กันตยา 10
 

กันตยารู้สึกร้อนราวกับถูกแผดเผาจากเปลวเพลิง  เนื้อหนังที่ห่อหุ้มร่างกายแทบจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร้อนจนทนไม่ได้ เธอพยายามผุดลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงรอ   เธอดิ้นรนเฮือกสุดท้าย พลันร่างของเธอก็ลอยขึ้น ตัวเธอเบาหวิวไร้น้ำหนัก   เธอลุกขึ้นเดินโดยที่เท้าไม่แตะพื้น

             ‘นั่น!..เรานอนอยู่ตรงนั้น’  

 ป้าวีร์กำลังเช็ดตัวให้ เธอรู้สึกสงสารป้าวีร์จับใจที่ทำให้ต้องลำบาก อดหลับอดนอน ดึก ๆ ดื่น ๆ  พลันเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตรงหน้าประตู เธอหันไปมองผ่านกระจก

             ‘มิดไนท์นั่นเอง’   มันจ้องมองเธอ หางของมันดุกดิกไปมา มันส่งยิ้มให้  

 กันตยาคิดว่าตัวเองกำลังฝัน และในขณะนี้เธอรู้สึกสบายตัวไม่ร้อนอีกแล้ว เธอนั่งลงข้าง ๆ ป้าวีร์ แต่ป้าวีร์ก็ไม่ได้หันมามองเธอ เหมือนไม่รับรู้ว่ามีเธออยู่ตรงนั้น เธอเฝ้ามองป้าวีร์เอาผ้าขนหนูสีฟ้าผืนเล็กชุบน้ำในชามบิดให้หมาดจากนั้นก็เช็ดตามตัวของเธอ  เธอนั่งดูเพลินจนถึงเวลาที่ป้าวรีย์เอนตัวลงนอน ส่วนเธอกลับไม่รู้สึกง่วง

             ‘ออกไปเล่นกับมิดไนท์ดีกว่า’

 แค่คิดตัวเธอก็ลอยขึ้น  เธอเดินผ่านทะลุประตูออกไป...  ทว่าจังหวะที่เธอก้าวย่างข้ามธรณีประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงนาฬิกาดัง ’คลิ๊ก’ ชี้บอกเวลาเที่ยงคืน

             “ค รื น..ค รื น..”

 บังเกิดเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่ว ราวกับแผ่นดินไหว เธอสะดุ้งตกใจ และก็พบว่าตัวเองล้มฟุ๊บคว่ำหน้าอยู่บนพื้นนุ่มนิ่ม เป็นที่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน รอบกายมืดมิด เธอกวาดสายตามองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ  

             “มิดไนท์”

 เธอตะโกนร้องเรียกชื่อหมาของเธอ   เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับ.. ไร้ซึ่งวี่แวว

             ‘เราเห็นมันนอนอยู่หน้าประตู’  

‘เรากำลังฝัน’   แล้วเธอก็อมยิ้มอย่างนึกขัน    

            ‘ในฝันไม่มีอะไรเป็นจริง...และเราจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง’

 กันตยาลุกขึ้น สมองของเธอมืดแปดด้าน นึกอะไรไม่ออก จำอะไรก็ไม่ได้ เธอเหมือนคนหลงทาง  เธอพยายามใช้มือทั้งสองคลำหาประตู

              ‘ก็เราเพิ่งก้าวข้ามมานี่นา..มันน่าจะอยู่ข้างหลังเรา’ 

 แต่มือของเธอกลับสัมผัสความว่างเปล่า  เธอเดินวกไปวนมา พลันเธอก็เห็นลำแสงสีนวลที่ส่องสว่างมาแต่ไกล ๆ

             ‘เราจะเดินตรงไปยังแสงนั่น ..มันอาจจะเป็นทางออก ’

ทันทีที่คิดตัวของเธอเยื้อย่างล่องลอยตามลำแสงนั้นไป เดินได้สักพักหนึ่ง สายตาของเธอก็เริมชาชินกับความมืด ..และเธอต้องแปลกใจเมื่อได้รู้ว่า เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ข้างหน้าของเธอมีเงาตระคุ่ม ๆ ของผู้คนเดินกันเป็นแถวยาว และข้างหลังของเธอก็เริ่มมีคนทยอยเดินตามมาเรื่อย ๆ  มีทุกเพศทุกวัยส่วนใหญ่แต่งกายด้วยผ้าคลุมรุ่มร่ามสีเทาและสีดำมืด  ..เงียบ! ไม่มีเสียงพูดคุยแม้แต่คำเดียว

            ‘พวกเขาจะพากันไปไหน’

กันตยาสงสัย แต่ไม่รู้จะถามใครได้ ขณะเดินมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกั้นสองข้างทางเอาไว้ ทุกคนจึงต้องเดินแถวเรียงหนึ่งมุ่งไปข้างหน้าไปเรื่อย ๆ ตามทิศทางของแสง พอเดินเข้าใกล้เ ลำแสงก็ขยายรัศมีกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็เดินมาถึงที่โล่ง มันเหมือนเดินพ้นออกมาจากถ้ำ แสงสีนวลที่ส่องสว่างทำให้มองเห็นลางเลือน  ที่โล่งตรงหน้าที่แท้ก็เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่นั่นเอง ผู้คนที่เดินตามกันมาต่างยืนออกันอยู่บนขอบตลิ่ง

              'พวกเขามาที่นี่ทำไม’

 กันตยาพยายามเขย่งเท้าชะเง้อมอง แต่ก็มองอะไรไม่เห็นมีคนบดบังไว้หมด แถวที่เดินเคลื่อนไปเรื่อย ๆ จนมาถึงฝั่ง และได้เห็นน้ำในทะเลสาบสีดำทมึนน่ากลัว  ยอดเสากระโดงเรือขนาดใหญ่เก่าคร่ำครึอยู่เบื้องหน้า

             ‘ต้องลงเรือหรือ’

             ‘ถ้าเกิดเรือจมล่ะ ..ในฝันเราจะว่ายน้ำเป็นไหมหนอ’

 เธอเห็นชายแก่รูปร่างสูงใหญ่ บนศีรษะมีผ้าดำคลุมเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า

             ‘หน้าอาจเหมือนผีก็ได้’

 ชายแก่คนนั้นถือไม้เท้าขนาดใหญ่คอยต้อนผู้คนให้ลงเรือ  เมื่อเดินใกล้เข้ามา กันตยาได้เห็นเรือที่จอดรอรับผู้โดยสารถนัดตา  มันเป็นเรือเก่าขนาดใหญ่รูปร่างน่ากลัว กาบเรือมีรอยแตกร้าว สายระโยงระยางบนเรือขาดรุ่งริ่ง มันคงผ่านการใช้งานมานานนับร้อยปี  มีชายแก่อีกคนหนึ่งลักษณะการแต่งกายคล้ายกับคนแรก  ยืนอยู่ข้างทางลงเรือที่เป็นเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินทอดไปถึงตลิ่ง  มือทั้งสองจับปากย่ามเปิดอ้าเอาไว้คอยรับเหรียญที่คนลงเรือโยนลงมา พอเหรียญกระทบกันดัง ‘กริ้ง’ ไม้กระดานแผ่นเล็กที่พาดอยู่บนหัวเรือก็จะกระดกลงเพื่อให้ผู้โดยสารไต่เดินขึ้นเรือ

 กันตยาขยับเลื่อนตามแถวไปเรื่อย ๆ กำลังจะเดินผ่านคนถือย่าม พลันตัวเธอก็แข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ชายแก่คนนั้นชี้ที่ย่ามเป็นเชิงบอกให้เธอโยนเหรียญลงไป 

             ‘เราไม่มีตังค์.. ทำไงดี

 กันตยาคิดถึงเหรียญบาท เหรียญห้า และเหรียญสิบที่เธอหยอดกระปุกออมสินหมูน้อยผูกโบว์สีชมพูในห้องนอนของเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ถือติดมือมาด้วย  เหมือนมีแรงแม่เหล็กดึงดูด ที่ดูดเธอให้เดินเข้าไปหาคนที่ถือย่าม แล้วหยุดกึกอยู่ตรงหน้า ชายแก่ละมือข้างหนึ่งจากปากถุง แล้วเอื้อมมาบีบปากของปากเธอให้เปิดอ้า แล้วมันยื่นหน้าเข้ามามองดูใกล้ ๆ  กันตยาจ้องมองไปที่ใบหน้าของมัน ..มีแต่สีดำมืด มองไม่เห็นอะไรเลย  เมื่อไม่พบอะไร ชายแก่ก็ล้วงกระเป๋าเสื้อชุดนอนของเธอแล้วควักออกมา แต่ก็ไม่เจอสิ่งที่มันหา  พลันก็เหมือนมีอะไรผลักเธอให้เดินออกมาแล้วมุ่งหน้าเดินตรงไปยังเรือซึ่งไม้กระดานยังคงกระดกค้างสูงนิ่ง กันตยาพยายามจะหยุดตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ พอใกล้จะถึงทะเลสาบเธอเห็นน้ำสีดำรอบ ๆ ขอบเรือที่กำลังเดือดปุด ๆ เป็นฟองแตกกระจาย

               ’กริ๋ง’  

 มีใครคนหนึ่งจากข้างหลังของเธอ โยนเหรียญลงไปในย่าม ขาที่กำลังจะก้าวตกขอบทะเลสาบหยุดกึก ไม้กระดานกระดกลงมาวางแทบเท้าของเธอ เธอรีบก้าวขึ้นเรือโดยไม่หันหลังมามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหลัง เธอไม่มีโอกาสได้เห็นชายแก่ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ข้างท้องเรืออ้าปากร้องสุดขีดแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา แล้วร่างนั้นก็ย่อยสลายละลายไปในพริบตา ต่อหน้าผู้คนที่ยืนต่อแถวซึ่งต่างพากันตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว พวกเขารู้ว่าไม่มีทางเลือก

              ‘ถ้าไม่ลงเรือ... ก็ลงทะสาบมรณะ’

 นอกจากอยู่ในภาวะไร้ซึ่งน้าหนัก กลิ่น เสียง แล้วกันตยายังๆไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเวลาอีกด้วย เธอไม่รู้ว่า เรือใช้เวลาแล่นนานเท่านไร  มารู้สึกก็ตอนที่มันจอดเทียบท่า หน้ามหาวิหารแห่งหนึ่ง แสงสลัว ๆ ทำให้เธอมองลักษณะรูปทรงของมันไม่ถนัดตา คงเห็นเป็นเงาทมึนสูงเสียดฟ้าขนาดมหึมา  ผู้โดยสารถูกถ่ายโอนจากเรือมายืนอออยู่หน้าประตูวิหาร

 สำหรับที่นี่ มันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองอีกเมืองหนึ่ง เสียงฝีเท้า เสียงอื้ออึง เสียงงึมงำของผู้คนคุยกันที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ดังไปทั่ว ... พลันทุกอย่างก็เงียบกริบ  สายตาทุกคู่จ้องจับไปที่ประตูหินทรายแดงบานใหญ่ ตรงหน้าที่กำลังเลื่อนออกช้า ๆ   เผยให้เห็นร่างสีดำทมึนที่ยืนขวางทางประตู มีสียงอื้ออึง เสียงอุทานด้วยความหวาดผวาของผู้คน           

                    “เทพอนุบิส”            

                     “ทูตมรณะ”            

                    “เทพผู้พิทักษ์คนตายและสุสาน”

กันตยาเผลออ้าปากค้าง ถ้ามีใครสังเกตก็คงจะเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ..สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามันช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน.. หัวเป็นสุนัขสีดำ ปากของมันแหลมยาว เผยให้เห็นเขี้ยวที่โผล่แลบออกมาสองข้างปากแวววาว ใบหูของมันแหลมใหญ่ชูตั้งดูแข็งแกร่ง นัยน์ตาของมันเหมือนเปลวเพลิงดวงเล็กที่กำลังลุกไหม้ ลำตัวเป็นมนุษย์บึกบึน ถึงแม้จะมีผ้าพันกายแต่ก็มองเห็นเนื้อหนังมีกล้ามเป็นมัด ๆ  ในมือถือคทา  

             ‘หน้าตาของมันไม่เหมือนมิดไนท์’

ทันทีที่มันกลับหลังหันและก้าวเดิน  เหมือนมีแรงดึงดูดให้ทุกคนที่ยืนออบริเวณหน้าประตูเดินตาม จนไปถึงห้องโถงใหญ่ ..ตรงกลางมีคันชั่งแบบตราชูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มีพนักงานประจำคันชั่งหนึ่งคน         

                 “โอ..ที่นี่คือห้องพิพากษาของเทพโอซีริส”

เสียงดังมาจากข้างหลังของเธอ ร่างที่มีหัวเป็นสุนัขที่พวกเขาเรียกว่าเทพอนูบิสยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงและอยู่ในความสงบ  ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง กันตยาชำเลืองมองซ้าย ขวาด้วยหางตา เธอเห็นผู้คนต่างนั่งก้มหน้านิ่ง ส่วนเธอกำลังสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า  มีบุรุษร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีขาวนวล สวมมงกุฎสีเงิน ในมือถือคทาทองคำ เดินเข้ามาและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของคันชั่ง  สตรีรูปงามใบหน้าเรียบเฉยแต่ดูอ่อนโยนรูปร่างสูงเพรียวแต่งกายด้วยชุดยาวกรอมเท้าสีขาวปุกปุยเหมือนขนนก รอบศีรษะมีเส้นสีเงินคาดและมีขนนกสีขาวนาดใหญ่หนึ่งอันเสียบติดอยู่  เข้ามานั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของคันชั่ง 

           

              “พวกเจ้าทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบ”  เสียงของเทพอนูบิสดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง          

                 “ต่อหน้าเทพโอซีริส... วิญญาณของพวกเจ้าจะต้องถูกนำขึ้นตราชั่งเพื่อเทียบกับขนนกของเทพีมะอาทซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แห่งความยุติธรรม”

เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง เทพอนูบิส ชูมือขึ้น ความเงียบกลับเข้ามามาแทนที่อีกครั้ง   

         

                  “ขณะพวกเจ้ามีชิวิตอยู่บนโลกมนุษย์  พวกเจ้ากระทำสิ่งใดมากกว่ากันระหว่างกรรมดี กับกรรมชั่ว ”

เกิดเสียงอื้ออึง เสียงร้องหวยหวนด้วยความกลัว ดังทั่วห้องโถง เทพอนูบิสชูคทาขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ อีกครั้ง จากนั้นก็ทำสัญญาณมือให้แถวหน้ายืนขึ้น และก้าวเดินออกไปทีละคน  ไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคันชั่งและประกาศความดีของตนขณะมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเทพโอซีริส   แต่เธอไม่ได้ยินว่าเขาประกาศว่าอะไรบ้าง  

พอพูดจบเทพอนูบิสก็ใช้คทาชี้มาทีหน้าอกข้างซ้าย  บังเกิดแสงสีเขียวอ่อนดวงเล็ก ๆ ลอยออกมาเกาะติดที่ปลายคทา แล้วร่างนั้นก็ทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น   แสงสีเขียวนั้นถูกนำไปวางยังตราชั่ง ซึ่งอีกข้างหนึ่งเป็นขนนกของเทพีมะอาท เพื่อดูว่าสิ่งใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ทุกครั้งที่ชั่งกระดกขึ้นหรือกระดกลง ก็จะมีเสียงฮือฮา อึ้ออึงดังไปทั่ว กันตยาไม่เข้าใจความหมาย เธอมองเห็นคนที่คอยมารอบรับร่างที่ฟื้นขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปในเงามืด

ผ่านไปคนแล้วคนเล่าจนถึงคิวของเธอ  เธอเกิดอาการกลัว แต่แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองกำลังฝัน ความอยากรู้จึงเข้ามาแทนที่ พอเธอไปหยุดยืน สายตาของเธอกลับพล่ามัว หูอื้อ มองอะไรแทบไม่เห็น และไม่ได้ยินว่าเขาสั่งให้ทำอะไร เธอไม่ได้กล่าวอะไรออกไป ไม่รู้ว่ายืนอยู่น่านแค่ไหน จู่ ๆ เหมือนมีเส้นอะไรขาดผึง  สีดำสนิทเข้ามาคลอบงำแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง 

 




Create Date : 03 ตุลาคม 2557
Last Update : 13 ตุลาคม 2557 23:18:12 น.
Counter : 369 Pageviews.

0 comment
กันตยา 9
 

ทุกคนดูมีสีหน้าตื่นตระหนก สีหน้าของสองซีดเผือด แพรวตัวสั่นงันงก  นิกกี้ทำท่าจะร้องไห้ จะมีก็แต่ลูกนกถึงแม้สีหน้าจะฉายแวววิตกออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ควบคุมสติได้ดีกว่าคนอื่น ๆ 

             “วิชาปฐมพยาบาลของยุวกาชาด”   เธอตะโกนบอกเพื่อน ๆ พร้อมกับเอามือขวาทับมือซ้ายแล้ววางลงบนหน้าอกของกันตยาจากนั้นก็กดอย่างแรง  กดแล้วปล่อย  กดแล้วปล่อย เธอทำอยู่อย่างนี้ซ้ำ ๆ พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อ

             “น้องกัน...น้องกัน..น้องกันได้ยินพี่ไหม”  เสียงเรียกของเธอดังขึ้น ๆ ตามลำดับ

พลันกันยตาก็โก่งตัวงอ อ้าปากร้องอ๊ากพร้อมกับสำลักน้ำออกมาตามด้วยเสียงไอแค็ก ๆ  สองสามที เสียงร้อง ‘เย้..’ ด้วยความดีใจของเด็ก ๆ  กันตยาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง  เธอหายใจแรงจนหน้าอกที่ผอมยุบพองตามจังหวะลมหายใจเข้าออกอย่างเห็นได้ชัด  เธอเหนื่อย อ่อนเพลีย หูอื้อ ปวดแสบจมูกและลำคอ  เปลือกตาหนักอึ้ง เธอกระพริบตาถี่ ๆ พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น  พี่สองประคองเธอลุกขึ้นนั่ง พี่แพรวกับพี่นิกกี๊กุลีกุจอ ช่วยกันดึงสาหร่ายที่ติดอยู่เกือบจะทั่วตัวออก

 เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง สายตาของพี่ ๆ ทุกคนจ้องจับมาที่เธอ แล้วทั้งหมดก็โถมเข้ากอดเธอพี่ลูกนกร้องไห้ก่อนใครอื่น

            “พี่นึกว่าน้องกันจะไม่ฟื้นเสียแล้ว” เธอพูดพร้อมกับเอาหลังมือมือปาดน้ำตา

             ‘เรา...ยังไม่ตายหรือนี่’

พลันน้ำตาของเธอก็ไหลทะลักออกมาด้วยความดีใจ แล้วเธอก็ยิ้มทั้งน้ำตา เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอหน้าป้าวีร์ พ่อ แม่ พี่ ๆ เพื่อน ๆ สัตว์เลี้ยงของเธอ และคนอื่น ๆ ที่เธอรู้จักอีกแล้ว พวกพี่ ๆ เห็นเธอยิ้มก็พากันระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะพี่ลูกนกที่ทั้งตะโกนทั้งหัวเราะ

พลันเสียงหัวเราะก็เงียบลง เหมือนนัดกัน ต่างมองหน้ากันและกันโดยมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนใบหน้า แล้วทุกคนก็ทำข้อตกลงกัน

             “เราจะต้องไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง”  เสียงที่มีท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจังของพี่ลูกนก

              “ใช่  เราจะพูดแค่ว่าพวกเราไปเล่นน้ำ”  พี่สองพูดเสริมขึ้น

             “และเราก็เล่นบริเวณขอบตื้นบริเวณรอบ ๆ ”  เสียงพี่แพรวดังขึ้น

 แล้วสายตาทุกคู่ก็หันมาจ้องจับอยู้ที่กันตยา  ‘ปัญหามันอยู่ตรงนี้’

             “เออ..แล้ว....น้องกัน...ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นรึยัง”  เสียงพี่ลูกนกแสดงความเป็นห่วง กันตยาพยักหน้าแทนคำตอบ เธอกำลังใช้ความคิด

                “ไม่อยากให้ป้าวีร์รู้ “   เธอพูดเสียงเครือ ทำท่าจะร้องไห้

                   รอดจมน้ำตายมาอย่างหวุดหวิด มันน่ากลัวเกินกว่าจะเล่าให้ใคร ๆ ฟัง                                        

 “พี่ขอโทษน้องกันมาก ๆ นะ ..น้องมากับพวกพี่ ๆ แล้วน้องก็เกือบจจะ เอ่อ จมน้ำ...ต่อไปพวกเราคงไม่กล้ามาอีกแล้ว”  

 จากนั้นทุกคนจึงชวนกันกลับบ้าน  ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยกันเลย ต่างคนต่างนิ่งเงียบ สมองของแต่ละคนต่างกำลังสร้างเรื่องของแต่ละคน เรื่องของแต่ละคนจะเริ่มตรงที่  

            ‘เมื่อไปถึงบ้านเราจะ...’     

 กันตยาก็เช่นกัน   ‘ป้าวีร์คะ ..เอ่อ..คือ...’         

 พอรถเครื่องมาจอดตรงหน้าบ้าน  เพื่อนเล่นของเธอก็วิ่งมาต้อนรับ มิดไนท์พี่ใหญ่วิ่งมาถึงก่อนใครอื่น ตามมาด้วยอีคริปส์รูปหล่อ และลูน่าน้องเล็กอ้วนกลมเหมือนหมูน้อย  ทันทีที่เห็นหน้ามิดไนท์ เธอถลาเข้าไปโอบกอดรอบคอของมัน แล้วซุกหน้าลงบนขนนุ่มนิ่มข้างกกหูของมัน  

                  “รู้ไหม เกือบไม่มีโอกาสมาเห็นหน้าเธออีกแล้ว “ 

 น้ำตาเธอไหลรินอาบแก้ม มิดไนท์ยืนนิ่งแข็งทื่อไม่กระดิกหางอย่างที่เคยทำ เหมือนรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้น เจ้าสองตัวก็เข้ามารุมล้อมเธอด้วย เธอจึงเอื้อมแขนอันเรียวเล็กโอบอุ้มพวกมันทุกตัวเลย  

 พลันก็ฉุกคิดได้ว่าต้องรีบเข้าบ้าน จึงรีบปล่อยมือจากพวกมันแล้วเดินย่องเท้าเบา ๆ เข้าบ้าน โดยมีมิดไนท์วิ่งตามมาติด ๆ มันพยายามใช้จมูกดมตามตัวของเธอ  เธอหันไปสบตาของมัน แววตาของมันมุ่งมั่น จ้องเธอเขม็ง “มิดไนท์อย่ามองอย่างนั้นสิ”  มันยังคงนิ่งเงียบ “ถ้าเธอไปด้วย ฉันก็คงไม่..เอ่อ..” แล้วเธอก็เปลี่ยนมาเป็นกระซิบที่ข้าง ๆ หูของมัน 

                 “ฉันเกือบจะจมน้ำตาย ถ้าเธอไปด้วยก็คงลงไปช่วยฉันได้”  มันยังคงจ้องไม่กระพริบตา กันตยาจึงขยี้หัวของมันเบา ๆ  

              “ หวังว่าเธอคงไม่บอกป้าวีร์นะ”  แล้วเธอก็รีบเข้าบ้าน

ข้างในบ้านว่างเปล่า ‘ป้าวีร์คงไปตลาด’ เธอรู้สึกโล่งอก ‘อย่างน้อยก็ได้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า’  รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ สระผม และรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ปวดหัวตุบ ๆ เธอจึงค้นหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาใส่  จากนั้นก็ออกไปขลุกอยู่

 กับเพื่อน ๆ ทั้งสามของเธอ  แต่เธอหาสนใจสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวไม่ เพราะในใจของเธอร้อนรุ่มกระสับกระส่าย เกรงว่าป้าวีร์จะจับพิรุธได้  อาการปวดแสบจมูก หูอื้อและร้อน ๆ หนาว ๆ ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่เธอก็พยายามทำตัวให้ร่าเริง โดยการพาเจ้าสามตัวออกไปเดินเล่น เธอกลับเข้ามาหลังจากป้าวีร์กลับจากตลาดได้ไม่นาน ป้าวีร์อยู่หลังบ้าน เธอเดินเข้าทางประตูหน้าบ้าน  เธอรู้ตัวว่าฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงนอนลงบนเก้าอี้ยาว ป้าวีร์ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอเลย เธอก็ม่อยหลับไปเสียแล้ว  

             “อือ..ตัวร้อนจี๋เลย”  

เธอไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวก็ตอนที่ป้าวีร์เอามือมาแตะที่หน้าผากและลูบหัวให้นั่นแหละ และทุกครั้งที่ป้าวีร์ทำอย่างนี้เธอจะรู้สึกทั้งสบายทั้งผ่อนคลายและขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นด้วย  

            “หนูกันจะทานข้าวไหมจ๊ะ”

เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ ตอนนี้เธอรู้สึกร้อนทั้งตัวเธอ โพรงจมูกแสบร้อนมากขึ้น  แสบตามลำคอแม้แต่จะกลืนน้ำลายก็ลำบาก รู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน  เสียงนุ่มนวลของป้าวีร์ทำให้เธอน้ำตาคลอ เธอรู้สึกผิดอย่างมาก แต่เธอจะให้ป้าวีร์รู้ไม่ได้  

             “หนูไม่หิวเหรอ.. หนูไม่สบาย เดี๋ยวป้าจะเอายามาให้นะ”

‘ป้าวีร์น่าจะรู้ว่าแอบไปเล่นน้ำ แต่ป้าวีร์ก็ไม่พูดไม่ถามถึงเลย’  คิดดังนี้เธอก็รู้สึร้อนผ่าวที่หน้าเธอพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเอ่อล้นออกมา แต่ก็ทำไม่ได้  

             “อย่าร้องไห้สิ..เดี๋ยวน้ำมูกก็จะปิดจมูกหนูแล้วหนูก็จะหายใจไม่ออกหรอก” 

เธอขำกับคำพูดของป้าวีร์จึงหัวเราะทั้งน้ำตา  ...หลังจากทานยาไม่นาน พอยาเริ่มออกฤทธิ์ เธอก็หลับ ’สนิท’ 

หลังจากกลับมาจากตลาด กัญญาวีร์เห็นเสื้อผ้าหนูกันเปียกเปื้อนมอมแมมที่ราวตากผ้าเธอก็รู้แล้วว่าแอบไปเล่นน้ำมา ‘เด็กกับน้ำเป็นของคู่กัน’  เธอไม่ได้ห้ามหรือหวงเรื่องเล่นน้ำ แต่ที่สำคัญก็คือมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ไหม นั่นแหละที่หัวอกของพ่อแม่และผู้ปกครองทุกคนเป็นห่วง

ทานยาเข้าไปได้เกือบชั่วโมงแล้ว อาการตัวร้อนของหนูกันยังไม่ลดเลย  กัญญาวีร์นั่งเฝ้าข้าง ๆ พร้อมกับอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ส่วนเพื่อนเล่นของหนูกันก็ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าประตู เธอจึงรูดม่านประตูออก เพื่อให้พวกมันสามรถมองผ่านกระจกเห็นข้างในบ้านได้  เมื่อตอนหัวค่ำเธอก็อนุญาตให้พวกมันเข้ามาดูใกล้ ๆ แล้วรอบหนึ่งขณะที่กันตยายังคงหลับอยู่    

 เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง อีก 20 นาทีจะถึงห้าทุ่ม เธอรู้สึกเพลีย จึงหรี่หลอดไฟลง และเอนตัวลงนอนข้าง ๆ หนูกัน ไม่นานก็ม่อยหลับไป    

มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เหมือนได้ยินเสียงเรียก  เธอจึงหันไปมองหนูกัน ซึ่งตอนนี้ กำลังเอื้อมมือไขว่ขว้าอะไรบางอย่าง ปากก็พร่ำละเมอเพ้อไม่ได้ศัพท์ หายใจหอบอย่างแรง เนื้อตัวร้อนผ่าวเหมือนเอามือไปอังบนกองไฟ เธอต้องรีบหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวเพื่อให้อุณหภูมิของร่างกาย    

             ‘อุณหภูมิในร่างกายของคนไข้จะร้อนจนถึงขีดสูงสุดแล้วจึงจะค่อย ๆ ลดลง’    

เสียงคุณหมอที่คลีนิคเด็กที่หนูกันเคยไปรับการรักษาดังก้องในหัวของกัญญาวีร์ มันจึงทำให้เธอมีสติ ไม่ตกอกตกใจมากกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เธอใช้ผ้าเย็นซับตามตัวไปเรื่อย ๆ   ข้างนอกประตู มิดไนท์ก็คอยชะเง้อยืดคอมองเป็นระยะ ๆ สายตาของมันจ้องจับอยู่ที่กันตยา ส่วนเจ้าสองตัวคงไปหาที่อุ่น ๆ นอนแล้ว กัญญาวีร์เหลือบมองดูนาฬิกาอีกครี้ง  

          ’11 : 40  . เลยเที่ยงคืนไปแล้วก็คงจะดีขึ้น’   

เธอคาดการณ์จากประสบการณ์ที่เคยดูแลอาการป่วยของหนูกันมา

มิดไนท์ซึ่งนอนเฝ้าอยู่หน้าประตู พลันมันผุดลุกขึ้นนั่งดวงตาลุกวาว สายตายังคงมองมาที่กันตยา มันอ้าปากยิ้ม ลิ้นสีชมพูของมันแลบออกมาเล็กน้อย มันกระดิกหางกระทบกับพื้นเสียงดังตุบ ๆ   จากนั้นมันก็เหยียดตัว ยื่นคางออกวางราบกับพื้นแล้วนอนต่อ  

และก็เป็นดังที่กัญญาวีร์คาดการณ์เอาไว้ เนื้อตัวของหนูกันเริ่มเย็นลง เธอหันไปมองนาฬิกาอีครั้ง  

             ‘จวนจะเที่ยงคืนแล้ว’  

เข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาชี้บอกเวลา 11: 57 อีกสามนาทีจะถึงเที่ยงคืน  เนื้อตัวหนูกันเย็นลง และดูผ่อนคลาย ลมหายใจแผ่วเบาลงจนอยู่ในระดับปกติ ....ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ...ทว่า..นอกเขตรัศมีแสงไฟหรี่ ๆ ที่กัญญาวีร์เปิดทิ้งเอาไว้ ล้วนมืดมิด เธอหันมามองหนูกันอีกครั้ง

              ‘คงหลับสนิทแล้วสินะ’

เธอเอนกายลงด้วยความเพลีย  ปิดเปลือกตาและหลับได้อย่างสนิทใจเพราะเห็นหนูกันมีอาการดีขึ้น ข้างนอก มิดไนท์ ที่นอนฟุบอยู่หน้าประตูเพื่อคอยเฝ้าดูนายน้อยของมันก็นอนหลับเช่นกัน เหมือนทุกอย่างต่างพากันหลับไหล

ทว่าเข็มนาฬิกามันไม่เคยหลับ มันทำหน้าที่ของมันอย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ มันไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเดินทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี และหลาย ๆ ปี ไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงก้าวเดินของมันแต่ละก้าวมีสิ่งที่ต้องบันทึกจดจำมากมายสำหรับทุกสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลก   มีทั้งดีและไม่ดี ทั้งทุกข์และสุข ทั้งเกิดทั้งตาย ทั้งดีใจทั้งเสียใจ  มันไม่เคยลำเอียงว่ารักใครคนใดคนหนึ่งมากกว่าอีกคน   ไม่เคยตัดสินว่าใครผิด ใครถูก ใครดีใครเลว มันให้เวลาแก่สิ่งมีชีวิตทุกตัวตนบนโลกสีน้ำเงินใบนี้เท่า ๆ กัน เว้นแต่ใครจะใช้มันอย่างไร จะคุ้มค่า หรือไร้ค่า มันไม่เคยสนใจใคร่รู้   และคืนนี้ก็เช่นกันมันก็ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข็มสั้นและเข็มยาวเดินซ้อนทับกันตรงเลข 12  

                ‘เที่ยงคืนแล้วสินะ’

จังหวะที่มันเดินซ้อนทับเกิดเสียงดัง ‘คลิ๊ก’ เบา ๆ จากนั้นเข็มวินาทีก็จะเดินผ่านเลยไปตามหน้าที่ของมัน ทว่า..ทันทีที่เข็มวินาทีก้าวเดิน  ณ อีกมิติหนึ่ง เกิดเสียงดัง “ค รื น” สะท้อนก้องไปหลายพันไมล์ เป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่า  

             ‘ได้เวลาปฏิบัติภารกิจกันแล้ว’  




Create Date : 22 กันยายน 2557
Last Update : 3 ตุลาคม 2557 23:37:33 น.
Counter : 454 Pageviews.

0 comment
กันตยา 8
 

นายแพท์ชนันท์ แผนกจิตเวชเด็กก้มดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า และเหลือบมองหนูกันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ป้าวีร์ เธอไม่ได้มองผู้ที่อยู่ตรงหน้า   

 

            “คุณเป็นอะไรกับเด็กครับ”   

            “เป็นป้า ..เออ..และเป็นผู้ปกครองค่ะ”   

            “เด็กมีอาการแบบนี้มานานรึยังครับ”   

            “อาการแบบไหนคะ”   กัญญาวีร์ไม่แน่ใจว่าหมอถามเกี่ยวกับอะไร สุขภาพ หรือว่า..             “หมอหมายถึงอาการละเมอครับ”    

            “คือ..ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะว่าแกนอนละเมอ”   

            “ไม่ได้นอนห้องเดียวกันหรือครับ”   

            “เอ่อ..ไม่ค่ะ แต่ห้องนอนก็ใกล้ ๆ กัน”  

 

หนูน้อยหันหน้าไปทางอื่น แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นที่น่าสนใจ เธอนั่งแกว่งเท้าสลับไปมาอย่างสบายอารมณ์ ป้าวีร์ไม่แน่ใจว่าหนูกันฟังบทสนทนาระหว่างเธอกับหมออยู่หรือไม่ หมอหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งหมุนปากกาไปมาอย่างครุ่นคิด 

 

            “สุนัขตัวที่ว่านั่นใหญ่ขนาดไหนครับ”  

            “สูงใหญ่น้ำหนักประมาณ 30 กิโลค่ะ” เธอพยายามพูดให้น้อยที่สุด เพราะก่อนจะมาพบหมอก็ต้องพบพยาบาลซักประวัติ

    

            “นี่คุณป้าหมายความถึง เด็กกับหมา..อุ้ย..ขอโทษกับสุนัข เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนกินกันตั้งแต่ยังแบเบาะยังงั้นใช่ไหมคะ” 

  

จากน้ำเสียงและคำพูดเธอ กัญญาวีร์เดาได้ว่าพยาบาลสาวคนนี้คงไม่ชอบสัตว์เลี้ยง หรืออาจถึงขั้นต่อต้านไปเลยทีเดียว   

         

             “ค่ะ..ที่บ้านมีอยู่ 3 ตัว พวกเขาจะสนิทกันมาก”  

            “แล้ว ..ไม่กลัวน้ำลายหมา พิษสุนัขบ้า เชื้อโรคที่มากับเห็บ หมัด อะไรทำนองนั้นบ้างเหรอคะ”  

 ถึงแม้เธอจะพูดจาฟังดูราบเรียบมีหางเสียง แต่เธอก็เบะปากขณะพูด  

             “ทุกตัวได้รับการดูแลดีค่ะ” กัญญาวีร์รู้สึกอึดอัดที่เจอคนที่มีมุมมองที่ต่างออกไป  

              “ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วค่ะว่า สุนัขช่วยทำให้เจ้าของสุขภาพดี ช่วยฟื้นฟู  และช่วยบำบัดผู้ป่วยด้วยค่ะ  “  เธออยากให้พยาบาลสาวคนนั้นเห็นความสำคัญของสัตว์เลี้ยง  

             มือที่กำลังเขียนหยุดกึกลงนิดหนึ่ง แต่ไม่พูดว่าอะไร แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ  

             “คุณป้าบอกว่าตอนที่น้องเขาหายไป ออกไปตามหาแล้วเจอนอนหลับอยู่ใต้พุ่มสนนอกเขตรั้วหน้าบ้าน  โดยมีสุนัขที่ชื่อ..เอ่อ..ชื่ออะไรนะ”  

             “มิดไนท์ค่ะ”             

              “โดยมีสุนัขมิดไนท์ เฝ้าอยู่อย่างงั้นเหรอครับ”  

             “ค่ะ ตอนที่จะออกไปเจอก็เห็นมันวิ่งกลับไปกลับมาเหมือนจะบอกอะไรดิฉันค่ะ”  

             “แล้วที่บ้านมีรั้วรอบขอบชิดไหมครับ”  

 กัญญาวีร์สะดุ้ง นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ค้างคาในใจเธอ เพราะตอนที่เธอเดินออกไปหาหนูกันนั้น ประตูรั้วยังคงคล้องกุญแจอยู่เลย และเธอต้องเดินกลับเข้าไปเอากุญแจที่บ้านไขมันออกไป  

             “มีค่ะ แบบที่เรียกว่า fence ค่ะ สูงขนาด เมตรยี่สิบค่ะ”  

             “คุณป้าคิดว่าเด็กออกไปได้ยังไงล่ะครับ”  

             ‘หนูกันออกไปข้างนอกได้ยังไง’  

              ‘มิดไนท์กระโดดข้ามปรู๊ดเลย’  

 แต่เธอไม่เชื่อสิ่งที่หนูน้อยพูด แกคงจำคำพูดมาจากการ์ตูนก็ได้ เธอน่าจะปีนป่ายออกไปขณะหลับ ๆ ตื่น ๆ จึงจำอะไรไม่ค่อยได้  

 คุณหมอดซักประวัติอย่างละเอียดตั้งแต่แรกเกิด น้ำหนักตัวเท่าไหร่ ผลการตรวจเลือดเป็นอย่างไร จนถึง ณ ปัจจุบัน และก็สรุปว่า เด็กมีปัญหาด้านสุขภาพมาตั้งแต่เกิดอาจส่งผลต่อระบบประสาททำให้นอนหลับไม่สนิท...  

             “หมอจะจัดยานอนหลับอ่อน ๆ ให้นะครับ โดยหยดใส่น้ำให้ดื่มก่อนนอนทุกวัน ..หมอจะนัดอีกทีเดือนหน้านะครับ เพื่อติดตามอาการ”  

กัญญาวีร์ มีแวววิตกที่สีหน้า คุณหมอที่นั่งอยู่ตรงหน้าคงจะสังเกตเห็น จึงรีบอธิบายให้เข้าใจ   

            “เป็นยานอนหลับชนิดอ่อนมากครับ คือจะเป็นลักษณะผ่อนคลายจิตใจครับ เพื่อช่วยให้เด็กหลับสบาย”  

 

และมันก็ได้ผลอย่างที่คุณหมอบอก หนูกันนอนหลับสนิท แน่นิ่งไม่ไหวติง มีเพียงหน้าอกเท่านั้นที่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยตามจังหวะลมหายใจเข้าออกและเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเธอยังมีลมหายใจและยังมีชีวิตอยู่  แม้ตอนกลางวันก็ยังสะลึมสะลือหลับ ๆ ตื่น ๆ จนต้องหยุดเรียน และตัวเธอเองก็ต้องลางาน เพื่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิด 

 

สำหรับหนูน้อย ในขณะที่เธอหลับ เปลือกตาปิดสนิท ตัวอ่อนปวกเปียก เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย แต่ในหัวของเธอกลับได้ยินเสียงพร่ำเรียกหาที่ดังก้องมาจากที่ไกล ๆ อยู่เป็นระยะ ๆ มันเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยมากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร  เธอพยายามนึกว่าได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน..เสียงที่ร้องเรียกหาเธอ แฝงด้วยความเศร้าโศก และตามด้วยเสียงหอนหวยหวนชวนขนลุก

            

            ‘กันตยา ..หนูกันยา.....กันตยา...’            

            ‘มิดไนท์’  

 ในความรู้สึกขณะหลับ เธอพยายามตะเกียกตะกายอยากวิ่งไปหาเจ้าของเสียง  เธออยากจะโผเข้าโอบกอดคอที่แข็งแรงของมัน และแนบหน้าลงบนขนนุ่ม ๆ อย่างสบายอารมณ์เหมือนที่เธอเคยทำ ..แต่ตอนนี้ตัวเธอเหมือนมีอะไรตราตรึงไว้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย เธอพยายามตระเกียกตระกายยื่นมือไขว่คว้าออกไป นั่นมันเป็นเพียงความคิด ไม่มีร่างกายส่วนไหนของเธอสนองตอบ สุดท้ายน้ำอุ่น ๆ ก็ไหลซึ่มผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิทออกมา ...

 ผ่านไปกี่วันไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ เสียงของมิดไนท์ที่คอยตะโกนเรียกหาเธอค่อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไป และเธอก็ไม่เคยได้ยินเสียงพูดของมันอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  คงได้ยินเสียงเห่าหอนเหมือนสุนัขธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น กันตยา นั่งมองจานข้าวที่ว่างเปล่าเธอวางซ้อนส้อมกับช้อนแล้วจัดวางหันด้ามไปทางขวามมือ แก้วน้ำที่ว่างเปล่าวางชิดขอบจานด้านบน  เธอไม่เร่งรีบที่จะลุกไป ซึ่งโดยมารยาทแล้วถ้ามีนักศึกษาเข้ามามากโต๊ะนั่งอาจจะไม่พอ ทุกคนก็ต้องรีบทานแล้วรีบลุกไปเพื่อเผื่อแผ่ที่นั่งแก่คนอื่น ๆ  แต่วันนี้ เธอเห็นโต๊ะหลายตัวว่าง เธอจึงอยากนั่งนิ่ง ๆ สักพัก เธอสูดลมหายใจเบา ๆ  วางตัวให้สบาย ๆ และพยายามให้รู้สึกว่าเหมือนไม่มีเธออยู่ตรงนั้น            

               “ขอนั่งด้วยนะ”

เธอสะดุ้งที่ได้ยินเสียงดุดันของศาตราจารย์สุทัต พร้อม ๆ กับจานข้าวและแก้วน้ำที่วางลงตรงหน้าเธอ แล้วอาจารย์ก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร กันตยาคิดในใจว่าทำไมอาจารย์ไม่เข้าไปนั่งในห้องของบุคลากรที่กั้นแยกไว้ต่างหากแถมมีแอร์เย็นฉ่ำ            

               “ไม่ชอบทานอาหารในห้องแอร์ หายใจอึดอัด” ศาสตรจารย์สุทัต เหมือนอ่านความคิดเธอออก  เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดที่ต้องมานั่งมองคนทานอาหารอยู่ตรงหน้า แต่ชั่วเวลาไม่นาน อาหารบนจานก็หมดเกลี้ยง ตามด้วยแก้วน้ำที่ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว มือที่ดูแข็งแกร่งของท่านล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากกันตยาปรายตามอง  

              ‘มือที่แข็งแกร่ง ผิวหลังมือมีรูขุมขนใหญ่ เส้นขนโดดเด่น ..เป็นคนอารมณ์ร้อน โผงผาง หักไม่ยอมงอ ’  

กันตยานึกถึงตำรานรลักษณ์ ที่เธอเคยอ่าน แต่ท่าทีของเธอก็หารอดพ้นจากสายตาของศาสตราจารย์สุทัตไม่

                ‘ ท่าทีที่นิ่งเฉยแล้วแอบปรายตามอง Miss Foxy ดี ๆ นี่เอง’   ศาสตราจารย์สุทัตยิ้มเยาะที่มุมปากขณะกำลังเช็ดปาก 

            “ทำไมชอบนั่งนิ่งอยู่คนเดียว” ศาสตราจารย์สุทัตทำลายความเงียบขึ้น  

             “คะ” เธอตอบโทนเสียงสูงเชิงคำถาม  ใช่สิเธอชอบทำอย่างนั้นจริง ๆ  

             “เริ่มสนใจโหราศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”  

             “เอ่อ..”  

 เธอไม่รู้จะตอบอย่างไร และไม่รู้สึกอยากตอบคำถามนี้  อีกทั้งใน โรงอาหารไม่เหมาะที่จะมาคุยเรื่องที่เป็นแก่นสาร เธอจึงก้มหน้ามองต่ำแต่ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง เรียบเฉย  

             “ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรจะคุยด้วยก็ไปหาได้เสมอนะ”  

 ศาสตราจารย์สุทัตพร้อมกับวางนามบัตรลงตรงหน้าเธอ แล้วก็ลุกพรวดจากไปอย่างรวดเร็ว เหมือนตอนเดินเข้ามา กันตยายืดคอมองนามบัตร แล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบมาดู คิ้วของเธอเลิกสูง ดวงตาฉายแววตื่นเต้นนิด ๆ เมื่อเธอเห็นภาพสัญญลักษณ์บนด้านหลังของมัน เธอพลิกด้านหน้าอ่าน ชื่อและที่อยู่  แล้วเธอก็หย่อนมันลงกระเป๋า แววตาครุ่นคิด  

                เธอเริ่มสนใจโหราศาตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่นะหรือ ..เธอก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เริ่มต้นด้วยความสนใจ..

กันตยา นึกย้อนทบทวนเหตุการณ์ในอดีต สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอ มันทำให้หัวใจของเธอต้องแอบบร่ำไห้บ่อย ๆ  เธอรักมิดไนท์และอยากพูดคุยกับมันอีก มันยากที่จะทำใจให้ลืมภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังคงอยู่กับเธอตลอดเวลา            

              “หนูต้องไม่พูดว่าหนูออกไปเที่ยวกับมิดไนท์”   

            “หนูต้องไม่พูดว่าหนูพูดคุยกับมิดไนท์”    

            “ทำไมหนูพูดไม่ได้”    

            “ เพราะ..เอ่อ.. เพราะ ถ้าหนูพูด คุณหมอก็จะอยากพบกับหนูอีก”   

 

และแน่นอนหนูกันตยาไม่อยากไปพบหมอ  หมอทำให้โลกของเธอกับมิดไนท์หยุดกึกลง นับแต่นั้นเป็นต้นมา กันตยากลายเป็นคนพูดน้อย และเธอก็ชอบที่จะอยู่คนเดียวเงียบ ๆ  

          

           “ตามหลักแล้ว เด็กอายุสามขวบจะจำอะไรไม่ได้เมื่อโตขึ้น”

เธอคิดว่าคำพูดของหมอชนันท์ไม่เป็นจริงเพราะเธอจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี ตอนเธออายุได้สิบขวบ เธอเรียนอยู่ชั้น ป.4 ได้ไปดูพวกพี่นิกกี้ พี่แพรว พี่ลูกนก และพี่สอง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ชั้น ป.6 โรงเรียนเดียวกันที่รู้จักกันดี ที่พากันไปเล่นน้ำหลังเลิกเรียน  ที่อ่างกักเก็บน้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านโดยที่เธอไม่ได้บอกป้าวีร์ และเธอก็ไม่ยอมให้เจ้าสามตัวที่บ้านตามไปด้วย ซึ่งตอนนี้พวกมันดูแก่งุ่มง่าม โดยเฉพาะมิดไนท์ อ้วนกลมใหญ่เลย ไปไหนมาไหนเดินอุ้ยอ้ายเชื่องช้า 

      

          ‘ไม่เหมือนเมื่อตอนที่พาเราไปเที่ยว..เออ..ไม่ใช่สินะป้าวีร์บอกว่าเรานึกคิดไปเอง ไม่ได้ไปจริง ๆ หรอก ... ‘

วันแรกเธอปั่นจักรยานไปและนั่งเฝ้ามองดูเฉย ๆ เห็นพวกเขาหยอกล้อกันหัวเราะคิกคัก เธอก็พลอยสนุกกับพวกเขาไปด้วย ล้อยางในรถสีดำ ที่มีพี่ ๆ ทั้งสี่นั่งเต็มขอบ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางแอ่งน้ำที่กว้างใหญ่  ช่างดูเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน มันช่างดึงดูดความสนใจของเธอได้มากมายเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่กล้าลงเล่นด้วย เหตุเพราะว่ายน้ำไม่เป็น  

 วันที่สองเธอก็ไปอีก คราวนี้เธอทิ้งจักรยานไว้เบื้องหลัง เปลี่ยนเป็นนั่งซ้อนท้ายรถเครื่องพี่สองไป และก็ไปนั่งเฝ้าดูเหมือนเดิม..เสียงพูดคุยหยอกล้อกัน  บางครั้งก็มีคนแกล้งทิ้งตัวลงเพื่อให้ล้อยางขาดสมดุลพลิกคว่ำ ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่กระเด็นตกไปคนละทิศคนละทาง แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นต่างคนก็ต่างว่ายเข้ามาเกาะขอบยางป่ายปีนขึ้นไปนั่งใหม่ แล้วลอยไปต่อ  ซึ่งมองดูแล้วสนุกเหลือเกิน  ..น้ำนั่นคงลึกน่าดู  กันตยาคิด  

             “น้องกัน ลงมาเล่นด้วยกันสิ” พี่นิกกี้เชื้อเชิญ กันตยาก็ได้แต่ส่ายหน้า แต่สายตาของเธอยังคงจ้องจับเฝ้าดูพวกเขาโดยไม่ละสายตา เธออยากจะลองลงเล่นดูบ้าง แต่ก็กล้า ๆ กลัว ๆ  

             “มาสิ ถ้าน้องกันมานั่งด้วย พวกพี่จะไม่แกล้งหรอก..ถ้าเป็นไรขึ้นมาพวกเราว่ายน้ำเก่ง ๆ กันทุกคน เดี๋ยวจะช่วยดูแลเอง” พี่ลูกนกที่ตัวอ้วนโตกว่าใครอื่นให้คำสัญญา  

ในที่สุดใจที่เรียกร้องก็เอาชนะความกลัว กันตยาก็ลงไปนั่งคร่อมล้อยาง ด้วยหัวใจที่เต้นไม่ค่อยเป็นจังหวะ มันเป็นความกลัว และความตื่นเต้นปนกัน  มือก็เกาะไหล่พี่ลูกนกซึ่งนั่งหันข้างให้เธอไว้แน่น แล้วยานพาหนะสีดำก็ลอยออกไปเรื่อย ๆ มันช่างรู้สึกสบายอะไรอย่างนี้ เท้าที่จมอยู่ในน้ำเย็นชุ่มฉ่ำ เธอเริ่มหายเกร็ง และปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับมัน  จนกระทั่งมันลอยมาถึงตรงกลางสันเขื่อน เท้าทั้งสองข้างของเธอสัมผัสถึงความเย็นของน้ำที่เย็นกว่าบริเวณอื่น ๆ เธอกวาดสายตามองดูบริเวณรอบ ๆ สังเกตเห็นว่าน้ำบริเวณนั้นสีดำเข้ม เธอรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างช่วยไม่ได้ และก็แปลกใจที่ขณะนั้นทุกคนต่างพากันเงียบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ ..ทันใดนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา 

             “เฮ้ย ปลิง!”  

พลันล้อยางก็พลิกคว่ำพวกพี่ ๆ  กระเด็นไปคนละทิศละทาง กันตยารู้ตัวว่าตัวเองตกลงจากล้อยางและจมดิ่งลงไปในน้ำ เธอมองเห็นขาที่กวัดแกว่งไปมาใต้น้ำ เธอพยายามเอื้อมมือไปคว้า แต่ขานั้นก็สะบัดหลุดมือเธอไป เธอพยายามตระเกียกตระกายแต่ก็ไร้ผล ตัวเธอจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรดูดลงไป  เธอไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน   รอบกายของเธอมีแต่ความมืดมิด จนกระทั่งมือเธอสัมผัสกับสาหร่ายใต้ผืนน้ำ ร่างของเธอกำลังถูกสาหร่ายดูดกลืน มันห่อพันร่างของเธอ สาหร่ายโยกไหวไปมาบนหน้าของเธอตามแรงกระเพื่อมของน้ำ ...เธอพยายามดิ้น แต่ว่ากระดิกตัวไม่ได้เลย  และเธอคิดว่าเธอกำลังจะจมน้ำตาย  เธอรู้สึกเสียใจที่แอบมาเล่นน้ำโดยไม่ได้บอกป้าวีร์ และในขณะนั้นเธอก็รู้สึกรักป้าวีร์จับใจ  เธอนึกถึงพ่อ แม่ พี่จี้ พี่จัก และพี่จ๋า คิดถึง มิดไนท์ อีคริปส์ และลูน่า และแล้วน้ำตาของเธอก็หลริน ...คนกำลังจะตายมันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง... เธอขอโทษป้าวีร์ในใจ เธอกล่าวย้ำคำว่า ขอโทษ และขอโทษ และบอกกล่าวลาทุก ๆ คนที่เธอรัก  ใบหน้าของป้าวีร์ผุดขึ้นในหัวของเธอ ตามมาด้วยพ่อ แม่ พี่ ๆ สุนัขทั้งสามของเธอ เพื่อน ๆ ที่โรงเรียน คุณครูและก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง เธอเหมือนเห็นมิดไนท์กระโจนเข้าหาเธอ และพร้อม ๆ กับมีอะไรบางอย่างมาซ้อนร่างของเธอแล้วทะยานพุ่งขึ้นเหนือน้ำอย่างแรง จนเธอรู้สึกถึงความสว่างจ้าของแสงอาทิตย์ที่แยงตาเธอ  

             “ตายแล้ว น้องกัน เป็นอย่างไรบ้าง!”  

เธอได้ยินเสียงพี่ลูกนก และรู้สึกถึงมือที่คว้าคอเสื้อแล้วดึงเธอขึ้นจากน้ำ มีเสียงเอะอะของอีกหลาย ๆ คนจนฟังไม่ได้ศัพท์  จากนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบกายเธอพลันดับวูบลง  

กันตยารู้สึกปวดแสบที่จมูก เธอจึงเอามือขยี้จมูก และค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แต่แปลกใจที่ตัวเธอเบาหวิวเหมือนขนอ่อนของนกที่ลิ่วลอยตามสายลม เธอแหวกวงล้อมของพี่ ๆ ที่มุงเธออยู่ออกมาได้อย่างง่ายดาย  และเธอก็แปลกใจที่ไม่มีใครหันมาสนใจเธอ ทุกคนมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอเพ่งมองอีกครั้งกลับเห็นตัวเองนอนแน่นิ่ง ใบหน้าซีดขาว เนื้อตัวเปียกปอนและมีสาหร่ายติดตามเสื้อผ้าประปราย  พี่นิกกี้กับพี่สองช่วยกันยกร่างของเธอพาดใส่บ่าพี่ลูกนก แล้วพี่ลูกนกก็วิ่งเหยาะ ๆ พร้อมกับเขย่าร่างของเธอไปด้วย ..เธอเดินเข้าไปหาเพื่อจะบอกว่าเธอยืนอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีใครหันมามองเธอหรือได้ยินเสียงเธอ  

กันตยาพยายามทบทวนเหตุการณ์ แค่คิดภาพต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ เธอเห็นตัวเองตกจากล้อยางและจมลงใต้พื้นน้ำ  มือของเธอคว้าขาของใครไม่รู้ แต่ขานั้นก็สะบัดหลุดจากมือเธอ เธอเห็นตัวเองลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทางและจมดิ่งลงดงสาหร่าย มันห่อหุ้มพันรอบกายเธอ และมันก็ส่ายไปมาตามแรงกระเพื่อมของน้ำเหมือนมันเต้นระบำมันทำให้ตัวเธอโยกลอยไปตามจังหวะของมัน กอสาหร่ายดกหนาพันเธอไว้แน่น จนเธอดิ้นไม่ได้ ขณะที่เธอคิดว่าเธอกำลังจะจมน้ำตายทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายเรือขนาดเล็กพุ่งเข้ามาซ้อนร่างของเธอแล้วพุ่งขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว เหมือนโยนเธอไปที่พี่ลูกนก จากนั้นสิ่งที่ดูคล้ายเรือก็หายไป  แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นขนนกสีเงินลอยอยู่เหนือน้ำใกล้ ๆ ที่เกิดเหตุ   ขณะที่เธอยืนจ้องมองดูมัน  

          

            “โครม!”

พี่ลูกนกที่แบกร่างของเธอวิ่งวนไปมาชนเธอเข้า กับจังหวะที่พี่ลูกนกทรุดเข่าลงกับพื้นเพราะเหนื่อยหอบจนวิ่งต่อไปต่อไม่ไหวอีกแล้ว เธอวางร่างกันตยาลงกับพื้น              




Create Date : 11 กันยายน 2557
Last Update : 14 กันยายน 2557 8:49:52 น.
Counter : 572 Pageviews.

2 comment
กันตยา 7
 

การออกนอกบ้านยามราตรีที่มีแสงจันทร์เจิดจ้า กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทั้งหนูกันตยาและเจ้ามิดไนท์ ความกล้าของหนูน้อยพัฒนาขึ้นมาก เธอไม่ต้องรอให้ไฟห้องนอนป้าวีร์ปิดอีกต่อไปแล้ว ทานมื้อค่ำเสร็จพอป้าวีร์เดินเข้าห้องทำงาน หนูน้อยก็จะทำเป็นเข้าห้องนอน จากนั้นก็จะย่องเบา ๆ ออกทางหลังบ้านไป และทุกครั้งเจ้ามิดไนท์ก็จะนั่งกระดิกหางรอนายน้อยของมันอย่างอารมณ์ดี คืนนี้ก็เช่นกันร่างสูงใหญ่ของมันกระโจนทะยานข้ามรั้วบ้านอย่างเร็ว ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง สายน้ำไหลรินยามค่ำคืนสะท้อนแสงจันทร์เป็นคลื่นสีเงินและสีดำสลับกัน มองดูคล้ายเกร็ดงูขนาดมหึมายามโค้งงอตัวเลื้อยไปอย่างช้า ๆ  มิดไนท์หยุดลงตรงผืนทรายข้างสายน้ำ หนูน้อยปล่อยมือที่โอบรอบคอขอมันลู่ตัวไถลลงจนเท้าแตะผืนทราย  รอบกายของเธอดูมืดมิด พอสายตาของเธอเริ่มชินกับความมืด เธอก็เริ่มมองเห็นเงาของสุมทุมพุ่มไม้ที่เรียงรายอยู่รอบ ๆ  สายลมกรรโชกพัดผ่านตัวเธอทำให้รู้สึกเย็นวูบจนขนกายลุกซู่..หัวใจของเธอเต้นตุ้มต่อมไม่เป็นจังหวะ เธอมีความกลัวและความกล้าในเวลาเดียวกัน.. และความรู้สึกต่าง ๆ ก็จะอยู่กับเธอไม่นาน ..เด็กก็คือเด็กสนใจแต่เรื่องเล่น และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ..เธอมองซ้ายทีขวาที ทุกอย่างยังคงสงบนิ่ง มิดไนท์ก็ยังคงนั่งนิ่ง..ที่พึ่งของเธอ..ชีวิตน้อย ๆ ของเธอมอบให้เจ้ามิดไนท์ดูแล  เธอจึงเดินผละไปจากมิดไนท์ เธอกำลังตื่นเต้นกับผืนทรายใต้ฝ่าเท้าของเธอ เธอเอาเท้าเตะทรายเล่น  ..พลันก็มีเงาตระคุ่มลอยวูบผ่านหน้าเธอไป เธอผงะด้วยความตกใจ อ้าปากค้างเธอหันไปมองมิดไนท์ มันคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมและสายตาของมันก็จับจ้องมาที่เธอ  เธอคิดว่าถ้ามีอันตรายมิดไนท์จะต้องเข้ามาปกป้องเธอ  ดังนั้นเธอจึงรวบรวมความกล้ากวาดสายตาฝ่าความมืดตามทิศทางของสิ่งที่เคลื่อนที่ผ่านหน้าเธอไป   และเธอก็เห็นคนสามคนเดินก้มหน้าอย่างเชื่องช้าเหมือนกับมองหาอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกลจากเธอ  และทุกคนล้วนเป็นคนแก่ผอมกระหร่องกระแหร่ง ผมเผ้าสีขาวโพลนยุ่งเหยิงยาวถึงน่อง ร่างกายห่มด้วยผ้าสีขาวหม่นห่มทับผ้าคลุมรุ่มร่ามสีดำ 

             ‘มันคงมองไม่เห็นเรา’

หนูน้อยคิด เพราะในจำนวนพวกมันไม่มีคนไหนหันมามองเธอเลย เธอจึงเบือนหน้าไปทางอื่น สายตาของเธอสัมผัสกับเงาสะท้อนวูบวาบสีขาวนวลที่ลอยเด่นอยู่บนผืนทราย เธอจึงมุ่งตรงไปหามัน มันเป็นเปลือกหอยนั่นเอง มือน้อย ๆ ของเธอค่อย ๆ บรรจงซ้อนมันขึ้นมาเพราะเกรงว่าแสงสีนวลของมันจะหายไป  พอเงยหน้าขึ้นเธอก็ต้องผงะ เพราะเธอเกือบจะชนยายแก่คนหนึ่งเข้า..เธอไม่รู้สึกเลยว่าแกมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่  หนูน้อยก้มต่ำวูบไม่กล้ามองใบหน้าของยายแก่ที่ยืนขวางทางอยู่ เธอหลับตาปี๋ เธอนึกถึงภาพคนแก่ ๆ เวลาที่เธอไปวัดกับป้าวีร์ ใบหน้าคนแก่ล้วนน่ากลัว   เธอจะเรียกหามิดไนท์ แต่ตัวเธอกลับแข็งทื่ออ้าปากค้างไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย   ยายแก่คนนั้นยื่นมืออันเหี่ยวย่น นิ้วมือยาวเก้งก้างมีแต่หนังหุ้มกระดูกมาตรงหน้าเธออย่างช้า ๆ   หนูน้อยผงะหงายพยายามจะก้าวถอยหนี แต่กลับขยับเท้าไม่ได้  เธอหรี่ตามองมือยายแก่เธอก็ต้องตะลึงกับก้อนหินที่มีขนาดเล็กกว่าไข่ไก่ส่องแสงสีขาวอมส้มชวนให้หลงใหลลอยเด่นอยู่บนฝ่ามือของแก ..  มือนั้นยื่นเข้ามาเกือบจะชิดอกหนูน้อยเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า

                ‘รับไปสิ’

หนูน้อยรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ แต่เธอก้อยากได้หินก้อนนั้น และกลัวว่ายายแก่จะหดมือกลับและกำมันไว้แน่น เธอก็จะพลาดโอกาส มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมไปหยิบมัน แล้วเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข รีบวิ่งตื๋อไปอวดมิดไนท์  และไม่ได้สนใจยายแก่นั่นเลย เธอไม่หันหลับไปมองด้วยซ้ำ       

         “นี่ดู ...เห็นไหมว่าได้อะไรมา” 

เจ้ามิดไนท์ดมสิ่งที่หนูน้อยยื่นให้ดูอย่างเอาใจนายน้อยของมัน          

           “นี่ก็อีกอัน” 

หนูน้อยยื่นมืออีกข้างที่ถือเปลือกหอยให้มิดไนท์ดูแล้วก็หย่อนทั้งสองอย่างลงในกระเป๋าเสื้อชุดนอนสีเหลืองอ่อน เธอเอามือตบเบา ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองสิ่งนั้นลงไปอยู่ในกระเป๋าเสื้อเธอแล้วจริง ๆ

ป้าวีร์ไปจ่ายตลาดยามเช้าเหมือนเช่นเคย  ตลาดนอกจากจะเป็นแหล่งซื้อหาอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่ง สารพัดข่าวที่พึงจะหาได้  สำหรับเรื่องเล่าเช้านี้เป็นเรื่องลักขโมยที่ร้านขายโทรศัพท์ สมายโฟน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตลาดสด สิ่งที่ผ่านหูป้าวีร์จับใจความได้ว่า            

‘กลางดึกของเมื่อคืนนี้ มีวัยรุ่นสองคนงัดเข้าไปในร้าน  ทุบตู้กระจกเอาโทรศัพท์ที่มีราคาไปยี่สิบกว่าเครื่อง และงัดลิ้นชักโต๊ะได้เงินสดไปร่วมสามหมื่นบาท   ขณะหลบหนีรถเครื่องเกิดเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง คนซ้อนท้ายกระเด็นหัวน็อคพื้นเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล คนขับอาการสาหัส  ตำรวจสอบปากคำเบื้องต้น คนขับให้การว่า ขณะขับรถลงเขามีหมาดำตัวใหญ่มหึมาซึ่งมีเด็กผู้หญิงใส่ชุดขาวนั่งอยู่บนหลังวิ่งตัดหน้าระยะกระชั้นชิด  ด้วยความตกใจกลัว จึงเผลอบิดคันเร่งอย่างแรง ตำรวจไม่เชื่อในคำให้การเพราะจากการตรวจฉี่ผลออกมาเป็นสีม่วง ..และสรุปว่านั่นเป็นภาพหลอน’

ป้าวีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้า ปัญหาเยาวชนไทยในทุกวันนี้กับยาเสพติด ไม่สนใจการเรียน ปัญหาลักขโมยตามมา แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เด็กบางคนเริ่มเสพตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ป้าวีร์นึกถึงเมื่อตอนเป็นนักเรียนมัธยม เคยเห็นภาพเด็กชายผิวคล้ำหัวหยิกหยอง อายุไม่เกินสิบขวบ ปากคาบบุหรี่มวลใหญ่ที่มีควัญขโมง แล้วมีข้อความบรรยายใต้ภาพว่า ปัญหาสารเสพติดในประเทศด้อยพัฒนา  เลยให้นึกสงสัยว่าประเทศนี้กำลังพัฒนาหรือกำลังจะถอยหลัง          

                “คุณป้าคะ ขอเวลานิดหนึ่งค่ะ คือจะคุยเรื่องน้องกันตยาค่ะ”

ป้าวีร์ร้อนที่หน้าวูบ และมีแวววิตกเล็กน้อยที่ได้ยินประโยคนั้นขณะไปรับหนูกันกลับบ้านตามปกติ 

           “เออ..ได้ค่ะ มีอะไรเหรอคะ” 

             “คือ..อยากทราบว่าน้องกันตยา เข้านอนดึกไหมคะ”   

           “ไม่ค่ะ..เข้านอนหัวค่ำทุกวัน ทานข้าวเย็นเสร็จ นั่งเล่นนิดหน่อย ก็เข้านอนค่ะ”  

             “น้องติดทีวี หรือ เกมส์ไหมคะ”            

              “ไม่ค่ะ ที่วีก็ดูการ์ตูนเป็นบางครั้ง เกมส์ไม่ให้เล่น”  ป้าวีร์จ้องมองหน้าครูเชิงถามว่า

              ‘ มีไรหรือ’            

               “คือ..น้องกันตยา ดูเขาเพลีย ๆ  ง่วงนอนและฟุบหลับในตอนเช้าค่ะ” 

                 “อ๋อ..คือหนูกันไม่ค่อยแข็งแรง อาจจะเพลียเป็นบางวันก็ได้ค่ะ”  

 ก็คงออกตัวไว้ก่อน แล้วป้าวีร์ หันไปมองหน้าหนูกัน ทุกอย่างก็ดูปกติ

            ‘อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้ร่างกายเด็กปรับตัวไม่ทันมั้ง’

ป้าวีร์สรุป ป้าวีร์เข้าไปจัดเก็บห้องนอนและขนเสื้อผ้าหนูน้อยออกมาซัก พอยกหมอนขึ้นเพื่อเปลียน ปลอกใหม่ เธอก็เห็นขนปีกอันหนึ่งวางอยู่ใต้หมอน  เธอไม่แน่ใจว่าเป็นขนไก่หรือขนนก จึงหยิบขึ้นมาดูแล้วโยนลงตะกร้าเพื่อจะเอาไปทิ้ง แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ ‘

            ของสะสมตามประสาเด็ก’  

 เธอจึงหยิบมันกลับขึ้นมาวางไว้ที่เดิม  แล้วหันไปหยิบชุดนอนขึ้นมาจากตะกร้าเล็ก มีบางอย่างตกกระทบพื้นส่งเสียงดัง ปิ้ง แปะ  เธอก้มลงมอง เห็นเปลือกหอยกับก้อนหินสีขาวอย่างละอัน เธออมยิ้ม     

            ‘ คอลเลคชั่นของหนูกัน’

ธอเขย่าดูอีกที มีเม็ดทรายหล่นลงมาประปราย ป้าวีร์ย่นคิ้ว  

   

              ‘แอบไปเล่นกองทรายตอนไหนนี่’  

เธอนึกถึงกองทรายที่อยู่หน้าบ้านหลังที่อยู่ห่างจากบ้านเธอไปประมาณยี่สิบเม็ด ที่ช่างปูนขนมากองไว้เตรียมจะก่อรั้ว  เธอเก็บก้อนหินกับเปลือกหอยโยนกลับลงตะกร้าเหมือนเดิม ‘เล่นไม่นานก็คงลืม’  และป้าวีร์ก็เช่นกันไม่นานเธอก็คงลืมสิ่งเหล่านี้เช่นกัน คืนนี้ป้าวีร์มีงานเร่งด่วนที่ต้องทำ เธอจัดเตรียมอาหารให้หนูน้อยเสร็จ วางบนโต๊ะ แล้วตัวเธอก็เลี่ยงเข้าห้องทำงาน เพราะเธอยังไม่รู้สึกหิว ผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมง เธอจึงพักงานหน้าจอ ออกไปหาอะไรทานในห้องครัว เธอเหลือบมองห้องหนูน้อย ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา

          ‘คงหลับไปแล้ว’

ทานข้าวเสร็จเธออาบน้ำอุ่น เพื่อขจัดความเมื่อยล้า จากนั้นก็กลับเข้าห้องทำงานต่อ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ตกดึกความเงียบก็เคลือบคลานเข้ามาแทนที่ สรรพสิ่งที่ส่งเสียงร้องยามหัวค่ำก็เงียบหายไปพวกมันคงกลับเข้ารังหรือซอกหลืบที่พักอาศัยของมัน เธอก็รู้สึกง่วงเช่นกัน แต่งานเอกสารที่พิมพ์กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ เธอต้องการให้มันเสร็จเรียบร้อยในคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาทนนั่งทำต่อ เธอพิมพ์ปิดท้ายด้วย ชื่อของคู่สัญา และตามด้วยพยาน  

        

     “กัญญาวีร์ รายชื่อพยานเอาตามที่ลูกค้าเขียนให้นะ ผมสอดไว้ในแฟ้มสีน้ำตาลนะ”

ทนายปกรณ์ บอสส์ของเธอบอกเอาไว้ก่อนออกจากสำนักงาน.. แล้วนี่มันหายไปไหน.. เธอเปิดแฟ้มสีน้ำตาลกลับไปกลับมาหลายรอบ ก็ไม่เห็นมีแผ่นกระดาษอื่นใดนอกจากเอกสารที่จัดเรียงในซองพลาสติก            

         ‘หรือว่าจะหล่นอยู่ในรถ’

 คิดได้ดังนั้น เธอรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องทำงาน เปิดไฟหน้าบ้าน เปิดประตูบ้านเดินตรงไปที่โรงรถที่อยู่ติดกับส่วนด้านหน้าข้างขวาของตัวบ้าน  ลูน่าและอีคริปส์ วิ่งมาหากระดิกหางอย่างดีใจ และคงแปลกใจที่เห็นนายของมันโผล่ออกมานอกบ้านยามดึกดื่น  กัญญาวีร์เปิดประตูรถ เปิดไฟข้างในก้ม ๆ มอง ๆ หาสิ่งที่เธอต้องการ และแล้วเธอก็เจอกระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก ๆ สีชมพูตกอยู่ข้าง ๆ กระปุกเกียร์ เธอยิ้มอย่างพอใจ ปิดไฟและปิดประตูรถ มุ่งเดินกลับเข้าบ้าน เจ้าสองตัวก็ยังคงวิ่งตามและเดินพันแข้งพันขา จนเธอจำปากจุ๊ ๆ เอ็ดพวกมัน แล้วความคิดแว๊บหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในสมอง  

             ‘แล้วมิดไนท์ไปไหนล่ะ ไม่เห็นมันวิ่งมาหา’

เธอหันซ้ายหันขวามองหาแต่ก็ไม่เจอ เธอหันมาจ้องเจ้าสองตัวที่อยู่ตรงหน้าเป็นเชิงถาม มันทั้งสองก็ยังคงกระดิกหางดีใจไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น            

                “มิดไนท์” 

เธอเรียกชื่อมันไปเบา ๆ  แต่เงียบ..ไม่มีวี่แววของมิดไนท์  เธอเรียกซ้ำอีกครั้ง...แต่ก็ยังคงไร้วี่แววของมัน อะไรบางอย่างทำให้เธอใจหายวาบ         

        ‘น้องเขาง่วงนอนและฟุ๊บหลับในตอนเช้าค่ะ’  

เสียงครูที่ศูนย์เด็กดังก้องในหัวของเธอ  เธอรีบเดินกลับเข้าบ้าน ตรงไปที่ประตูห้องนอนของหนูน้อย ทุบอย่างแรง            

                  “หนูกัน..หนูกัน..หนูกัน..” เงียบไม่มีเสียงตอบ อารมณ์ตกใจกลัวของเธอพุ่งปรู๊ด ‘

            เด็กที่ขโมยของในร้านโทรศัพท์ บอกตำรวจว่า ตกใจจนช๊อคเที่เห็นหมาสีดำตัวมหึมากับเด็กผู้หญิง..’

เสียงแม่ค้าในตลาดดังแทรกขึ้นมาในหัวของเธอ ... เธอเดินกลับออกไปนอกบ้าน เปิดไฟทุกดวงที่อยู่ทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน  ปากก็ตะโกนเรียกเรียกมิดไนท์ กับกันตยา เป็นระยะ ๆ เจ้าลูน่ากับอีคริปส์ เห็นอาการและท่าทางของนายมัน พวกมันถึงกลับไม่กล้าเสนอหน้า ต้องหลบเข้าในในซอกมืดยืดคอมอง  คอยสังเกตดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ   กัญญาวีร์เดินตรงไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ซึ่งเปิดแง้มอยู่ และเธอก็ต้องตกใจอ้าปากค้างที่มองเห็นหัวของเจ้ามิดไนท์ที่โผล่พ้นรั้ววิ่งกลับไปกลับมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกรน  ป้าวีร์ผลักประตูผลัวะออกไปอย่างแรง และก็ต้องอ้าปากค้างกับสิ่งที่มองเห็น  




Create Date : 14 สิงหาคม 2557
Last Update : 11 กันยายน 2557 22:35:38 น.
Counter : 513 Pageviews.

0 comment
กันตยา 6
 

บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคนป้าหลานดูจะเงียบเหงาสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับสมาชิกในบ้านหลังนี้กลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ป้าวีร์ของหนูกันก็สนุกกับการทำงาน ในขณะที่หลานตัวน้อยก็มีเพื่อนเล่นมากมาย และหนูน้อยก็ทำหน้าที่เป็นจ่าฝูงด้วย ถึงแม้หนูน้อยจะตัวเล็ก ซีดผอมแต่การได้วิ่งเล่น วิ่งไล่กับเพื่อนเล่นของเธอ ทำให้หนูน้อยสุขภาพแข็งแรง ร่าเริงแจ่มใส ..แต่ละวันจะได้ยินเสียงหนูน้อยพูดเจื้อยแจ้วกับเพื่อน ๆ ของเธอตามประสาภาษาของเด็กวัยสามขวบ  

บ้าน  เป็นบ้านสองชั้น แต่ป้ากับหลานก็จะใช้เวลาทำงาน หลับนอนอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนคงใช้เป็นห้องแต่งตัว และห้องนอนที่ว่างเปล่า   ชั้นล่างมีห้องนอนอยู่สองห้อง และมีห้องทำงานของป้าวีร์อีกหนึ่งห้อง แรก ๆ ป้าวีร์กับหนูน้อยก็นอนห้องเดียวกัน แต่พอหนูน้อยเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล ประกอบกับหนูน้อยไม่ค่อยรบกวน ไม่งอแงเวลาป้าวีร์ทำงาน  เพราะเธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ขลุกอยู่กับสหายร่วมแก๊งของเธอ      

หลังจากทำภารกิจเสร็จในแต่ละวัน ป้าวีร์ก็จะพาหนูน้อยเข้านอน อ่านหนังสือให้ฟังหรือไม่ก็เล่านิทานจนเธอหลับ แล้วป้าวีร์ก็จะค่อย ๆ เดินออกนอกห้อง ปิดประตูตามเบา ๆ จากนั้นก็จะขลุกอยู่กับงานเอกสาร กว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง และทุกครั้งที่ป้าวีร์กลับเข้ามาในห้องนอน ก็จะเห็นภาพหนูน้อยนอนหลับสนิท และเธอก็ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าป้าวีร์ของเธอเข้านอนตอนไหน เมื่อไหร่     พอนานเข้า บางทีป้าวีร์ก็ฟุ๊บหลับในห้องเอกสาร หรือไม่ก็เข้านอนห้องนอนที่ติดกับห้องทำงาน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องที่หนูน้อยนอนอยู่   จากนั้น   ก็กลับกลายเป็นว่าทั้งป้าหลานเริ่มแยกห้องนอนกันแล้ว  

             ‘นอนคนละห้องก็ดี เด็กจะได้เป็นตัวของตัวเองและพึ่งพาตัวเองได้เร็ว’  

 นั่นคือเหตุผลของป้าวีร์แต่ป้าวีร์หารู้ไม่ว่า มีอยู่คืนหนึ่งหนูน้อยตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ความเงียบและความว่างเปล่า มันเหมือนตัวเธอเองได้ลอยเคว้งคว้างอยู่ในชั้นบรรยากาศอันกว้างไกลไร้ถึงที่สิ้นสุด  เธอได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอ  เธอเอื้อมมือน้อย ๆ อันแบบบางของเธอควานไปข้างกายขวาที ซ้ายที....ไม่มีป้าวีร์นอนอยู่ข้าง ๆ   หนูน้อยรู้สึกใจหาย  เธอผุดลุกขึ้นนั่งดวงตาเบิกโพลงพยายามเพ่งมองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ ห้อง..ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงว่างเปล่า จากนั้นเธอจึงก้าเท้าลงจากเตียง สัมผัสกระเบื้องปูพื้นที่เย็นเฉียบ เธอเขย่งเท้าย่องเดินเบา ๆ เหมือนเกรงว่าจะทำให้สิ่งที่เธอมองไม่เห็นตื่น เธอค่อย ๆ เอื้อมมือไปเปิดประตู  ยื่นใบหน้าน้อย ๆ ออกไป มองเห็นแสงไฟจากห้องทำงานของป้าวีร์ซึ่งยังคงสว่างจ้า  ได้ยินเสียงนิ้วมือจิ้มแป้นพิพม์รัวเป็นจังหวะ หนูน้อยจึงรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าป้าวีร์อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ไม่ได้หายไปไหน  

จากคืนนั้นเป็นต้นมาหนูน้อยจะนอนคนเดียวหรือมีป้าวีร์นอนอยู่ด้วย เธอไม่เป็นกังวลอีกแล้ว เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของป้าวีร์เริ่มถูกขนย้ายออกไปไว้อีกห้องที่อยู่ติดกับห้องทำงานของป้าวีร์ทีละนิด ๆ จนไม่มีเหลือ  ดูเหมือนทุกอย่างลงตัวสำหรับสองชีวิตในบ้านหลังนี้ และต่างก็มีจุดเปลี่ยน ป้าวีร์ต้องเปลี่ยนห้องนอนที่เคยครอบครองมาหลายสิบปีให้แก่เด็กหญิงตัวน้อย ๆ ที่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ต้องมาอาศัยอยู่กับเธอ  แต่สำหรับหนูน้อยแล้วจุดเปลี่ยนในครั้งนี้มันหมายถึงการผจญภัยครั้งใหญ่ที่เปิดโลกลี้ลับให้กับเธอ

การผจญภัยของหนูน้อยเริ่มขึ้นในกลางดึกของคืนที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างเจิดจ้า คืนนั้นเธอเข้านอนตาม ปกติ  ส่วนป้าวีร์ก็ขลุกอยู่ในห้องทำงานเหมือนทุก ๆ คืน เธอนอนหลับไปนานเท่าไหร่เธอไม่รู้ มีอะไรบางอย่างทำให้เธอสะดุ้งตื่น เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เธอมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องได้ชัดเจน โคมไฟ ตู้เสื้อผ้า ตุ๊กตาหมีตัวโตที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เวลากี่โมงกี่ยามเธอไม่เคยรู้ เด็กอย่างเธอจะรู้ก็เฉพาะกลางวัน กับกลางคืนเท่านั้น  และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงขลุกขลัก ขลุกขลักดังมาจากข้างนอกหน้าต่างห้องนอนของเธอ  หนูน้อยนิ่งเงียบเงี่ยหูฟัง หัวใจของเธอเต้นตุบตับตุบตับด้วยรู้สึกกลัว จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียหายใจดังฟืดฟาดฟืดฟาด เสียงฝีเท้าวิ่งกลับไปกลับมา..แล้วหนูน้อยก็แอบยิ้มอย่างนึกขัน ..ที่แท้ก็เป็นเสียงหยอกล้อกันของลูน่ากับอีคริปส์นั่นเอง

        ‘ทำไมพวกมันไม่พากันนอนนะ  หรือว่าแสงจันทร์จ้ามันเลยคิดว่าเป็นกลางวัน’  

คิดได้ดังนี้เธอก็ยิ่งขัน เธอลุกจากเตียงเดินตรงไปที่หน้าต่างเอื้อมมือน้อย ๆ แหวกม่านเขย่งเท้าให้หัวพ้นขอบหน้าต่างเพื่อมองหาพวกมัน เสียงฝีเท้าของพวกมันวิ่งผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็วกกลับมาอีกประกอบกับเสียงกระโดดหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานป  สำหรับเธอแล้วการวิ่งหยอกล้อกันของพวกมันเป็นเกมวิ่งไล่จับที่สนุกที่เธอร่วมเล่นด้วยบ่อย ๆ ค่ำคืนนี้เธอก็มีอารมณ์ร่วมรู้สึกสนุกกับพวกมัน เธอจึงตั้งท่ารอดูพวกมันเวลามันวิ่งผ่านมาอีกที แต่รอบนี้พวกมันคงวิ่งอ้อมไปทางสวนหลังบ้านก่อนกว่าจะวกกลับมา เพราะมันใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น เธอก็พย่ยามส่ายสายตามองหาพวกมันและรอดูตอนที่พวกมันวิ่งอ้อมกลับมาอีกที  พลันเธอก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ขนลุกซู่เมื่อสายตาของเธอไปประสานกับแสงสีเขียวสดใสที่พุ่งเป็นลำแสงแวววับออกมาจากใต้พุ่มเทียนหยด  หนูน้อยตะลึงกับสิ่งที่มองเห็น  ลำแสงแวววาวสีเขียวคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกดทำให้หนูน้อยตราตรึงอยู่กับที่ไม่สามารถเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น ..จากนั้นความรู้สึกหนูน้อยก็เปลี่ยนไป สิ่งที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากเหลือเกิน  และลำแสงสีเขียวคู่นั้นก็พุ่งตรงมาที่เธอมันเหมือนกับว่ามันเห็นเธอแล้ว ..เมื่อสายตาของหนูน้อยเริ่มชาชินกับภาพเงาสลัว ๆ ของพุ่มไม้ที่อยู่เบื้องหน้า ที่เป็นต้นกำเนิดของลำแสงสีเขียววาววับ เธอก็เริ่มแยกแยะภาพเบื้องหน้าออกเป็นรูปเป็นร่างร่างชัดเจน

             “มิดไนท์”   เธออุทานเบา ๆ   แต่ดูเหมือนว่าเจ้ามิดไนท์จะได้ยินเสียงของเธอ  มันลุกขึ้นยืน ย่างก้าวช้า ๆ อย่างสง่าผ่าเผยตรงมายังหน้าต่างที่หนูน้อยยืนอยู่ แล้วนั่งลง หัวของมันโผล่พ้นขอบหน้าต่างมันจ้องมองเจ้าของเสียงซึ่งตอนนี้มเหล็กดัดและกระจกหน้าต่างกั้นอยู่กึ่งกลาง ลำแสงสีเขียวหดเล็กลงขนาดเท่าดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ            

           “หนูกันยานอนไม่หลับรึ” หนูน้อยคุ้นเคยกับเสียงทุ้มห้าว ๆ ของมัน            

         “ใช่จ๊ะ” เธอกกระซิบตอบเบา ๆ เกรงว่าจะมีคนได้ยินสิ่งที่เธอกำลังพูดกับมิดไนท์              

          “ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”            

          “แต่มิดไนท์ก็นอนตอนกลางวันได้นี่”    หนูน้อยหัวเราะเบา ๆ ที่ได้พูดหยอกล้อกับมัน เธออยากยื่นมือออกไปลูบใบหูตกลู่ที่นุ่มนิ่มของมันด้วยความรัก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีเหล็กดัดและกระจกหน้าต่างกั้นอยู่            

          “ก็ใช่..เฮ้อ” มันถอนใจทำหน้าเบื่อหน่าย หนูน้อยเห็นแสงจันทร์สว่างพอที่จะมองเห็นอะไร ๆ ได้ดี จึงนึกสนุก และคิดว่าถ้าออกไปเล่นกับมันสักแป๊บเดียวคงไม่เป็นไร            

         “เดี๋ยวออกไปเล่นด้วยนะ”  

 พูดจบเธอก็ผละจากหน้าต่างไปเสียแล้ว เจ้ามิดไนท์ยังไม่ได้ออกความเห็นอย่างไร  เธอย่องเดินเบา ๆ ไป เปิดประตู โผล่ใบหน้าน้อย ๆ ออกมาก่อน มองซ้ายที ขวาที มองดูห้องนอนของป้าวีร์ ไม่มีแสงไฟส่องสว่างให้เห็น หนูน้อยจึงย่องเดินเบา ๆ ขณะเดินผ่านห้องนอนป้าวีร์ไป เสียงหัวใจของเธอเต้นตุบตุบด้วยความกลัวว่าป้าจะตื่นมาเจอเธอเข้า  เธอผ่านเข้าไปในห้องครัวที่ประตูเปิดโล่งเอาไว้  จากนั้นรีบมุ่งไปที่ประตูเปิดออกไปสู่หลังบ้าน เจ้ามิดไนท์มานั่งดักรออยู่ที่หน้าประตู ทันทีที่เห้ฯฏํฯ หนูน้อยโผลเข้าโอบกอดคอของมันด้วยความรักเหมือนไม่ได้เจอกันนาน เจ้ามิดไนท์ก็เลียหน้าตาหนูน้อยแสดงความรักไม่แพ้กัน ลูน่ากับอีคริปส์ต่างก็วิ่งตรงมาหาหนูน้อยและมีสีหน้าแปลกใจ แต่มิดไนท์ส่งสัญญาณอะไรบางอย่างพวกมันจึงถอยออกไปและยืนจ้องมองดูอยู่ห่าง ๆ           

         “คราวหลังอย่าแอบออกมาอย่างนี้นะ เดี่ยวป้าวีร์จะดุเอา”   ได้ยินดังนั้นหนูน้อยกลับอมยิ้มด้วยความดีใจที่มิดไนท์เป็นห่วงเธอ              

            “คืนนี้แสงจันทร์สวยงาม เราจะเล่นอะไรกันดีล่ะ” คำถามเดิม ๆ ของเธอเหมือนทุก ๆ วันที่เล่นกัน 

            “ไล่จับเอาไหม” เจ้ามิดไนท์เอียงหน้าถามอย่างเอาใจ         

           “เดียวป้าวีร์ก็ได้ยินเสียงหรอก”           

           “งั้น...” มิดไนท์ทำท่าครุ่นคิด สายตาของมันจ้องจับอยู่ที่หนูน้อย แสงสีเขียวจากดวงตาของมันแวววาว สวยงามชวนหลงใหล หนูน้อยจึงกางมือออกแล้วยื่นมือไปตรงหน้ามิดไนท์เพื่อให้แสงสีเขียวทาบบนฝ่ามือของเธอ  เธอมองดูมันด้วยความหลงใหล           

          “มิดไนท์มีแสงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”           

         “มีทุกครั้งที่มืดหรือพระอาทิตย์ตกดิน”          

        “มันเหมือนไฟฉายสีเขียวเลยนะ” เธอหันไปมองลูน่ากับอีคริปส์ มันทั้งสองก็มีเช่นกัน แต่ไม่ใหญ่โตเท่ามิดไนท์

             “หนูมีไหม”            

              “ไม่มี”           

             “ทำไม”           

            “เพราะเราไม่พวกเดียวกัน”    

       “  แต่เราก็เป็นเพื่อนกัน”  เธอนึกหาคำมาบรรยายตรามความรู้สึกจริง ๆ

            “รักกันยิ่งใหญ่เท่าฟ้าเลย” เจ้ามิดไนท์ทำเสียงอีดอาดในลำคอ            

            “มีไว้ทำไรล่ะ”            

        “จะได้มองเห็นเวลาไมมีแสงสว่างไง”            

         “งั้นก็ไปไหน ๆ ก็ไม่เดินชนสิ”            

          “ใช่”            

          “ง้นพาไปหน่อยสิ อยากดู”

 มิดไนท์หันมาจ้องมองหนูน้อย ทำหน้าย่นอย่างใช้ความคิด จากนั้นมันก็พยักหน้า

            “ขึ้นนั่งบนหลังแล้วกอดคอไว้ให้แน่น ๆ นะ”   แล้วมันก็หันไปสั่งอะไรบางอย่างกับเจ้าสองตัวนั่น 

แล้วหมอบลงเพื่อให้หนูน้อยขึ้นขี่หลัง หนูน้อยรีบปฏิบัติตาม  เธอสัมผัสถึงขนนุ่มนุ่มของมัน พลังอันแข็งแกร่งของมัน เธอแนบลำตัวกับขนแผงคอของมัน ได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะช้า ๆ จากนั้นหัวใจของเธอพองโต เลือดฉีดอย่างแรงด้วยความติ่นเต้นบวกกับตกใจกลัว ทันทีที่มันลุกขึ้นและกระโจนพุ่งทะยานไปข้างหน้า มันเหมือนลอยเหาะขึ้นไปในท้องฟ้า  สายลมเย็น ๆ ปะทะใบหน้าเธออย่างแรงเธออ้าปากร้องสุดเสียงด้วยความตื่นเต้น แต่ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เธอก้มมองดูยอดไม้ที่มองดูเหมือนกลุ่มก้อนเมฆยามค่ำคืน มิดไนท์พาเธอไปไกลแค่ไหน นานแค่ไหนเธอไม่รู้ รู้แต่ว่าท้องฟ้าเบื้องหน้ากว้างไกล สุดลูกหูลูกตาเท่าที่สายตาของเธอจะมองเห็นได้ เธอหลับตาพริ้ม รู้สึกตัวเองตัวเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นบางเบาลอยละลิ่วปลิวไปกับสายลมโดยไร้ซึ่งมีจุดหมายและทิศทาง พลันเธอก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงมิดไนท์

            “เอ้า..ถึงบ้านแล้วลงได้”

เธอลืมตาขึ้น ลูน่ากับอีคริปส์ ยังคงนั่งที่จุดเดิมจ้องมองเธอเขม็ง เธอมองซ้ายที ขวาทีและรีบหันหลังวิ่งเข้าประตูห้องครัวบิดลูกบิดเบา ๆ แล้วเขย่งเท้าวิ่งเหยาะ ๆ กลับเข้าห้องนอน ตอนผ่านห้องนอนของป้าวีร์เธออดเหลือบมองไม่ได้เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าป้าวีร์ยังไม่ตื่น

ถ้าป้าวีร์สังเกตสักหน่อยก็จะเห็นว่า เช้านี้หนูน้อยตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงและสดชื่น เธอรีบออกนอกบ้านไปหาเพื่อน ๆ ของเธอ แต่สำหรับป้าวีร์ทุกอย่างดูเป็นปกติ เพราะทุกครั้งที่หนูน้อยตื่นขึ้นมาต้องรีบออกไปหาเพื่อน ๆ

            “เป็นเพื่อนเล่นที่เข้ากันได้ดี ..มิดไนท์เกิดวันที่ 8 สิงหาคม ราศร๊สิงห์ ธาตุไฟ ช่างเป็นการผสมธาตุที่เข้ากันได้ดี ธาตุลมของหนูกันจะช่วยโหมเป่าให้ไฟลุกโชติช่วง ..” ป้าวีร์แอบยิ้มอยู่คนเดียวอย่างพอใจ

“ส่วนเจ้าสองตัวพี่น้องนั่น เกิดเดือนพฤศจิกายน ธาตุน้ำ ก็พอไปกันได้” ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงไม่ห่วงเวลาหนูน้อยไปไหนมาไหนกับมิดไนท์...แต่ป้าวีร์ก็ใช่จะรู้ไปหมดทุกเรื่อง    

หนูน้อยรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเช่นเคย แต่หาได้หลับตาลงไม่เธอยังประทับใจเหตุการณ์เมื่อคืน มันเหมือนฝันมากกว่าเป็นความจริง แต่เธอก็ผล็อยหลับไปจนได้..เวลาผ่านไปนานเท่าไรเธอไม่รู้  เสียงเรียกชื่อเธอปลุกเธอให้ตื่น

            “กันตยา..กันตยา”

เสียงเจ้ามิดไนท์นั่นเอง เธอรีลย่องออกนอกห้อง มองไปทางห้องนอนป้าวีร์ ไฟปิดแล้ว  เธอรีบก้าวยาว ๆ ตรงไปที่ประตูหลังบ้าน พอเปิดประตูออก เจ้ามิดไนท์นั่งรอเช่นเคย คราวนี้ลูน่ากับอืคริปส์ แค้ชะเง้อมอง ไม่วิ่งมาหาเธอเหมือนคืนก่อน

        “อยากไปเที่ยวอีกไหม”

 หนูน้อยพยักหน้าหงึกหงัก มือน้อย ๆ ขยี้ตาอย่างแรงเพื่อให้หายง่วง มิดไนท์ให้เธอขึ้นขี่หลังเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันทะยานไปช้า ๆ ทว่าช่วงก้าวของมันแต่ละก้าวทะยานลอยไปไกลเหมือนเหาะมากกว่ากระโดด หนูน้อยโอบกอดคอนของมันหลวม ๆ เธอไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว

             “เราออกมาเที่ยวทุคืนได้ไหม” หนูน้อยกระซิบที่ข้างหูของมันที่ใบหูลู่ไปตามแรงต้านทานของลม

             “ไม่ได้”

             “ทำไม”

             “วันนี้จันทร์เต็มดวงแล้ว พรุ่งนี้ เป็นวันใหม่ เริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ”

             “ไม่เข้าใจ”

             “อือ..” มันพยายามหาคำพูดที่เข้าใจง่าย ๆ “แสงจันทร์จ้าจะเพิ่มพลังให้กับเรา.สามถึงห้าวันก่อนมีจันทร์จ้า.ถึงจะมีพลังมาก ๆ “

             “ยังไม่เข้าใจ ..แต่ อยากลงไปเดินเล่นน่ะ”

 มิดไนท์พาหนูน้อยไปหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ขนาดมหึมา สำหรับหนูน้อยแล้ว กิ่งก้านของมันเหมือนแผ่คลุมใลกเอาไว้

             “หวัดดี”  เจ้ามิดไนท์พูดพร้อมกับส่ายลำแสงสีเขียวจากตาของมันมองหา หนูน้อยมองตาม จากนั้นก็มีแสงสีขาว ๆ สะท้อนกลับ มันเหมือนเอากระจกไปสะท้อนแสงแดดที่เธอชอบทำกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนอนุบาลของเธอ  เสียงไอแค็ก ๆ เบา ๆ ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ ของชายแก่จะโผล่ออกมานั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ หนูน้อยมองเห็นว่าตาแก่คนนั้นสวมแว่นตากลมโตใหญ่กว่าใบหน้าของเขา จมูกงุ้มแหลม เวลาพูดน้ำเสียงทุ้มกังวาลจนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน

             “พาใครมาด้วยรึ” ตาแก่ตัวจิ๋วถามพร้อมกับจ้องมองมาที่เธอ ดวงตากลมโตที่คมกริบคู่นั้น ทำเอาขนแขนของเธอลุกซู่ เธอจึงหลบสายตาโดยแนบใบหน้าลงบนคอของเจ้มมิดไนท์ 

             “หนูกันตยา..หลานเจ้านาย”

 หนูน้อยได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของตาแก่

             “เขาไม่ใช่พวกสองชีวิตอย่างพวกเรา ..เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้”

             “แต่เธอก็มีอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกับพวกเรา”

 หนูแอบชำเลืองมองตาแก่ ในจังหวะดเดียวดันกับที่ตาแก่มองประสานสายตาเข้ากับหนูน้อยพอดี

             “ทุกชีวิตเป็นไปตามลิขิตของฟ้านะหนู..ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ก็แล้วกัน” เสียงพูดของตาแก่ตอนนี้ฟังดูแหบพล่าเหมือนคนแก่ที่หมดเรี่ยวแรง 

              “ถึงเราจะอยู่ในโลกใบเดียวกันแต่ต่างคนก็ต่างอยู่..นี่สิ่งนี้จะบอกว่าเราเคยได้รู้จักกัน” ตาแก่พูดพร้อมกับยื่นสิ่งหนึ่งให้เธอหนึ่งอัน มือน้อย ๆ ของหนูน้อยสั่นเทาขณะยื่นไปรับ แล้วตาแก่เดินถอยหลังเข้าบังความมืดและเธอก็มองไม่เห็นอีกเลย ‘เขาหายตัวไป’ หนูน้อยคิดในใจ 

มันจ้องมองหนูน้อย ทำหน้าย่นอย่างใช้ความคิด จากนั้นมันก็พยักหน้า

              ถ้าป้าวีร์สังเกตสักหน่อยก็จะเห็นว่า เช้านี้หนูน้อยตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงและสดชื่น เธอรีบออกนอกบ้านไปหาเพื่อน ๆ ของเธอ แต่สำหรับป้าวีร์ทุกอย่างดูเป็นปกติ เพราะทุกครั้งที่หนูน้อยตื่นขึ้นมาต้องรีบออกไปหาเพื่อน ๆ

 ทุกว้นหลังจากตื่นนอนป้าวีร์จะต้องรีบเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า รวมทั้งอาหารเช้าของหนูน้อยและเจ้าสามตัวด้วย เช้าวันนี้เธอรู้สึกสาก ๆ ที่เท้าจึงก้มลงมอง เห็นเม็ดดินตกอยู่ตามพื้นตรงประตูห้องครัว เธอจึงส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย

             “ป้าบอกหนูกันกี่ครั้งแล้วว่า ก่อนจะเข้าบ้านให้ล้างเท้า เช็ดท้าวให้สะอาด” ปาวีร์บอกขณะนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันที่โต๊ะในห้องครัว ตอนแรกหนูน้อยเพียงแต่ฟังผ่านไปเฉย ๆ จากนั้นเหมือนฉุกคิดขึ้นได้

             “หนูขอโทษค่ะป้าวีร์ หนูจะไม่ลืมอีกค่ะ”

 จากนั้นป้าวีร์ก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา ส่วนหนูน้อยเริ่มทบทวนเหตุการณ์ ทานอาหารเสร็จเธอรีบล้างมือและวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องนอน แล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อชุดนอนของเธอ..มันเป็นขนนกสีเงินเลื่มอวาววับ เธอรีบซุกมันเอาไว้ใต้หมอน แล้วคว้ากระเป๋าเตรียมไปโรงเรียน  




Create Date : 27 มิถุนายน 2557
Last Update : 27 มิถุนายน 2557 17:23:34 น.
Counter : 564 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety