เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

Review : Microsoft Lumia 535 Dual Sim ประเดิมศักราชใหม่ของวินโดวส์โฟน



เป็นที่รู้กันว่า Microsoft Lumia 535 Dual Sim คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกภายใต้แบรนด์ไมโครซอฟท์อย่างเป็นทางการหลังจากซื้อหน่วยธุรกิจมือถือของอดีตยักษ์ใหญ่อย่างโนเกียเข้ามารวมกัน เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ที่จะก้าวต่อไปในอนาคตของไมโครซอฟท์

       การที่ไมโครซอฟท์เลือก Lumia 535 มาประเดิมตลาด เนื่องมาจากมองว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในระดับราคาที่ผู้บริโภคทุกคนสามารถซื้อหาได้ และถือว่าเป็นช่วงตลาดใหญ่สุดของสมาร์ทโฟน ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มแมสมากที่สุด

       จุดเด่นหลักของ Lumia 535 คือ ฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆของวินโดวส์โฟน ผสานเข้ากับเทคโนโลยีการถ่ายภาพของ Lumia บนขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียดกล้องหน้า และกล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล ในราคา 4,490 บาท

การออกแบบและสเปก



ในแง่ของการออกแบบ รูปลักษณ์และดีไซน์ของ Lumia 535 ไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Lumia 530 หรือ Lumia 630 มากนัก เพราะยังเน้นการใช้พลาสติกที่มีสีสัน ตัดกับตัวเครื่องสีดำ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเปลี่ยนฝาหลังได้ตามความต้องการเช่นเดิม

       เพียงแต่ในส่วนของวัสดุ เมื่อแรกจับอาจจะรู้สึกว่าบอบบางกว่ารุ่นก่อนๆ เพราะฝาหลังทำออกมาบางกว่าเดิม แต่ยังรักษาในแง่ของความเหนียวพลาสติกไว้ได้เช่นเดิม ขนาดรอบตัวของ Lumia 535 อยู่ที่ 140.2 x 72.4 x 8.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 146 กรัม



ด้านหน้า - มีหน้าจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด qHD (960 x 540 พิกเซล) แสดงผลแบบ 24 บิต 16 ล้านสี โดยเป็นจอแบบ IPS ความหนาแน่นเม็ดสีอยู่ที่ 220 ppi ใช้กระจก Gorila Glass 3 โดยมีช่องลำโพงสนทนาติดอยู่กับขอบบน ถัดลงมามีการสกรีนโลโก้ไมโครซอฟท์ และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล (ฟิกซ์โฟกัส) ที่มุมขวาบน



ด้านหลัง - ฝาหลังจะมีความมันวาว และเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย มีกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล (ออโต้โฟกัส) พร้อมไฟแฟลช และสกรีนโลโก้ไมโครซอฟท์อยู่ตรงกลาง ถัดลงมามีสติกเกอร์แสดงวิธีการแกะฝาหลัง (ทำได้โดยการจับเครื่องบริเวณส่วนบน และง้างส่วนล่างเครื่อง) สุดท้ายเป็นลำโพงภายนอก



       เมื่อแกะฝาหลังออกมาจะพบกับช่องใส่ไมโครซิมการ์ด 1 และ 2 พร้อมกับแบตเตอรี 1,950 mAh โดยมีช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 128 GB อยู่ข้างๆ




ด้านซ้าย - ถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวา - เป็นที่อยู่ของปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง เพื่อให้ง่ายต่อการกดใช้งานด้วยมือข้างเดียว




ด้านบน - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง - เป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี



       สำหรับสเปกภายในของ Lumia 535 มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 200 ที่เป็นควอดคอร์ 1.2 GHz RAM 1 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 8 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน 8.1 อัปเดตล่าสุดเป็น Lumia Denim

       ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G บนคลื่น 850/900/2100 MHz ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 42.2 Mbps อัปโหลดสูงสุด 5.76 Mbps WiFi มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 ระบบระบุพิกัดจีพีเอส วิทยุFM

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ



Lumia 535 ถือว่าเป็นวินโดวส์โฟน 8.1 รุ่นแรกที่มาพร้อมกับ Lumia Denim ตั้งแต่แกะกล่อง เพิ่มความสามารถในการสร้างโฟลเดอร์ไว้บนหน้าจอหลัก ระบบสั่งงานด้วยเสียง Cortana (เฉพาะภาษาอังกฤษ และจีน) กับการอัปเดตเพิ่มเติมของวินโดวส์นิดหน่อย

       ส่วนที่เหลือของ Lumia 535 จึงแทบไม่แตกต่างจากรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ โดยหน้าจอหลักยังคงเป็น Live Tiles ที่ผู้ใช้สามารถปรับขนาดแต่ละช่องได้ด้วยตนเอง รวมไปถึงสามารถนำภาพมาสร้างเป็นลูกเล่นให้แก่หน้าจอได้ด้วย



       ที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยคือแถบของการแจ้งเตือน เมื่อลากนิ้วจากขอบจอด้านบนลงมา จะพบกับ 4 ไอคอนลัดคือ การเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ กล้อง และปรับความสว่างหน้าจอ โดยในส่วนนี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกได้ว่าจะให้ปุ่มลัดแต่ละช่องนี้ใช้สั่งงานอะไร ไม่ว่าจะเป็น โหมดเครื่องบิน โหมดประหยัดพลังงาน การใช้งานดาต้า แชร์เน็ต จีพีเอส แชร์สกรีน และการหมุนหน้าจอ



       ขณะที่หน้าจอล็อกสกรีน ทำการปลดล็อกได้ด้วยการลากนิ้วขึ้น บนหน้าจอจะแสดงผลเวลา วัน เดือน วันที่ โดยผู้ใช้สามารถเลือกภาพพื้นหลังได้ เลือกให้แสดงผลของปฏิทินนัดหมาย โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆในหน้านี้ได้ทันที

       ในส่วนของการเลือกดูแอปที่ใช้งานล่าสุดจากการกดปุ่มย้อนหลังค้างไว้ ผู้ใช้สามารถเลือกปิดหน้าแอปที่ไม่ใช้งานได้ทันที และเลือกสลับหน้าต่างการใช้งานได้ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนปุ่มค้นหาเมื่อกดครั้งเดียวจะเข้าสู่หน้าการค้นหาผ่าน Bing แต่ถ้ากดค้างไว้จะเป็นการเรียกใช้งานการค้นหาด้วยเสียง หรือ Cortana กรณีที่พื้นที่ใช้งานเป็นอังกฤษ



       สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในเครื่อง จะประกอบไปด้วย กระเป๋าสตางค์ ข้อมูลข่าวสารการเงินและการลงทุน การตั้งค่า ข่าวกีฬา เกม ข้อความ ช้อมูลอัจฉริยะ ข่าว เครื่องคิดเลข ท่องเที่ยว พื้นที่เก็บข้อมูล โทรศัพท์ นาฬิกาปลุก ปฏิทิน รายชื่อ แผนที่ พยากรณ์อากาศ พ็อดแคสต์ เพลง ภาพถ่าย วิดีโอ วิทยุ FM สุขภาพและฟิตเนส อาหารและเครื่องดื่ม ระบบนำทาง เบราว์เซอร์ กล้อง มิกซ์เรดิโอ และ บริการต่างๆจากไมโครซอฟท์



       อย่างที่กล่าวไปว่า จุดเด่นของ Lumia 535 คือการเข้าถึงระบบนำทาง Here Drive+ และแผนที่ Here Maps ทั่วโลกได้ฟรี โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแผนที่ประเทศที่ต้องการใช้งานเก็บไว้ในเครื่อง และใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต



       ถัดมาคือฟีเจอร์การถ่ายภาพของ Lumia Camera ที่ประกอบไปด้วย กล้องถ่ายภาพปกติ ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการถ่ายภาพต่างๆได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสมดุลแสงขาว ระยะโฟกัส ค่าความไวแสง ความเร็วชัตเตอร์ และค่าชดเชยแสง ทำให้สามารถเล่นกับโหมดกล้องได้มากขึ้น ไม่นับรวมการถ่ายภาพต่อเนื่อง และเลือกภาพที่ดีที่สุด และการบันทึกภาพวิดีโอ



       ก็จะมี Lumia Refocus ที่ทำการถ่ายภาพก่อน แล้วค่อนเลือกจุดชัดลึก ชัดตื้นทีหลัง Lumia Selfie ที่ใช้ในการถ่ายภาพตนเองได้ทั้งกล้องหน้า (กดถ่ายเอง) และกล้องหลัง ที่สามารถใช้ระบบถ่ายภาพอัตโนมัติได้ อีกอันคือ Lumia Storyteller ที่นำภาพถ่ายจากสถานทีต่างๆ เข้ามาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวในคลิปสั้นๆพร้อมเสียงเพลง



       ส่วนที่เหลือก็จะเป็นบริการต่างๆจากไมโครซอฟท์ ที่มีความโดดเด่นในตัวของมันเองอยู่แล้วอย่างพวกโปรแกรมจัดการเอกสารของ Office บริการอื่นๆที่ให้มาเสริมอย่างการดูแลสุขภาพ ที่มีโปรแกรมการออกกำลังกายต่างๆให้เลือก อาหาร ที่สามารถเข้าไปดูสูตรอาหารต่างๆได้ทันที



       โดยที่โดดเด่นในส่วนนี้ก็คือระบบ Cortana เมื่อเปิดใช้งานแล้ว ผู้ใช้สามารถกดปุ่มค้นหาที่ขอบล่างหน้าจอ ก็จะเข้าสู่การใช้งาน Cortana ได้ทันที เมื่อเข้าไปใช้งานครั้งแรก Cortana จะมีการถามชื่อ และความสนใจต่างๆของผู้ใช้ในการนำข้อมูลต่างๆมาเสนอ

       จุดเด่นของ Cortana จริงๆคือความฉลาดในการรับฟังคำสั่งเสียง เช่นเดียวกับ Siri ใน iOS เพียงแต่ด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของไมโครซอฟท์ ทำให้การโต้ตอบต่างๆทำได้ค่อนข้างดี ยกตัวอย่างคำสั่งง่ายๆที่ใช้ได้บ่อยๆ ก็พวกการสั่งให้โทรออก ส่งข้อความ โพสต์ทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊ก ตั้งนาฬิกาปลุก ดูพยากรณ์อากาศ ใช้ค้นหาชื่อเพลง หรือนักร้องก็ได้ด้วย



       จากการที่รองรับ 2 ซิม ทำให้ในหน้าจอโทรศัพท์จะมีเลข 1-2 ให้เลื่อนที่มุมขวาบน เพื่อเลือกซิมที่จะโทรออก ในการกดเลขหมายจะไม่มีระบบเดารายชื่อ ทำได้จากการค้นหาในเมนูรายชื่อเท่านั้น หน้าจอรับสายจะให้ลากนิ้วขึ้นเพื่อกดรับ ขณะที่หน้าจอสนทนาจะมี ระยะการสนทนา ชื่อ เลขหมาย และปุ่มเปิดลำโพง ปิดเสียง บลูทูธ พักสาย โทรผ่านสไกป์ และเพิ่มสาย



       การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ใน Lumia 535 ถือว่าตอบสนองการทำงานได้ค่อนข้างเร็ว ประกอบกับหน้าจอที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้สามารถเปิดเว็บได้อย่างสบายๆ แต่ก็จะมีเรื่องการแสดงผลจากหน่วยประมวลผลที่ไม่เร็วมากนัก ทำให้ต้องใช้เวลาประมวลผลด้วย




       สุดท้ายในส่วนของการตั้งค่า เนื่องจากเป็นรูปแบบการตั้งค่าของวินโดวส์โฟน 8.1 จะมีให้เลือกตั้งค่าปลีกย่อยค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเลือกธีม เสียงเรียกเข้า บัญชีผู้ใช้ หน้าจอล็อกสกรีน การแจ้งเตือน การเชื่อมต่อรูปแบบต่างๆ ตั้งค่าหน้าจอ ระบบสำรองข้อมูล ภาษาที่ใช้ ระบบช่วยเหลือต่างๆ ที่ต้องเข้าไปสร้างความคุ้นเลยในการใช้งานสักเล็กน้อย

จุดขาย

       - สมาร์ทโฟนหน้าจอ 5 นิ้ว กล้องหน้า-หลัง 5 ล้านพิกเซล 2 ซิมในราคา 4,490 บาท
       - ระบบนำทาง Here Drive+ และฟีเจอร์ของ Lumia Camera

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

       - ระบบการสัมผัสมีอาการจอดิ้นบ้างในบางจังหวะ แต่ดีขึ้นหลังจากอัปเฟิร์มแวร์
       - การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 480p
       - การจับสัญญาณ GPS ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

ด้วยการที่เป็นสมาร์ทโฟนที่ทุกคนสามารถเอื้อมถึงได้จากราคา 4,490 บาท ทำให้โดยรวมแล้ว Lumia 535 ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรที่มาเป็นจุดแข็งจนทำให้เหนือกว่าคู่แข่ง เพียงแต่ถือว่าครอบคลุมการใช้งานสมาร์ทโฟนแทบทั้งหมด ทำให้ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างคุ้มค่า ถ้าไม่ได้ต้องการใช้งานหนักๆ อย่างการดาวน์โหลดแอปมาใช้จำนวนมาก

       เพราะด้วยระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน ที่มีความลื่นไหล ทำให้ซีพียูที่เป็นรุ่นต่ำสุดของ Qualcomm แทบไม่ใช่ปัญหา ทำให้การใช้งานโดยรวมค่อนข้างโอเค กับราคาที่จ่ายไป อย่างไรก็ตามด้วยจุดเด่นเพิ่มเติมอย่าง Here Drive และ Lumia Camera รวมไปถึงระบบสั่งงานด้วยเสียงอย่าง Cortana ก็เข้ามาช่วยเติมเต็มจุดอื่นๆของ Lumia 535 ได้เป็นอย่างดี

       แต่ก็น่าเสียดายที่ Lumia 535 ไม่มีระบบ Glance Screen ที่เป็นหน้าจอสแตนบายแสดงข้อมูลต่างๆมาให้ รวมไปถึงความละเอียดหน้าจอที่ไม่ถึงระดับ HD ส่วนแบตเตอรีที่ 1,900 mAh ทำได้ค่อนข้างดี พอใช้งานได้สบายๆใน 1 วัน

       สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ Cortana จำเป็นต้องเลือกภาษา เป็น US หรือ UK เพราะยังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย

Company Related Links :
Lumia




 

Create Date : 12 มกราคม 2558   
Last Update : 12 มกราคม 2558 20:33:24 น.   
Counter : 1022 Pageviews.  

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค


Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
สมาร์ทโฟนจากแอลจี (LG) ที่ได้ชื่อว่า “Audi mobile key” หรือกุญแจเคลื่อนที่จากออดี้

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
ผู้สวมนาฬิกานี้จะสามารถสื่อสารกับรถออดี้ได้ผ่านเทคโนโลยีรับส่งข้อมูลระยะสั้น NFC (near field communication)

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
ลักษณะเมนูแสดงผลของสมาร์ทว็อตช์จากออดี้

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
ตราแอลจีด้านหลังสมาร์ทว็อตช์

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
ด้านข้างของตัวเรือน

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
ลักษณะเมื่อใส่

Audi เปิดตัว “smartwatch mobile key” ปลดล็อกรถด้วยนาฬิกาไฮเทค
รถ Audi A7 ที่ไร้คนขับ

ค่ายรถหรู “ออดี้ (Audi)” กรุยทางให้เจ้าของรถสามารถสวมกุญแจรถไว้ที่ข้อมือ ล่าสุด แจ้งเกิดสมาร์ทวอตช์ที่ใช้ปลดล็อก ล็อก และสตาร์ทรถได้ โดยการันตีว่าจะสามารถใช้เป็นกุญแจรถได้ตลอดเวลาแม้แบตเตอรี่ในนาฬิกาจะหมดลง

       ท่ามกลางสินค้าไอทีสวมใส่ได้มากมายที่ถูกนำมาโชว์ในงาน International CES 2015 หนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ได้รับความสนใจมากคือ สมาร์ทโฟนจากแอลจี (LG) ที่ได้ชื่อว่า “Audi mobile key” หรือกุญแจเคลื่อนที่จากออดี้ จุดเด่นคือ ผู้สวมนาฬิกานี้จะสามารถสื่อสารกับรถออดี้ได้ผ่านเทคโนโลยีรับส่งข้อมูลระยะสั้น NFC (near field communication) ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ทำให้นาฬิกาไฮเทคนี้ยังทำงานเป็นกุญแจรถได้แม้แบตเตอรี่ในนาฬิกาจะหมดลง

รายงานระบุว่า นาฬิกากุญแจรถไฮเทคนี้สามารถเป็นตัวช่วยในกรณีที่ผู้ขับจำไม่ได้ว่าจอดรถไว้ที่ใด โดยสมาร์ทวอตช์จะสามารถแสดงแผนที่นำทางให้ผู้ขับขี่เดินทางไปยังรถได้อย่างแม่นยำ

       ที่น่าสนใจคือ ไม่เพียงนำทางไปสู่รถ กุญแจเคลื่อนที่นี้สามารถเปิดแอร์ หรือตั้งค่าเตรียมพร้อมไว้คอยท่าให้ผู้ขับขี่สามารถขึ้นรถ และขับออกไปได้แบบทันใจ จุดนี้ออดี้ระบุว่า รถของบริษัทมีการติดตั้งซอฟต์แวร์อัจฉริยะในการวิเคราะห์ผู้โดยสารจากสมาร์ทวอตช์ ก่อนจะมีระบบจัดการเบาะรถและระบบปรับอากาศเพื่อตอบความต้องการของผู้โดยสารได้แบบอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม ออดี้ไม่เปิดเผยข้อมูลการจำหน่ายระบบบนสมาร์ทวอตช์ดังกล่าว ทั้งกำหนดการวางจำหน่าย และราคาขายจริง

       นาฬิกาดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่ออดี้นำมาโชว์ในงาน CES ปีนี้ โดยเจ้าพ่อยานยนต์เยอรมนีนำเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมาสาธิตให้ผู้ชมงานได้สัมผัส เบื้องต้นคาดว่า รถออดี้พร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะสามารถวางจำหน่ายในช่วงก่อนปี 2020

งานนี้ออดี้เลือกโชว์เทคโนโลยีรถไร้คนขับในรถรุ่นใหม่ Audi Q7 ซึ่งมาพร้อมอินเทอร์เฟสสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ไอโอเอส (iOS) และแอนดรอยด์ (Android) ได้ ระบบนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเรียกระบบแอปเปิลคาร์เพลย์ (Apple Car Play) หรือแอนดรอยด์ออโต้ (Android Auto) มาใช้งานได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกัน ก็มีบริการเพลง แนะนำเส้นทาง และระบบรับส่งข้อความด้วย




 

Create Date : 11 มกราคม 2558   
Last Update : 11 มกราคม 2558 19:55:15 น.   
Counter : 1049 Pageviews.  

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ


ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ
บี เค ยูน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ซัมซุงจุดพลุ “Internet of Things” สร้างโลกเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบ

ยิ่งใหญ่สมการรอคอย หลากหลายผู้นำในวงการร่วมนำเสนอวิสัยทัศน์โลกไอทีในวันข้างหน้า ในงาน CES 2015 ซัมซุง หนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า และไอทีร่วมวงกำหนดทิศทางแห่งโลกอนาคต “บีเค ยูน” นายใหญ่ เผยทิศทางซัมซุง จะเปิดกว้าง และพร้อมร่วมมือกับอุตสาหกรรมอื่นให้มากยิ่งขึ้น ชิงความเป็นผู้นำตามแนวคิด “Internet of Things” สร้างความเป็นจริงให้เกิดขึ้นจากตัวดีไวซ์ สร้างโลกให้เกิดการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์แบบภายใต้อุปกรณ์ซัมซุง ทำให้อนาคตทุกอย่างรอบตัวเราจะกลาายเป็นInternet of Things

       บี เค ยูน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ นำเสนอแนวคิดของซัมซุงในงาน 2015 International Consumer Electronics Show (CES 2015 ) ว่า ปัจจุบันโลกมีการเปิดกว้างทั้งทางด้านความคิด และการเชื่อมต่อทางเทคโนโลยีมากขึ้น อันจะก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมอันจะนำไปสู่แนวคิดการพัฒนา “Internet of Things” (IoT) ให้เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น

       “Internet of Thingsเป็นแนวคิดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ต้องใช้ความร่วมมือกันหลายฝ่าย”

แนวคิด Internet of Things จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นโดยใช้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และต้องมีความเหมาะสมต่อวิถีชีวิตของผู้บริโภคอย่างแท้จริง พร้อมย้ำว่า แนวคิด Internet of Things ที่แท้จริงนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับผู้คนโดยผู้บริโภคแต่ละคนถือเป็นจุดศูนย์กลางของเทคโนโลยีต่างๆ ที่พวกเขาเลือกใช้งาน และเทคโนโลยีต่างๆ ที่สรรค์สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด Internet of Things ต้องสามารถปรับเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตของผู้บริโภคแต่ละคนได้

       เพื่อให้สอดคล้องต่อพันธกิจของซัมซุงที่มุ่งสรรค์สร้างโลกยุคใหม่ภายใต้แนวคิด Internet of Things บี เค ยูน ได้ประกาศกำหนดเป้าหมายของซัมซุงว่า ภายในปี 2017 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซัมซุงจะต้องรองรับแนวคิด Internet of Things เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่มากขึ้นในการเลือกใช้งานผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นตามแนวคิดนี้

       “ซัมซุงจะลงทุนกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ภายนอกองค์กรภายในปี 2015 เพื่อการพัฒนาแนวคิด Internet of Things”

       Internet of Things จะเป็นจริงขึ้นได้ที่สำคัญต้องมีอุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ผลิตขึ้นตามแนวคิด Internet of Things นั้นจะต้องทำงาน และเชื่อมต่อกับเครือข่ายหรืออุปกรณ์อื่นอยู่ตลอดเวลา เซ็นเซอร์ที่มีความทันสมัย และมีความแม่นยำสูงจึงเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันนั้น เซ็นเซอร์เหล่านี้ต้องเอื้อต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือชิ้นส่วนต่างๆ ให้มีขนาดที่เล็ก และใช้พลังงานในการทำงานน้อยลงอีกด้วย

โดยซัมซุงนำเสนอเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ล่าสุดของซัมซุงซึ่งมีความแม่นยำสูงมากจนสามารถตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบผู้ใช้งาน และนำเสนอบริการหรือโซลูชันที่เหมาะสมได้ โดยปัจจุบันซัมซุงกำลังพัฒนาเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ที่สามารถตรวจจับข้อมูลได้แบบ 3 มิติ เพื่อให้ตรวจจับการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยได้

       นอกเหนือไปจากเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ ซัมซุงกำลังพัฒนาหน่วยประมวลผลด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี embedded package on package (ePOP) และเทคโนโลยี Bio-Processorซึ่ งจะช่วยให้หน่วยประมวลผลประหยัดพลังงานมากขึ้น และมีขนาดเล็กลงเพื่อใช้เป็นหน่วยประมวลผลในอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์มือถือ และอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้

       การเพิ่มจำนวน หรือขยายขีดความสามารถของอุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆต ามแนวคิด Internet of Things นั้นถือเป็นขั้นแรกของการก้าวไปสู่ยุค Internet of Things ในขณะนี้ ซัมซุงมีอุปกรณ์จำนวนมากที่สร้างขึ้นตามแนวคิดดังกล่าว ในปีที่ผ่านมา ซัมซุงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้กว่า 665 ล้านชิ้น



       ศศิธร กู้พัฒนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยปริมาณดาต้าที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน Internet of Things จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ให้คนอัปโหลด ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น ใช้ชีวิตแบบสมาร์ทไลฟ์ได้ดีขึ้น

ความสำคัญของ Internet of Things อยู่ที่ตัวดีไวซ์ที่ต้องมีเซ็นเซอร์ คอมโพแนนซ์ และคอนเน็กทิวิตี เพื่อบริหารตัวดีไวซ์ต่างๆ ให้ทำงานได้ซึ่งไม่ใช่แค่ทำงานตามคำสั่ง แต่บางครั้งอาจจะทำก่อนสั่งเพราะรู้ว่าคนใช้งานต้องการอะไรก็ได้

       Internet of Things จะทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยการสื่อสารกันระหว่างตัวดีไวซ์ หรืออุปกรณ์ โดยซัมซุงมองว่าคนคือศูนย์กลางในการพัฒนาโปรดักต์ตามคอนเซ็ปต์นี้ โดยซัมซุงต้องการเป็นผู้นำในการพัฒนาโปรดักต์ตามแนวคิด Internet of Thingsนี้

       “ภายในปี 2017 สมาร์ททีวีของซัมซุงต้องเป็น Internet of Things และภายในปี 2020 ทุกดีไวซ์ของซัมซุงจะเป็น Internet of Things สมาร์ททีวีจะเป็นฮับที่บ้าน ขณะที่สมาร์ทโฟนก็จะไปกับเราได้ทุกที่”

       ซัมซุงมองความพร้อมในการเป็นผู้นำ Internet of Things ได้ จากการมีโปรดักต์จำนวนมากลงตลาด บวกกับความพร้อมของการทำตลาดไปทั่วโลกในปัจจุบัน ทำให้มีความเข้าใจตลาดมากกว่าแบรนด์อื่น ผนวกกับการมีทีมวิจัยและพัฒนาอยู่ทั่วโลกกว่า 32 แห่ง

       ส่วนการมองว่าจะทำอย่างไรให้ Internet of Things เกิดขึ้นได้ อย่างแรกต้องมีการพัฒนาโปรดักต์ที่เป็น Internet of Things ให้มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ เซ็นเซอร์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ Internet of Things ต้องสามารถอ่านข้อมูลของผู้บริโภคได้ว่า มีความชอบอย่างไร เช่น สมาร์ทโฮม ก่อนที่จะเข้าถึงตัวบ้าน จะมี wearable หรืออุปกรณ์ที่สวมใส่จะเป็นตัวบอกว่าเราเดินมานานเท่าไร ร่างกายมีความร้อนเท่าไร เมื่อเดินถึงบ้านแอร์ก็จะเปิดที่อุณหภูมิเท่าไรที่เหมาะสม แสงไฟในบ้านเปิดที่ความสว่างเท่าไร เป็นความเข้าใจความต้องการของตัวเราก่อนที่เราจะสั่งเสียอีกโดยทุกอย่างทำงานภายใต้เซ็นเซอร์

โดยในปีนี้ซัมซุงจะพัฒนาเซ็นเซอร์ 3 มิติ เพื่อให้เกิดความละเอียดในการตรวจจับสัญญาณให้มากยิ่งขึ้น สามารถแยกกลิ่นที่มีความแตกต่างกันได้ถึง 20 กลิ่น มีขนาดเล็ก แต่มีความแม่นยำมาก กินไฟน้อย สามารถใส่ในโทรศัพท์มือถือได้ พร้อมพัฒนาให้ซัมซุงสามารถคุยกับแบรนด์อื่นได้ พร้อมขยายตัวไปในวงกว้างมากกว่าการคุยกันแต่คอนซูเมอร์เท่านั้น เพื่อให้ Internet of Things กลายเป็นกระแสวงกว้างในอนาคต รถยนต์ ลิฟต์ บ้าน ทุกอย่างรอบตัวเราจะกลายเป็น Internet of Things หมด อย่างในวงการรถยนต์ก็อยู่ในระหว่างการหารือกับบีเอ็มดับเบิลยู

       ส่วนในประเทศไทยมองว่า ด้วยนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ไวไฟ ได้มากขึ้น จะเป็นแรงผลักดันให้เกิด Internet of Things ได้เร็วยิ่งขึ้น

       “ในประเทศไทยซัมซุงพร้อมเปิดตัวโปรดักต์เพื่อให้สอดคล้องต่อตลาดอยู่แล้ว รวมทั้งทำการตลาดเพื่อสร้างความเข้าใจให้ผู้บริโภคได้รับรู้มากยิ่งขึ้น”

*** ซัมซุงยกทัพไฮเทคตะลุย CES 2015

       ซัมซุง เปิดโลกอนาคต สร้างสรรค์นวัตกรรมปี 2015 ภายใต้แนวคิด “Creating Possibilities, Shaping the Future” ที่จะสอดประสานเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้ากับเนื้อหา และบริการต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตภายในบ้านแบบอัจฉริยะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ และบริการล่าสุดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซัมซุง เอสยูเอสดี ทีวี ขนาด 88 นิ้วที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการไทเซน (Tizen) ลำโพงกระจายเสียง 360 องศา เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับห้องครัว เดอะ เชฟ คอลเลคชัน มอนิเตอร์จอโค้ง และบริการวิดีโอออนไลน์เสมือนจริงซัมซุง มิลค์ วีอาร์ (Milk VR virtual reality video service) ในงาน CES 2015 ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6-9 มกราคม 2015

       ซัมซุง เอสยูเอสดี ทีวี ขนาด 88 นิ้วรุ่น JS9500 มาพร้อมหน้าจอแบบนาโนคริสตัลที่ประหยัดพลังงาน สามารถปรับปรุงสีสันเพื่อการแสดงผลได้ดีกว่าทีวีทั่วไป 2 เท่า และแสดงสีสันได้ละเอียดมากกว่าทีวีทั่วไปถึง 64 เท่า รองรับการรับชมความบันเทิงผ่านทีวีระดับพรีเมียมอย่างแท้จริง โดยขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไทเซน (Tizen) ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์เพื่อรับชมความบันเทิงได้อย่างหลากหลาย และรวดเร็วกว่าที่เคย ด้วยคุณสมบัติสมาร์ทฮับ (Smart Hub) ที่ออกแบบขึ้นใหม่ โดยจะแสดงการค้นหา และแนะนำคอนเทนต์สำหรับผู้ใช้อยู่ภายในหน้าจอเดียว

รวมทั้งการควบคุมแบบ 4 ทิศทางที่จะตอบสนองคำสั่งจากผู้ใช้อย่างลื่นไหล และที่สำคัญ ซัมซุง สมาร์ททีวี ยังสามารถแบ่งปันคอนเทนต์กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ผ่าน Wi-Fi Direct หรือเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือซัมซุงที่อยู่ใกล้ๆ ได้โดยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy (BLE) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เข้าถึงประสบการณ์ความบันเทิงผ่านหลากหลายหน้าจอ (Multi-screen Experience) และยังอัดแน่นไปด้วยบริการคอนเทนต์จากพันธมิตรต่างๆ อีกเพียบ

       นอกจากนี้ ซัมซุงยังเปิดตัวลำโพงรุ่น WAM7500/6500 ที่จะมอบสุนทรียภาพแห่งการฟังเสียงแบบ 360 องศา ด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดด้านเสียงคือ เทคโนโลยี Ring Radiator อันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของซัมซุง ที่สามารถสร้างเสียงที่หนักแน่นด้วยเสียงเบส และก้องกังวานด้วยเสียงแหลม แต่ถูกผสมเสียงให้สมดุลอย่างสมบูรณ์ที่สุด และยังสามารถกระจายเสียงออกไปในทุกทิศทางทั่วทุกมุมห้อง

       ซัมซุง ยังเปิดตัวจอมอนิเตอร์จอโค้งแบบ Ultra-wide ซีรีส์ SE790C ในสัดส่วนภาพ 21:9 ที่จะมีทั้งขนาด 29 นิ้ว และ 34 นิ้ว และจอมอนิเตอร์ ซีรีส์ SE590C หน้าจอขนาด 32 นิ้ว ที่จะมอบประสบการณ์ในการรับชมที่แสนสบายด้วยลักษณะหน้าจอที่มีความโค้งโอบรับกับดวงตาของมนุษย์

       ซัมซุง ยังต่อยอดชุดเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับห้องครัว The Chef Collection ที่ซัมซุงพัฒนาร่วมกับเชฟระดับดาวมิชลิน ในปี 2015 นี้ โดยการนำเสนอสูตร และเทคนิคการประกอบอาหารจากเชฟชื่อดังสู่ผู้บริโภคผ่านแอปพลิเคชัน The Chef Collection บนแท็บเล็ตรุ่น Chef Collection ซึ่งสามารถช่วยแสดงขั้นตอนการประกอบอาหารได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอนอีก

ซัมซุง ยังนำเสนอบริการวิดีโอออนไลน์เสมือนจริงรูปแบบใหม่ผ่าน ซัมซุง มิลค์ (Milk VR virtual reality video service) โดยผู้ใช้สามารถรับชมวิดีโอได้แบบ 360 องศา ผ่านแว่นตาเสมือนจริงซัมซุง เกียร์ วีอาร์ (Samsung Gear VR) ซึ่งสามารถรับชมคลิปวิดีโอสตรีมมิ่งใหม่ๆ ได้ทุกวัน อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับช่องรายการเพลง กีฬา เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น กิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ หรือคอนเทนต์ต่างๆ จากพันธมิตรของซัมซุงได้จากช่องรายการเสมือนจริงมากมาย โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกรับชมแบบ Instant Play (รับชมแบบสตรีมมิ่ง) หรือแบบ Best Quality (ดาวน์โหลดเนื้อหาก่อนชม) และสามารถเลือกความละเอียดสูงสุดสำหรับการรับชมได้ที่ความละเอียด 4K x 2K

Company Related Link :
Samsung




 

Create Date : 09 มกราคม 2558   
Last Update : 9 มกราคม 2558 22:39:26 น.   
Counter : 785 Pageviews.  

Google เสียส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชให้ Yahoo ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2008

Google เสียส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชให้ Yahoo ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2008
ถือเป็นสัญญาณดีมากสำหรับยาฮู (Yahoo) เมื่อการสำรวจตลาดสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดพบว่าจำนวนผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลกับยาฮูนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผิดกับคู่แข่งเจ้าตลาดอย่างกูเกิล (Google) ที่มีส่วนแบ่งตลาดลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี

       การสำรวจของ StatCounter พบว่าในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา การค้นหาข้อมูลบนกูเกิลคิดเป็นสัดส่วน 75% ของการค้นหาทั้งหมดในสหรัฐฯ ถือเป็นตัวเลขที่ลดลงจาก 77% ที่เคยมีอยู่ โดยสถิตินี้ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

       ในมุมของยาฮู การสำรวจกลับพบว่าส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชในสหรัฐฯของยาฮูนั้นเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยในช่วงปลายปี 2014 ทราฟฟิกหรือการเรียกใช้งานเสิร์ชของยาฮูนั้นเพิ่มขึ้นจาก 8.6% เป็น 10.4% ขณะที่บิง (Bing) คงที่ 12%

ภาวะขาขึ้นของยาฮูสะท้อนว่าอดีตเจ้าพ่อออนไลน์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยาฮูมีส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเพียง 5% เท่านั้น

Google เสียส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชให้ Yahoo ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2008
       การสำรวจของบริษัทวิจัยสแตดเคาท์เตอร์ (StatCounter) วิเคราะห์ว่า สัญญาณที่ดีของยาฮูนั้นเกิดขึ้นเพราะสัญญาที่ทำให้ยาฮูกลายเป็นเสิร์ชเอนจิ้นเริ่มต้นหรือ default search engine บนเบราว์เซอร์ไฟร์ฟ็อกซ์ (Firefox) ซึ่งทำให้เกมในธุรกิจบริการเสิร์ชอเมริกันมีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น ปัจจัยหลักที่อาจส่งผลถึงตลาดเสิร์ชเอนจิ้นอเมริกันในอนาคตคือการตัดสินใจของผู้ใช้ Firefox ว่าจะเปลี่ยนกลับมาเป็นกูเกิลหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา กูเกิลเป็นเสิร์ชเอนจิ้นเริ่มต้นบนเบราว์เซอร์อันดับ 1 ของโลกที่กูเกิลพัฒนาขึ้นเองอย่างโครม (Chrome) รวมถึงอุปกรณ์ยอดฮิตของแอปเปิล (Apple) ในขณะนี้

       อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงระหว่างแอปเปิลและกูเกิลเรื่องการกำหนดให้กูเกิลเป็นเสิร์ชเอนจิ้นเริ่มต้นนั้นครอบคลุมถึงปี 2015 ซึ่งไม่แน่ เราอาจได้เห็นยาฮูหรือบิง (Bing) มาแทนที่กูเกิลบนไอโฟนหรือคอมพิวเตอร์แมคอินทอชในอนาคตก็ได้




 

Create Date : 08 มกราคม 2558   
Last Update : 8 มกราคม 2558 20:57:58 น.   
Counter : 956 Pageviews.  

Review: Sony Xperia Z3 + SmartBand Talk SWR30 เติมเต็มอารยธรรมโซนี่ให้สมบูรณ์ขึ้น



       ต้อนรับปีใหม่แบบร้อนแรงด้วยบทความรีวิวคู่หูสมาร์ทโฟนและสายรัดข้อมือสมาร์ทแบนด์ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้กับ Sony Xperia Z3 และ Sony SmartBand Talk SWR30 โดยทั้งสองยังคงเดินตามแนวทางของโซนี่ยุคใหม่อย่างมั่นคง แม้หลายคนจะตั้งข้อสังเกตทั้ง Xperia Z3 และ SmartBand Talk SWR30 ว่าเหมือนเป็นการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าที่ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ก็ตาม

การออกแบบ Sony Xperia Z3



       เริ่มจากพี่ใหญ่สมาร์ทโฟน Sony Xperia Z3 ที่โซนี่ยังคงยึดแนวทางการออกแบบเหมือนรุ่นก่อนหน้าคือ “Omni balance design” บอดี้เครื่องเป็น Bar type สัดส่วนความหนาตัวเครื่องเท่ากันทุกส่วน

       ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 146x72 มิลลิเมตร หนา 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนักถูกปรับใหม่ให้เบาเพียง 153 กรัมจากเดิมอยู่ที่ 163 กรัม

       หน้าจอแสดงผลเป็นมัลติทัช ขนาด 5.2 นิ้วความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซล (FullHD) TRILUMINOS พร้อมชิปประมวลผลภาพ X-Reality

       ในส่วนกล้องหน้าความละเอียด 2.2 ล้านพิกเซลรองรับการถ่ายวิดีโอ FullHD 1080p พร้อมลำโพงแบบสเตอริโอที่โซนี่ติดตั้งใหม่อยู่บริเวณด้านหน้าจอภาพซึ่งให้เสียงที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้ามาก



       ด้านหลังไม่มีความแตกต่างจาก Xperia Z2 แต่อย่างใด ส่วนของกล้องถ่ายภาพด้านหลังยังคงรองรับความละเอียดภาพสูงสุด 20.7 ล้านพิกเซลพร้อมไฟแฟลชแบบ LED ตรงกลางเป็นส่วนสัมผัส NFC โลโก้ SONY และ Xperia

       สำหรับสีตัวเครื่องมีให้เลือก 4 สีคือ ขาว ดำ ทองแดงและสีเงินออกเขียว (Silver Green)



       มาดูสันเครื่องด้านซ้ายจะเป็นช่อง MicroUSB 2.0 (มีฝาปิดป้องกันน้ำเข้า), ส่วนสัมผัสกับ Docking และช่องร้อยสายคล้องข้อมือ




       ส่วนสันเครื่องด้านขวาจากซ้ายมือของภาพจะเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้อง, ปุ่มเพิ่มลดเสียง, ปุ่มเปิดปิดเครื่องและช่องใส่นาโนซิม (NanoSIM) และการ์ด MicroSD เพิ่มความจุรองรับพื้นที่สูงสุด 128GB (ทุกช่องมีฝาปิดป้องกันน้ำเข้า)



       สุดท้ายสันเครื่องด้านบนจะเป็นที่อยู่ของช่องเชื่อมต่อหูฟัง/Smalltalk ขนาด 3.5 มิลลิเมตร และรองรับหูฟังที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบดิจิตอลด้วย

การออกแบบ Sony SmartBand Talk SWR30



       ต่อด้วยคู่หู SmartBand Talk SWR30 ที่โซนี่พัฒนาต่อยอดจาก SmartBand SWR10 โดยการปรับเปลี่ยนที่เห็นชัดสุดก็คือ มาพร้อมหน้าจอ E Ink ขาวดำขนาด 1.4 นิ้ว ไม่มี Backlight ความละเอียด 296x128 พิกเซล 192dpi มีให้เลือก 2 สีคือ ขาวและดำ



       ในส่วนสายรัดข้อมือจะเป็นยางมีให้เลือก 2 ขนาดคือ S ความยาว 52 มิลลิเมตรและ L ความยาว 68 มิลลิเมตร อีกทั้งส่วนของสายรัดข้อมือสามารถถอดเปลี่ยนได้



       มาดูที่ปุ่มกดสั่งงาน SWR30 สีเงินจะติดตั้งอยู่ด้านข้างนาฬิกา โดยปุ่มกดแถบสั้นจะทำหน้าที่รับคำสั่ง ส่วนแถบยาวจะใช้เลื่อนเมนู ส่วนรูสีดำที่อยู่ระหว่างปุ่มคำสั่งทั้งสองด้านหนึ่งจะเป็นลำโพงสำหรับฟังเสียงสนทนาโทรศัพท์ส่วนอีกด้านจะเป็นไมโครโฟน



       สำหรับการชาร์จพลังงานจะทำผ่านช่อง MicroUSB ที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างเครื่องฝั่งตรงข้ามกับปุ่มคำสั่ง โดยผู้ใช้สามารถชาร์จไฟจากแหล่งพลังงานทั้ง USB จากคอมพิวเตอร์หรืออะแดปเตอร์ชาร์จไฟจากสมาร์ทโฟนก็ได้

สเปก



เริ่มจาก Sony Xperia Z3 โซนี่ปรับไปใช้ซีพียู Qualcomm Snapdragon 801 Quad Core ความเร็ว 2.5GHz กราฟิกใช้ Adreno 330 แรมให้มา 3GB รอม 16GB เหลือใช้งานจริง 11.57GB รองรับ 3G/4G ที่มีในบ้านเราทุกคลื่นความถี่

       ในส่วนระบบปฏิบัติการเลือกใช้แอนดรอยด์ 4.4.4 KitKat จากโรงงานครอบด้วยอินเตอร์เฟสจากโซนี่อีกครั้ง

ด้านสเปกส่วนอื่นตัวเครื่องรองรับการเล่น Hi-Res Audio ควบคู่กับอุปกรณ์ DAC จากโซนี่ผ่านพอร์ต USB ได้ รองรับการเล่นไฟล์เสียงความละเอียดสูงด้วย Clear Audio+ และ Sony VPT ระบบเสียง 3 มิติ รวมถึงรองรับระบบเพิ่มคุณภาพเสียง (“up-scaling” technology) DSEE HX

       ในส่วนกล้องถ่ายภาพด้านหลังโซนี่ปรับให้รองรับค่าความไวแสงสูงสุด ISO 12,800 และปรับปรุงคุณภาพการถ่ายวิดีโอ 4K ให้ดีขึ้น

       สำหรับสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย ตัวเครื่องรองรับ aGPS/GLONASS, ANT+, บลูทูธ 4.0, DLNA, NFC, WiFi Hotspot/WiFi ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ PlayStation 4 Remote Play ด้วย



มาถึงสายรัดข้อมือ SmartBand Talk SWR30 สเปกจอ E Ink มีความสามารถพิเศษคือสามารถเปิดหน้าจอแสดงผลตลอดเวลาได้โดยไม่บริโภคแบตเตอรีเหมือนจอสมาร์ทวอตซ์ทั่วไป โดยภายในยังมาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเซนเซอร์วัดความสูง อีกทั้ง SWR30 ยังรองรับระบบสั่งงานด้วยเสียง รวมถึงมีไมโครโฟนและลำโพงสำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนพร้อมแบตเตอรีภายในขนาด 70 mAh สามารถใช้งานได้นาน 3 วัน



       ในส่วนฟีเจอร์ความสามารถของสายรัดข้อมือ SmartBand Talk SWR30 หลักๆ จะสามารถใช้เป็นนาฬิกาข้อมือบอกเวลา ตรวจนับก้าวเดินและตรวจจับวิเคราะห์การนอนหลับในแต่ละคืนได้

       นอกจากนั้นทางโซนี่ยังเพิ่มความสามารถให้ SWR30 สามารถซิงค์กับสมาร์ทโฟนที่รองรับเพื่อรับสายและสนทนาโทรศัพท์ได้ที่ข้อมือ รวมถึงสามารถดูการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนได้ (รองรับภาษาไทยสมบูรณ์แบบ)



       ด้านการควบคุม SmartBand Talk SWR30 ต้องทำผ่านแอปฯ SmartBand Talk SWR30 และ Lifelog รองรับเฉพาะ Android 4.4 ขึ้นไป



       มาถึงไม้ตายเด่นด้านสเปกของทั้งสองคือ “ความสามารถในการป้องกันน้ำและฝุ่น” ที่ในครั้งนี้โซนี่อัปเกรด Sony Xperia Z3 และ SmartBand Talk SWR30 ให้สามารถป้องกันน้ำและฝุ่นได้ดียิ่งขึ้นด้วยมาตรฐาน IP65/68 พร้อมรองรับการใช้งานใต้น้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที

ฟีเจอร์เด่น Sony Xperia Z3 และ SmartBand Talk SWR30



เริ่มจาก Sony Xperia Z3 โซนี่เลือกใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์คิทแคทครอบด้วย UI ของโซนี่ที่ยังคงหน้าตาเหมือนเดิมแต่ปรับเรื่องความเสถียรใหม่ให้ลื่นไหลขึ้น โดยแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมากับตัวเครื่องยังคงเน้นเรื่องบริการของโซนี่เป็นหลักไม่ว่าจะเป็น Walkman, Lifelog, Sociallife พร้อมความพิเศษในส่วนของแอปฯ PlayStation ที่สามารถ Remote ผ่าน WiFi จากเครื่องคอนโซล PlayStation 4 มาเล่นบน Z3 ได้



       ในส่วนฟีเจอร์ที่โซนี่เพิ่มเข้ามาใหม่และสามารถใช้งานได้โดดเด่นได้แก่ Ultra STAMINA ที่พัฒนาจากโหมด STAMINA เดิมโดยโหมดแบบ Ultra จะช่วยยืดอายุแบตเตอรีให้ใช้งานในหนึ่งวันได้ยาวนานเป็นวันหลังจากสถานะแบตเตอรีฟ้องใกล้จะหมด ระบบ Ultra STAMINA จะเริ่มทำงานด้วยหน้า UI แบบพิเศษรวมถึงปิดการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและปิดการทำงานของ Background Apps ทั้งหมดเหลือให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้เฉพาะโทรศัพท์ ถ่ายภาพและฟังวิทยุหรือตรวจเช็คข้อความเท่านั้น




Screenshots Video Record จากเดิมผู้ใช้ทำได้แค่จับภาพหน้าจอแบบภาพนิ่งเท่านั้น แต่ใน Xperia Z3 ผู้ใช้จะสามารถบันทึกวิดีโอสกรีนซ็อตพร้อมลูกเล่นพิเศษคือเปิดกล้องหน้าบันทึกในรูปแบบวิดีโอพร้อมกันได้ด้วย




กล้องถ่ายภาพ มาถึงเรื่องกล้องถ่ายในครั้งนี้โซนี่ปรับซอฟต์แวร์กล้องถ่ายภาพใหม่ โดยเฉพาะโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติที่ปรับเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น


ตัวอย่างภาพที่ได้จากโหมด AR Fun


AR Fun ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์แบบ 3 มิติบนภาพถ่ายแบบ Realtime ได้ด้วยตัวเอง
กล้องมัลติ ผู้ใช้สามารถนำกล้องถ่ายภาพโซนี่ที่รองรับ NFC มาเปิดใช้งานร่วมกับกล้องหลังของ Z3 และถ่ายภาพสองมุมมองจากกล้องสองตัวได้
Face in เป็นการเปิดใช้กล้องหน้าและกล้องหลังถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเองร่วมกับภาพวิวทิวทัศน์
Live on YouTube เป็นโหมดถ่ายทอดสด (On-air) ผ่านบริการของ YouTube



       ส่วนใครที่ชอบการถ่ายภาพแบบปรับแต่งด้วยตัวเองเพื่อรีดประสิทธิภาพกล้องหลังได้สูงสุด โซนี่ก็ยังให้โหมด Manual มาเหมือนเดิม โดยสามารถตั้งความละเอียดภาพสูงสุด 20.7 ล้านพิกเซลได้



วิดีโอตัวอย่าง SteadyShot ใหม่


โหมดป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ใหม่ ทุกท่านคงทราบดีว่าระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot มีในอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพของโซนี่ทุกรุ่น แต่สำหรับตลาดสมาร์ทโฟน เดิมที SteadyShot จะเป็นแค่ซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่สำหรับ Xperia Z3 โซนี่เพิ่มความสามารถของ SteadyShot ให้สามารถทำงานแบบ Active ในชื่อ SteadyShot with Intelligent Active Mode ได้ ทำให้การถือสมาร์ทโฟนถ่ายวิดีโอทำได้นิ่งขึ้น




มาที่ฟีเจอร์และการใช้งาน SmartBand Talk SWR30 อย่างแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า SWR30 ใช้งานได้เฉพาะแอนดรอยด์ 4.4 ขึ้นไปเท่านั้น และตัวสายรัดข้อมือไม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนโซนี่อย่างเดียว สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์บางรุ่น เช่น Nexus 5 ก็สามารถทำงานร่วมกับ SWR30 ได้

       โดยแอปฯควบคุมการทำงานของ SWR30 จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงานได้ตั้งแต่เรื่องการแจ้งเตือน สีของหน้าจอและเป็นศูนย์กลางในการติดตั้งแอปพลิเคชันลงในสายรัดข้อมือ



       ส่วนแอปฯ Lifelog จะใช้เก็บสถิติที่สายรัดข้อมือตรวจจับได้ เช่น จำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน การนอนหลับที่สามารถดูได้ว่าช่วงเวลานี้เราหลับลึกหรือนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นกี่ชั่วโมงรวมถึงความสามารถในการตรวจจับการใช้สมาร์ทโฟน เช่น เล่นโซเชียล ชมภาพยนตร์ ถ่ายภาพกี่ชั่วโมงรวมถึงสามารถตรวจจับการเดินทางในแต่ละช่วงเวลาได้ค่อนข้างละเอียด

ทดสอบประสิทธิภาพ



       มาถึงการทดสอบประสิทธิภาพเริ่มจากตัวสมาร์ทโฟน Sony Xperia Z3 ผลคะแนนที่ได้ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานทั่วไปของไฮเอนด์สมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ส่วนการใช้งานจริงถือว่าสอบผ่าน โดยเฉพาะความลื่นไหลที่ทำได้ยอดเยี่ยมและโซนี่ปรับความเข้ากันได้ระหว่างระบบการทำงานของตนกับแอนดรอยด์ 4.4 ได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าจนกลายเป็น Xperia Z ที่ลงตัวสุดในปัจจุบัน



       นอกจากนั้นด้วยอานิสงส์ของแอนดรอยด์คิทแคทและการปรับแต่งระบบใหม่ ถึงแม้โซนี่จะให้แบตเตอรีความจุไม่ต่างจากเดิมคือ 3,100mAh แต่เมื่อใช้งานจริงแบบหนักหน่วงตั้งแต่เปิด 3G/WiFi ตลอดวัน เล่นเว็บบราวเซอร์ เกม 3 มิติและพยายามเปิดหน้าจอใช้งานทุกชั่วโมง แบตเตอรีสามารถอยู่ได้นานถึง 12 ชั่วโมงแบบสบายๆ ส่วนถ้าใช้งานปกติทั่วไป (เปิด 3G มีสแตนบายหน้าจอบ้าง เช็คเมล์ แชทไลน์บ้างตลอดทั้งวัน) แบตเตอรีสามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 14-18 ชั่วโมง เรียกได้ว่าใช้งานทั้งวันได้สบายหายห่วง



       สุดท้ายกับการทดสอบเล่นเกม 3 มิติ ส่วนนี้ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานสมาร์ทโฟนไฮเอนด์คือเล่นได้ทุกเกม ส่วนเรื่องความละเอียดหน้าจอที่โซนี่ยังไม่เลือกใช้แบบ 2K Quad HD เหมือนคู่แข่งก็ถือว่าไม่ได้เป็นข้อด้อยแต่อย่างใด เพราะปัจจุบันทั้งเกม 3 มิติและแอปพลิเคชันหลายตัวก็ยังรองรับความละเอียดหน้าจอ 2K ได้ไม่ดีนัก

DSC_0001 DSC_0003


DSC_0005 DSC_0006


DSC_0009 DSC_0010


DSC_0012 DSC_0013


DSC_0014 DSC_0017


DSC_0018 IMG_20141225_183600


       ทดสอบเรื่องกล้องถ่ายภาพกันบ้าง ทีมงานมองว่า Xperia Z3 ให้ผลลัพท์ภาพไม่ต่างจาก Xperia Z2 แต่อย่างใด เพราะจากการทดสอบด้วยโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติ Superior Auto ซึ่งเป็นโหมดเริ่มต้นและเป็นโหมดถ่ายภาพที่คนทั่วไปใช้มากที่สุดจะเห็นว่าภาพที่ได้ด้านความคมชัดเหมือนถูกซอฟต์แวร์ดึงขึ้นให้ภาพคมกว่าปกติเล็กน้อย เนื้อไฟล์เมื่อซูม 100% ค่อนข้างแตก สีและคอนทราสต์ค่อนข้างจัดไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร

       ส่วนเรื่องระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพจะพยายามดึงส่วนมืดขึ้นจนส่วนสว่างติดโอเวอร์ในบางสถานการณ์ ส่วนภาพกลางคืนแม้สัญญาณรบกวนจะต่ำแต่สีที่ได้จะออกตุ่นๆ

       แต่ทั้งนี้จุดเด่นของกล้อง Xperia Z3 ที่ให้ความละเอียดมากถึง 20.7 ล้านพิกเซลจะมีข้อดีในเรื่องการทำ Digital Zoom แบบ Clear Zoom ที่ให้คุณภาพดีกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปพอสมควร ส่วน Manual Mode ถ่ายที่ 20.7 ล้านพิกเซลก็ถือว่าทำได้ดี คุณภาพไฟล์นำไปใช้งานต่อยอดได้จริงๆ



       มาถึงการทดสอบสุดท้ายกับสายรัดข้อมือ SmartBand Talk SWR30 ต้องถือว่าการมาของ SWR30 ช่วยลดช่องว่างของ SWR รุ่นเก่าได้ดีมาก การที่โซนี่เลือกใช้หน้าจอเป็น E Ink นอกจากช่วยเรื่องประหยัดพลังงานแล้ว หน้าจอยังสามารถเปิดตลอดเวลาและแสดงผลได้เหมือนนาฬิกาข้อมือจริงๆ แถมแบตเตอรีก็ใช้ได้นาน 3 วันต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งด้วย

       นอกจากนั้นฟีเจอร์ภายในที่ให้มา เช่น กดรับสายสนทนาผ่านตัวสายรัดข้อมือได้หรือการแสดงแจ้งเตือนเป็นภาษาไทยได้ก็ถือว่าตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ยุคใหม่ที่ถวิลหาสมาร์ทวอตซ์ได้ดีมาก

       ในส่วนแอปฯ Lifelog ที่ปรับปรุงใหม่จากรุ่นเดิมซึ่งค่อนข้างบริโภคแบตเตอรีสมาร์ทโฟนมาก ในรุ่นใหม่นี้ แอปฯดังกล่าวทำงานได้คล่องตัวขึ้น การตรวจจับและแสดงผลทำได้แม่นยำขึ้น (แม้จะไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนของโซนี่ก็ตาม) จุดที่น่าสนใจของ Lifelog ตัวใหม่คือการบอกพิกัดเดินทางของเราตลอดทั้งวันด้วยการใช้ Location History จากแอนดรอยด์คิทแคทในการระบุพิกัดจึงช่วยลดการใช้งาน GPS และแบตเตอรีสมาร์ทโฟนลงอย่างมาก

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?

ข้อดี Sony Xperia Z3
       - ลำโพงสเตอริโอแบบใหม่ได้เสียงที่ใสและมีมิติขึ้น
       - งานประกอบดี พรีเมี่ยมขึ้นโดยเฉพาะขอบเครื่องแบบอลูมิเนียมค่อนข้างแข็งแรง ปุ่มกดต่างๆ แน่นหนา
       - หน้าจอถึงแม้ไม่ใช่ 2K แต่ให้ภาพที่สวย สดใส เอนจิ้นจอภาพทำงานได้ดีโดยเฉพาะการรับชมวิดีโอ
       - ซอฟต์แวร์กล้องมีลูกเล่นมากขึ้น
       - กันน้ำ กันฝุ่นได้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกต Sony Xperia Z3
       - กล้องหลังคุณภาพไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้า
       - ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่รองรับเป็น NanoSIM

ข้อดี Sony SmartBand Talk SWR30
       - หน้าจอ E Ink ประหยัดพลังงานและไม่ต้องปิดหน้าจอ
       - สามารถดึงระบบแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนมาแสดงผลที่นาฬิกาได้พร้อมสั่นเตือน
       - รองรับการติดตั้งแอปฯเพิ่มเติมได้
       - สามารถเปลี่ยนสายรัดข้อมือได้
       - Lifelog รุ่นใหม่ทำงานได้ดีขึ้น

ข้อสังเกต Sony SmartBand Talk SWR30
       - หน้าจอไม่มีไฟส่องสว่าง เวลาใช้ในที่มืดทำได้ลำบาก
       - หน้าจอ E Ink บางครั้งเวลาเปลี่ยนหน้าเมนูจะเกิดภาพซ้อนกัน



สำหรับราคาเปิดตัว Sony Xperia Z3 อยู่ที่ 23,990 บาท Sony SmartBand Talk SWR30 ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 6,700 บาท ถือเป็นราคาเปิดตัวที่สูงและจับตลาดไฮเอนด์โดยเฉพาะ โดยถ้ามองถึงสเปกเทียบราคาแล้วต้องเรียนตามตรงว่า ถ้าปัจจุบันคุณมี Xperia Z2 อยู่แล้วและกำลังคาดหวังว่า Xperia Z3 จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทุกด้าน ต้องขอให้คิดใหม่ครับ เพราะ Z3 ก็เหมือนเป็นสมาร์ทโฟน Xperia Z รุ่นก่อนหน้าที่ถูกเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปจากรุ่นที่แล้วเพื่อให้ตลาด Xperia Z ไม่ล้มหายตายจากผู้ใช้ไปในยุคที่สมาร์ทโฟนแข่งขันกันดุเดือด ซึ่งในอนาคตโซนี่ก็มีแผนปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้กับตระกูล Xperia Z แน่นอน

       แต่ทั้งนี้ถ้าผู้อ่านเป็นคนที่ไม่เคยสัมผัส Sony Xperia มาก่อน การหา Xperia Z3 มาไว้ครอบครองก็ถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะคุณจะได้รับประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนตระกูล Xperia ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดจาก Z3 เครื่องนี้จนอาจติดใจและกลายเป็นสาวกโซนี่ได้อย่างง่ายดาย

       ส่วน Sony SmartBand Talk SWR30 ถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ตระกูล SmartBand ได้อย่างน่าสนใจและเป็นการเปิดตลาดสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่มีความชัดเจนในตัวเองสูงกว่าทุกรุ่นในตระกูล SmartBand โดยเฉพาะแอปฯติดตามชีวิต Lifelog ที่ปรับเปลี่ยนใหม่ได้น่าสนใจและรูปแบบหน้าจอแบบ E Ink ที่ทำให้สายรัดข้อมือกลายเป็นนาฬิกา (หน้าจอสามารถติดตลอดเวลา) ที่ดีเรือนหนึ่งได้ แถมประหยัดพลังงานด้วย

       ผู้อ่านท่านใดกำลังมองหาสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่สามารถเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวันได้หลากหลายและสร้างสรรค์ SmartBand Talk SWR30 ให้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างยอดเยี่ยมถ้าสู้ราคาระดับ 6 พันบาทปลายๆ ได้

Company Related Link :
Sony Mobile




 

Create Date : 08 มกราคม 2558   
Last Update : 8 มกราคม 2558 20:57:04 น.   
Counter : 2003 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]