เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

ยลปืนใหญ่ "พญาตาณี" และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ”

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
บรรยากาศ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหน้ากระทรวงกลาโหม


       โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


       เมื่อเอ่ยถึง “กระทรวงกลาโหม” หลายคนคงจะนึกภาพอาคารสีเหลืองทรงยุโรป ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานครและวัดพระแก้ว ซึ่งฉันก็มาเที่ยวละแวกนี้อยู่หลายครั้ง โดยสิ่งที่ฉันสนใจที่สุดนอกจากตัวอาคารที่โดดเด่นแล้ว ก็เห็นจะเป็นเหล่าปืนใหญ่โบราณน้อยใหญ่ที่ตั้งประดับเรียงรายอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคารกระทรวงกลาโหม ซึ่งฉันก็ได้แค่มองผ่านตา เพราะแม้ทางกระทรวงจะเปิดให้ชมเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแต่ก็กั้นบริเวณไว้ไม่สามารถเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเกรงๆ พี่ทหารที่ยืนเฝ้าขึงขังอยู่แถวนั้นอีกต่างหาก

       จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ 127 ปี ทางกระทรวงจึงได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหน้าอาคารทำการให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” ที่เปิดให้เข้าชมอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และที่สำคัญคือมีมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นวิทยากรจากทางกระทรวงนำชมพร้อมให้ข้อมูล ทำให้ฉันได้ชมไฮไลต์ปืนใหญ่แต่ละกระบอกแบบไม่ต้องงง พร้อมกันนั้นยังได้เปิด “ลานน้ำพุดนตรี” ให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวได้เข้าชมด้วยอีกต่างหาก

       ฉันจึงไม่รอช้ารีบหาวันว่างเพื่อที่จะมาเที่ยวชมเหล่าปืนใหญ่โบราณและลานน้ำพุดนตรี แต่ก่อนที่จะมานั้นก็ได้เตรียมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าและได้ทราบว่าทางกระทรวงกลาโหมได้จัดรอบเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณไว้ในวันจันทร์-ศุกร์ 2 รอบด้วยกัน รอบแรกเวลา 12.00 น. และรอบที่สองเวลา 19.00 น. ส่วนน้ำพุดนตรีก็จะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลาคือ 08.00 น., 12.00 น. และ 19.00 น. ซึ่งฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าชมปืนใหญ่ต่างๆ ทั้งสองรอบ เพราะแต่ละช่วงเวลานั้นความสวยงามก็จะแตกต่างกันออกไป

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม” งดงาม โดดเด่น น่าชม
       เมื่อฉันเดินทางมาถึง ก็ขอยืนชื่นชม “อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม” กันสักหน่อย อาคารหลังนี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี 2427 โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงทหารหน้าขึ้นในพื้นที่วังพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นจิตรภักดี กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ และกรมหมื่นอินทราพิพิธ ซึ่งเป็นวังเก่าสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่ต่อมาวังได้ร้างลงและถูกใช้เป็นฉางเก็บข้าวหลวง ให้ก่อสร้างเป็น "โรงทหารหน้า" เป็นที่รวมทหารประจำการรักษาพระนคร อาวุธ สัตว์พาหนะและเสบียงอาหาร และในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงกลาโหม"

       อาคารศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมถูกออกแบบอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปศิลปะแบบปัลลาเดียน ยุคนีโอคลาสสิก ทาสีเหลืองนวล ด้านหน้าเป็นหน้าจั่วทรงโรมัน ตกแต่งด้วยปูนปั้น ที่มุขชั้นสองมีระเบียงกว้าง และเสาแบบโรมัน ด้านหน้าของเสาระเบียงใหญ่ประดับด้วยสัญลักษณ์ของสามเหล่าทัพ คือ กงจักร สมอ และปีกอยู่บนพื้นรูปสี่เหลี่ยมสีทอง อีกทั้งได้รับเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ที่มีคุณค่าทางทางสถาปัตยกรรม ในปี 2540

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“พิรุณแสนห่า” หนึ่งในปืนใหญ่ 40 กระบอก ที่ตั้งไว้ให้ได้ชม
       หลังจากได้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ในรอบเที่ยงแล้ว ก็เริ่มต้นการชมปืนใหญ่โบราณ แห่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งกัน ซึ่งทางวิทยากรของทางกระทรวงได้เล่าให้ฟังว่า

       "เหล่าปืนใหญ่โบราณที่ตั้งประดับไว้นั้น มีจำนวนทั้งสิน 40 กระบอก ถูกนำมาตั้งไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดตั้งปืนใหญ่ไว้ที่บริเวณสนามหน้ากระทรวงกลาโหม ดังเช่นที่โรงเรียนนายร้อย แซนด์เฮิร์ทซ์ประเทศอังกฤษ ซึ่งปืนใหญ่แต่ละกระบอกนั้นถูกสร้างขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ บางกระบอกได้ผ่านสมรภูมิรบมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยเมื่อครั้งอดีตปืนใหญ่เหล่านี้ได้รับฉายาว่าเป็นราชาแห่งสนามรบ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงยิงได้จากระยะไกล ใช้บุกโจมตีศัตรูหรือป้องกันพระนคร”

       ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาเห็นปืนใหญ่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ซึ่งปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอกนั้นต่างก็มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานผ่านสมรภูมิรบต่างๆ มาอย่างมากมาย อีกทั้งแต่ละกระบอกยังงดงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่กระบอกก็ล้วนแล้วแต่ถูกตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะ อาทิ พิรุณแสนห่า มหาจักกรด พลิกพสุธาหงาย สายอสุนีแผ้วราตรี

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“ปืนใหญ่พญาตาณี” ปืนใหญ่โบราณที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
       ในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอก จะมีที่โดดเด่นห้ามพลาดชมก็คือ “ปืนใหญ่พญาตาณี” ที่ตั้งแสดงในตำแหน่งประธานของกลุ่มปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม หลายๆ คนคงคุ้นชื่อปืนใหญ่กระบอกนี้ดี ปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นปืนใหญ่โบราณที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาด 6 เมตร 82 เซนติเมตร โดยเป็นปืนใหญ่ที่เลื่องลือมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ผลงานชิ้นสำคัญที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองปัตตานีในยุคนั้น

       ตำนานความเป็นมาของปืนใหญ่พญาตาณี ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เจ้าเมืองปัตตานีได้สั่งให้ชาวจีนชื่อลิ่มโต๊ะเคี่ยม นายช่างหล่อปืน ให้หล่อปืนใหญ่ตามความประสงค์ ซึ่งการหล่อในครั้งนั้นได้ปืนใหญ่ 3 กระบอก คือ เสรีปัตตานีหรือพญาตาณี ศรีนคราหรือเสรีนคร และมหาเลลา ต่อมาในปี 2329 เป็นเวลาที่ไทยรบกับพม่าในสงครามเก้าทัพ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มหาสุรสิงหนาทวังหน้ายกทัพไปปราบปรามพม่าที่มาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ในขณะนั้น เมืองปัตตานีเอาใจออกห่าง เมื่อกองทัพหลวงมีชัยชนะกองทัพพม่าได้ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯ จึงนำทัพเข้าปราบปรามเมืองปัตตานีและมีชัยชนะ จึงได้สั่งให้นำปืนใหญ่ของเมืองปัตตานีทั้ง 3 กระบอก นำมาถวายรัชกาลที่ 1 แต่นำมาได้เพียงกระบอกเดียวคือปืนใหญ่พญาตานี ส่วนอีกสองกระบอกจมน้ำหายสาบสูญ

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
"ปืนใหญ่นารายน์สังหาญ" ปืนใหญ่กระบอกใหญ่ สร้างเพื่อคู่ปืนใหญ่พญาตาณี
       กระบอกถัดมาที่เป็นไฮไลต์คือ "ปืนใหญ่นารายน์สังหาร" ปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยขนาดความยาว 4.5 เมตร ลำกล้องกว้างถึง 29.3 เซนติเมตร เป็นปืนใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นปืนคู่กับปืนพญาตาณี ในปี 2330 มีลักษณะเด่นที่บริเวณท้ายลำกล้องซึ่งเป็นรูปสังข์ขนาดใหญ่ไม่มีลวดลายประดับ

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“ปืนใหญ่มารประไลย” งดงามที่สุดหาที่เปรียบ
       ในเรื่องความงดงามอันเป็นที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอกต้องยกให้กับ “ปืนใหญ่มารประไลย” ที่ถูกสร้างขึ้นในในปี พ.ศ. 2330 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปืนใหญ่กระบอกนี้มีลวดลายสลักไว้อย่างงดงามเป็นลายกนก ลายประจำยาม เพลาเป็นรูปดอกไม้ และท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์ลวดลายกระจัง ฉันมองแล้วงดงามกว่ากระบอกไหนๆ สมคำร่ำลือ

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
กระบอกแรกมุมซ้ายคือ “ปืนใหญ่อัคนิรุท” ปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุด
       ส่วนปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ทั้ง 40 กระบอก ก็คือ “ปืนใหญ่อัคนิรุท” ที่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยประเทศสเปน ซึ่งมีรูปธงชาติสเปนจารึกไว้ที่กระบอกปืนใหญ่ด้วย อีกทั้งยังมีจารึกปีที่สร้างไว้ที่กระบอกปืน ว่าถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1624 หรือปี พ.ศ.2167 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 21 แห่งกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันปืนใหญ่กระบอกนี้มีอายุรวมแล้ว 390 ปี

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“พญาคชสีห์” สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม
       เดินชมปืนใหญ่กันเพลินๆ แต่ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งนี้ นั่นก็คือ “รูปปั้นพญาคชสีห์” สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าออก โดยรูปปั้นพญาคชสีห์ด้านประตูทิศใต้จะมีชื่อว่า “พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์” หมายความว่าพิทักษ์แผ่นดินไทย ส่วนรูปปั้นพญาคชสีห์ประตูทิศเหนือมีชื่อว่า “พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์” หมายความว่าเป็นทหารพิทักษ์พระราชา ซึ่งความหมายรวมคือเราจะพิทักษ์ประเทศชาติและราชบัลลังก์

       ประวัติความเป็นมาของตราคชสีห์ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งเสนาบดีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยในตำนานนั้น พญาคชสีห์นั้นเป็นสัตว์หิมพานต์ ที่มีลำตัวเป็นราชสีห์มีหัวเป็นช้าง จึงเรียกเป็นครึ่งช้างครึ่งราชสีห์ และมักปรากฏในวรรณคดีเรื่องเล่า เช่น เรื่องรามเกียรติ์

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
หลักเมืองเดิมและหลักเมืองใหม่ ภายในอาคาร “ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร”
       เสร็จสิ้นไปแล้วกับการเที่ยวชมในรอบแรกของฉัน การที่ได้มาชมปืนใหญ่อย่างใกล้ชิด ความสนใจทั้งหมดของฉันเลยมุ่งเน้นอยู่ที่ปืนใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งก็ได้แต่มองลานน้ำพุดนตรีอย่างผ่านๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะฉันได้คิดไว้แล้วว่าจะมาชมลานน้ำพุดนตรีต่อในช่วงเย็น แต่ก่อนจะถึงรอบเข้าชมในช่วงเย็น ฉันก็คงจะไปเที่ยวที่อื่นๆ รอเวลา เพราะในระแวกใกล้เคียงนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น “ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร” ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน

       ศาลหลักเมืองแห่งนี้ เป็นศาลที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ภายในอาคารศาลหลักเมือง ได้ประดิษฐานหลักเมืองเดิมและหลักเมืองใหม่ โดยเสาต้นเดิมนั้น ใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นแก่นเสาหลักเมือง ประกับด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุด โดยเป็นแกนไม้สักประกับนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ที่เดินทางมาสักการะและผูกผ้าสามสีที่เพื่อขอความเป็นสิริมงคล

       นอกจากนั้นก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง สนามหลวง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นต้น (คลิกติดตามที่เที่ยวละแวกใกล้เคียงพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณได้ที่ลิงค์นี้)

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
บรรยากาศ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” และ“ลานน้ำพุดนตรี” ยามเย็น
       เมื่อถึงเวลาเข้าชมในช่วงเย็นฉันก็ไม่รอช้า รีบมาติดต่อโดยทันที การชมในเวลาเย็นนั้นทัศนียภาพจะแปลกตาไปจากช่วงกลางวัน โดยจะเห็นเหล่าแสงไฟที่ฉายต้องวัตถุให้โดดเด่น เหล่าปืนใหญ่ทั้งหลายต่างถูกฉายแสงให้ผู้ที่มาชมรอบเย็นได้ยลความยิ่งใหญ่ ฉันตั้งใจชมลานน้ำพุดนตรีด้วยความเพลิดเพลิน น้ำพุนั้นพวยพุ่งเป็นรูปร่างต่างๆ ตามจังหวะเสียงดนตรี บรรยากาศรอบตัวฉันในตอนที่ชมนั้นพูดได้ว่าโรแมนติกมากๆ

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
“น้ำพุดนตรี” งดงามด้วยแสงไฟ อีกหนึ่งทัศนียภาพงดงามยามเย็น
       สำหรับฉันแล้วการได้มาชมปืนใหญ่ทั้งในช่วงกลางวันและช่วงเย็นนั้น มีความพิเศษที่แตกต่างกัน ในช่วงกลางวันอาจจะร้อน แต่ก็สามารถชมปืนใหญ่และรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างถนัดตา ส่วนในช่วงเย็นนั้นก็จะได้เห็นแสงสีที่มาเป็นตัวช่วยให้การชมในยามค่ำคืน และไม่ว่าใครจะเลือกช่วงเวลาไหน การที่ได้มาชมปืนใหญ่เหล่านี้อย่างใกล้ชิด ก็นับได้ว่าคุ้มค่ามากแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ารอช้ารีบมาชมเหล่าราชาแห่งสนามรบทั้ง 40 กระบอกกันโดยเร็ว

ยลปืนใหญ่ พญาตาณี และเหล่าราชาแห่งสนามรบ พร้อมชมน้ำพุดนตรี ที่ “พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ” กระทรวงกลาโหม
น้ำพุหลากรูปทรง เคล้าเสียงเพลง กลายเป็นบรรยากาศโรแมนติก
       ********************************************************************************************************************

       "พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ" กระทรวงกลาโหม เปิดให้เข้าชมฟรีในวันจันทร์-ศุกร์ โดยแบ่งรอบการเข้าชมเป็น 2 รอบ รอบแรกเวลา 12.00 น. ลงทะเบียนเข้าชม 11.30 น. รอบที่2 เวลา 19.00 น. ลงทะเบียนเข้าชม 18.30 น. ส่วนน้ำพุดนตรีสามารถชมได้ทุกวันในเวลา 08.00 น., 12.00 น. และ 19.00 น.

       การเดินทาง : รถประจำทางสาย 1, 3, 6, 9, 15, 19, 25, 30, 33, 39, 43, 44, 47, 53, 59, 60, 64, 65, 70, 80, 82, 91, 123, 201, 203


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000098374




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2557   
Last Update : 29 สิงหาคม 2557 20:43:10 น.   
Counter : 3184 Pageviews.  

ปั่นชิลล์ๆ ที่"บ้านนาต้นจั่น" ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่น"ตุ๊กตาบาร์โหน" พักโฮมสเตย์

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       พูดถึงเมืองสุโขทัย เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงความเป็น “เมืองมรดกโลก” เพราะที่นี่มีทั้งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัยที่มีชื่อเสียงในระดับโลก แต่นอกจากนั้น ชื่อเสียงของแหล่งท่องเที่ยวอย่าง “บ้านนาต้นจั่น” ที่ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ก็มาแรงไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะได้รับรางวัล PATA GOLD AWARDS 2012 ประเภท Heritage and culture จากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มาการันตีความน่าเที่ยวแล้ว ยังได้รับรางวัลยอดเยี่ยม Tourism Award 2013 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย

       มาเที่ยวคราวนี้ไม่ได้เดินเที่ยวที่บ้านนาต้นจั่นตามปกติ แต่คราวนี้เราจะพาท่องเที่ยวไปบน “สองล้อ” หรือจักรยาน พาหนะที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เพราะได้ทั้งการออกกำลัง ได้ทั้งลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง แถมยังได้บรรยากาศในการท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดอีกด้วย

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       ที่พามาเที่ยวบ้านนาต้นจั่นอีกครั้งในวันนี้ เพราะ ททท. เขาได้สำรวจเส้นทางปั่นจักรยานขึ้นภายในแนวคิด Real Life Real Ride การท่องเที่ยวด้วยจักรยานเพื่อสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิต และพบว่า “บ้านนาต้นจั่น” ในจังหวัดสุโขทัย เป็นเส้นทางปั่นจักรยานที่เหมาะสมมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง เพราะมีระยะทางไม่ไกลนัก สามารถปั่นลัดเลาะไปตามหมู่บ้านที่เงียบสงบ บางช่วงมีบรรยากาศร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าและทุ่งนาเขียวขจีสองข้างทาง และที่สำคัญคือ ภายในหมู่บ้านนาต้นจั่นเต็มไปด้วยเสน่ห์ของผู้คนและมีวิถีชีวิตที่น่าสนใจให้เราได้เข้าไปสัมผัส น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่จะน่าสนใจอย่างไรนั้น ขอชวนปั่นไปชมพร้อมๆ กัน

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       เส้นทางปั่นในวันนี้เป็นเส้นทางสบายๆ ไม่เกิน 10 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาราวครึ่งวันเพราะเราจะแวะตามจุดท่องเที่ยวในหมู่บ้าน จุดเริ่มต้นของเราจะอยู่ที่ “ศูนย์การท่องเที่ยวบ้านนาต้นจั่น” ซึ่งเป็นทั้งศูนย์ข้อมูลและจุดเช่าจักรยานปั่นเที่ยวอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานไปปั่นได้ราคา 20 บาทต่อวัน

       วันนี้เรามีไกด์กิตติมศักดิ์คือ คุณป้าเสงี่ยม แสวงลาภ ประธานกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น เป็นคนพาเที่ยวชมปั่นจักรยานไปพร้อมๆ กับเรา และจะเป็นคนเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ ให้ฟัง โดยเริ่มจากที่ศูนย์การท่องเที่ยวฯ นี้เป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นจุดชมการทำ “ผ้าหมักโคลน” หนึ่งในภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ทำไมต้องเอาผ้าไปหมักโคลน?? ป้าเสงี่ยมตอบให้ทุกคนหายสงสัยว่า เทคนิคการหมักโคลนนี้ค้นพบด้วยความบังเอิญจากการดำเนินชีวิตในอดีต เพราะชาวบ้านนาต้นจั่นส่วนใหญ่นิยมทอผ้าฝ้ายไว้สวมใส่เองยามไปไร่ไปนา หลังจากทำงานในไร่ในนาจนเสื้อผ้าเลอะโคลนเป็นประจำ กลับพบว่าเสื้อผ้าตัวนั้นมีเนื้อนิ่มสวมใส่สบาย และด้วยภูมิปัญญาดังกล่าวนี้ จึงนำมาสู่กรรมวิธีการผลิตผ้าฝ้ายด้วยการนำมาหมักโคลนของกลุ่มอาชีพทอผ้าบ้านนาต้นจั่นเพื่อให้มีความนุ่ม ซึ่งเมื่อได้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าผ้านิ่มน่าสวมใส่จริงๆ

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       ไม่เพียงความนุ่มเท่านั้น แต่ประกอบกับลวดลายการทอยกดอกของผ้าซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และมีการใช้สีจากธรรมชาติมาใช้ย้อมผ้า เช่น แก่นขนุน เปลือกมังคุด ลูกมะเกลือ ฯลฯ ผ้าหมักโคลนบ้านนาต้นจั่นจึงเป็นที่นิยมของคนรักผ้า และสามารถซื้อหาผลิตภัณฑ์ผ้าหมักโคลนได้ที่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ได้เลย ซึ่งก็มีให้เลือกทั้งเสื้อ กระโปรง ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าซิ่น กระเป๋า ฯลฯ

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       แต่เรายังต้องแวะไปอีกหลายจุด ดังนั้นจะขอเก็บการช้อปปิ้งไว้เป็นโปรแกรมสุดท้าย และปั่นไปสู่จุดหมายต่อไป โดยป้าเสงี่ยมจะพาไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านนาต้นจั่นที่ยังคงทอผ้าด้วยมือเพื่อสวมใส่เองบ้าง และทอเพื่อขายบ้าง ซึ่งเมื่อปั่นไปถึงบ้านทอผ้าแล้ว ก็พบว่าผู้หญิงชาวบ้านยังคงทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้านอย่างขยันขันแข็ง และมีฝีมือในการทอผ้าเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกแก้ว เมื่อทอเสร็จแล้วจึงนำไปหมักโคลนตามขั้นตอนที่เราได้ทราบกันไปแล้ว

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       ชมผ้าทอจนร่ำๆ จะได้เสียเงินอยู่แล้ว ป้าเสงี่ยมก็เปลี่ยนอารมณ์ ชวนนักปั่นไปชิมผลไม้สดๆ จากสวนลองกอง ซึ่งเป็นสวนครัวเรือนของชาวบ้าน ภายในสวนนอกจากจะมีลองกองเป็นหลักแล้ว ก็ยังมีลำไย ลางสาด ทุเรียน และเงาะ ปลูกผสมผสานกันเก็บกินดอกผลได้สบายๆ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูนี้ก็เป็นช่วงที่ผลไม้ทั้งหลายกำลังออกผลสุกงอมให้ชิมได้พอดี นักท่องเที่ยวจึงเปรมปรีดิ์ไปตามๆ กัน เพราะป้าเสงี่ยมบอกว่าให้เก็บชิมได้ตามสบาย ไม่พูดเปล่า คุณป้าและเพื่อนๆ ยังปีนไปเก็บลองกองสดๆ จากต้นมาให้ชิมอีกต่างหาก พร้อมกับบอกว่า ถ้าใครมาเที่ยวในช่วงนี้ไปจนถึงเดือนตุลาคมก็จะมีผลไม้ให้ชิมจากต้นอย่างนี้เหมือนกัน

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       มาต่อกันที่จุดแวะชมที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านของคุณตาวงศ์ เสาฝั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชนที่อายุถึง 86 ปีแล้ว แต่คุณตายังมีความสุขกับการทำของเล่นโบราณจากไม้โดยเฉพาะ “ตุ๊กตาบาร์โหน” ซึ่งเป็นของเล่นเพื่อบริหารมือทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ โดยคุณตาวงศ์ได้เริ่มทำของเล่นไม้จำพวกตุ๊กตาไม้มากว่า 20 ปีแล้ว แรกเริ่มเดิมทีได้ความคิดมาจากการทำของเล่นจากกระดาษ เมื่อชำนาญขึ้นก็เปลี่ยนมาใช้ไม้เป็นวัสดุ เกิดเป็นตุ๊กตาบาร์โหนที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในกลุ่มของนักท่องเที่ยวและเด็กๆ ในชุมชน ซึ่งถ้าใครอยากได้ไปลองเล่นบริหารมือ และอยากเห็นท่าทางตลกๆ ของเจ้าตุ๊กตานักโหนบาร์ ก็สามารถหาซื้อของเล่นชิ้นนี้ได้ที่ศูนย์การท่องเที่ยวบ้านนาต้นจั่นได้เช่นกัน

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       ถึงจะปั่นมาไม่ไกล เส้นทางก็สบายๆ แต่ท้องก็เริ่มร้องอุทธรณ์ว่าหิว ดังนั้นจึงขอปิดท้ายทริปท่องเที่ยวที่ “ร้านข้าวเปิ๊บยายเครื่อง” ร้านอาหารเล็กๆ ในชุมชน ที่มี “ข้าวเปิ๊บ” เป็นเมนูเด็ดที่หากินได้ที่บ้านนาต้นจั่นที่นี่ที่เดียว (อยากรู้ว่าข้าวเปิ๊บอร่อยอย่างไร คลิกอ่านได้ที่นี่)

       เส้นทางวันนี้เรียกได้ว่าเหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวแบบสบายๆ ซอกแซกชมบรรยากาศในบ้านนาต้นจั่นที่ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบไม่เร่งร้อน อยู่อาศัยแบบพึ่งพิงธรรมชาติ โดยใช้จักรยานเป็นพาหนะพาไปใกล้ชิดวิถีชีวิตชุมชนแบบชิลล์ๆ ไม่ถึงกับเหนื่อย แต่กระนั้นก็ขอแนะนำให้มาเที่ยวในช่วงเช้า หรือในช่วงบ่ายแก่ๆ ก็จะดีจะได้ไม่เจออากาศร้อนมากนัก

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       หรือหากใครอยากซึมซับบรรยากาศให้มากกว่านี้ อยากจะลองพักโฮมสเตย์ ที่นี่ก็มีบริการรับรองอยู่ 15 หลัง พักได้หลังละ 4-6 คน พร้อมบริการอาหาร 3 มื้อ และการต้อนรับของเจ้าบ้านที่อบอุ่นเหมือนญาติมิตรอีกด้วย

ปั่นชิลล์ๆ ที่บ้านนาต้นจั่น ชิมผลไม้ ไปดูผ้าหมักโคลน เล่นตุ๊กตาบาร์โหน พักโฮมสเตย์
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สอบถามรายละเอียดได้ที่ "กลุ่มทอผ้าบ้านนาต้นจั่น" โครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมชนบทเพื่อการท่องเที่ยว ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนบ้านนาต้นจั่น เลขที่ 111 หมู่ 5 ต.บ้านตึก อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย โทร. 0-5567-7209, 08-5905-0961, 08-9885-1639

หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย รับผิดชอบสุโขทัย กำแพงเพชร โทร.0-5561-6228-9

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000097666




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2557   
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 23:15:32 น.   
Counter : 1984 Pageviews.  

“ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
เสาหินโบราณ
“ร้อยเอ็ด” เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ที่มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน ดังที่ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานพระอุรังคธาตุ (ตำนานการก่อสร้างพระธาตุในแถบภาคอีสานตอนบน) ที่ปรากฏเมืองร้อยเอ็ดอยู่ในนาม “สาเกตนคร” ที่ถูกบรรยายไว้ว่ามีเมืองขึ้น 11 เมือง มีประตูทางเข้าเมือง 11 ประตู ถือว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก

       จวบจนถึงปัจจุบัน ก็ยังเห็นร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในพื้นที่เมืองร้อยเอ็ด ด้วยยังมีวัดวาอารามมากมาย และประชาชนก็ยังคงเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนา จนทำให้ร้อยเอ็ดกลายเป็นอีกหนึ่งเส้นทางบุญในแถบภาคอีสานที่นิยมมาทำบุญกัน

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระธาตุยาคู ภายในวัดเหนือ
       สำหรับวัดชื่อดังในเมืองร้อยเอ็ดที่พุทธศาสนิกชนนิยมมาไหว้พระทำบุญกันก็มีอยู่หลายวัด ซึ่งทางผู้บริหารจังหวัดร้อยเอ็ดได้คัดสรรวัดเด่นดังจำนวน 5 วัด มาเป็นทางเลือกหลักในเส้นทางทัวร์บุญสาเกตนคร

       เริ่มจากวัดแรก “วัดเหนือ” ที่ถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดร้อยเอ็ด ตามคำกล่าวที่ว่า “วัดเหนือพร้อมบ้าน วัดกลางพร้อมเมือง” อันแสดงให้เห็นว่า วัดเหนือเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวบ้านมาตั้งแต่โบราณแล้ว

       นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการสร้างวัดที่เก่าแก่ นั่นก็คือ “เสาหินโบราณ” ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัด เสาหินต้นนี้สร้างขึ้นจากหินศิลาแลง รูปทรงแปดเหลี่ยม บริเวณยอดเสามีลักษณะกลม มีการจารึกอักษรปัลละวะของอินเดียตอนใต้ ในสมัยทวารวดี โดยนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเสาหินต้นนี้อาจเป็นหลักเขตเมืองหรือเขตพุทธสถานมาก่อน

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระอุโบสถ วัดกลางมิ่งเมือง
       ส่วนภายในวัดเหนือ ก็ยังมี “สิม” หรือโบสถ์อีสาน ที่ได้รับอิทธิพลจากล้านช้าง เป็นสิมมหาอุต ลักษณะเตี้ย กว้าง หน้าต่างปิดตาย สิมแห่งนี้ยังมีข้อห้ามไม่ให้เพศหญิงเข้าไปภายในตามคติความเชื่อเดิม โดยรอบสิมขุดพบใบเสมาหินทรายสมัยทวารวดี อายุประมาณ 1,200 ปี กรมศิลปากรทำการขุดขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อทำการบูรณะ จากนั้นก็ยกตั้งไว้บนผิวดินในบริเวณเดิม

       ด้านหลังสิมมีเจดีย์โบราณ หรืออาจเรียกว่าสถูปทรงบัวเหลี่ยม อายุราว 1,300 ปี สถูปนี้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าอาวาสในสมัยนั้น จึงเรียกกันว่า “พระธาตุยาคู” (ยาคู ในภาษาอีสาน เทียบได้กับตำแหน่งเจ้าอาวาส) จากการสำรวจพบว่าสถูปนี้ชั้นในก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ในสมัยทวารวดี ชั้นนอกเคยบูรณะด้วยอิฐสมัยอยุธยา

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระพุทธมิ่งเมืองมงคล พระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
       จากวัดเหนือพร้อมบ้าน มาสู่วัดกลางพร้อมเมือง หรือ “วัดกลางมิ่งเมือง” ซึ่งถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ในเมืองร้อยเอ็ดเช่นกัน ตัววัดคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา สำหรับพระอุโบสถนั้นเป็นศิลปะแบบล้านช้าง ด้านหน้ามีรังผึ้งขนาดใหญ่ สลักลายเครือเถาและดอกพุดตานอย่างงดงาม ส่วนฝาผนังด้านนอกพระอุโบสถมีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบอีสาน (ฮูปแต้ม) เล่าเรื่องราวพุทธประวัติและทศชาดก

       ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธมิ่งเมืองมงคล” พระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อสัมฤทธิ์ สร้างขึ้นโดยพระขัติยะวงษา (สีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ 2

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระเจ้าใหญ่ หรือ พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี
       หลังจากสักการะพระพุทธรูปประจำจังหวัดแล้ว ก็มาสักการะพระพุทธรูปยืนองค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยที่ “วัดบูรพาภิราม” ที่ตั้งอยู่ในเมืองร้อยเอ็ดเช่นเดียวกัน วัดแห่งนี้เดิมชื่อ วัดหัวรอ เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นเป็นที่นัดพบและพักแรมของพ่อค้าที่จะออกเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ต่อมาในภายหลัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็นวัดบูรพาภิราม เนื่องจากตัววัดตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระเจดีย์หิน วัดป่ากุง
       สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดก็คือ “พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี” หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “พระเจ้าใหญ่” ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ถือเป็นพระพุทธรูปปาง... ที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยองค์พระมีความสูง 118 ศอก (59.20 เมตร) และมีความสูงทั้งหมด (รวมฐาน) 135 ศอก (67.85 เมตร) ซึ่งเดิมเมื่อแรกสร้างนั้น ตั้งใจจะให้องค์พระมีความสูง 101 ศอก แต่ด้วยฝีมือของช่างพื้นบ้าน ทำให้ไม่สามารถกำหนดความสูงขององค์พระได้แน่นอน จึงสร้างองค์พระได้สูงเกินกว่าที่กำหนด

       ชาวร้อยเอ็ดเชื่อว่า พระเจ้าใหญ่เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่คอยปกป้องคุ้มครอง ให้มีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และด้วยความสูงของพระองค์ทำให้มีความเชื่อว่า หากได้มากราบไหว้ จะได้อานิสงส์สูงเทียมเมฆเทียมฟ้า จะทำการสิ่งใดก็สำเร็จด้วยประการทั้งปวง

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
แต่ละชั้นเป็นภาพแกะสลักหินทรายเหลืองนูนต่ำ
       หลังจากไหว้พระในเมืองกันเสร็จแล้ว ก็เดินทางออกมานอกเมืองเล็กน้อย มาที่ อ.ศรีสมเด็จ มาชม “พระเจดีย์หิน” หรือ “บุโรพุทโธจำลอง” (Borobudur-โบโรบูดูร์ หรือ บรมพุทโธ) ที่ “วัดป่ากุง” โดยเจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นจากคำปรารภของหลวงปู่ศรี มหาวีโร (พระเทพวิสุทธิมงคล) พระเกจิชื่อดังของจังหวัดร้อยเอ็ด

       หลวงปู่ต้องการให้ก่อสร้างเจดีย์ด้วยหินทรายธรรมชาติ แต่นำมาประยุกต์ให้มีความเหมาะสมกับสถานที่ ผสมผสานกับความเป็นไทยและลักษณะภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยให้มีรูปทรงคล้ายกับเจดีย์บุโรพุทโธ แต่ภายในมีพื้นที่สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย เพื่อให้พุทธศาสนิชนได้สักการะ

       ด้านนอกขององค์เจดีย์แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีภาพแกะสลักหินทรายนูนต่ำที่สวยงาม โดยแบ่งออกได้ดังนี้ ชั้นที่ 1 เล่าเรื่องราวพระเวสสันดรชาดก ชั้นที่ 2 และ 3 เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชั้นที่ 4 ภาพพระพุทธชัยมงคล ประกอบด้วย พระคาถา คำแปลภาพ และตำนาน ชั้นที่ 5 ภาพสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ชั้นที่ 6 เป็นเจดีย์องค์ประธานและเจดีย์ราย 8 องค์ และชั้นที่ 7 ยอดเจดีย์ทองคำ น้ำหนัก 101 บาท

       ที่วัดป่ากุงแห่งนี้ นอกจากจะมาชมพระเจดีย์หิน หรือบุโรพุทโธจำลองแล้ว ก็ยังสามารถมานั่งสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรมในบริเวณวัดที่มีพื้นที่กว้างขวาง ร่มรื่น และเงียบสงบ

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
       จาก อ.ศรีสมเด็จ เดินทางต่อมายัง ต.ผาน้ำย้อย อ.หนองพอก มาชมความสวยงามและยิ่งใหญ่อลังการของ “พระมหาเจดีย์ชัยมงคล” ที่สร้างขึ้นจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชน วัตถุประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า รวมทั้งอัฐิธาตุของเกจิอาจารย์ชื่อดังสายอีสาน และยังเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

       พระมหาเจดีย์ชัยมงคลเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ มีความกว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร สูง 109 เมตร ซึ่งขนาดนั้นมีความสอดคล้องกับชื่อจังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนความสูง 109 เมตร เป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยส่วนยอดของเจดีย์ 9 ชั้นเป็นยอดเศวตฉัตรทองคำแท้หนัก 60 กิโลกรัม

       ศิลปะการสร้างองค์เจดีย์ เป็นศิลปะร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน (พระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม) โดยเน้นแนววิจิตรศิลปอีสานเป็นหลัก ลักษณะเป็นรูปทรง 8 เหลี่ยม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็ก 8 องค์ ด้านในแบ่งออกเป็น 6 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นชั้นอเนกประสงค์ มีรูปหล่อขนาดใหญ่ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นพระประธาน

 “ร้อยเอ็ด” เมืองศักดิ์สิทธิ์ตามรอยธรรม 5 วัดดัง เส้นทางบุญสาเกตนคร
รูปหล่อหลวงปู่ศรี มหาวีโร
       ชั้นที่ 2 เป็นชั้นสำหรับประชุมสงฆ์ (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ชั้นที่ 3 เป็นชั้นพระอุโบสถ ชั้นที่ 4 เป็นจุดชมวิว ชั้นที่ 5 เป็นพิพิธภัณฑ์ และชั้นที่ 6 เป็นชั้นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา

       สำหรับด้านนอกองค์เจดีย์ยังมีวิหารคดล้อมรอบ ภายในประดิษฐานพระสาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน 500 องค์ มีกุฏิหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่เคยใช้เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังมีเจดีย์บุโรพุทธจำลองที่สร้างจากหินภูเขาไฟ

       เส้นทางทำบุญใน จ.ร้อยเอ็ด นั้นยังมีอีกหลายวัดที่น่าสนใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นเส้นทางทำบุญแล้ว ร้อยเอ็ดก็ยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ และเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ ทำให้เมืองร้อยเอ็ดกลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งในภาคอีสาน

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000097138




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557   
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 22:22:35 น.   
Counter : 1653 Pageviews.  

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน
อ.อุ้มผาง จ.ตาก นอกจากจะมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ “น้ำตกทีลอซู” น้ำตกเลื่องชื่อที่มีความสวยงามติดระดับโลกแล้ว อุ้มผางยังมีสิ่งน่าสนใจให้เที่ยวชมอีกมากมาย อาทิ น้ำตกทีลอจ่อ น้ำตกทีลอเล น้ำตกปิตุโกร น้ำตกปะหละทะ กิจกรรมล่องแก่งอุ้มผางคี ดอยสามหมื่น รวมถึง “ดอยหัวหมด” ที่ช่วงหน้าฝนได้มีความงามพิเศษเพิ่มเติมเข้ามากับ“ทุ่งดอกเทียน” อันสวยงาม

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน
       ดอยหัวหมด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในอำเภออุ้มผาง เพราะบนยอดดอยเป็นจุดชมวิวชั้นดี สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้แบบ 180 องศา อีกทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็น

       นอกจากนี้ในช่วงหน้าฝนเช่นนี้ ต้นเทียนบนดอยหัวหมดยังออกดอกบานสะพรั่งเป็นทุ่งๆไปทั่วในหลายจุดหลายพื้นที่ของดอย

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน
       สำหรับเทียนบนดอกดอยหัวหมดคือ “เทียนปีกผีเสื้อ” เป็นพืชเฉพาะถิ่น ขึ้นตามหินปูนที่โล่ง ในระดับความสูงจนถึง 1,000 เมตร พบเฉพาะที่ จังหวัดตาก และกาญจนบุรี โดยพบมากที่ดอยหัวหมด โดยทุ่งดอกเทียนจะออกดอกบานเป็นสีชมพูอมม่วงสดใสในช่วงหน้าฝนราวเดือน กรกฎาคม-กันยายน

       นับเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ความงามของอุ้มผาง “แผ่นดินดอยลอยฟ้า” ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน
       *****************************************

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน
ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก โทร.055-514341-3

“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


“ดอยหัวหมด”...งามหมดจดทุ่งดอกเทียน


       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000096310




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2557   
Last Update : 24 สิงหาคม 2557 20:55:20 น.   
Counter : 1449 Pageviews.  

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com) เฟซบุ๊ค Travel-Unlimited-เที่ยวถึงไหนถึงกัน

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
ปิตุโกร น้ำตกที่สูงที่สุดในเมืองไทย
       แม้จะไม่ใช่คนหัวใจมักง่ายอย่างพี่“แช่ม แช่มรัมย์” แต่หลายต่อหลายครั้งของการเดินทาง ผมมักจะเผลอไผลทำหัวใจตกหล่น ทำให้ต้องกลับไป“ตามหาหัวใจ”อยู่บ่อยครั้ง

       ทว่า...สำหรับในครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะผมเลือกที่จะดั้นด้นไปตามหาหัวใจที่ตัวเองไม่ได้ทำตกหล่นหรือถูกใครขโมยไป หากแต่ไปเพื่อที่จะตามหาหัวใจกลางป่าผืนใหญ่แห่งแผ่นดินดอยลอยฟ้า “อ.อุ้มผาง” จ.ตาก

       เป็นหัวใจที่เกิดจากความมหัศจรรย์เล็กๆของธรรมชาติ นาม “น้ำตกปิตุโกร” น้ำตกอันยิ่งใหญ่สวยงามที่มากไปด้วยเสน่ห์น่าเพริศแพร้วกระไรปานนั้น

       1...

       ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสภาพพื้นที่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก อำเภอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย(มีพื้นที่ : 4,325.4 ตารางกิโลเมตร) ทำให้ที่นี่มีน้ำตกที่ถูกค้นพบแล้วอยู่มากมายหลายสิบแห่ง และแน่นอนว่าที่มาเป็นเบอร์หนึ่งย่อมหนีไม่พ้น น้ำตก“ทีลอซู” อันลือลั่นติดอันดับโลก

       ขณะที่น้ำตกปิตุโกรเป้าหมายสำคัญของเราในทริปนี้นั้นก็ใช่ย่อย นี่เป็น“น้ำตกที่สูงที่สุดในเมืองไทย” ที่ความงามของน้ำตกจะแสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มเปี่ยมในช่วงเดือน ส.ค. – ก.ย. ซึ่งนั่นก็ทำให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก ได้ชูน้ำตกปิตุโกรเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการท่องเที่ยวหน้าฝนของจังหวัดตาก ที่แม้การเดินทางไปพิชิตสายน้ำตกปิตุโกรนั้นค่อนข้างสมบุกสมบัน แต่ด้วยความงามและลักษณะพิเศษของตัวน้ำตกก็ทำให้เหล่านักเดินทางผู้รักความท้าทาย ต่างมุ่งหวังที่จะไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของน้ำตกแห่งนี้กันสักครั้งหรือมากกว่านั้น

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
ทิวทัศน์ยามเย็น ณ จุดชมวิวลอยฟ้า ในระหว่างทางสู่อุ้มผาง
       2...

       ความที่ผมไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้อุ้มผาง ดังนั้นกับโค้งมากมายที่นับรวมกันได้ 1,219 โค้ง บนถนนหมายเลข 1090 แม่สอด-อุ้มผาง จึงไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทาง แต่อย่างก็ดีด้วยสภาพถนนบวกกับโค้งจำนวนมาก ทำให้มันกินเวลาในการนั่งรถอยู่มากโข ออกจากกรุงเทพฯแต่เช้าตรู่มาถึงยังอุ้มผางก็ค่ำมืดพอดี

       และด้วยความเหนื่อยล้าทำให้ผมกับเหล่าสมาชิก เข้านอนกันแต่หัววัน ณ ที่พัก “ตูกะสู คอทเทจ” ท่ามกลางเสียงสายฝนพรำที่เป็นดังเสียงดนตรีขับกล่อม

       เช้าวันใหม่...ฝนยังคงโปรยสายมาบางๆ ชนิดที่ผมกับเพื่อนต่างทำใจกันว่าการเดินป่าตามหาหัวใจในทริปนี้คงโดนฝนถล่มเปียกแหงมๆแน่นอน ดังนั้นทางที่ดีเพื่อความชัวร์ พี่“สุชาติ จันทร์หอมหวล” หรือ “พี่อู๊ดดี้” เจ้าของตูกะสูที่จะร่วมเดินทางไปพิชิตปิตุโกรกับเราจึงแนะนำว่า ใครที่ไม่ได้นำรองเท้าเดินป่าแบบมีพื้นยึดเกาะติดดิน หิน อย่างดีมา ควรไปซื้อเจ้า“สตั๊ดดอย” ที่มีขายในร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรในตัว อ.อุ้มผาง มาใส่ เพื่อจะได้ทำให้การเดินป่าคล่องตัวขึ้นมาอีกมากโข

       จากนั้นหลังจัดเตรียมข้าวของ หม่ำข้าวต้มมื้อเช้าเสร็จ พวกเราก็ไปหาซื้อเจ้าสตั๊ดดอยพร้อมถุงเท้าบอลหนาๆยาวๆมาใส่ บางคนใส่กัน 2-3 ชั้น เพื่อป้องกันเจ้าสตั๊ดรองเท้าคู่ใหม่กัด ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน“กุยเลอตอ” จุดเริ่มออกเดินเท้าของเราในทริปนี้

       กุยเลอตอ เป็นบ้านเล็กในป่าใหญ่ของชาวปกาเกอะญอ(หรือที่คนส่วนใหญ่มักเรียกพวกเขาด้วยภาษาไม่สุภาพว่า“กะเหรี่ยง”) หมู่บ้านกุยเลอตอตั้งอยู่ที่ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง เป็นชุมชนเล็กๆที่เรียบง่าย สงบ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ดำเนินวิถีเรียบง่ายที่วิถีคนเมืองอย่างผมยากยิ่งที่จะได้สัมผัส

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
ทุ่งนาระหว่างทางที่บ้านกุยเลอตอ
       หมู่บ้านกุยเลอตอ ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภออุ้มผางประมาณ 60 กม. แต่ด้วยสภาพถนนที่ขึ้นเขา ลงเขา คดเคี้ยว แถมเส้นทางยังดีบ้าง พิการบ้าง ทำให้เราใช้เวลาถึงชั่วโมงครึ่ง จึงมาถึงยังศาลาพักริมทางปากทางเข้าหมู่บ้านกุยเลอตอ จุดเริ่มต้นของการออกเดินเท้า

       เส้นทางในช่วงแรกต้อนรับการสนองนโยบายส้นตีนแห่งชาติของผมด้วยการเดินลุยตามลำธารช่วงสั้นๆ ผ่านเข้าสู่ถนนเลาะเรียบริมรั้วไร่-นาของชาวบ้านไปบนเส้นทางลูกรังที่ควายเดินได้ง่ายกว่าคนในคณะของพวกเรา เพราะมันเต็มไปด้วยปลักโคลน เดินย่ำเท้าลงไปทั้งติดหนึบ เลอะ เปียก แฉะ ซึ่งถ้าไม่ได้สตั๊ดดอยปานนี้คงลื่นล้มหัวทิ่มหัวตำกันไปหลายดอกแล้ว

       ดังนั้นใครที่คิดจะใส่รองเท้าเดินป่าราคาแพงๆในหลักพันมาตะลุยเส้นทางที่นี่ ผมบอกได้เลยว่าสวมใส่สตั๊ดดอยก็เดินได้ฉลุยไม่ต่างกัน ที่สำคัญคือมันคุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ เพราะสนนราคาแค่หลักสิบเท่านั้น

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
เส้นทางลุยผ่านลำธาร
       สำหรับการเดินสู่ปิตุโกรในทริปนี้ใช้เส้นทางใหม่ที่ทางชุมชนบ้านกุยเลอตอ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และกลุ่มผู้ประกอบการ ได้ไปจัดระบบ จัดทำ จัดวางเส้นทางกันใหม่ โดยในวันแรกเราเดินกันประมาณ 5 กม.(ใช้เวลา 2-3 ชม.) ไปบนเส้นทาง“ราบลื่น” คือส่วนใหญ่เป็นทาง“ราบ”(มีความชันน้อย)ผ่านไร่นาวิวสวยๆซึ่งมากไปด้วยความ“ลื่น”จากดินโคลน รวมถึงเส้นทางลุยลำธารผ่านสายน้ำตื้นๆเย็นฉ่ำ ก่อนจะถึงยังจุดหมายที่พักในแคมป์หนึ่ง หรือแคมป์ “น้ำตกมึเลโกร”

       แคมป์น้ำตกมึเลโกร มีอดีตกระท่อมเฝ้านาของผู้ใหญ่บ้านที่ยกให้กับชุมชนกุยเลอตอจัดทำเป็นจุดพักนักท่องเที่ยว จากกระท่อมเดินลงไปจะเป็นตัว“น้ำตกมึเลโกร” ที่เป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 5 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของน้ำตกปิตุโกรในส่วนชั้นล่าง ซึ่งวันรุ่งขึ้นเราต้องเดินขึ้นเขาชันเพื่อไปตามหาหัวใจยังน้ำตกชั้นบนที่เป็นจุดไฮไลท์

       น้ำตกมึเลโกร ชื่อให้เกียรติแก่ “มึเล” หญิงสาวชาวปกาเกอะญอคนหนึ่งที่เคยมาสร้างบ้านอาศัยอยู่ใกล้กับน้ำตก (โกร เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า ลำห้วย)

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
น้ำตกมึเลโกร น้ำตกปิตุโกรชั้นล่าง ใกล้แคมป์แรก
       น้ำตกแห่งนี้มีสายน้ำใสไหลเย็น มีแอ่งให้เล่นน้ำ อาบน้ำ กระโดดน้ำ รวมถึงมีน้ำเย็นสะอาดสดชื่นตามธรรมชาติไหลราดรดใส่หัวโดยไม่ต้องพึ่งการเอาราดน้ำเย็นรดหัวตัวเองแต่อย่างใด ซึ่งหลังพวกเราเดินเหน็ดเหนื่อยลื่นเปรอะเลอะดินโคลนมา นี่นับเป็นจุดผ่อนคลายสำคัญ เป็นสปาธรรมชาติที่ช่วยสร้างความสดชื่นชุ่มฉ่ำให้กับร่างกายที่อ่อนล้า เติมพลังในการนั่งพูดคุยหลังอาหารค่ำ ซึ่งค่ำคืนนี้เรามีพี่จากมูลนิธิสืบฯกับทีมงานที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ ที่มาร่วมกันพัฒนาเส้นทางตามหาหัวใจที่พักกางเต็นท์อยู่ใกล้ๆกัน มาร่วมสนทนารอบกองไฟ

       ประเด็นสำคัญของการพูดคุยในวันนั้นคือเรื่องของการจัดทำจุดพัก เส้นทางท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการขยะ เพราะที่ผ่านมามีผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวหลายคณะนำอาหารเครื่องดื่มขึ้นไปกิน-ดื่ม แล้วทิ้งขยะไว้เรี่ยราดสร้างปัญหาให้กับผืนป่าอยู่พอสมควร

       ส่วนอีกประเด็นสำคัญก็คือ การบริหารจัดการน้ำตกปิตุโกรโดยชาวชุมชน ซึ่งวันนี้น้ำตกปิตุโกรถือเป็นหัวใจสำคัญของ “ป่าชุมชนกุยเลอตอ” ที่ชาวชุมชนที่มีมูลนิธิสืบฯเป็นพี่เลี้ยงจะต้องมาวางแผนจัดการด้านผืนป่าและด้านการท่องเที่ยวกันให้ดี ซึ่งนี่ถือเป็นงานใหญ่เพราะมีบทเรียนจากหลายๆชุมชนปรากฏเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การท่องเที่ยวเป็นดาบ 2 คม ด้านหนึ่งนำเม็ดเงินรายได้ สร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชน แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการทำลายธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิถีวัฒนธรรม ที่สำคัญคือชุมชนท่องเที่ยวหลายแห่งในบ้านเรา เมื่อเงินมา ชุมชนก็เงิบ ไปไม่เป็น เกิดปัญหาเสียศูนย์ไปหลายชุมชนแล้ว

       แม้ประเด็นพูดคุยในค่ำคืนนี้จะฟังดูซีเรียส แต่พวกเราเลือกที่จะคุยกันแบบไม่ซีเรียส มีพักเบรกปล่อยมุข ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน โดยที่หัวใจของผมมันได้มโนโบยบินไปตามหาหัวใจบนจุดไฮไลท์ของน้ำตกปิตุโกรล่วงหน้าแล้ว

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
แสงโพล้เพล้ในวันแรกของการเดินทาง
       3...

       เช้าวันที่สอง...อากาศเป็นใจ ฝนไม่ตกเหมือนเช้าวันวาน นับเป็นฤกษ์ดีในการออกไปหาหัวใจ

       หลังกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเราก็แพ็คของออกเดินทางผ่านน้ำตกมึเลโกรไปบนเส้นทางป่าดิบสูงชัน ซึ่งการเดินทางในวันนี้ หากเปรียบกับเมื่อวานนั่นคือการ“อุ่นเครื่อง” แต่วันนี้คือ“ของจริง” ชนิดที่บางคนในทริปแม้จะฟิตซ้อมร่างกายมาก่อนออกกำลังกายด้วยการเต้น T25 อยู่เป็นอาทิตย์ แต่เมื่อมาเจอทางเดินขึ้นสู่น้ำตกในวันที่สองนี้ถึงกับบ่นและออกอาการเหนื่อยอย่างแรงให้เห็น

       อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ระหว่างทางมีพืชพันธุ์เฉพาะถิ่น และดอกไม้เล็ก ดอกไม้น้อยอันสวยงามของให้ถ่ายรูปชื่นชมกันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น ดอกเทียนสีชมพูอมม่วงสดใส มะลิป่าสีขาวเนียน บิโกเนีย เห็ดถ้วยดอกโต พืชวงศ์ขิงข่า เฟิน ฯลฯ รวมไปถึงทางเดินเป็นเส้นทางเลาะลำห้วยปิตุโกรขึ้นไปสู่น้ำตกชั้นไฮไลท์ จึงมีวิวสวยๆของสายน้ำและน้ำตกชั้นย่อยให้ทัศนากันเป็นระยะๆ นับเป็นจุดพักสายตา จุดหยุดพักผ่อน ที่ช่วยผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยได้พอสมควร

       ในช่วงครึ่งแรกของเช้าวันที่ 2 นี้เราเดินกันในระยะทางไม่มากไม่มายแค่ประมาณ 2.5 กม. แต่ว่าก็กินเวลาไปถึง 1.5-2 ชม. กว่าจะพาตัวและหัวใจขึ้นมาถึงยังน้ำตกปิตุโกรชั้นไฮไลท์ จุดสิ้นสุดของเส้นทางตามหาหัวใจ

       สำหรับน้ำตกปิตุโกร ตั้งอยู่บนเทือกเขาสามหมื่น เป็นน้ำตกที่เกิดจาก“ลำห้วยปิตุโกร” ที่มีต้นน้ำ ตาน้ำ มาจากยอดดอยแห่งเทือกเขา“ดอยสามหมื่น” อีกหนึ่งจุดหมายหลักของเราในทริปนี้

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
น้ำตกปิตุโกร หัวใจดวงงามกลางป่าใหญ่
       น้ำตกปิตุโกร ณ วันนี้ พ.ศ.นี้ ยุคนี้ ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงกว่า 500 เมตร (บางข้อมูลบอกว่าสูง 530 เมตร บ้างบอกว่าสูง 513 เมตร) ซึ่งหลังการค้นพบและเปิดตัวอย่างเป็นทางการทำให้น้ำตกปิตุโกรได้มีสถิติสูงที่สุดแซงหน้าแชมป์เก่าคือน้ำตกแม่สุรินทร์ จ.แม่ฮ่องสอน ที่สูงประมาณ 180-200 เมตร ไปร่วม 200 เมตร

       น้ำตกปิตุโกรไม่ใช่น้ำตกที่ไหลเป็นสายเดียวทิ้งดิ่งยาวอย่างน้ำตกแม่สุรินทร์ แต่เป็นน้ำตกที่ไหลเกาะลงมาบนหน้าผาหินยาวลงสู่เบื้องล่าง เป็นสายลำห้วยปิตุโกรที่ไหลไปลงลำห้วยแม่จัน ก่อนจะไหลลงลำห้วยแม่กลองที่เป็นต้นน้ำแม่กลองไหลผ่านหลายจังหวัด ก่อนไหลไปออกอ่าวไทยที่ จ.สมุทรสงคราม

       น้ำตกปิตุโกรในชั้นไฮไลท์นี้มี 3 ช่วง 3 มุม ให้ทัศนา และสามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปได้ แบบต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ในมุมชั้น 2 และมุมชั้น 3 โดยในมุมชั้น 3 นั้นต้องใช้ความระวังสูงสุด เพราะเป็นสาน้ำขาวฟูฟ่องหลายสายไหลมารวมกันก่อนมุดหายลงไปในหุบเหวสู่ผืนป่าเบื้องล่าง ที่หากใครคิดจะไปตามหาหัวใจตามสายน้ำที่ไหลลงไปนี้เป็นได้สิ้นใจแน่นอน

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
น้ำตกปิตุโกรในมุมมองชั้นสองเห็นเป็นรูปหัวใจตะแคงหรือตัววี
       ส่วนในมุมชั้นที่สอง จะมองเห็นน้ำตก 2 สายหลักไหลมาบรรจบกัน ผมขึ้นไปยืนถ่ายรูปใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ ถ้ามองแบบนักเรียนสายวิทย์ก็จะเห็นน้ำตกเป็นรูปตัววี(V) ส่วนถ้ามองแบบนักเรียนสายศิลป์ก็จะเห็นน้ำตกเป็นรูปหัวใจตะแคง

       มาถึงในมุมมองชั้นแรกที่อยู่ไกลออกมา เราจะเห็นน้ำตก 2 สายหลัก ซ้าย-ขวา ไหลเป็นสายฟูฟ่องเกาะหน้าผาหินลงมา ซึ่งถ้ามองกันแบบธรรมดาในจุดที่ได้เหลี่ยมได้มุมชนิดที่ไม่ต้องใช้จินตนาการมากก็จะเห็นปิตุโกรเป็น“น้ำตกรูปหัวใจ” แต่ถ้ามองแบบใส่จินตนาการเข้าไปก็จะเห็นปิตุโกรเป็น “น้ำตกรูปหัวใจ”อีกเช่นกัน

       สรุปแล้วนี่คือ“น้ำตกรูปหัวใจ”!?! อันน่าทึ่ง

       4...

       ในที่สุดผลจากการออกดั้นด้นเดินป่ามาอย่างเหน็ดเหนื่อย เราก็ได้มาเจอหัวใจสีขาวฟูฟ่องกลางป่าใหญ่ท่ามกลางแมกไม้แวดล้อมเขียวขจี ณ บริเวณน้ำตกปิตุโกรชั้นไฮไลท์ ที่หากใครไปผิดช่วงในช่วงน้ำน้อยหัวใจจะกลายเป็นตัววาย(Y) แต่ถ้าใครมาถูกช่วงในเดือน ส.ค.-ก.ย. จะเห็นเป็นน้ำตกรูปหัวใจ ซึ่งความเป็นรูปหัวใจจะหนาหรือเป็นหัวใจบางๆอย่างหนุ่ม เสกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของปริมาณน้ำในช่วงนั้นๆ

แอ่ว“อุ้มผาง”ตามหาหัวใจกลางป่า...พิชิต“ปิตุโกร” น้ำตกสูงสุดในเมืองไทย/ปิ่น บุตรี
เห็ดถ้วย สิ่งน่าสนใจเล็กๆน้อยๆระหว่างทาง
       นับเป็นหัวใจกลางป่าใหญ่แห่งผืนป่าอุ้มผางที่ผมและใครหลายๆคนออกตามหา

       นับเป็นมนต์เสน่ห์ของ“น้ำตกปิตุโกร”

       นับเป็นมนต์เสน่ห์ของ“น้ำตกที่สูงที่สุดในเมืองไทย”

       นับเป็นมนต์เสน่ห์ของ“น้ำตกรูปหัวใจ”

       นับเป็นมนต์เสน่ห์ของการ“มีใจ”ที่หาญกล้าไม่ย่นระย่อต่อความยากลำบาก

       สุดท้ายเราก็จะได้พบกับหัวใจงามดวงโตกลางป่าใหญ่

       *****************************************

       น้ำตกปิตุโกร ตั้งอยู่บนเทือกเขาสามหมื่น อ.อุ้มผาง เป็นน้ำตกที่สูงกว่า 500 เมตร (วัดด้วยเครื่อง GPS) เดิมน้ำตกปิตุโกร มีชื่อเรียกขานอื่นๆ อย่างเช่น “เปรโต๊ะลอซู”, “ปิตุ๊โกรทีลอซู”, “น้ำตกปิตุ๊โกร” ซึ่งล่าสุดทางชุมชน ผู้ประกอบการ และมูลนิธิสืบฯ ได้กำหนดให้ใช้คำกลางและตัวสะกดว่า “น้ำตกปิตุโกร”

       น้ำตกแห่งนี้ยังเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่จะเต็มเติมให้การท่องเที่ยวอีกแห่งของอุ้มผางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากการไปเยือนน้ำตกทีลอซูอันโด่งดังในระดับโลกแล้วยังได้มาเยือนน้ำตกปิตุโกรที่สวยงาม

       การเดินทางไปเที่ยวน้ำตกปิตุโกร จากตัวอำเภออุ้มผาง โดยรถยนต์ใช้เส้นทางสายอุ้มผาง – บ้านเบิ้งเคลิ่งระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงกุยเลอตอ จากหมู่บ้านเดินเท้าลัดเลาะผ่านลำธารน้ำ ถนนริมไร่นา ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พัก

       จากนั้นเช้าในวันที่สอง จะเดินเท้าประมาณ 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง เมื่อถึงน้ำตกปิตุโกรจะพบเห็นกับความงดงามทางธรรมชาติความสูงชันของน้ำตก และมุมมองน้ำตกรูปหัวใจ น้ำตกปิตุโกรมีน้ำให้ชมเฉพาะในฤดูฝนเพียงสี่เดือน คือ ก.ย. – พ.ย. โดยช่วงที่สวยที่สุดจะอยู่ในช่วง ส.ค.-ก.ย.

       สำหรับทริปการเที่ยวชมน้ำตกปิตุโกรนั้นมีทั้งแพกเกจเดินป่า นอนป่า 2 วัน 1 คืน และ 3 วัน 2 คืน โดยโปรแกรมหลังนี้ผนวกการขึ้นไปพิชิตจุดชมวิวดอยมะม่วงสามหมื่นหรือดอยสามหมื่นเข้าไปด้วย ทั้งนี้ในบริเวณที่พักคืนแรกมีน้ำตกให้เล่นน้ำ อาบน้ำ และมีห้องน้ำให้บริการ ส่วนที่พักคืนที่ 2 มีตาน้ำผุดต่อประปาภูเขาให้อาบน้ำ แต่ไม่มีห้องน้ำให้บริการ ต้องใช้บริการห้องน้ำธรรมชาติ

       ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานตาก โทร.055-514341-3

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000095885




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2557   
Last Update : 21 สิงหาคม 2557 22:04:31 น.   
Counter : 1378 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]