้าวฉับ ๆ เข้าไปข้างในสวน เบลลาที่มีท่าทางเป็นมิตรเดินตามมาติด ๆ พลันรถจิ๊ปขนาดเล็กก็แล่นเข้ามาจอดตรงทางเข้า 

            “อ้อ! นี่เพื่อนฉันเองค่ะ ชื่อฟาโก้ เขาจองที่พักให้ฉันใกล้ ๆ ที่นี่ ห้องราคาไม่แพง เธอจะติดรถไปด้วยก็ได้นะถ้าไม่รังเกียจ”     

ฟาโก้พยักหน้าทักทาย กันตยาพยักหน้าตอบ เธอเตือนสติตัวเองว่า   

 ‘อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า’    

กลิ่นสมุนไพรบางอย่างลอยมาปะจมูก ‘สมกับชื่อสวนสมุนไพร’  เธอคิด พลันเธอก็รู้สึกหายใจไม่ออกตัวเบาหวิว แข้งขาอ่อนปวกเปียก ลมหายใจแผ่วลง ๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างหยุดกึก ม่านตาของเธอปิดลง สิ่งรอบตัวของเธอเต็มไปด้วยสีดำ 

            “รับ..ระวังหัวกระแทกพื้นล่ะ” คือเสียงที่เธอได้ยินครั้งสุดท้าย   

เธอรู้ตัวว่ากำลังจะตาย  เสียงหัวใจเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะช้า ๆ หนังตาของเธอหนักอึ้ง ริมฝีปากแห้งผาก เรี่ยวแรงของเธอหายไปหมดแม้แต่จะยกมือขึ้นยังทำไม่ได้เลย  รู้สึกปวดหนึบที่หัว วูบร้อนวูบหนาวตามตัว รอบกายของเธอเงียบสงัดเหมือนโลกหยุดหมุน ทุสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง..นิ่งนานเนิ่นนาน   .. และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงธารน้ำไหลดังมาจากที่ไกล ๆ แล้วดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เสียงของมันแรงขึ้น แรงขึ้น และเธอสัมผัสได้ถึงละอองน้ำเย็น ๆ ที่ลอยล้อมรอบตัวเธอ 

 

 

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง..”  

เสียงเห่าของเจ้าซีโร่ดังมาจากทางแม่น้ำด้านทิศตะวันออกของไร่เรียกความสนใจจากกิลเบอร์ต ชายรูปร่างผอมสูงผมเหยียดตรงสีทองตามรูปแบบชาวฝรั่งเศส ซึ่งกำลังเฝ้าดูคนสวนขนสัมภาระจากรถไปเก็บไว้ในกระท่อมต้องหันไปทางที่มาของเสียง            

                 “ซีโร่..”  เขาเรียกชื่อของมันและเป่าปากเรียก แต่เสียงเห่าก็ยังไม่หยุด เขาคว้าปืนลูกซองจากข้างในรถแล้วตรงไปยังทิศทางของเสียง  วูโยะและไอชิชิ คนสวนมองตามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น พวกเขาภาวนาว่าขออย่าให้เป็นชาวพื้นเมืองแอบเข้ามาขโมยข้าวโพดเลย เพราะมาสเตอร์อังซอผู้พ่อเคยยิงพวกหัวขโมยซึ่งทั้งหมดเป็นคนพื้นเมืองตายมาหลายคนแล้ว พูดถึงมาสเตอร์อังซอคนงานในไร่จะกลัวเขา เพราะเขาเป็นคนดุดันและวู่วาม   ซึ่งตรงกันข้ามกับมาสเตอร์กิลเบอร์ตผู้เป็นลูกที่วางตัวสบาย ๆ ไม่ค่อยพูดจาบางครั้งดูเฉยเมยเกินไป  แต่ก็ใจดี   แม้ว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินข่าวด้านร้ายเกี่ยวกับมาสเตอร์กิลเบอร์ตก็ตาม แต่เห็นท่าทางถือปืนแล้ว พวกเขาอดผวาไม่ได้  เสียงปืนทำให้พวกเขากลัว เพราะข่าวคราวคนพื้นเมืองถูกคนขาวฆ่าตายได้ยินเข้าหูเกือบจะทุกสัปดาห์  

 ซีโร่สุนัขเพศผู้สายพันธุ์ผสมระหว่างเซนท์เบอร์นาร์ดกับสุนัขภูเขา ตัวมันสูงใหญ่แข็งแรง น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม สีดำเฉดแดงและบริเวณใต้คางมีขนปุกปุยสีทองแดงแผ่กว้างเหมือนขนคอสิงโต ส่วนบริเวณกลางหน้าผากลงมาถึงจมูก มีสีขาวพาดผ่าน     พอได้ยินเสียงฝีเท้านายของมัน มันรีบวิ่งมาหาแล้ววิ่งนำหน้าไปยังตำแหน่งที่มันสัมผัสกลิ่นอะไรบางอย่างที่อยู่กลางสายน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆ  กิลเบอร์ตยกปืนขึ้นระดับหน้าอก ในท่าเตรีมพร้อม  แล้วค่อย ๆ ย่องเดินไปยังริมฝั่งแม่น้ำทูเกลูลา  ทุกอย่างยังคงเงียบไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว  

             ‘รึจะเป็นสัตว์ป่าแอบซ่อนอยู่แถวชายฝั่ง’  เพราะแถว ๆ นี้มีคนพบรอยเท้าหมี ควายป่า หมาไฮยีน่าออกหากินอยู่บ่อย ๆ  เขายืนรอ ..รอว่าจะมีสิ่งใดเคลื่อนไหว สายตาของเจ้าซีโร่ยังคงจ้องมองไปยังโขดหินที่โผล่อยู่กลางสายน้ำ  

             ‘หรือจะเป็นจระเข้’   

            ‘หรือมีใครแอบซ่อนอยู่’    

            “ใครน่ะ”  เขาตะโกนออกไป แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ  

 

“ไม่มีอะไรหรอกซีโร เรากลับเถอะ”  พูดจบเขาก็หันหลัง พลันได้ยินเสียงตูมของน้ำเขาหันขวับไปมอง เห็นเจ้าซีโรกำลังว่ายอ้อมไปยังโขดหิน แล้วมันพยายามใช้จมูกดุนอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ใต้โขดหินออกมา กล่องไม้เล็ก ๆลอยโผล่ออกมา เป็นกล่องที่มีโฟมผูกติดไว้ข้างใต้แสดงว่าเป็นการจงใจทำให้มันลอยอยู่เหนือน้ำ   เจ้าซีโรใช้จมูกดุนกล่องนั้นมาเรื่อย ๆ กระแสน้ำไม่แรงมาก แต่ก็แรงพอที่จะให้ลังไม้เปลี่ยนทิศทางได้ เจ้าซีโรต้องตะกุยว่ายดักห้าดักหลังในที่สุดลังไม้เล็ก ๆ ก็เข้ามาติดอยู่ชายฝั่ง กิลเบอร์ตมีสีหน้าแปลกใจ  

 

                ‘ชาวพื้นเมืองอาจประกอบพิธีอะไรสักอย่าง’   

 

 พลันเขาก็คิดได้ว่า ชาวพื้นเมืองจะไม่ใช้โฟม หรือลังไม้ที่ไม่ใช่งานฝีมือของพวกเขาแน่นอน เจ้าซีโร่จ้องมองกล่องแล้วเห่าเสียงดังอีกครั้ง เขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ หัวใจเขาแทบหยุดเต้น เพราะช๊อคกับสิ่งที่ได้ยิน" 

             ‘เสียงเด็กร้อง’    

เขารีบคว้าลังไม้ ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดดู เขาตกใจแทบประสาทเสีย ทำอะไรไม่ถูก รีบเดินลิ่วตรงไปที่รถ เจ้าซีโร่วิ่งเหยาะ ๆ ตามมาติด ๆ   

         

                ‘ใครเอาเด็กมาลอยน้ำทิ้ง ไม่น่าจะเป็นคนพื้นเมือง เพราะพวกเขามีความเชื่อเรื่องความรักในครอบครัวอย่างลึกซึ้ง  หรือจะเป็นเด็กที่ผิดปกติ...ถึงใช่พวกเขาก็จะไม่ทิ้ง..หรือว่า..หรือ..’  ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว             ‘

                 จะทำยังไงกับเด็กนี่ล่ะ’   

 

มาร่า ใช่ เขานึกถีง มาร่า แม่ครัวและหัวหน้าคนงานแห่งบ้านทูเกลูลาของเขา   ลูกสาวของเธออายุได้ 6 ขวบแล้ว เธอน่าจะรู้วิธีดูแลเด็กอ่อน  

 

เขากระชากรถโคชออกไปอย่างแรง วูโยะและไอชิชิมองตามอย่างงง ๆ เพราะมาสเตอร์กิลเบอร์ตดูมีท่าทีแปลก ๆ ยังไม่ได้สั่งงานอะไรก็ผลุนผลันกลับไปเสียแล้ว       

 




Create Date : 06 ธันวาคม 2557
Last Update : 13 เมษายน 2558 23:10:50 น.
Counter : 384 Pageviews.

0 comment
กันตยา 16
 

             “ผมรู้ว่า ผมแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ ผมเพียรถามแม่กับพ่อว่าผมเป็นใคร มาจากไหน จนกระทั่งโตขึ้นจึงทราบว่า ผมมาจากประเทศไทย ..พวกเขารับผมมาเลี้ยงตอนอายุได้ 2 ขวบ แน่นอนเด็กวัยนั้นจำอะไรไมได้ ..ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าประเทศไทยอยู่ส่วนไหนของแผนที่โลก..ผมพยายามค้นหาสิ่งที่เกี่ยวกับไทยแลนด์  ผมโหยหาบ้านเกิดมากเหลือเกิน แอบร้องไห้ก็บ่อย   ในที่สุดผมก็ได้กลับบ้าน ได้หัดพูดภาษาไทย ได้เจอพ่อแม่ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านนอกของจังหวัดอุบลฯ ในสภาพที่ยากจนมาก  ผมนำเงินที่ผมหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อสวนยางพาราให้พ่อ แม่และพี่ ๆ น้อง ๆ ของผม”  เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันตยา แล้วแค่นยิ้มที่มุมมาก 

             “แล้วผมก็มีภรรยาเป็นคนไทย .. และมาอยู่ ณ จุดนี้.. “  พูดจบเขาก็หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ 

            “ค่ะ..เอ่อ..เรื่องของคุณน่าสนใจจังเลย เหมือนนิยายค่ะ”  กันตยาพยายามพูดให้ฟังดูร่าเริง เขายักไหล่ ผายมือ ทำปากเบ้ เป็นสัญญาณบอกช่างมัน  Let it be   

 

การซัก-ซ้อม ถาม-ตอบดำเนินไปด้วยดี เขาดูมีความมั่นใจมากขึ้น  ก่อนจะกลับเขาได้มอบหนังสือนิยายเล่มโตและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ให้แก่กันตยา            

                  ‘นี่เป็นฉบับที่สาม’   ความคิดแว็บหนึ่งผ่านเข้ามาในสมอง  เธอรีบควานหากรรไกรมาตัดคูปองแล้งกรอกข้อมูลให้ครบทุกใบ 

             

               ‘ซื้อเพิ่มอีกสี่วัน’

เมื่อรวบรวมได้ครบแล้ว เธอคลิปคูปองทั้งเจ็ดใบเข้าด้วยกัน สอดใส่ซองจดหมายตราครุฑยาวสีขาว จ่าหน้าซอง ก่อนหย่อนลงตู้ไปรษณีย์เธออธิษฐานในใจ  

            ‘สาธุ ได้ไวน์มาชิมก็ยังดี’  

บอสปกรณ์กลับจากกรุงเทพฯ เล่าว่า มิสเตอร์โรบิน  ดันแคน ทำได้ไม่ค่อยดีตอนขึ้นศาล เขาประหม่าและงงกับคำถามค้าน แต่ก็ยังโชคดีที่เขาชนะคดีฟ้องหย่า ต่อไปก็เป็นเรื่องสินสมรส  กันตยาพยักหน้ารับทราบ  

 เรื่องลาพักร้อนยังคงวิ่งวุ่นในหัวของเธอ  แต่ยังหาที่จะไปยังไม่ได้ เธอจึงชะลอไว้ก่อน  

 วันนี้ป้าวีร์ไปศาลกับบอสปกรณ์  เธอจึงออกไปนั่งทานขนมเหนียวที่ร้านอาหารเวียตนามร้านเดิมที่เธอพารัชตะไปตอนที่เขาแวะมาหา พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  

            “สวัสดีครับ คุณกันตยารับสายหรือเปล่าครับ” เสียงหล่อที่เธอไม่คุ้นหูแว่วมาตามคลื่น 

            “คะ? ..ใช่ค่ะ”

             “ครับ! ผมโทรมาจากสำนักพิมพ์บางกอกโพสท์นะครับ เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัลตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-เซาท์แอฟริกา พร้อมที่พักโรงแรมห้าดาวฟรีจากการจับสลากคูปอง ” กันตยาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เลือดฉีดพล่านไปทุกรูขุมขนจนรู้สึกชาไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงแทบทะลุหน้าอก  เสียงหล่อยังคงเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ            

            “คุณบอกรับเป็นสมาชิกหรือเปล่าครับ”  

            “คุณซื้ออ่านเองหรือเป็นสำนักงานครับ”   

            “คุณจะไปรับรางวัลด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ”   

เธอลุกเดินก้าวยาว ๆ กลับที่ทำงานตั้งแต่เสียงหล่อพูดจบประโยคแรก พอมาถึงเธอรีบวิ่งเข้าห้องทำงานแล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ   

            ‘ในที่สุด..ก็ได้ฤกษ์ลาพักร้อนเสียที’    

แท็กซี่พากันตยามาจอดหน้าสำนักงานใหญ่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ เธอแจ้งเรื่องที่มาติดต่อกับพนักงานต้อนรับ พนักงานสาวสวยชี้ให้เธอขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องประชุมชั้น 8  เมื่อไปถึงเธอสังเกตเห็นว่าผู้ที่มานั่งรอเกือบทั้งหมดเป็นฝรั่ง มีคนไทยเพียงสองคน เธอกับผู้หญิงอีกคนที่มารับแทนนายจ้าง   ประธานในพิธีก็เป็นฝรั่ง  พิธีการใช้เวลาไม่มาก  ประธานกล่าวแสดงความยินดี ทำพิธีมอบรางวัล โดยเริ่มจากรางวัลที่ 1  มี 2 รางวัล เป็นตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส รางวัลที่ 2 มี 4 รางวัล ตั๋วชั้นบิสิเนสคลาส และรางวัลที่ 3 มี 6 รางวัล  เป็นตั๋วชั้นประหยัด เอคเคอนอมิค คลาส และเธออยู่ในกลุ่มที่ 3   

‘ชั้นไหนก็นั่งเครื่องลำเดียวกันนั่นแหละน่า ถึงที่หมายพร้อมกัน แค่แบ่งโซนเฉย ๆ’  เธอปลอบใจตัวเอง รับมอบรางวัลเสร็จ ร่วมถ่ายรูป  แล้วก็แยกย้ายกันกลับ  ขณะนั่งแทกซี่ไปสนามบินดอนเมือง เธอเปิดดูซองรางวัลที่มีเพียงกระดาษแผ่นเดียว มีรายละเอียดเขียนบอกระยะเวลาของการเคลมตั๋วบินซึ่งมีกำหนด 1 ปี  พลันคำพูดของป้าวีร์ก็ผุดขึ้นมาในหัว            

“หนูกันไปคนเดียว ไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ ”    

            “แอฟริกา ไม่เหมือนสิงคโปร์นะ ทุกอย่างมันแตกต่าง ผู้คนแตกต่าง ”   

 

           “เมื่อก่อนมีปัญหาการแบ่งแยกสีผิว ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน”   

 

           “นั่นแหละคือสิ่งที่หนูอยากเห็นค่ะ ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ผู้คนอยู่กินกันอย่างไร”    

สุดท้ายกัญญาวีร์ก็ถอนหายใจ  เธอจ้องมองแววตาอันแน่วแน่ของหลานสาว ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่หนูกันตัวเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว 

 พอถึงเวลานกเหล็กขนาดใหญ่ติดแถบธงชาติสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ที่หางเครื่องก็เหินทะยานขึ้นฟ้า กันตยารู้สึกตื่นเต้นจะว่าไปแล้วเธอตื่นเต้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสนามบิน  ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกอินทรีย์ขาวกำลังกางปีกอันทรงพลังถลาร่อนบนท้องฟ้า  

        “เอาเถอะ หนูเป็นผู้ใหญ่แล้ว รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว ..ป้าขอแสดงความยินดีด้วย”  กันตยายิ้มแก้มแทบปริ เธอกระโดดกอดป้าวีร์และกล่าวขอบคุณหลายครั้ง 

 

สิ่งที่เธอตั้งความหวังไว้สำหรับทริปนี้คือ อยากเห็นความแตกต่าง  และคนรอบข้างไม่เคยมีคนไหนพูดว่าเคยไปเที่ยวแอฟริกา หรืออยากไปแอฟริกา ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสาม เธอได้มีโอกาสไปสิงคโปร์กับป้าวีร์ เธอยอมรับว่าสิงคโปร์สะอาดและมีระเบียบ  ทว่า  ผู้คน อาหารการกิน การแต่งกาย แม้แต่ต้นไม้ วิวทิวทัศน์ ก็ดูไม่แตกต่างจากเมืองไทย

             “ขอแค่ได้ไปเหยียบแผ่นดินก็ดีใจแล้วค่ะ นั่งเครื่องไปลงที่โจฮันเนสเบิร์ก หาที่พักใกล้ ๆ สนามบินพักสักคืนสองคืนก็ยังดี แล้วก็จะกลับค่ะ”  เธอบอกป้าวีร์  

เธอเลือกเดินทางในเดือนมีนาคม เพราะอากาศที่โน่นกำลังอบอุ่น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-31 องศาเซลเซียส แต่เธอต้องสละสิทธิ์เรื่องที่พักฟรี เพราะโรงแรมที่เข้าร่วมรายการอยู่เขตเมืองอื่น ต้องนั่งรถออกจากโจฮันเนสเบิร์กไปอีกไกล  เธอได้ตั๋วบินวันพฤหัสบดี และจะกลับวันอังคารในสัปดาห์ถัดไป เพราะเที่ยวบินมีเพียงสองเที่ยวต่อสัปดาห์ คือ อังคาร กับ พฤหัส แต่สิ่งหนึ่งที่เธอบอกป้าวีร์ไม่หมดคือตั๋วที่ได้มาจะบินจากกรุงเทพฯ –โจฮันเนสเบิร์ก –เคปทาวน์-โจฮันเนสเบิร์ก –กรุงเทพฯ เธอเองก็เพิ่งรู้ในวันที่ไปเคลมตั๋ว เธอแทบกรีดร้องด้วยความดีใจ เพราะนั่นมันมากกว่าที่เธอหวังเอาไว้ 

วันเดินทางป้าวีร์ไปส่งเธอขึ้นเครื่องที่อุบลฯ เที่ยวบินสองทุ่ม ถึงดอนเมืองก็เกือบจะสี่ทุ่ม สายการบิน เอสเอ แอร์ไลน์บินเวลาตีสอง เธอต้องนั่งแกร่วรออีกหลายชั่วโมง   

พอถึงเวลาเช็ค อิน เธอสังเกตเห็นผู้โดยสารที่เข้าคิวรอเกือบจะทั้งหมด เป็นคนสีผิว บางคนรูปร่างผอมสูง แต่ส่วนใหญ่แล้วอ้วน โดยเฉพาะสุภาพสตรี บางคนนั่งเก้าอี้ตัวเดียวไม่พอ   พออยู่ท่ามกลางพวกเขา สีผิวของเธอดูซีดเหลืองอ๋อยทีเดียว แต่เธอก็รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่    

            ‘นี่คือความแตกต่างที่แท้จริง’  

สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับเธออีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้โดยสารนั่งรอเป็นร้อย แต่ทุกคนต่างนั่งนิ่ง ๆ สงบเสงี่ยม กระซิบกระซาบคุยกันเบา ๆ ไม่มีเสียงเฮฮา ไม่พูดคุยเสียงดัง เธอยังสังเกตเห็นอีกว่าสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอ  เที่ยวบินนี้เธอน่าจะเป็นผู้โดยสารคนไทยเพียงคนเดียว เพราะคนผิวเหลืองอีกสองสามคน เห็นคุยกันด้วยภาษาอื่น  

            ‘แค่เริ่มต้นก็เริ่มสนุกแล้วสิ’   

พอถึงเวลานกเหล็กขนาดใหญ่ติดแถบธงชาติสีแดง เขียว ดำ น้ำเงิน ที่หางเครื่องก็เหินทะยานขึ้นฟ้า กันตยารู้สึกตื่นเต้นจะว่าไปแล้วเธอตื่นเต้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสนามบิน  ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนกอินทรีย์ขาวกำลังกางปีกอันทรงพลังถลาร่อนบนท้องฟ้า

ณ สนามบินโจฮันเนสเบิร์ก รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีฟ้าอ่อน ขับเคลื่อนอย่างรีบร้อน พอถึงจุดตรวจทางเข้าสนามบิน เธอชูตราตำรวจหรา สิ่งปิดกั้นเปิดออกทันที   เบลลา บาโกเซก้า ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบ ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่แบบชาวแอฟริกันขนานแท้ คือ บั้นท้ายกลมใหญ่ดูเทอะทะ ผมหยิกหยักขอดตัดสั้นติดหนังศีรษะ ดวงตากลมโตส่อแววดุดัน ปีกจมูกกว้างบาน ริมฝีบากหนาเตอะ ปากของเธอเม้มสนิททำให้มองเห็นเส้นขอบริมฝีปากโดดเด่น เธอจะอายุครบ 32 ปี ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่ใบหน้าอิดโรยของเธอทำให้เธอดูเหมือนคนอายุ 40 ต้น ๆ  เธอทำงานฝ่ายสืบสวน งานของเธออยู่กับความเร่งรีบและไม่มีกำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจน 

 วันนี้ก็เช่นกัน เธอต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาให้ทันเที่ยวบินที่จะเทียบท่าเวลาประมาณ 8 นาฬิกา แต่วันนี้เธอไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ เธอมาด้วยภารกิจบางอย่าง   อากาศตอนเช้า ๆ ของต้นเดือนมีนาคม ไม่ต่างอะไรกับหน้าหนาว  รถเคลื่อนผ่านจุดตรวจเข้ามา เธอมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือ อีก 5 นาทีจะถึงสองโมงเช้า เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วสาวเท้าก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องผู้โดยสารขาเข้า  เธอตรงไปยังจอมอนิเตอร์ที่แสดงรายการเที่ยวบินเข้า-ออก เธอกวาดสายตาหาเที่ยวบิน   กรุงเทพฯ- โจฮันเนสเบิร์ก  มีไฟแดง ๆ กระพริบตรงข้อความ Delay   เธอถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเดินตรงไปร้านขายกาแฟ สั่งกาแฟดำหนึ่งที่ เธอหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขึ้นมาอ่านแต่ความสนใจของเธอไม่ได้จับจ้องอยู่ที่หนังสือพิมพ์  เธอชำเลืองมองไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้าบ่อย ๆ  พอได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์สนามบินประกาศว่า สายการบินเอส เอ แอร์ไลน์ บินจากกรุงเทพฯ สู่โจฮันเนสเบิร์กจะแลนดิ้งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เบลลา รีบวางหนังสือพิมพ์ลง ควักแบงค์ 5 แรนด์สองใบวางใต้ ถ้วยกาแฟ แล้วรีบวิ่งตรงไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้า  มองหาผู้โดยสารที่เป็นหญิงชาวเอเชียผิวเหลือง ผู้โดยสารหญิงวัยกลางคน คนหนึ่งเดินผ่านประตูมา เบลลาถลาเข้าไปหา  

            “หวัดดีค่ะ ต้องการแท็กซี่ไหมคะ”  

  

            “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”    

 

            “คุณเป็นนักท่องเที่ยวหรือ?”  

  

“ไม่ สามีฉันทำธุรกิจที่นี่”   

 

“เหรอคะ คุณคงเป็นชาว...เอ้อ. เอเชีย..ชาว....” เบลลาทำท่าครุ่นคิด  

 

“ฟิลิปปิโน”    

 

“อ้อ..ใช่ ..ขอให้โชคดีค่ะ"   

  

แล้วเบลลาก็เหลือบไปเห็นสตรีผิวขาวซีดคนหนึ่ง เธอกำลังจะเดินเข้าไปทัก แต่พอเห็นว่าหล่อนไม่ได้มาคนเดียว ผู้ชายคนที่ลากกระเป๋าเดินตามมาติด ๆ น่าจะเป็นสามีของหล่อน เบบลาจึงหยุดกึก   ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต่างทยอยกันออกมาเรื่อย ๆ มีชาวตะวันตกอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นเป็นคนสีผิว เบลลา มีสีหน้าผิดหวัง เธอยกโทรศัพท์ขึ้น กดหาเรียกหมายผู้รับ เมื่อมีเสียงตอบรับ เธอตะคอกเสียงอย่างแรง  

             “ฟาโก้ พี่ว่านี่มันไร้สาระสิ้นดี มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”   

            “เฮ้อ น่า..อดทนหน่อยน่า”    

 

            “ เฮ้!  มันเสียเวลาทำมาหากินไปหลายวันแล้วนะ ยายทวดแก่จนปูนนั้นแล้ว คงเพ้อไปตามเรื่อง ” 

             “งั้น  อังคารหน้าผมจะลางานแล้วไปแทนพี่ก็แล้วกัน” น้ำเสียงตอบกลับราบเรียบ

 

            “ไม่อังคารหน้า ต้องเป็นสัปดาห์หน้า แกรับไปสองวันเลย”  เธอตะคอกไปตามคลื่น  พูดจบเธอก็กดวางสายยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเดินลิ่วตรงไปที่ลานจอดรถอย่างหัวเสีย 

ขณะบึ่งรถกลับที่พัก เธอหวนนึกถึงวันที่แม่พาเธอและฟาโก้น้องชายไปเยี่ยมยายทวดที่โรงพยาบาลฟื้นฟูคนชรา ซึ่งอยู่นอกเมืองพรีทอเรียไปทางตอนใต้ ต้องขับรถไปเกือบ 40 กิโลเมตร    แม่บอกว่ายายทวดมีเรื่องสำคัญจะบอก เบลลา ยังอดขำไม่ได้ ยายทวดอายุ เกือบจะครบ 100 ปีแล้ว  ไปไหนมาไหนยังต้องมีคนช่วยพยุง  หูแทบฟังไม่ได้ยิน สายตาก็พร่าเลือน ยังจะพูดจารู้เรื่องอยู่หรอกหรือ  แต่แม่ย้ำว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก   

พอไปถึงโรงพยาบาล  แม่แจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ดูแล ซึ่งเป็นพยาบาลบรรจุใหม่ เธอเดินนำไปยังห้องที่ยายทวดนอนพักอยู่  ยายทวดซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวย่น นัยน์ตาฟ้าฟางสีน้ำข้าว ฟันไม่เหลือแม้แต่ซี่เดียว ตั้งแต่ยายทวดย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งเธอและน้องต้องช่วยพ่อแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทุกคนต่างก็ทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาดูแลจึงเอายายมาไว้ที่นี่   พอได้ยินเสียงแม่ร้องทัก  ยายทวดพยายามยกมือผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกไขว่คว้ามาทางเสียง 

 

            “มาเรียม ..เด็ก ๆ มาด้วยหรือเปล่า” เสียงแหบพร่าเบาหวิวไร้ซึ่งพลัง   

 

            “ยาย หนูอยู่นี่  ฟาโก้นั่งอยู่ข้างเตียงยายจ้ะ” เบลลาเอื้อมมือไปกุมมือผอม ๆ เย็บเฉียบของยายทวด  

            “เออ ..หลาน ๆ ที่รักของยาย” ขณะพูดยายแหงนหน้ามองเพดาน เบลลาคิดว่าสายตาของยายทวดคงมองอะไรไม่เห็นแล้ว เสียงอันสั่นเครือของยายเหมือนคนที่เหนื่อยจนใจแทบขาด แต่ขยายก็พยายามเปล่งเสียงพูด            

             “ทวดของทวดได้มอบหมายภาระงานสำคัญชิ้นหนึ่งไว้กับยาย ยายได้แบกภาระอันหนักหน่วงเพื่อรอเวลานี้มานานแสนนาน …บัดนี้ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้วที่จะได้ช่วยดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ”    ยายทวดถอนหายใจหนัก ๆ น้ำใส ๆ คลอเบ้าตาที่เกือบจะปิดสนิทเพราะหนังตาหย่อนลงมาทับดวงตา  ทุกคนนิ่งเงียบคงปล่อยให้ยายทวดจมดิ่งอยู่กับความหลัง เบลลาและฟาโก้คิดว่า ทุกคำที่ยายทวดพูดออกมาเป็นเพียงการเพ้อหลงลืมของคนแก่  

             “ ‘หล่อน (She...ผู้เป็นบุตรของสายน้ำ จะหวนกลับมาในไม่ช้า” แม่นั่งนิ่ง ส่วน เบลลาและฟาโก้ต่างสบตากัน เบลลาย่นคิ้วเชิงสงสัย ยายทวดยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ              

                “’หล่อน’ คือกุญแจสำคัญ..วิญญาณของบรรพบุรุษจะได้หลุดพ้นจากการกักขัง ‘หล่อน’ จะมาพร้อมกับน้ำในเร็ววัน” พูดจบประโยคยายทวดก็คบพับปากห้อยเหยเก  

             “คนไข้เหนื่อยมากค่ะ ต้องให้นอนพักผ่อน”  พยาบาลผู้ดูแลรีบเข้ามาสอดสายอ๊อกซิเย่นเข้าไปในรูจมูกของยายทวด  มีเพียงทรวงอกผอม  ๆ ยกขึ้นลงเล็กน้อยเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังมีลมหายใจอยู่  

             “สิ่งที่ทวดพูดฟังดูเหมือนจริง”  ฟาโก้ออกความเห็น  

              “แล้ว ‘หล่อน’ ที่ยายเอ่ยถึงหมายถึงใคร ฟังแล้วได้อะไรล่ะ” เบลลายักไหล่เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ 

               “แม่เคยได้ยินยายพูดมาก่อนหน้านี้ไหม?” ฟาโก้หันไปถามแม่   

“เออ..ตอนที่แม่ยังเด็ก ทวดเคยเล่าเรื่องบรรพบุรุษให้ฟังบ้าง แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถึง ‘หล่อน’ เบลลาจึงสรุปว่าไร้แก่นสารสิ้นดี ตกเย็นเบลลาขอตัวกลับโจฮันเนสเบิร์ก  ฟาโก้ขอติดรถพี่สาวกลับที่พักในแถบชานเมือง  ส่วนแม่นอนเป็นเพื่อนยายทวด   

 

ตกดึก ท่ามกลางความเงียบสงัด มาเรียมกำลังนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม อากาศต้นเดือนกุมภาพันธ์ในตอนกลางคืนยังคงหนาวเหน็บ ขณะที่เธอกำลังนอนอุ่นหลับสบาย พลันรู้สึกเหมือนมีมือมาเขย่าตัวเธอเบา ๆ เธอตื่นขึ้น แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจสุดขีดเกือบเผลอร้องกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นยับยู่ยี่ของยายทวดก้มลงมองเธอแทบจะชิดใบหน้า เธอเอียงหน้าหลบ แล้วเอามือผลักใบหน้ายายทวดออกไปเบา ๆ 

 

             “มาเรียม  มาเรียม ฟังฉัน “

มาเรียมแปลกใจที่เสียงยายฟังดูดังกังวานไม่เหมือนตอนบ่ายที่ผ่านมา “แม่โทนิของยายบอกว่า เมื่อใดที่ดาวเสาร์ย้ายเข้าเรือนราศีน้ำ จันทรุปราคาเต็มดวงเล็งมา   ..เมื่อนั้นกรรมเก่าจะย้อนกลับมา ..ในรอบ 120 ปีดาวเสาร์จะวนมาครบรอบหนึ่งครั้ง   นี่เป็นโอกาสเดียว ถ้าพลาดโอกาสต้องรอไปอีก 120 ปีข้างหน้า” มาเรียมนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเมื่อได้ฟังสิ่งที่ยาดทวดพูด น้ำเสียงและท่าทีฟังดูจริงจังมาก 

                “ ปีนี้จันทรุปราคาเล็งมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ‘หล่อน’ จะมาในตัวตนที่แตกต่างจากพวกเรา”   

พูดจบยายทวดก็เดินเก้ ๆ กัง  ๆ ไปนอนที่เตียง  ส่วนมีเรียมยังคงซุกหน้าใต้ผ้าห่มหัวใจเต้นแรง เธอเกิดอาการกลัวยายทวดของตัวเอง สมองวกวนสับสนจนนอนไม่หลับ เธอมีหลายคำถามค้างคาใจ แต่ไม่อยากจะรบกวนยายตอนดึก จึงอดทนรอให้ถึงรุ่งเช้า   

พอแสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามา เธอรีบลุกจากที่นอน ตรงไปที่เตียงยายทวด แต่ยายยังคงหลับอยู่เธอไม่อยากรบกวน  จึงเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว พอกลับออกมาแสงสว่างที่สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างทำให้มองเห็น  สิ่งที่อยู่ภายในห้องชัดเจน ยายนอนตะแคง เธอมองเห็นมืออันเหี่ยวย่นและบอบบางของยายห้อยต่องแต่งอยู่ข้างเตียง  บรรยากศภายในห้องดูเงียบผิดปกติ เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เธอสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เธอเข้าไปจับแขนของยาย และก็พบว่ามันแข็งทื่อ และเย็นเฉียบ 

 

            “หมอคะ” เธอตระโกนสุดเสียงพร้อมกับปล่อยโฮออกมา  




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 28 ธันวาคม 2557 22:36:35 น.
Counter : 346 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety