http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
ทริปสังคโลกเบอร์ลิน อินดี้อย่างคลาสสิก : DAY 5 วาทยากรระดับโลก แดเนียล บาเรนบอยม์

by merveillesxx

หมายเหตุ

1) บทความนี้เป็นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว ไม่ใช่คู่มือการท่องเที่ยว

2) มีการใช้คำหยาบคายมากมาย


=================


หลังจากเมื่อวานทำซ่าไปตะลุยห้ามิวเซียม แถมยังกระแดะปีนขึ้นยอดโบสถ์ วันนี้พอตื่นมาก็ปวดเท้าเลย ยานวด ยาทา เอาไม่อยู่ โปรแกรมแรกวันนี้เปิดด้วย Jewish Museum อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเบอร์ลิน จอร์จเปลี่ยนบรรยากาศพาเราไปขึ้นรถเมล์ หลังจากเคยขึ้นอย่างทรหดเมื่อวันแรก ตอนออกจากสนามบิน


รอรถ


ตอนนั่งรถเมล์ มีชายชาวญี่ปุ่นชวนพวกเราคุยว่ามาทำอะไรกัน เค้าบอกว่าเป็นนักเขียน แต่ไม่ยอมบอกชื่อ ไม่แน่ว่าแกอาจจะเป็นนักเขียนดังก็ได้


จอร์จพาเรามาเดินเล่นแถว Hackescher Markt ชี้ชวนให้ดูตึกเก่าหลังนึง แต่จำไม่ได้แล้วว่าอันนี้คืออะไร


จากนั้นนั่งใต้ดินต่อ โผล่ขึ้นมาปุ๊บเจอตลาดนัด คนที่แฮปปี้ที่สุดคือ อ.บวรพงศ์ เพราะกระเป๋าเดินทางแกล้อพัง และที่นี่มีขายกระเป๋าพอดี ถึงจะเป็นแบบจีนแดง แต่ต้องซื้อแก้ขัดไปก่อน (ซึ่งปรากฏว่าตอนขากลับ กระเป๋าอันใหม่พังตั้งแต่ตอนออกจากโรงแรม)


ร้านดอกไม้


แมวกวักก็มี


เดินเลยตลาดนัดมาหน่อย ก็เจอ Jewish Museum

Jewish Museum เปิดเมื่อปี 2001 เป็นการออกแบบโดย Daniel Libeskind สถาปนิกชาวอเมริกัน (แต่แกมีเชื้อสายโปแลนด์-ยิวด้วย) ธีมหลักของมิวเซียมแห่งนี้คือ รูปทรงแบบซิกแซก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากดาวเดวิด และยังสื่อถึงความ uncomfortable ของชาวยิวในยุคนาซีด้วย เรื่องแปลกก็คือ Jewish Museum จะไม่มีทางเข้าโดยตรง แต่เราจะต้องเข้าจากตึกเก่าๆ ด้านซ้ายมือในรูป


ส่วนแท่งหินด้านขวาเรียกว่า Garden of Exile สื่อถึงความไม่มั่นคง อึดอัดใจ ของชาวยิวเช่นกัน คอนเซ็ปต์คล้ายๆ กับ Holocaust Memorial

จอร์จปล่อยเราเข้าไปใน Jewish Museum และบอกว่าจะมารับตอน 12.30 ก่อนจะเข้าไป เราแอบเห็นป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ของ Berlinische Galerie (ต่อไปขอย่อว่า BG) ที่ฝั่งตรงข้าม มีเขียนกำกับไว้เป็น Museum of Modern Art เห็นคำว่า โมเดิร์นอาร์ต ตาลุกวาวทันที เพราะตลอดทริปที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้ดูมิวเซียมเชิงอนุรักษ์ เชิงประวัติศาสตร์ ดิชั้นขอกลับสู่โลกยุคโมเดิร์นบ้างเถอะค่ะ จึงวางแผนในใจว่าจะรีบดู Jewish Museum แล้วชิ่งต่อไปที่ BG แต่ว่ามีเวลาแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น จะทันมั้ยเนี่ย

เข้าไปใน Jewish Museum เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย เรากำลังจะฝากโค้ทที่ Cloakroom แต่ก็มีเจ้าหน้าที่บอกว่า “เฮ้ ยูจ๋า ยูมาเป็นกรุ๊ปใช่มั้ย ห้องฝากโค้ทแบบกรุ๊ป เข้าไปด้านในเลยจ้า” ซึ่งมันจะเป็นกล่องเหล็กใหญ่ๆ ที่ให้เราเทของรวมไปในนั้นเลย แต่ปัญหาคือ tag ฝากเสื้อมันจะมีแค่ใบเดียว แปลว่าถ้าเราจะเอาโค้ทคืน ก็ต้องรอเอาพร้อมๆ กับคนอื่น แต่ว่ากูวางแผนจะชิ่งไป BG นี่คะ เลยขอแยกตัวมาฝากโค้ทที่ Cloakroom คนเดียว (ทำตัวแปลกแยกสังคมอีกแล้วกู)

ยังไม่จบ...พอเดินมาเอา Audio Guide (ซึ่งที่นี่ต้องเสียเงินเพิ่ม) เค้าให้แลกพาสปอร์ตไว้ด้วย พี่บางคนก็เอาพาสปอร์ตไว้ในกระเป๋า เจ้าหน้าที่บอกว่างั้นแลกออดิไกด์แบบกรุ๊ปไปแล้วกัน เลยได้ tag แบบกลุ่มมาอีกแล้ว ฮ่วยย ทำไมที่นี่มันชอบให้พวกกูทำอะไรเป็นกลุ่มเป็นก้อนจิงเว้ย เราเลยบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า ผมขอแลกออดิโอไกด์แยกจากคนอื่นแล้วกันครับ อ่ะ พี่เอาพาสปอร์ตผมไปเลย เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้างงๆ เหมือนแบบว่า เอ๊ะ พวกมึงทะเลาะกันเหรอ ทำไมมีมึงแยกเดี่ยวอยู่คนเดียว แต่ ณ จุดนี้ไม่มีเวลาอธิบาย มึงรีบให้กูมาเถอะ เดี๋ยวกูไป BG ไม่ทันนนน


เดินเข้าไป จะเจอคาเฟ่ของมิวเซียมก่อนเลย บรรยากาศก็น่านั่งดี แต่ทำให้คิดถึงโรงอาหารในคุกยังไงไม่รู้


นิทรรศการของ Jewish Museum ส่วนแรกจะอยู่ที่ชั้นใต้ดิน จะเห็นดีไซน์ซิกแซกเบี้ยวๆ ไปมา ในส่วนนี้จะเป็นธีมความทรงจำ เช่น ของเก่าเก็บ วัตถุโบราณ รวมถึงจดหมายของชาวยิว


ทางไปสู่ Holocaust Tower


Holocaust Tower เป็นของเด็ดสุดในมิวเซียมนี้แล้ว หอคอยอันนี้มันจะมืดๆ หนาวๆ และสูงมาก มีบันไดปีนที่ผนัง แต่ไม่มีทางเอื้อมถึง มีแสงแดดส่องเข้ามารำไร สะท้อนภาวะจิตใจของชาวยิวในช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ดียิ่ง ตอนเราเข้าไป เป็นจังหวะที่อยู่คนเดียวพอดี อยู่นานๆ แล้วหลอนมาก


อันนี้คืองานชื่อ Fallen leaves ของ Menashe Kadishman ศิลปินอิสราเอล เป็นหน้ากากเหล็กรูปหน้าคนหนึ่งหมื่นอันวางตามพื้น สื่อถึงชีวิตที่ล้มตายไปในช่วงโฮโลคอสต์ แต่วันที่เราไปส่วนนี้มันปิด เลยอดดู เสียดายมาก T_T (รูปจากวิกิพีเดีย)


อันนี้คือจดหมายที่ชาวยิวเขียนถึงกัน คนเขียนเป็นเด็กผู้หญิงชื่อซูซานน์ อายุ 12 ขวบ เธอถูกส่งตัวออกจากเบอร์ลิน เขียนถึงเพื่อนชื่อ เอสเธอร์ ว่า “ยังจำตอนที่เราเล่นด้วยกันที่บ้านฉันได้มั้ย เป็นช่วงเวลาที่ดีเหลือเกิน แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอยังเป็นเอสเธอร์ผู้น่ารักของฉันเสมอ” สุดท้ายแล้วซูซานน์ถูกส่งไปค่ายเอาชวิทซ์และถูกฆ่าตายที่นั่น


วันนี้ที่ Jewish Museum คนเยอะมาก มีมาแบบเป็นหมู่คณะเพียบ ดูสิ ขวางทางเดินกูมิดเลย


ขึ้นมาชั้นบน เป็นส่วนที่สองของนิทรรศการ เริ่มด้วยวิดีโอประวัติความเป็นมาของชาวยิวยาว 9 นาที แต่ทำออกมาน่าเบื่อไปหน่อย เหมือนหนังเพาเวอร์พอยต์


ด้านนอกจะมีคอมพิวเตอร์ให้ศึกษาข้อมูลชาวยิว ออกแบบเก้าอี้ได้เก๋มาก


ส่วนที่สองจะเป็นธีมประวัติโคตรเหง้าของชาวยิว ละเอียดมาก แต่งตัวยังไง กินข้าวยังไง มีความเชื่อทางศาสนายังไง บุคคลสำคัญมีใครบ้าง บลาๆๆๆๆ แต่เราไม่อินเท่าไร จึงเดินผ่านๆ


อันนี้เป็นหนังบ้าน (Home Movie) ของชาวยิว


ตอนนี้จิตใจไปอยู่ที่ BG มากกว่า (อันนี้ถ่ายจากหน้าต่างของ Jewish Museum)

สรุปแล้วชอบ Jewish Museum โซนส่วนที่หนึ่งในแง่ความครีเอททางดีไซน์ แต่ส่วนที่สองรู้สึกว่าน่าเบื่อไปหน่อย คือข้อมูลละเอียดครบถ้วนดี แต่การนำเสนอธรรมดา อาจเพราะมันเน้นเรื่อง “ชาวยิวเป็นใคร มาจากไหน” มากกว่าเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เลยไม่มีสิ่งที่กระทบใจเรามาก ไม่เหมือน Information Centre ที่ Holocaust Memorial ที่เข้าไปแล้วหดหู่มาก

โอเค จบแล้ว Jewish Museum รีบไปที่ BG ดีกว่า แต่ก่อนจะออกไปเห็นว่าที่ตึกเก่าชั้นสอง มีโซน Special Exhibition ตอนนี้เป็นงานชื่อ Berlin Transit ว่าด้วยผู้อพยพชาวยิวจากยุโรปตะวันออกในช่วงทศวรรษ 20 เลยขึ้นไปดูซะหน่อย เจอพี่เจ้าหน้าที่ร่างบึกบึน พูดว่า Ticket Please เราก็ยื่นตั๋วให้ แต่เค้าบอกว่า “อ้อ ซอรี่นะยู ตั๋วของยูเป็นสำหรับดูนิทรรศการหลักเท่านั้น ถ้ายูจะดูอันนี้ยูต้องซื้อตั๋วอีกใบแหละ” (แม่งเขี้ยวจิงเว้ย) เราก็ “อ้าว เหรอครับ” ไม่รู้ว่าจังหวะนั้นกูทำหน้าน่าสงสารเกินไปหรือเปล่า พี่แกเลยขยิบตาแล้วบอกว่า “โอเค ไม่เป็นไร ยูเข้าไปดูเถอะ” อ้าว ซะงั้น นี่พี่คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย 555 โค้งคำนับ แต๊งกิ้วกับพี่แกไปสามรอบ รีบวิ่งเข้าไปในดูงาน



ตัวงาน Berlin Transit ก็เก๋ดี เป็นฉายหนังขาวดำบนกำแพงขนาดใหญ่ เดาว่าคงเป็นฟุตเทจผู้อพยพนั่นแล


ใช้เวลาดู Berlin Transit อย่างรวดเร็ว เดินออกมายิ้มให้พี่เจ้าหน้าที่ร่างบึ้กเล็กน้อย แล้วลงไปที่ช็อปด้านล่าง ตอนแรกนึกว่าคงไม่มีอะไรให้เราซื้อหรอก แต่ดันสบตากับกระเป๋าโลโก้ Jewish Museum พอดี ...โดนไปอีก 19 ยูโร

เอาล่ะ ได้เวลาไป BG จริงๆ ซะที เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ สักพักก็เจอ อยู่ไม่ไกลจาก Jewish Museum เท่าไร


ถึงแล้ว Berlinische Galerie ดีไซน์เก๋ไก๋ใช้ได้

พอถึง BG ปุ๊บ กำลังจะเดินเข้าไปด้วยความร่าเริง แต่กล้องดันขึ้นว่า there is no space left in the memory card อ้าว เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย กล้องเต็ม!! กรี๊ดดด อะไรกัน ตอนทริปเกาหลีหกวันกูยังถ่ายได้สบายๆ เหลือที่เยอะแยะ ทำไมทริปนี้มันเต็มเร็วจังวะ กูถ่ายเยอะไปเหรอเนี่ย ไม่ได้เอาการ์ดสำรองมาด้วย เวลาลบรูปก็ไม่มี เอาวะ ใน BG ต้องใช้มือถือถ่ายไปก่อน (มานึกออกภายหลังว่าที่มันเต็มเร็ว เพราะถ่ายคลิปวิดีโอตอน Cinema Organ นั่นเอง แม่งแดกไป 200 MB)

จ่ายค่าเข้า BG ไป 8 ยูโร (มารู้ตอนหลังว่าที่จริงแล้วสามารถเอาตั๋วของ Jewish Museum เป็นส่วนลดได้ T_T) ใน BG ไม่ใหญ่มาก มีสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นนิทรรศการหมุนเวียน ส่วนชั้นสองเป็นนิทรรศการถาวร เป็นคอลเลคชั่นงานตั้งแต่ 1900 มาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงทศวรรษ 70


เข้ามาเจองานนี้ก่อนเลย กรี๊ดสลบ แต่เนื่องจากต้องเดินอย่างรวดเร็ว (อีกแล้ว) จึงไม่ได้จดชื่อศิลปินมา


โมเดิร์นอาร์ตตตตตตตต อาร์ตสะใจไปเลย


ภาพขวา โหดดี ชอบ


มุมมองจากชั้นสอง (ที่นี่เงียบสงบดี ไม่เหมือน Jewish Museum ที่คนเยอะเวียนหัว)


โอเค มึงอาร์ตมาก กูยอม


จริงๆ ที่ชั้นหนึ่ง ตอนนี้มีนิทรรศการ 12 x 12 เป็นฉายหนังสั้นมากมายหลายเรื่อง แต่ดูความยาวมันสิ รวมแล้วตั้ง 70 นาที ตูไม่มีเวลาดูเฟร้ยยย เสียใจ ฮืออออ


เข้ามาเจอหนังเรื่อง Narita Field Trip เรื่องประมาณหนุ่มสาวนอนมองมองฟ้า คุยกันเรื่องสนามบินนาริตะไปเรื่อย ระหว่างดูก็นั่งลบรูปในกล้องแหลก (และพบว่ากูถ่ายรูปไร้สาระมามากมาย)

จากลา BG มาอย่างเศร้าๆ เพราะไม่มีเวลาดูละเอียด เดินกลับมาที่ Jewish Museum เจอจอร์จยืนรออยู่แล้ว พอรวมตัวกันครบ จอร์จพากลับไปที่ตลาดนัดอีกครั้ง บอกว่าให้เวลาสามสิบนาที แยกย้ายไปหาของกินเล่น ระหว่างกำลังมึนงงว่าจะกินอะไรดี เห็นพี่ๆ กลุ่มหนึ่งกับจอร์จเดินเข้าร้านเคบับไป เลยมั่วตามไปด้วย อย่างน้อยก็มีจอร์จคอยช่วยสั่งล่ะวะ เค้าสั่งเคบับกัน ก็สั่งตามไป แต่เแล้วต้องช็อคแดก เพราะเคบับร้านนี้มันทำเป็นแท่ง ไซส์ยาวเกินฟุตนึงด้วยซ้ำ แล้วกูจะแดกยังไงคะ!!?? พวกเราเลยบอกจอร์จว่าช่วยบอกให้เค้าหั่นครึ่งให้หน่อย คนขายทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อย แต่หั่นให้โดยดี แม้จะหั่นครึ่งแล้ว มันก็ยังกินลำบาก เพราะในเคบับดันใส่แตงกวาและมะเขือเทศ ผักที่เราเกลียดเป็นอันดับท็อป กินไปต้องคอยเขี่ยผักออก อนาถามาก เห็นพี่ๆ คนอื่น กินไส้กรอก Currywurst อย่างเพลิดเพลิน ก็ยิ่งช้ำใจว่า ทำไมกูไม่กินไส้กรอกวะ


หลังผ่านจากสงครามการยัดเคบับเข้าปาก จอร์จพานั่งรถไฟใต้ดินไปสู่อีกหนึ่งสถานที่สำคัญ นั่นคือ Checkpoint Charlie เป็นจุดข้ามแเดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตก/ตะวันออกในยุคสงครามเย็น แต่พอกำแพงเบอร์ลินแตกแล้ว สถานที่นี้ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว


มีพี่ทหารหน้าตาดีคอยต้อนรับและให้ถ่ายรูปคู่

จอร์จให้เวลาเดิน 45 นาที ที่จริงแถวนั้นจะมี Checkpoint Charlie Museum ด้วย แต่ดูจากเวลาแล้วไม่น่าทันแน่นอน เลยไปทางที่มีซากของกำแพงเบอร์ลินตามที่จอร์จแนะนำมา


Topography of Terror เป็นมิวเซียมแบบเอาท์ดอร์ที่มีซากกำแพงเบอร์ลิน และรูปถ่ายสำคัญต่างๆ / ในยุคนาซี บริเวณนี้เคยเป็นสำนักงานใหญ่ของเกสตาโปและหน่วยเอสเอส


นี่แหละ ซากกำแพงเบอร์ลินที่หลงเหลืออยู่


มีรูปเหตุการณ์สำคัญ พร้อมคำบรรยายเสร็จสรรพ


รูปนี้ทรงพลังมาก


กำแพงนี้อิมแพ็คสุดๆ มีคนพ่นสีว่า “สักวันพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน” (เพื่อความขลังเราจะเชื่อว่ามันพ่นตั้งแต่ยุคแบ่งเบอร์ลินตะวันตก/ตะวันออกแล้วกันนะ)


ตรง Topography of Terror จะมีศูนย์ข้อมูลและนิทรรศการด้วย แต่ไม่มีเวลาดูแล้ว เอาวะ ไม่ได้ดู แต่อย่างน้อยขอแวะเข้าไปฉี่ในนี้


ระหว่างทาง Checkpoint Charlie กับ Topography of Terror จะมีให้นั่งบอลลูนชมวิวด้วย แต่ราคาแพงเหมือนกัน ตั้ง 25 ยูโร

มัวเดินเพลินไปหน่อย เราเลยเลทจากเวลานัดไปห้านาที เดินไปถึง โอ้...ไม่นะ เฮียจอร์จแปลงร่างอีกแล้ว รู้สึกผิดเลยทีเดียว ถึงเราจะไม่ใช่คนมาสายสุดก็เถอะ จากนั้นกลับเข้าสู่กำหนดการ ตอน 14.30 เรามีนัดคุยและแลกเปลี่ยนกับนักวิจารณ์ดนตรีที่สถาบันเกอเธ่ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เราแอบกังวลมาก กูจะเอาอะไรไปคุยกับเค้าเนี่ย วิจารณ์ดนตรีก็งูๆ ปลาๆ วิจารณ์ดนตรีคลาสสิกยิ่งไปไม่เป็นเลย ...เอาน่ะ ไม่เป็นไร เรามี อ.บวรพงศ์ อยู่ด้วย 555


ด้านหน้าสถาบันเกอเธ่ เบอร์ลิน อยู่แถวสถานี Weinmeisterstr. ห่างจากสถานี Rosenthaler Platz โรงแรมเราไปแค่ป้ายเดียว


ตึกด้านใน

จอร์จจัดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ด้านหน้าให้ ได้ความว่าพวกเค้าให้เราไปรอที่ห้องชั้นสาม แต่พอไปถึงห้องดันล็อคซะงั้น เลยต้องยืนรออยู่ด้านนอก ได้แต่ รอ รอ รอ และ รอ ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ซะที กูเลยนั่งลงไปกับพื้นเลย ไม่กลัวเสียภาพพจน์ความศิวิไลซ์ของประเทศไทยอีกต่อไปแล้ว แบบว่าเมื่อยมาก เดินทั้งวัน สักพักคนอื่นเริ่มเลยนั่งพื้นตาม แล้วก็นั่งรอเงกๆ กันไปเกือบ 20 นาที ถึงจะมีเจ้าหน้าที่หน้าโหดมาเปิดประตูให้ พอเข้าไปในห้องทุกคนต่างรีบแย่งกันนั่งด้านหลัง แล้วเชิญให้ อ.บวรพงศ์ ไปนั่งด้านหน้า (ฮา)

นั่งรอในห้องไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มีใครมา หน้าห้องมีกาแฟ มีน้ำเปล่าให้ พวกกูกินกันจนเกลี้ยง ก็ยังไม่มีใครมาอยู่ดี! สุดท้ายมีผู้ชายท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามาคุยภาษาเยอรมันกับจอร์จ !!@#$%^&*%$#@!$##@%@ ตอนแรกเราเข้าใจว่าพี่คนนี้แหละคือนักวิจารณ์ที่เรานัดไว้ แต่ความจริงแกคือไดเร็คเตอร์ของที่นี่ แกมาขอโทษว่าไม่สามารถติดต่อนักวิจารณ์คนนั้นได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทางเกอเธ่ไทยนัดไว้ยังไง อ้าววววววววววววววว แล้วที่พวกกูเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงนี่เพื่ออะไรคะ!! แต่ในใจก็เปล่งประกายด้วยความหวัง โอ๊ะ แบบนี้ก็มีเวลาว่างไปเที่ยวสินะ สมองประมวลผลใหญ่เลยว่าจะไปไหนดี ทว่า...ทางอาจารย์เสนอว่า งั้นให้ อ.บวรพงศ์ เลคเชอร์เกี่ยวกับคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกที่เราจะต้องดูคืนนี้ดีกว่า แป่ววว โอเค เรียนก็ได้ เที่ยวเล่นมาเยอะแล้ว ควรจะมีสาระบ้าง


คุณพี่สูทน้ำตาลนี่แหละ ไดเร็คเตอร์ของเกอเธ่


เลยได้ยืมห้องของเกอเธ่ เปิดเป็นห้องเรียนเลย / เวลา อ.บวรพงศ์ สอนหนังสือแกจะอินมาก

คอนเสิร์ตที่เราจะดูในคืนนี้เล่นโดยวง Staatskapelle Berlin ถึงจะไม่ใช่เบอร์หนึ่งอย่างวง Berlin Philharmonic แต่ศักดิ์ศรีไม่ได้ด้อยกว่ากันเท่าไร มิวสิคไดเร็คเตอร์ของวงคือ แดเนียล บาเรนบอยม์ (Daniel Barenboim) คอนดัคเตอร์ระดับโลกได้รางวัลมามากมายก่ายกอง แกเป็นคนอาร์เจนติน่า แต่แกก็มีเชื้อยิว ถือสี่สัญชาติ อาร์เจนติน่า, อิสราเอล, สเปน, ปาเลสไตน์ ปัจจุบันพำนักอยู่ที่เบอร์ลิน (โคตรแห่งความโลกาภิวัตน์) แนวคิดทางการเมืองของแกก็น่าสนใจ เช่นว่า ตอนสงครามอ่าว แกเคยจัดออร์เคสตราโดยที่สมาชิกทุกคนสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ

เพลงที่เราจะฟังในวันนี้มีสองเพลง ซึ่ง อ.บวรพงศ์ บอกว่าค่อนข้างยาก (ทำไมพวกกูไม่เคยเจออะไรง่ายๆ เลย 555) เพลงแรกคือ Cello Concerto ของEdward Elgar ความดราม่ามันอยู่ตรงที่ ภรรยาของบาเรนบอยม์เป็นนักเชลโลชาวอังกฤษชื่อ แจ็คเกอลีน ดูเปร์ (Jacqueline du Pré) เพราะเธอกับผัวเอาเพลงนี้มาเล่นนี่แหละ มันเลยดังขึ้นมา แต่ชีวิตของดูเปร์หนักมาก เธอมีอาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อ จนเล่นเชลโลไม่ได้ และเสียชีวิตตอนปี 1987 (สามารถดูเรื่องราวชีวิตของบาเรนบอยม์กับดูเปร์ ได้ในหนังเรื่อง Hilary & Jackie ที่นำแสดงโดย เอมิลี วัตสัน แต่ดูเหมือนบาเรนบอยม์จะไม่ค่อยชอบหนังเท่าไร เขาบอกว่า “ทำไมคนสร้างไม่รอให้ผมตายก่อนนะ”)

ส่วนเพลงที่สองคือ Symphony no.7 ของ Anton Bruckner ปกติเพลงของบรูคเนอร์มักจะยากและยาว คล้ายกับเพลงของมาห์เลอร์ เหมาะสำหรับคนฟังสายฮาร์ดคอร์ แต่ Symphony no.7 ถือเป็นงานที่ง่ายของเขาและไม่ยาวเท่าไร อ.บวรพงศ์ เปิดทั้งสองเพลงให้เราฟัง อจ. มักชี้เสมอว่าเพลงคลาสสิกก็มีโครงสร้างของมัน คล้ายๆ กับเพลงป็อปที่มีท่อนพรีคอรัส, คอรัส, บริดจ์, คอรัส เราต้องหา Motif ของเพลงให้เจอ เพียงแต่ว่า Motif เพลงคลาสสิกบางเพลงอาจจับได้ยาก หรือมีรูปแบบที่บิดพริ้วไปมา

ฟังเลคเชอร์ไปสองชั่วโมง ต้องยอมรับว่ายังจับ Motif ของทั้งสองเพลงไม่ได้เท่าไร แต่ก็ถึงเวลาต้องกลับโรงแรมไปเตรียมตัว เปิ้ลบอกให้ทุกคนทานข้าวให้เสร็จเลย จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายแบบร้านเวียดนามเมื่อวานอีก จากเกอเธ่เดินกลับไปโรงแรม Amano ใกล้นิดเดียว เรากับพี่ๆ ตกลงกันว่าเดี๋ยวไปกินร้านอาหารจีนด้วยกัน (เค้าเคยมากินกันรอบนึงแล้ว ตอนวันที่เราหนีไปเที่ยวคนเดียว)


ร้าน China Box ดีใจมากที่เห็นเมนูข้าว เมื่อขนมปังจะแย่แล้ว

เช่นเดียวกับหลายร้านที่เจอมา แม้คนขายจะเป็นคนจีน แต่พี่แกก็พูดเยอรมันใส่กูลูกเดียว แม้จะพยายามสั่งด้วยการชี้ที่รูปภาพ แต่แกก็ยังจะทวนเป็นชื่ออาหารเป็นเยอรมัน ~!@!#!@#@!#!@#!@#!#@@! แล้วกูจะรู้มั้ยว่าไอ้ที่กูสั่งไปเรียกว่าอะไร ถึงมึงทำให้กูมาผิด ณ จุดนี้ กูก็ยอมกินแล้ว ในร้านนี้ยังมีความวุ่นวายอีกอย่างคือ มันแบ่งครึ่งกับร้านพิซซ่า มีตู้น้ำอยู่หน้าเคาท์เตอร์อาหารจีน แต่ต้องไปจ่ายตังค์กับฝั่งร้านพิซซ่า โอ๊ย ระบบร้านมึงซับซ้อนจริงๆ กูมึน


สิ่งที่ได้มา คล้ายๆ ผัดเปรี้ยวหวาน ก็อร่อยดี

เรามาถึงล็อบบี้โรงแรมก่อนเวลานัดเล็กน้อย เห็นพี่ๆ กลุ่มนึงเม้ามอยกันอยู่ ไปร่วมแจมด้วย ได้ทราบเรื่องสำคัญว่าที่จริงแล้วจอร์จเค้าไม่ใช่ไกด์ แต่เค้าเป็นเอ็นจีโอ และฟีลด์ที่เค้าทำคือ เข้าไปให้คำปรึกษากับคนในคุก!!!!!!!! อืม...โอเค กูเข้าใจแล้ว ทำไมพี่เค้าแปลงร่างบ่อย ทางเกอเธ่ไทยส่งพี่จอร์จมาเพื่อดัดสันดานพวกกูใช่มั้ยเนี่ย 555

จอร์จพาเรานั่งรถไฟไป Alexanderplatz (อีกแล้ว!) เค้าบอกว่ามีเวลาเหลือ จะพาเดินดูอะไรน่าสนใจเยอะๆ หน่อย โอเค จัดไป กูเดินมาห้าวันจนเท้าไม่มีความรู้สึกแล้ว


นาฬิกาโลกที่ Alexanderplatz บอกเวลาทุกประเทศทั่วโลก


กรุงเทพตอนนี้ 23.30 ที่เบอร์ลินก็ 18.30 (ช้ากว่าห้าชั่วโมง)


จากนั้นจอร์จพาเดินยาว


ตึกนี้อะไรไม่รู้ จำไม่ได้


Bundesrat ตึกรัฐสภา

เดินมาสักพักมาถึง Potsdamer Platz ตอนแรกหลอนมาก ว่ากูกลับมาที่นี่อีกแล้ว แต่ที่ที่จอร์จพาไป ทำให้เราต้องกรี๊ด นั่นคือ...



Boulevard der Stars หรือพูดง่ายๆ มันคือ Hall of Fame ของเยอรมันนั่นเอง

ดูเหมือนจอร์จจะจำได้ว่าเราชอบเรื่องหนัง (เคยแนะนำตัวไปว่าเป็น Film Critics) จอร์จปรี่มาหาเราและชี้ชวนให้ดูป้ายชื่อคนนู้นคนนี้ จะว่าไปแล้วข้อดีของจอร์จคือ เค้าช่างสังเกต เวลาไปที่ไหนแล้วตรงกับความชอบของใคร เค้าก็จะเดินมาอธิบายกับคนนั้น ว่าแล้วก็แอบซึ้งใจที่จอร์จอุตส่าห์พามาที่นี่ เพราะมีกูตื่นเต้นวี้ดว้ายถ่ายรูปอยู่คนเดียว พี่ๆ คนอื่นดูจะเฉยเมยมาก 5555

ต่อไปนี้เป็นเซ็ตรูปความบ้าดาราล้วนๆ


ฟาทีห์ เอคิน คนทำ The Edge of Heaven


มาที่นี่ทั้งทีต้องไม่พลาดท่านฟาสบินเดอร์


นักทฤษฎีภาพยนตร์ เจอตอนเรียน ยากชิบหาย


อเล็กซานเดอร์ คลูเก้อ ยังไม่เคยดูหนังแกเลย


พี่ดวง ขอถ่ายกับ วิม เวนเดอร์ส จัดไป


นักแสดงหญิงคู่บุญของ ฟาสบินเดอร์


แวร์เนอร์ แฮร์โซก ผู้กำกับบ้าเลือด (แกเคยขนเรือขึ้นภูเขามาแล้ว)


ฝั่งตรงข้ามคือ Film Museum หมายมั่นว่าต้องมาให้ได้ ถ้าไม่ได้มา รู้สึกผิดบาป


หลังจากบ้าดาราจนพอใจ ก็มายังสถานที่แสดงคอนเสิร์ต นั่นคือ เบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์! (เพิ่งจะรู้ว่าได้ดูที่นี่ก็วันนี้แหละ ดีใจมากๆๆๆๆๆ ถือเป็นบุญวาสนา)


ภายในฮอลล์ สังเกตว่าคนเค้าก็แต่งตัวกันสบายๆ


คนรอซื้อตั๋ว วันนี้ไม่ถึงขั้น Sold Out แต่ก็เต็มทีเดียว

จอร์จบอกว่าให้พวกเรารวมตัวกัน เพราะนัดกับคุณ Zander นักวิจารณ์ที่เราต้องเจอพรุ่งนี้เอาไว้ ให้ทำความรู้จักกันไว้เลย นัดจะได้ไม่ล่มแบบวันนี้อีก เราก็ถามจอร์จว่า “อ้าว แล้วยูรู้จักเค้าเหรอ มีเบอร์มือถือเค้าเหรอ“ จอร์จตอบ “อ๋อ เปล่า โทรไปนัดกับเค้าที่ออฟฟิศ บอกว่าจะยืนอยู่กับกลุ่มคนเอเชียใหญ่ๆ” โธ่...แล้วมันจะเจอกันมั้ยเนี่ย สรุปว่าคุณ Zander ก็คงหาเราไม่เจอ เดาว่านัดล่มแน่ๆ เลยแว่บไปเข้าห้องน้ำ แต่พอออกมา ทุกคนหายเข้าฮอลล์ไปหมดแล้ว เลยรีบตามเข้าไป

ด้วยความที่เบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิคฮอลล์เป็นที่นั่งแบบ 360 องศา พวกเราเลยได้ที่นั่งมุมพิเศษมาก คือ เป็นที่นั่งที่อยู่ด้านหลังนักดนตรี แต่คอนดัคเตอร์จะหันหน้าให้เรา (ราคาตั๋ว 44.68 ยูโร) เกิดมาเพิ่งเคยได้ดูคอนเสิร์ตเพลงคลาสสิกจากมุมนี้ ซึ่งเราแอบชอบ เพราะว่าใกล้กับคนเล่นทิมปานีดี ปกติชอบสังเกตทิมปานี เป็นเครื่องดนตรีที่น่าสนใจ คือนานๆ มาที แต่มาทีต้องจัดหนัก

รอไม่นาน เริ่มเล่นเพลงแรก มือเชลโลวันนี้เป็นคนอเมริกันชื่อ Alisa Weilerstein มาในชุดเดรสสีแดงเด่นมาก รู้สึกได้เลยว่าเพลงมันต่างจากเวอร์ชันที่ฟังในซีดีค่อนข้างเยอะ ในฉบับซีดีที่อาจารย์เปิดให้ฟัง แจ็คเกอลีน ดูเปร์ จะเล่นออกมาอ่อนหวาน แต่อลิซ่าจะเล่นแบบฮึกเหิมรุนแรงกว่า เพลงมีทั้งหมดสี่มูฟเมนต์ ก็ดูจบโดยที่ไม่หลับ

ตอนครึ่งพัก ลงมาดูช็อปข้างล่าง เป็นไปตามคาด เจอ อ.บวรพงศ์ กำลังช็อปแหลก แกซื้อเยอะมาก ไม่ว่าจะซีดี, เสื้อ, แก้ว, เหรียญตรา ขอให้มีโลโก้เบอร์ลินฟิลฮาร์โมนิค แกเอาหมด (นี่เริ่มเป็นห่วงว่ากระเป๋าแกต้องเกิน 20 กิโลแน่ๆ 555) ส่วนเราได้ซีดีรวมฮิตของ ฟิลิป กลาส ...กลับมาครึ่งหลัง เพลงค่อนข้างยาก แต่พยายามตั้งใจฟัง มีแอบหลับไปสองวูบ สิ่งที่ดีคือ ได้เห็นสีหน้าท่าทางของบาเรนบอยม์ แกดู emotional ไปกับเพลง ยิ่งช่วงหลังท่าทางแกจัดเต็ม แต่แกอายุเยอะแล้ว บางทีแอบไม่แน่ใจว่านั่นเป็นท่าหรือแกเซกันแน่


คอนเสิร์ตจบแล้ว คนปรบมือกระหน่ำ ไม่มีอังกอร์ เนื่องจากเพลงที่เล่นมันก็ยาวมากแล้ว


พอเดินออกมานอกฮอลล์ จอร์จบอกให้หยุด แล้วพากลับเข้าไปในฮอลล์ใหม่ ไอ้เราก็งงว่าทำไม สรุปคือจอร์จพามาดูเวทีในบรรยากาศหลังการแสดงนั่นเอง ...บางทีจอร์จก็เซอร์วิสให้เราแบบงงๆ


พอจบงานจอร์จก็แยกตัวกลับไป วันนี้บาเรนบอยม์มานั่งแจกลายเซ็นนด้วย เค้าว่าปกติแกก็มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์ แน่นอนว่า อ.บวรพงศ์ ไปต่อคิว จริงๆ แอบอยากได้เหมือนกัน แต่คิวยาว อาจารย์เลยบอกว่าให้พวกเรากลับไปก่อนเลย

พอเดินออกมาข้างนอกก็แอบงงว่าต้องกลับไงหว่า เพราะมันมืดแล้ว จำทางไม่ได้ พี่แหม่มเสนอว่าให้นั่งรถเมล์ แล้วไปต่อรถราง พวกเราก็ตามแกไปอย่างว่าง่าย ถามไปถามมาเลยรู้ว่าพี่แหม่มเคยมาอยู่ที่เบอร์ลินเดือนนึง มิน่าแกเลยดูคล่องกว่าคนอื่น


มายืนรอรถรางกัน ที่ป้ายไม่ค่อยมีคน แอบน่ากลัว


ชาวไทยยืนรอรถรางท่ามกลางความหนาวเหน็บ

กลับถึงห้องเที่ยงคืนตามเคย ความเหนื่อยเริ่มสะสมมากขึ้นทุกที โชคดีว่าพรุ่งนี้จอร์จนัดสิบโมงเช้า เป็นคืนแรกในทริปที่ได้นอนยาว

ว่าไปพรุ่งนี้ก็วันรองสุดท้ายแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป...





Create Date : 21 เมษายน 2555
Last Update : 21 เมษายน 2555 19:31:31 น. 1 comments
Counter : 5248 Pageviews.

 
อู้ว..สุดยอด..เนื้อหารูปภาพละเอียดราวกับได้ไปด้วย


โดย: Ezy-SeaHill วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:23:13:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.