Kimji Adventure : Ep 8 : นั่งรถไฟไปนามิซอม กะเพื่อนระหว่างทาง ค่ำๆ ไปกินพลูโกกิ พร้อมเข้าจิมจิลบัง



มาแล้วค่ะ กับ Episode X ตอนที่ 10 ของการผจญภัยของสองป้าในเกาหลี

คราวนี้ไม่ไว้วางใจกะ blog แล้ว เลยต้องเขียนใส่ word ไว้แล้วค่อย copy มา paste ลงใน blog อีกที กลัวเหมือนครั้งก่อนอีกค่ะ

มาวันนี้เลขาฯ จะพาไปเที่ยวนามิซอมกัน สำหรับสาวกละครเกาหลีแต่ดั้งเดิมคงจำกันได้ ว่าที่นี่คือฉากสำคัญของละครเกาหลีเรื่องเยี่ยม Winter Love Song แต่ชาวเกาหลีและชาติอื่นเขาจะเรียกว่า Winter Sonata นะคะ ฉะนั้นถ้าเขาเรียกชื่อนี้ก็อย่างง มีแต่บ้านเราเท่านั้นแหละที่เรียกต่างจากชาวบ้านเขาแหละค่ะ

ก่อนออกจากบ้าน มาดามเขาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกเราค่ะ น่าหม่ำมากเลยอ่ะ
ตอนเราหม่ำกัน หนุ่มยุ่น กะสาวกงยังไม่ตื่นเลยค่ะ คงเพราะเขาคุยกันต่อรอบดึก ไอ้เราขอตัว เพราะรู้ว่าต้องออกแต่เช้า มารับอากาศแจ่มใสกันค่ะ

เกือบลืมถ่ายกันแน่ค่ะ เรากะว่าจะเก็บทุกเม็ด (แต่บางทีก็ลืม ) หม่ำไปได้หน่อย ก็นึกขึ้นได้ รีบเอากล้องมาถ่ายค่ะ

มีฮะเก๋าไส้ผัก เค้าชาเขียว นม ส้ม หย่อยค่ะ



การเดินทางไปเกาะนามิซอม มีให้เลือก 2 แบบ คือไปรถบัสที่วิ่งระหว่างจังหวัด หรือว่าไปโดยรถไฟ
พวกเราเลือกจะไปโดยรถไฟ และแล้วก็ทำให้นึกถึงคำพูดของโฮสต์ที่ควางจูว่า คนที่ชอบเดินทางโดยรถไฟ เป็นพวกโรแมนติค เอพวกเราจะโรแมนติคหรือป่าว ต้องไปค้นหาคำตอบให้ตัวเองแล้วค่ะ ว่าจิงอย่างเขาว่าหรือป่าว

บ้านที่เราอยู่ จะอยู่ใกล้สถานีกึมโฮ Geumho สายสีส้ม เบอร์ 3 เราต้องจับ Subway ไปเปลี่ยนสายสีน้ำเงิน เบอร์ 1 ที่เป็นส่วนการดำเนินการของ Koriail ที่โอ๊กสุ Oksu นั่งต่อไปที่ ชองยงานนิ Cheongnyangni ซึ่งตรงนี้จะเป็นสถานีเชื่อมระหว่าง Subway และ สถานีรถไฟ

ลืมบอกค่ะ ค่ารถ Subway 900 วอนค่ะ ส่วนใหญ่ค่า Subway ใน metro หรือเขตนครหลวงจะอยู่ที่ราคาเดียวคือ 900 วอนค่ะ ถ้าไกลออกไปนอกเขตถึงจะเพิ่มขึ้นตามระยะทาง ฉะนั้นบางที ถ้าอยู่ในเขตฯ ก็ไม่ต้องบอกสถานีที่ลงก็ได้ค่ะ จ่ายไป 900 วอนเขาก็ให้ตั๋วมาแล้ว

พวกเราก็งุนๆ งงๆ เป็นกะเหรี่ยงอีกแล้วค่ะ ว่าจะไปซื้อตั๋วได้ที่ไหน แล้วก็เหลือบไปเห็นช่องขายตั๋ว เขามีช่องขายสำหรับชาวต่างชาติด้วย แต่พอดีมีคนแล้วอีกช่องว่าง เขาก็เรียกเข้าไป เราก็บอกว่า ค้าบเพียอง Gapyeong ตอนขาย เขาก็บอกแล้วว่าไม่มีที่นั่ง แต่พอดีเลขาฯ ไม่ได้หันไปอธิบายเจ๊เร เจ๊เขาเลยงงเวลาขึ้นไปบนรถว่าทำไมไม่มีเลขที่นั่ง และด้วยเป็นรถไฟระยะสั้น คงเหมือนจากกรุงเทพฯ ไปราชบุรี หัวหินอย่างนั้นมั๊ง แถมเป็นวันหยุดที่อากาศแจ่มใสเสียเหลือเกิน ราคาตั๋ว 3,000 วอนค่ะ แต่ถ้าอยากได้ที่นั่ง ต้องจองกันเนิ่นๆ ค่ะ ซึ่งคงไม่ใช่กะเหรี่ยงอย่างเราที่จะจองล่วงหน้าได้

รูปตั๋วค่ะ




ตอนเราไปถึง ซื้อตั๋วเสร็จ อีก 15 นาทีรถจะออก เราก็รีบวิ่งไปที่ชานชลาทันที กัวตกรถไฟค่ะ
ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 80 นาที

ตอนเราขึ้นไปทั้งที่เป็นตั๋วยืน แต่เห็นที่ว่าง ก็เลยนั่งก่อน ไม่รู้ล่ะค่ะยามนั้น ใครมาทวงที่ค่อยว่ากันอีกที พอนั่งแล้วก็กางแผนที่ดูๆ กันไป ว่าจะต้องคอยสังเกตุว่าถึงหรือยัง เพราะถามมาดามไว้ มาดามว่าเห็นตัวอักษรตัวนึงก็จะทราบว่าถึงค่ะ แต่ก็จำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ เพราะเวลาอยู่บนรถไฟ ก็มองโน่นมองนี่ไปเรื่อย และนี่ก็เป็นการบอกว่า เรา 2 คนเป็นกะเหรี่ยงค่ะ 5555

เนื่องด้วยเช้าวันนั้นอากาศสดใสมาก แถมเป็นวันอาทิตย์อีกต่างหาก ชาวโซลจึงมุ่งหน้าหาแหล่งพักผ่อนที่มีอากาศบริสุทธิ์ และหนึ่งในนั้นก็คือ นามิซอม ค่ะ นอกจากนี้ยังมีอีกแห่งที่ถึงก่อน ค้าบเพียอง สถานีที่เราจะลง เราก็เห็นคนลงกันเยอะเหมือนกันค่ะ ชื่อว่า ชองเพียอง Cheongpyeong จึงทำให้รถไฟขบวนนี้คนเต็มเพียบ ทั้งนั่ง ทั้งยีนค่ะ

นั่งไปได้สักพัก ก็มีคนมาทวงที่ค่ะ เราเลยต้องลุกตามระเบียบ ตอนยืนก็เลยเจอชาวเกาหลีใจดี ถามเราว่าเป็นคนชาติไหน สำเนียงเขาดีมากค่ะ เพราะเขาทำธุรกิจอยู่ที่เพิร์ธ ลูกสาวและภรรยาอยู่ที่โน่น สำเนียงภาษาอังกิตเขาเลยฟังง่ายกว่าชาวเกาหลีทั่วๆ ไปมาก คุยกันไปตลอดทาง รวมถึงเพื่อนร่วมก๊วนของเขาด้วย แลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนะคติกันไป จนเขาลง ที่ ชองเพียอง แล้วเขาก็บอกว่า ของเรา ต้องลงสถานีต่อไป เราก็ขอบคุณเขา เฮ้อดีจิงๆ ค่ะ ที่มาเอง ไม่งั้นก็คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้

แล้วเราก็คุยเพลินเกือบจะเลย ดีนะที่มีสาวเกาหลีใจดีอีกแล้ว แต่เทอเรียนภาษาจีน ดีนะที่เราเรียนมาบ้างกันคนละนิดละหน่อย เอามาต่อๆ ช่วยๆ กัน ก็พอเข้าใจเขาบ้าง เทอถามว่าไปนามิใช่มั๊ย เพราะเทอได้ยินเราคุยกะหนุ่มใหญ่เกาหลีคนนั้น เพราะเพื่อนเทอเป็นครู เลยได้ปะกิตงูๆ ปลาๆ เหมือนกัน พอฟังได้อ่ะ พอเทอถามเรา เราก็ว่าใช่ เทอก็บอกสถานีนี้แหละ เรารีบลงกันไม่ทันเลยค่ะ เกือบแล้วมั๊ยล่ะ กะเหรี่ยงอย่างเราเกือบหลงไปไหนๆ แล้วนั่นอ่ะ

สถานี ค้าบเพียอง Gapyeong



จิงๆ วิธีการไปที่นามิซอม จะต้องนั่งรถบัสประจำจังหวัดซึ่งออกชั่วโมงละคัน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จะถึงท่าเรือเฟอรี่ข้ามไปนามิ ราคาไม่ได้สืบมา เพราะตอนเราไปจะมีรถออกอีกที อีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ

ตอนนั้นเรามีกัน 5 คนเลย บอกว่าไปแท็กซี่กันไหม ซึ่งเราก็โอเค 5 คนหารค่าแท็กซี่ได้ แต่จิงๆ รถแท็กซี่จะนั่งได้แค่ 4 คน แต่เขาก็ขอว่า 5 คนละกัน คนขับรถก็ใจดีค่ะ เทอบอกด้วยว่ามีคนต่างชาติมาด้วย แล้วคนขับก็ถามเราว่ามาจากไหน เราก็ต้องบอกว่า แทกุก กะ ไทยแลนดึ ตามสไตล์ภาษาอังกิตของเขาค่ะ ถึงเข้าใจ แล้วเราก็คุยได้เพื่อนระหว่างทางอีกแล้วค่ะ

ราคาค่าแท็กซี่ 5,000 วอนนิดๆ ค่ะ หารแล้วก็คนละพัน จิงๆ ตอนจะจอดมัน 4,900 ก่าๆ เราก็เลยหยิบกันออกมาคนละพัน แต่พอจอดก็ขึ้นเกินหลัก 5 พัน แต่คนเกาหลีกลุ่มนี้เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจ่ายไปเท่าไร เพราะเรารวบรวมเงินส่งให้เขาไปค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะโกงเขานะคะ แต่ก็ถือว่าถูกนะคะ ตกประมาณคนละ 40 บาท ก็คงพอๆ กะนั่งรถบัสไปนั่นแหละค่ะ

พอลงจากรถ โห คนเยอะมาก รอขึ้นเรือเพื่อข้ามไปนามิ แต่ 3 คนนั้นเขาเปลี่ยนใจจะเข้าชุนชอนแทน แต่เรา 2 คนตั้งใจมาแล้ว เอาไงเอากัน ก็ไปเข้าคิวซื้อตั๋วเรือ ราคา 5,000 วอน รวมแล้วทั้งไปและกลับค่ะ



โป๊ะข้ามเรือค่ะ

มีระเบียบใช้ได้ กะวันคนเยอะๆ อย่างนี้ มีการนับจำนวนคนด้วย safety ดีทีเดียว แถมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติก็มาเยี่ยมชม (อันนี้อานิสงฆ์จากละครแท้ๆ) เลยต้องทำให้ดีมีมาตรฐาน จิงไหมคะ

ป้ายตรงท่าข้ามค่ะ มีธงชาติไทยด้วย เห็นกันไหมเอ่ย




ตอนนี้คงข้ามๆ เรื่องรูปไปบ้าง เพราะคนส่วนใหญ่คงไปถ่ายรูปน้าเบ เอ้ย พี่เบ กะป้าชอย เอ้ย พี่ชอยค่ะ (จิงๆ เทออายุเท่าไร ไม่รู้อ่ะค่ะ ใครรู้บอกด้วย)

เลขาฯ เอามาฝากแต่รูปวิวนะคะ ชอบเป็นการส่วนตัวอ่ะค่ะ

ทางเดินนี้คงจำกันได้นะคะ (อันนี้เจ๊เรเขาบอก เลขาฯ ไม่เคยดูกะเขาหรอก เพิ่งมาหัดดูจาก full house น่านแหละค่ะ เรื่องเก่าๆ เลยไม่ได้ดูเลย)



อันนี้แนวตั้งค่ะ





ทางเดินรอบเกาะค่ะ เราเดินกันรอบเกาะกันเลย มันถึงได้เมื่อยไงคะ แต่ไปเที่ยวต่างแดนก็ต้องอย่างนี้แหละค่ะ ต้องเดินๆๆๆๆ เตรียมรองเท้าดีๆ ยาแก้ปวดเมื่อย ยาทาแก้เมื่อยไปเยอะนะคะ



อันนี้แผ่นดินจากอีกฝั่งเกาะค่ะ



บนเกาะ มีครบครันเลยนะคะ ทั้งร้านอาหาร สวนเด็กเล่น และกิจกรรมต่างๆ มากมาย ยิ่งเป็นวันหยุดอย่างนี้ กิจกรรมต่างๆ ก็มีเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวค่ะ

อย่างที่บอก ต้องมีรูปถ่ายกะพระ-นางละครเรื่องนี้



พอเดินรอบเกาะ มาถึงจุดขึ้นเรือ เราก็กล้บกัน แหมก็รอบเกาะแล้วนี่คะ จะให้ไปไหนต่อ เดินรอบเกาะเนี่ย ก็กินเวลาหลายอยู่ เพราะบ่ายสองกว่าๆ แล้ว จากสิบโมงจนป่านนี้ ขากลับก็ต้องเข้าคิวขึ้นเรืออีก แต่คราวนี้ไม่นานเท่าขามาค่ะ เพราะบางคนก็ยังไม่กลับ แต่เรามีนัดดินเนอร์ เลยต้องรีบกลับกันหน่อยค่ะ

แล้วเราก็มารอรถเมล์ เราเห็นป้ายก็เลยไปรอ แต่รออยู่พักนึง กัวว่าจะเป็นเหมือนที่แดจังกึม เลยถามทางกะสาวเจ้าคนนึง เทอก็ไม่รู้ แต่เทอพรืดปะกิตได้ เทอก็น่ารัก วิ่งไปถามเพื่อนมาให้ เจอคนใจดีอีกแล้ว หน้าตางามงด น้ำใจยิ่งงดงามค่ะ
เพื่อนเทอก็ว่ารอตรงนี้แหละ แต่คงนาน เราดูเวลา ลองไปแท็กซี่ดีกว่า ถ้าช้า เราจะกลับเข้าโซลไม่ทัน ก็เลยจับแท็กซี่ไป 4,000 วอน
อ๊ะๆๆ อย่าแปลกใจ ถนนเขาเหมือนเป็นวันเวย์ ไปทางเดียวรอบๆ เมือง อึดในเดียว ไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงสถานีรถไฟ ค้าบเพียอง ตรงที่เราลงมาน่านแหละค่ะ

แล้วเราก็รีบไปซื้อตั๋วรถไฟ ตั๋วยืนเหมือนเดิม ราคาก็เท่าเดดิม ยังไม่ถึงเวลา เราก็เลยไปเข้าห้องน้ำค่ะ ผลัดก้นเฝ้าของ สัมภารกเยอะกันค่ะ มาต่างบ้านต่างเมืองนี่คะ แถมมาสถานที่ท่องเที่ยว กล้องก็หลายตัว หอบเป็นบ้าหอบฟางค่ะ สักพัก ก็เดินออกไปรอรถไฟกัน เพราะใกล้เวลารถไฟมาแล้วอ่ะ

พอขึ้นรถไฟได้ เราก็เห็นมีที่ว่าง 1 ที่แต่เราไม่นั่ง เพราะขี้เกียจลุกเวลาใครมาทวงที่อีก เลยยืนไป ทั้งๆ ที่เมื่อยใจแทบขาด เพราะเดินรอบเกาะเกือบ 2 ชั่วโมงไม่ได้พักเลย

ตอนขึ้น เราก็เห็นสาวเกาหลี 2 คน หย่อนลงไปหลังเก้าอี้รถไฟ ที่มีเด็กหนุ่มกลุ่มนึง หมุนหันหน้าเข้าหากัน นอนหลับกันแบบเหมือนอดหลับอดนอนมาเป็นชาติ ไม่รู้หย่อนตัวลงไปได้ไง เรามองแล้ว ขอยอมทนยืนต่อไปดีกว่าค่ะ เราคงหย่อนแบบเขาไม่ไหวอ่ะ

มีคนแก่คนนึงเดินมา มองๆ เราประมาณยึกยักถามว่าเราไม่นั่งเหรอ เราก็ส่ายหน้า เขาก็นั่งเลย เราก็มองกันไป เฮ้อออออออออ เสียดายที่เหมือนกันอ่ะ แต่ทำไงได้

แล้วไม่นาน ก็มีคู่รักคู่นึงเขาขึ้นมา เขาเป็นเจ้าของที่ค่ะ อ้อ ที่ข้างๆ ที่คนแก่ันั่ง ก็มีคนแก่อีกคนนั่งอยู่
2 หนุ่มสาวคู่รักน่าน ก็เหวอๆ ไปนิด อ่ะนะ คนแก่นั่งอยู่ ทำไง แล้วสังคมเขาก็ให้ความเคารพคนที่แก่กว่าซะด้วย ทั้งคู่เลยต้องยืนไป ยืนกอดกันสวีทหวาานแหววเชียวค่ะ อิจฉาสาวเกาหลีจัง หนุ่มกิมจิช่างเอาใจเนอะ (เฉพาะช่วงเป้นแฟนหรือป่าวมะรู้เนอะ แต่ตอนนี้ขอไปเอาน้ำแข็งประคบตาก่อนดีกว่าค่ะ หุๆ)


และแล้วสายตาก็สะดุดไปเห็นน้องคนนึง ในกลุ่มที่หลับเป็นตายน่านแหละค่ะ
หน้าตาคล้ายจางฮุคมาก แต่เราไม่มีภาพหรอกค่ะ เป็นเพราะมารยาท และอีกอย่างมะกล้าค่ะ มีตาแก่คนนึงมายืนตรงด้านหลังน้องจางฮุค เราเลยยิ่งไม่กล้ายกกล้องมาถ่ายน้องเทอ อดไปนะเจี๊ยบเอ้ยยยยย

พอมาถึงโซล ยังเหลือเวลา เราก็เลยตกลงกันว่า จะไปเดินเมียงดงกัน เพราะจะไปเก็บซีดีเพลงต่างๆ ที่คิดว่าจะซื้อกัน แต่ก็ซื้อไม่เยอะหรอกค่ะ เพราะมันแพง แต่ที่สำคัญคือดีวีดีคอนฯ น้องฝนน่านแหละ เพราะอยากได้ของเกาหลีแท้กัน แถมตอนนั้น เมืองไทยยังไม่ออกด้วย

พอไปถึงเมียงดง ก็โทรหา host แล้วมาดามเขาก็ว่า มิสเตอร์กะ 2 หนุ่มไปเดินเที่ยวเมียงดงกัน เราก็เลยว่า เราอยู่เมียงดงเหมือนกัน เขาจะไปโบสถ์กัน เราก็เลยว่า เดี๋ยวเราตามไปที่โบสถ์

แต่ แต่ แต่ แต่




เราก็หลงกันค่ะ หาโบสถ์ไม่เจอ แล้วก็เลยตัดสินใจถามทาง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจ จนมีสาวนางหนึ่งเขาเห็นท่าทางเรา เพราะเราทำท่าไม้กางเขน เขาคงเข้าใจ เขาก็ว่าให้ตามเขามา ทั้งๆ ที่ภาษาไม่เข้าใจ แต่เทอก็ใจดีพาเรา เราก็เลยรีบๆ เดินตามเทอไปค่ะ

แล้วเราก็มารู้ทีหลังว่า เทอจิงๆ ไม่ได้จะมาทางนี้หรอก แต่เห็นเราเป็นกะเหรี่ยงเลยพาเรามา ใจดีจังค่ะ เมืองไทยจะมีคนใจดีอย่างนี้หรือป่าว แต่เลขาฯ กลับไป คงอยากช่วยชางต่างชาติที่มาเที่ยวบ้านเราอย่างนี้เหมือนกันค่ะ รับรอง

มาถึงโบสถ์แล้ว วันนี้วันอาทิตย์ด้วย ชาวคริสต์ที่นี่ก็มีเข้าโบสถ์ มีหลายรอบด้วย เราไปถึงกำลังเริ่มรอบต่อไป ฟ้าเริ่มมืดแล้วด้วย เราก็เลยรีบๆ เก็บภาพกันมาค่ะ เพราะแสงหมดแล้วจะไม่ได้ภาพสวยๆ



พอชมกันพอใจ ก็เดินไปหาร้านซีดี วนมาหลายรอบ แล้วก็ตัดสินใจเข้า SKC ไม่รู้ชื่อร้านป่าว แต่ก็เห็นซีดีเยอะดี ราคาพอๆ กัน บางอันถูกกว่าอ่ะ

เลขาฯ ได้ดีวีดีน้องฝนแล้ว ก็ได้รวม ost มาอีกชุด เพราะมีซื้อ KCM Compilation ไปแล้วชุดนึง ส่วนเจ๊เร ได้ชินฮวามาค่ะ

พอจ่ายเงินดูเวลา เลยเดินออกไปทอสับ แล้วก็นัดกันได้ว่า พวกโฮสต์จะไปรอที่สถานีปลายทางที่ร้านพลูโกกิที่จะไปหม่ำกัน เราก็ตกลงค่ะ


แล้วมาต่อกัน Episode ใหม่ กะการดินเนอร์กะหนุ่มๆ ค่ะ





Dinner Bulgogi กะหนุ่มน้อยแดนปลาดิบ


เมื่อเราโทรหาโฮสต์แฟมิลี่ เราก็นัดแนะกับเขาว่าจะไปเจอกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน Gongdeok ที่อยู่ที่สายสีน้ำตาล สาย 6

เราก็เริ่มการผจญภัยกะการเดินทางโดยซับเวย์ใยแมงมุมอีกครั้งค่ะ พอเราไปถึงสถานีกงท็อกแล้ว ก็เจอกะโฮสต์ และ 2 หนุ่มอยู่แล้ว (เอไหงเขามาถึงก่อนเรานะ ........... ก็เรามัวงมหาสถานทีกันอยู่นะสิคะ ว่าต้องขึ้นตรงไหน ลงตรงไหน เพื่อไปต่ออีกสาย)

แล้วโฮสต์ก็พาพวกเราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงร้าน เขาก็จัดการหาที่นั่งให้พนักงานในร้านดูแลให้ แต่โฮสต์เป็นมังฯ ค่ะ อันนี้เราก็เพิ่งทราบ เลยทำให้เราได้ดินเนอร์กับ 2 หนุ่มปลาดิบแค่ 4 คน (อิอิ เข้าทางป้าค่ะ) เพราะว่าเพื่อนสาวชาวฮ่องกงเทอมาไม่ได้ เพราะติดแหง่กอยู่กะเพื่อนหล่อนค่ะ (อ่ะนะ)

มาดูหน้าตาบรรยากาศการหม่ำพลูโกกิขนานแท้ของเกาหลีเลยค่ะ หร่อยนะคะ ขอบอก





เราก็กินกันไป มอมกันไป (อุ๊ยไม่ได้มอมเด็กๆ นะคะ เจ้าตัวใหญ่ถามขึ้นมาก่อน ก็เข้าทางเราสิ อิอิ) เจ๊เรดื่มโซจูกะน้องตาหวานค่ะ ส่วนเลฯ นั้นดื่มเบียร์กะพ่อตัวใหญ่ พวกเราก็คุยกันไปหม่ำกันไป ดีนะ พ่อตาหวานเรียนภาษาเกาหลีมาด้วย ไม่งั้น พวกเราคงสั่งอะไรกันไม่ถูก แต่ขอบอกว่า พอคนในร้านเริ่มซา สาวๆ พนักงานเสิร์ฟในร้าน มาเมียงมอง 2 หนุ่มนี่กันใหญ่ ทำเอา 2 ป้าอย่างเรา ยืดค่ะ ยืด ควง(เด็ก)หนุ่มหล่อมาถึง 2 คน 55555


รูปนี้ให้เด็กในร้านถ่ายให้ การวางภาพสวย แต่ถ่ายไม่ชัดค่ะ แหง่ะ


รูปนี้ไม่สวยแต่ชัดค่ะ

อาหารมื้อนี้ ปาไปคนละหมื่นสองพันวอนค่ะ หนักหน่อย เพราะเราสั่งโซจูกะเบียร์ด้วย ก็กะไว้แล้วว่าเรามากินพลูโกกิจะต้องจ่ายค่าอาหารหนักหน่อย เพราะว่าเป็นอาหารที่เราอยากกินค่ะ แหมก็เขามันต้นตำหรับนี่คะ

และแล้วเรา 2 ป้าก็มอมเด็กๆ สำเร็จ (อ้าวไหงงั้นล่ะ) แล้วก็คุยกัน เด็กๆ จะกลับไปอาบน้ำต่อ (ก็เข้าจิมจิลบังไงคะ ห้องอาบน้ำสาธารณะของเกาหลี) เราสองป้า มองหน้ากันแล้วก็ตกลงว่าจะไปด้วย ก็รีบขึ้นแท็กซี่กลับบ้านกัน ขากลับระหว่างทาง เจ้าตัวใหญ่เริ่มเมาได้ที่ พูดมาก (ปกติก็มากอยู่แล้ว ยิ่งมากไปอีก) เล่นกะพวกเราซะหัวเราะลั่นรถ แต่พ่อตาหวานไม่ค่อยเมา เพราะไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไรค่ะ ประมาณว่ารู้ลิมิตตัวเอง พอกลับไป ก็ไปคุยกะโฮสต์ เขาก็ถามว่าจะยังไปกันอีกไหม เพราะเห็นตัวใหญ่เมา 2 คนนี้ประมาณนักเรียนแลกเปลี่ยนก็อยากไปสิคะ มาแล้วต้องคุ้ม ก็เลยไปกัน พวกเราเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เคาะห้องหนุ่มๆ ไปดู เจ้าตัวใหญ่ล้มตัวนอนซะแล้ว เรา 2 ป้าเลยหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ 2 หนุ่มนี้ แหมๆ เราก็ยังเป็นสาวไทยอยู่ค่ะ เปิดประตูห้องทิ้งไว้ให้โฮสต์เห็นว่าพวกเราบริสุทธิ์ใจ เห็นเป็นน้องเป็นนุ่ง (จริงเหรอ เหอๆ)



หายไปนานเลยค่ะ แบบว่าเริ่มขี้เกียจเล่า แต่ก็ไม่ได้เริ่มโปรเจ็คท์แล้ว อย่างไรก็ต้องทำให้เสร็จ เพราะนี่มันเว็บของตัวเอง เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานปีนึงแล้ว บรรยากาศก็เลือนๆ ไปบ้าง บางครั้งก็ต้องกลับไปนั่งอ่านรีวิวที่ตัวเองกะเจ๊เร เขียนไว้ในบลูแพลนเน็ตบ้าง เพราะไม่งั้นพวกดีเทลบางเรื่องก็เลือนๆ เหมือนกันค่ะ

ส่วนที่นอนเรา ก็ออริจินัลค่ะ host เขาปูที่นอนให้นอนในห้องของเขา แล้วเขาก็อัปเปหิตัวเองออกมานอนข้างนอก ก็เราติดต่อจองไว้ แต่หลังๆ พอดีการสื่อสารขัดข้องหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เขาไม่ได้รับเมล์เราเลย เขาก็เลยนึกว่าเราไม่เอาแล้ว ฉะนั้น บอกไว้ก่อนเลยนะคะ ใครที่ต้องการไปนอนอย่างนี้ ก่อนออกเดินทางควรจะโทรไปคอนเฟิร์มให้เรียบร้อย ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกะเขาไม่รู้เรื่อง เพราะถ้าเขากล้ารับเป็น homestay แสดงว่าภาษาปะกิตเขาต้องดีพอควรเลยค่ะ



คราวนี้ได้บรรยากาศเหมือนเราเป็นนางเอกละครเกาหลีอะไรสักเรื่องเลยค่ะ จิ้นกันเอาเองนะคะ เหอๆๆๆ

แต่ด้วยความที่ host เขาวางแผนให้ 2 หนุ่มไปจิมจิลบังกัน แหมญี่ปุ่นกะเกาหลีเขาก็ไปอาบน้ำสาธารณะกัน ของคุ้นเคยของเขา แต่เราไม่เคย แต่ก็อยากลองผสมอารมณ์มึนๆ เลยตัดสินใจไปกัน แล้วก็อย่างที่บอกข้างบนว่า แยกย้ายไปเตรียมของเมื่อกลับถึงบ้าน แต่เจ้าตัวใหญ่ ............. เสียแล้ว

พอได้เวลาควรจะไป สาวฮ่องกงก็กลับมาพอดี ก็เลยชักชวนกันไป host เขาก็เรียกแท็กซี่ให้ แล้วก็จัดการบอกให้เสร็จว่าให้ไปที่ไหน
เขาก็ต่อรองให้ นั่งรถแท็กซี่กันไป 5 คน เพราะเกาหลี ก็เหมือนฮ่องกง สิงคโปร์ที่นั่งแท็กซี่ได้แค่ 4 คน ไม่รวมคนขับ มีบ้านเราเท่านั้นแหละค่ะ ที่อัดกันไปถึง 6 คน เหอๆๆๆๆ

เราก็นั่งคุยกันไปในรถ จิปาถะเลย เจ้าตัวเล็กนั่งหน้า เพระพอจะสื่อสารเกาหลีกะคนขับได้ เหอๆๆๆ อ่ะนะ สักพักเราก็ไปถึงจิมจิลบัง หน้าตาข้างหน้า ดูเหมือนอาบอบนวดบ้านเราเหมือนกันนะเนี่ย เหอๆๆๆ คิดได้ไงเนี่ย เข้าไปเขาก็มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถามว่าต้องการเข้ากี่คน ก็จ่ายตังค์กันไป ค่าบริการตกคนละ 10,000 วอนค่ะ แล้วเราก็รับผ้าขนหนู หมวกคลุมผม ชุดเปลี่ยน กุญแจล็อคเกอร์ ห้องแยกหญิงแยกชายค่ะ ไม่กลัวอาย ยิ่งถ้าไปกะเพื่อนคนไทย

พอเข้าไปถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็มีบริการต่างๆ ไว้เต็ม เสริมสวย ทำเล็บ นวด มีห้องไว้นั่งดูทีวี แล้วก็มีโถงกลางนั่งพัก ขายของ เหมือนในละครน่านแหละค่ะ แต่เราไม่ได้นั่งโดงกลาง เพราะต้องรีบกลับ ก็เลยรีบลงไปอาบน้ำกัน

เขาแก้ผ้ากันหมด ตัดสินใจกันอยู่นาน เพราะต่างคนต่างไม่เคยแก้ผ้าให้กันเลย แหมก็เมืองไทยมันไม่มีนี่ แล้วเลขาฯ ก็ไม่รีรอ เพราะเคยอ่านหนังสือไป ยิ่งกระมิดกระเมี้ยน ยิ่งกลายเป็นตัวประหลาดให้เข่าจ้องมองกัน ก็เลยแก้ผ้า แล้วไปอาบน้ำล้างตัว อ้อ ผ้าผืนเล็กๆ อ่ะ ไม่ต้องเอาไปปิดน้องหรอกนะคะ เพราะเขาจะว่าเอา เพราะเขาไว้เช็ดหน้า เช็ดผมกัน เดินไปธรรมดาเลย อย่างที่บอกไว้ ยิ่งอายทำตัวประหลาด ยิ่งถูกมองค่ะ เพราะเขาก็อาบกันไป ไม่ได้มาสนใจดูของใครต่อใครหรอกค่ะ คงมีแต่พวกเราที่มองของคนอื่น เหอๆๆๆๆๆ

พออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ ก็ลงบ่อค่ะ มีระดับความร้อนต่างๆ ให้เลือก แล้วแต่เราจะเลือก เราก็เลือกลงอุ่นๆ ก่อน ไม่ร้อนมาก แล้วค่อยๆ ไล่ร้อนไปเรื่อยๆ ค่ะ มีอ่างน้ำวนด้วย แล้วแต่เราเลยว่าจะลงอันไหน มีซาวน่าด้วย ที่นี่มีความร้อน 2 ระดับ เราก็เลือกอย่างเบาค่ะ แต่นั่งไม่นาน ก็เล่นเอาเราเกือบแย่ค่ะ แต่อย่างว่าเขาซาวน่ากันบ่อยๆ เลยสุขภาพดี ไม่ค่อยอ้วนกันมาก โดยเฉพาะสาวๆ เหอๆๆ แถมอีกอย่างค่าบริการไม่แพงด้วย แต่ห้องซาวน่าของเขาก็ห้องกระจกธรรมดานี่แหละค่ะ แล้วก็มีท่อไอน้ำตามจุดต่างๆ ในห้อง ไม่ได้เป็นแบบญี่ปุ่น หรือแบบบ้านเราหรอก

เป็นประสบการณ์อีกอันนึง ที่เราได้ลิ้มลองวัฒนธรรมอีกแบบของเขา ขนาดเจ๊แกเคยมา ยังไม่เคยมาแก้ผ้าอาบน้ำอย่างนี้เลย เหอๆๆๆๆ แต่คนไทยที่มาทัวร์คงไม่ได้มาอาบที่แบบนี้ คงไปอาบแบบสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเห็นตามโบรชัวร์ทัวร์กัน แต่ถามๆ ไป ก็ไม่เห็นใครกล้าลงสักเท่าไรเลย เพราะวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน

เรานัดกะหนุ่มๆ ไว้ว่าประมาณชั่วโมงจะออกมา ก็เห็นได้เวลาแล้ว เราจึงรีบขึ้นมาอาบน้ำ ที่อาบน้ำก็เป็นเก้าอี้ มีกระจก ก็อกน้ำให้เราได้ดูกระจกขัดขี้ไคลกันไปค่ะ แล้วแต่ใครจะใช้เวลามากน้อยเท่าไร

เราก็มีคนถามๆ บ้างว่ามาเป็นครั้งแรกเหรอ แม้จะสื่อสารไม่รู้เรื่องก็ตามทีเถอะ ปะกิตงูๆ ปลาๆ กันไป เพราะมีทั้งอาจุมม่า แม่บ้าน สาวทำงาน นักเรียน นักศึกษาค่ะ

พอเราแต่งตัวเสร็จ อ้าวหนุ่มๆ ยังไม่มากัน เราก็นั่งรอ แต่รอพักใหญ่เลย เพราะตัวใหญ่ แอบหลับค่ะ ตัวเล็กขึ้นมาก่อน ทั้งสองก็ขอโทษขอโพยเราใหญ่ที่ทำให้เรารอ เราก็ว่าไม่เป็นไร แต่แบบแอบง่วงค่ะ เพราะเราตื่นกันไปนามิแต่เช้าเลย

ขากลับทางร้านเขาก็อำนวยความสะดวก เรียกแท็กซี่ให้ ขากลับก็เหมือนเดิม ตัวเล็กนั่งหน้า เราก็อัดกันไป มีเซอร์ชาร์จนิดหน่อย เพราะหลังเที่ยงคืนแล้ว จะแพงกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้แพงกว่าขามามาก หนุ่มๆ จะออกค่ารถให้เป็นการขอโทษ แต่เรา 2 ป้าไม่ยอม แต่เผอิญว่าขาไป เราจ่ายค่ารถมาแล้ว เขาก็เลยไม่ยอมรับ เราก็ไม่ยอมรับขามาเหมือนกัน แต่ไม่เห็นสาวฮ่องกงจ่าย จนบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่าเทอจ่ายไปหนุ่มๆ หรือป่าว อ่ะนะ จับผิดเสียจิงเลย

พอไปถึงก็พูดคุยกะโฮสต์นิดหน่อย ถามทางเพื่อการเดินทางวันพรุ่งนี้ เพราะเราจะไปบ้านยองเจกันค่ะ เหอๆๆๆๆ แต่หนุ่มๆ เขาต้องแยกย้ายไปรวมกลุ่มกะกลุ่มนักศึกษาที่มาด้วยกัน แล้วก็จับคู่ไปนอนบ้านใหม่กัน เราก็อำลาอาลัยกันนิดหน่อย ก็อยู่กันมา 2 คืนนี่เนอะ คุยกันถูกคอดี ขอที่อยู่ อีเมล์ไว้เสร็ดจสรรพ ไว้ keep in touch ค่ะ เผื่อเราได้ไปญี่ปุ่นบ้าง อ่ะนะ

เกือบตี 2 เวลาที่โน่น แต่เราต้องตื่นแต่เช้าไป ฟูลเฮ้าส์ กัน ก็เลยเข้านอน หนุ่มๆ ก็เช่นกัน เลยแยกย้ายกันเข้านอน หลับกันเป็นตายเลยค่ะ









Create Date : 13 พฤษภาคม 2549
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:58:08 น.
Counter : 1051 Pageviews.

2 comments
  
สวยอ่ะ อยากไปจังฮับ
โดย: Xiaoling วันที่: 14 พฤษภาคม 2549 เวลา:0:17:00 น.
  
กรี๊ดดดด เกาะนามิ ชอบพี่เบยองจุน
โดย: นู๋จ๋ายเจ้าขา วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:16:15:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เลขาตัวซน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เลขาตัวซน ทำงานเป็นเลขาฯ
บวกความซนอันมีมาแต่กำเนิด
เป็นลูกสาวคนเล็ก แม้จะมีน้องชายหนึ่งหน่อ
เลยค่อนข้างเอาแต่ใจ ออกจะใจร้อนตามป๊ะป๋า
แต่ก็เป็นคนตรงและจริงใจนะ
ที่สำคัญเป็นคนรักอิสระอย่างแรง


อาจทำอะไรเหมือนเอาแต่ใจ
...แต่ไม่เคยไร้เหตุผล
ในบางเรื่องอาจไม่มีความอดทน
...แต่ไม่เคยเป็นคนอ่อนแอ
บางเวลาอาจท้อแท้
...แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด
อาจจะเฉยชาเกินไป
...แต่ไม่เคยทรยศต่อความตั้งใจของตัวเอง
โดย เฉกชนม์




All Blog