และแล้วการพรีเซนต์รายงานหน้าห้องเรื่อง POST 9/11 FILM สำหรับวิชา International Film ก็ผ่านพ้นไปแล้ว (แถมยังเก๋ที่ได้พรีเซนต์วันจันทร์ที่ 11 กันยา พอดีเด๊ะ)
ผลตอบรับที่ได้ก็ดีสมควร อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาพรีเซนต์อะไรก็ตาม เราถือหลัก "ดี ห่วย อย่างไร เล่นใหญ่ไว้ก่อน" หมายถึง ต้องพรีเซนต์ด้วยท่าทาง อารมณ์ น้ำเสียงเร้าใจ (บางทีอาจถึงขั้นขู่ตะคอก) เน้นใช้ body language เยอะๆ (บางทีอาจหลุดสาวแตก)
07. Coldcut: Whistle & A Prayer (Woof Wan Bua, A+) ชอบที่เอ็มวีเพลงนี้มีบางส่วนคล้ายเกมตระกูล Mario
08. Plan B: No Good (Daniel Levi, A+) สต็อปโมชั่นยังไม่ตาย โดยเฉพาะจากที่มีงูโผล่ออกมาจากเป้าพระเอกเอ็มวี (ฮ่าๆๆๆ)
09. Graffiti: What Is The Problem (Dougal Wilson, A-) มิวสิกวิดีโอเพลงเล่าถึงหนุ่มคนนึงที่เบื่อแฟนตัวเอง เลยลากคนมาร่วมเดินประท้วงถือป้ายว่า What Is The Problem? แล้วผู้กำกับก็แอบเนียนไปถ่ายฟุตเทจจากม็อบต้านสงครามอิรักด้วย
ดูหนังเรื่องแล้วก็นึกถึงความรู้สึกตอนดูหนังเรื่อง Yi Yi (2000, Edward Yang, A+) จบ ในแง่ที่ว่าทั้งสองเรื่องมีลักษณะเป็นหนังมหากาพย์ (ทั้งสองเรื่องยาว 3 ชั่วโมงกว่า) ที่ไม่ได้เล่าเรื่องยิ่งใหญ่อะไร เพียงกล่าวถึงมนุษย์ตัวเล็กๆ ในสังคมสมัยใหม่ และหนังมีความเป็นมนุษยนิยมอยู่สูง แต่รู้สึกชอบ Eureka มากกว่า เพราะ Yi Yi ตัวละครค่อนข้างเยอะ แต่ Eurake โฟกัสแต่ตัวละคร 3 ตัว เลยมีความรู้สึกร่วมด้วยมาก (อีกอย่างคือ ช่วงครึ่งหลังของหนังเป็น Road Movie ที่ให้คนดูติดตามตัวละครไปเรื่อยๆ)
Yi Yi และ Eureka เข้าสวยประกวดเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2000 ด้วย เรื่องแรกได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป ส่วนเรื่องหลังได้รางวัลนักวิจารณ์ (FIPRESCI Prize) ด้วยเหตุผลที่ว่า For its penetrating insights into the lives of survivors of a tragedy, for the formal beauty of the photography, and for the moving performances
5. ค่อนเรื่องหลัง แตงโม จะเจอกับผู้หญิงอีกคน...ที่หน้าเหมือนตัวเอง! (Persona + That Obscure Objects of Desire + Doppelganger)
6. เธอสองคนจะพูดแค่ประโยคว่า "Who r u?" (และนี่จะเป็นประโยคเดียวในหนังที่มี) จากนั้นเธอสองคนจะไม่พูดกัน เพียงติดต่อสื่อสารทางจิตวิญญาณ และเธอสองคนก็ออกอาละวาดฆ่าคน (Baise-Moi) และมีเซ็กส์กันเมื่อฆ่าคนหมดทั้งเมือง (ฉากเซ็กส์จะลีลายิมนาสติกแบบหนังเรื่อง The Ring Finger)
หนังที่ได้ดูช่วงนี้
1. The Host (2006, Bong Joon-ha, A/A-)
นี่คือหนังที่พูดเรื่องการเมืองตลอดเวลา
2. A Taxing Woman (1987, Juzo Itami, A-)
หนังเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีอาชีพทวงภาษี
3. A Taxing Womans Return (1988, Juzo Itami, A+/A)
หนังภาคต่อ ที่บ้ากว่าภาคแรกหลายเท่าตัว ช่วงกลางของหนังมีการล้อเลียนเกี่ยวกับลัทธิทางศาสนาในญี่ปุ่น เป็นความฮาแบบไร้การบันยะบันยังโดยสิ้นเชิง
--------------------------------
5 ปี 9/11 : รายงาน POST 9/11 FILM
(คำเตือน -- เต็มไปด้วยการชื่นชมตัวเอง)
และแล้วการพรีเซนต์รายงานหน้าห้องเรื่อง POST 9/11 FILM สำหรับวิชา International Film ก็ผ่านพ้นไปแล้ว (แถมยังเก๋ที่ได้พรีเซนต์วันจันทร์ที่ 11 กันยา พอดีเด๊ะ)
ผลตอบรับที่ได้ก็ดีสมควร อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาพรีเซนต์อะไรก็ตาม เราถือหลัก "ดี ห่วย อย่างไร เล่นใหญ่ไว้ก่อน" หมายถึง ต้องพรีเซนต์ด้วยท่าทาง อารมณ์ น้ำเสียงเร้าใจ (บางทีอาจถึงขั้นขู่ตะคอก) เน้นใช้ body language เยอะๆ (บางทีอาจหลุดสาวแตก)
ลองคิดดูแล้วการพรีเซนต์ของเราอาจจะโดดเด่นกว่าเพราะของคนอื่นมันค่อนข้าง "ซังกะตาย" บางคนแย่หนักถึงขนาดเอาชีทมานั่งอ่านให้เพื่อนฟัง (ซึ่งจริงๆ ของเราก็ไม่ได้มีอะไรยิ่งใหญ่มาก มีแค่คลิปวิดีโอตอนเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด แล้วก็ powerpoint อีก 46 slide...แค่นั้นแหละ)
นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของระบบการศึกษาไทยเชียวนะ คือเด็กสมัยนี้ (รวมถึงตัวเราด้วยนะ) พรีเซนต์งานไม่เป็น พูดแบบเซ็งๆ ไร้ชีวิตชีวา ไม่น่าสนใจ และที่แย่ที่สุดคือมันไม่ฟังกันหรอก เวลาเพื่อนพรีเซนต์ มันนั่งคุยกัน!
เราเองยังแอบคิดในใจก่อนพูดว่า "ถ้าพวกมันคุยล่ะก็ ชั้นจะด่ามัน" ในที่นี้ก็คือ เรามั่นใจว่ารายงานเรามีดีพอ ควรค่าพอที่เพื่อนๆ น่าจะลองฟังสักนิด ...แต่ผลปรากฏออกมาคือ ตอนที่เรารายงานก็ไม่เห็นมีใครคุยกัน ทุกคนมองมาที่เรา บอกได้เลยว่าซึ้งใจมาก (ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ ในห้องทุกคนด้วยนะ)
ถ้าใครไปฟังในวันนั้น จะเห็นเลยว่าเราเหนื่อยมาก พูดไปหอบไป (ไหนจะเล่นท่าเล่นทางเยอะอีก) เพราะอาจารย์ (อ.บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา) ให้เวลาแค่ 10 นาที แต่เนื้อหาของเรากว้างมาก โดยคร่าวๆ คือเราจะพูดถึงหนังเกือบ 30 เรื่อง (คัดสรรแล้ว) เราก็เลยต้องพูดเร็วสุดๆ ประมาณว่าปากมันไวกว่าสมองแล้วล่ะ ...แต่สรุปแล้วมันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว (เพราะพูดเร็วไง) จริงๆ ก็คงเกินเวลาล่ะนะ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ห้าม หรือเร่งอะไร ปล่อยให้เราพูดไปเรื่อยๆ
ทีนี้ ช่วงท้ายเราก็มี Q&A Session ให้เพื่อนๆ ถาม แต่ปรากฏว่าไม่มีใครถามอะไรเลย เราก็แอบผิดหวังนะ แต่แล้วอยู่ดีๆ อจ.ก็ลุกขึ้นมา พูดว่า "พวกคุณน่ะต้องถามเค้าให้จนมุมนะ ต้องไล่ต้อนเค้าให้จนมุม" ...ไอ้เราก็งง เฮ้ย อะไรหว่า
แล้วหลังจากนั้นอจ.ก็พูดว่า...
"เพราะว่าตอนนี้ถ้าเทียบเกณฑ์ทั้งห้องแล้วเนี่ย พวกคุณน่ะตกหมดเลย เค้าเป็นคนเดียวที่ผ่าน คือทั้งห้องตอนนี้มีคุณคันฉัตรคนเดียวที่ได้ A" (เอาแล้ว สร้างความร้าวฉานอีกแล้ว อจ.ค้าบบบ)
ยังไม่พอ...
"รายงานชิ้นนี้น่ะมันคือ มหากาพย์ มันสดมาก นี่มันไม่ใช่รายงานแล้ว แต่มันคือหัวข้อของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก" (ขนาดนั้นเลยหรือวะเนี่ย กูนั่งทำ powerpoint แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แต่เอาเถอะฟังแล้วซึ้ง น้ำตาจะไหล)
นั่นแหละ ...หลังจากนั้นทั้งห้องก็เงียบนิ่งอึ้งไปเลย เราล่ะกลัวจริงๆว่า เลิกเรียนแล้วจะถูกดักตีหัว (ฮ่าๆๆๆ)
อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ดีใจนะ ที่อจ.เค้าชมเรา จริงๆ แล้วปกติเวลาทำรายงานไม่ว่าจะวิชาเศรษฐศาสตร์ หรือพวก finance เราก็ไม่เคยได้รับคำชมอะไรแบบนี้หรอก ในวิชาพวกนั้นเราก็เป็นแค่ "คนไร้ตัวตนคนนึง" (คืออาจจะได้ A แต่อจ.ก็ไม่ได้จดจำอะไรเราได้ แล้วเราเองก็จำเนื้อหาอะไรในวิชานั้นไม่ได้เหมือนกัน -- สอบเสร็จก็ลืม ว่างั้นเถอะ)
ส่วนรายงาน post 9/11 film อันนี้เราก็คิดว่าเราไม่ได้เก่งอะไรมาก ใช้ reference มาจากงานของพี่เต้ก็เยอะ บทความใน bio ก็เยอะ แต่เราก็ภูมิใจนะ เพราะเราตั้งใจทำ หรืออย่างน้อยที่สุดนี่คือรายงานที่เราจะ "เขียนเองทุกตัวอักษร" ไม่ใช่รายงานแบบ copy-paste เหมือนที่ผ่านๆ มา (ซึ่งเป็นวิถีการทำรายงานของนศ.สมัยนี้ เขียนเองไม่ถึง 20%)
ในวันนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เราคิดได้ ซึ่งความเป็นจริงมันเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่หลายๆคน อาจจะลืมไปแล้วก็คือ
"ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ เราก็จะมีความสุข และทำมันได้ดี"
แค่นั้นเองจริงๆ...
ปล.1 ขอบคุณทุกๆ คนมีส่วนช่วยเหลือในรายงาน post 9/11 film ชิ้นนี้ โดยเฉพาะพี่เต้ และพี่แมดเดอลีน
ปล.2 รายงานจะเอามาอัพใส่บล็อกทีหลัง คาดว่าหลังสอบไฟนอลเลย ตอนนี้มีแต่ตัว powerpoint ใครอยากได้ไปอ่านเล่นๆ ก็บอกแล้วกันนะ จะส่งไปให้