|
วิเคราะห์ญี่ปุ่น การพัฒนาประเทศอันอัศจรรย์

การจะวิเคราะห์ความสำเร็จของชนชาติหรือประเทศนั้น ที่จริงจะต้องอาศัยการศึกษาเบื้องลึกถึงประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก แต่ในที่นี้ เพื่อความกระชับของเนื้อหา และการมุ่งเน้นที่ประเด็นสำคัญเพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้และนำมาปรับใช้ของเรา ผมจึงจะค้นคว้าข้อมูลย้อนไปที่ไม่ลึกมากนัก แต่จะจะจับประเด็นที่ปัจจัยที่ทำให้ชาติเหล่านั้นสามารถขึ้นมาประสบความสำเร็จในเวทีโลกได้เท่านั้น
ญี่ปุ่นก็คงเป็นชาติหนึ่งที่พอพูดถึงเรื่องการพัฒนาประเทศ จะถูกนึกถึงเป็นชาติแรกๆ เพราะญี่ปุ่นสามารถพลิกฟื้นประเทศจากการเป็นประเทศแพ้สงคราม หลังจากโดนสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ เพียงในเวลาแค่ 40-50 ปี ให้กลับมาผงาดเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้อีกครั้งหนึ่ง
ญี่ปุ่นเป็นแม้เป็นประเทศเกาะที่มีพื้นที่ไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายดินแดนในอดีต แต่ก็กลับมีข้อดีในด้านความเป็นเอกภาพของคนในชาติไม่ได้มีเชื้อสายอื่นมาปนมากนัก ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่เหมาะต่อการปลูกฝังความเป็นชนชาติได้อย่างดียิ่ง ความเชื่อของคนญี่ปุ่นที่มีมาแต่โบราณก็คือ พวกเขาเป็นชนชาติเดียวที่สืบเชื่อสายมาจากพระอาทิตย์(ซึ่งเปรียบเหมือนลูกของพระเจ้า) ชาวญี่ปุ่นจึงทะนงตนในความสำคัญของตนเองมาแต่โบราณ และญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีพื้นฐานมาจากการเป็นอำนาจนิยมและศักดินามากๆ ดูจากการมีการปกครองที่องค์จักรพรรดิเป็นศูนย์กลางพระองค์เดียว (และมีโชกุน เป็นผู้สำเร็จราชการแทน) มีการยึดมั่นในลำดับชั้นการปกครอง มีชนชั้นซามูไร(นักรบ) และมีการแบ่งแยกระหว่างชาย-หญิง คือ ผู้หญิงจะต้องเป็นแม่บ้านและไม่มีสิทธิมีเสียงในการปกครอง

ด้วยความเป็นประเทศเกาะดังกล่าว ญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยได้สู้รบกับชาติอื่นๆ เพื่อแก่งแย่งดินแดนมากนัก มีแต่การทำการค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้น และหลังจากมีการแพร่กระจายของศาสนาคริสต์ที่มาพร้อมกับพวกฝรั่ง โชกุนจึงมีนโยบายปิดประเทศไม่ค้าขายกับต่างชาติเพราะกลัวถูกแทรกซึมจากชาติตะวันตก แต่สุดท้ายก็ถูกบีบให้เปิดประเทศค้าขายอีกในภายหลัง โดยต้องทำสนธิสัญญาที่เอื้อประโยชน์ต่อชาติตะวันตกอย่างมาก
ภายหลังจากการแผ่อาณาจักรของรัสเซียที่เอาชนะมองโกเลีย จนมาประชิดติดชายฝั่งตรงข้ามกับญี่ปุ่น และด้วยภาวะกดดันทางด้านต่างชาติหลายๆ ประการ ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นตัดสินใจปลดแอกประเทศออกจากการควบคุมของชาวต่างชาติ และยังตัดสินใจข้ามมาทำสงครามกับประเทศบนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ กับญี่ปุ่น เช่น จีน รัสเซีย แมนจูเลีย และเกาหลี ซึ่งสิ่งนี้เองอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น เพราะพวกเขาได้ลิ้มรสของความสำเร็จระดับนานาชาติ พวกเขาชนะและได้เข้ายึดบางส่วนของประเทศเหล่านี้ จนกลายเป็นจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่สร้างความโดดเด่นขึ้นมาในเวทีโลก พวกเขามั่งคั่งขึ้นจากการครอบครองดินแดนของประเทศอื่น คนญี่ปุ่นไม่คิดและรู้สึกว่าตนอ่อนแอกว่าชาติตะวันตกอีกต่อไป
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น ญี่ปุ่นก็ตัดสินใจเข้าสู่สงครามและกลายเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งนี้ พวกเขาเอาชนะชาติมหาอำนาจเก่าอย่างเยอรมันได้ ญี่ปุ่นจึงยิ่งใหญ่ขึ้นอีก ทั้งอำนาจทางทหารและอำนาจทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประเทศ 1 ใน 5 มหาอำนาจใหม่ แต่จากจุดนี้เองที่อาจนำไปสู่การดำเนินนโยบายผิดพลาด อาจเหมือนคนที่เหลิงตัวเอง จากการที่ได้ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ตั้งแต่ช่วงแรกๆ และยังไม่เคยประสบความล้มเหลว จึงทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และโจมตีสหรัฐอเมริกาก่อนที่เพิร์ลฮาเบอร์ โดยในคราวนี้กลับไปจับมือกับเยอรมันเป็นฝ่ายอักษะที่เข้ายึดครองเอเชียแปซิฟิค และเอเชอาคเนย์
แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่อเมริกาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายพันธมิตรได้คิดค้นระเบิดปรมาณูหรือนิวเคลียร์ได้สำเร็จ และนำไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ จนทำให้ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ และนำมาซึ่งการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 ไปพร้อมๆ กับเยอรมันด้วย และการยอมแพ้ครั้งนี้ทำให้ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศในเอเชียอาคเนย์ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของอเมริกาและพันธมิตรเป็นระยะเวลาหลายปี
ในปี 1952 หรืออีก 7 ปีต่อมา ญี่ปุ่นจึงถูกปลดปล่อยเป็นอิสระแก่ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้อาจเป็นเพราะบทเรียนจากสงครามและความสูญเสีย จึงทำให้ญี่ปุ่นหันหลังให้สงครามแล้วมาพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจแทน โดยในระยะเวลาเกือบ 40 ปี ตั้งแต่ได้รับอิสรภาพ ญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองน้อยมาก โดยมีพรรคการเมืองเพียงสองพรรค และมีพรรค Liberal Democratic Party หรือ LDP เป็นพรรคใหญ่ที่บริหารประเทศมาโดยตลอด และในช่วงนี้เองที่ญี่ปุ่นได้สร้างความมหัศจรรย์ขึ้นคือ ก้าวขึ้นจากประเทศแพ้สงครามมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกโดยใช้เวลาเพียง 30-40 ปีเท่านั้น อีกทั้งญี่ปุ่นก็ไม่ได้มีพื้นที่กว้างใหญ่หรือมีประชากรมากมายที่มักเป็นตัวช่วย(ตามกฎของพื้นที่) อย่างในประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย

Jimmys Analysis
จากการมองประวัติศาสตร์ของชนชาติญี่ปุ่นนี้ จึงอาจนำมาวิเคราะห์ถึงปัจจัยของความสำเร็จของพวกเขาได้ดังนี้
1.มีพื้นฐานความเป็นชาตินักสู้เป็นเบื้องต้น รวมทั้งการเชื่อว่าตนมีกำเนิดมาจากพระอาทิตย์ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวต่างชาติตะวันตก และเป็นชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำงานหนัก
2.ได้รับแรงเสริมจากการทำสงครามกับประเทศข้างเคียงและชนะ จนกลายเป็นจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่ขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจทางทหารอีกชาติหนึ่งในยุคนั้น จึงเท่าไปกับเสริมความคิด ความเชื่อว่าตนเป็นชาติที่มีความสามารถเข้าไปอีกให้มั่นคงยิ่งขึ้น
3.ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก ไม่มีชนชาติอื่นปนมากนัก และมีความเชื่อในเรื่องความยึดมั่นต่อชาติ ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก เมื่อมีสินค้าก็สนับสนุนสินค้าของคนในประเทศก่อน ญี่ปุ่นจึงสร้างสินค้าของตนเองได้เกือบทุกชนิด และได้รับการสนับสนุน ซึ่งสินค้าหลายๆ ชนิดนอกจากจะกลายเป็นการลดการขาดดุลการค้าแล้วยังนำเงินเข้าประเทศด้วย เช่น รถยนต์ (ซึ่งจะเห็นได้ว่า คนในประเทศเราจะตั้งแง่กับสินค้าของไทยกันเองมากกว่า โดยอ้างว่าไม่ได้คุณภาพ)
4.เนื่องจากญี่ปุ่นเปลี่ยนจากผู้ยิ่งใหญ่ที่มาประสบความพ่ายแพ้ของประเทศ ผมเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนในประเทศร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาประเทศ(เป็นจิตวิทยาสังคมที่อาจเกิดได้กับทุกประเทศที่เคยยิ่งใหญ่แล้วกลับมาล้มเหลว) คนรุ่นหลังสงครามที่เรียกว่า baby boomer นั้นเป็นคนที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ลำบาก จึงอดทนทำงานหนัก และประหยัด ต่างคนต่างมุ่งที่จะฟื้นฟูฐานะของครอบครัวและประเทศ
5.ช่วงหลังสงครามโลก ญี่ปุ่นมีนโยบายชัดเจนคือ มุ่งที่เรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก และถูกบริหารโดยพรรคการเมืองพรรคเดียว(พรรคLDP)มาตลอดจนถึงช่วงปี 1990 นโยบายจึงไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้เกิดการสานต่อทางนโยบาย
6.อีกส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยด้วยก็คือ ประชากร การที่มีประชากรมากก็เท่ากับมีโอกาสที่จะมีคนเก่งๆ มากขึ้น(หากรัฐสนับสนุนด้านการศึกษาด้วย) ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 127 ล้านคน มากกว่าประเทศไทยประมาณหนึ่งเท่าตัว ในขณะที่มีพื้นที่ของประเทศน้อยกว่า และคุณภาพของประชากรนี้สำคัญมาก สำหรับประเทศที่มีโอกาสด้านทรัพยากรน้อย (เช่นเดียวกับประเทศเล็กๆ อื่นๆ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกง)
นิสัยของคนคือปัจจัยสำคัญอันแรกสุดที่จะสร้างความสำเร็จในระดับบุคคล และนิสัยของคนส่วนใหญ่ในชนชาติก็เป็นปัจจัยสำคัญอันแรกสุดที่จะสร้างความสำเร็จระดับชาติเช่นกัน โดยมีเรื่องขนาดและทำเลของพื้นที่เป็นปัจจัยช่วยที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง
ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะเล็กๆ ที่มีคุณภาพของประชากรมาก ทั้งนิสัยการทำงานและทักษะการทำงาน จึงสามารถสร้างประเทศได้รวดเร็ว แม้ว่าในปัจจุบัน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปและอาจทำให้นิสัยของคนรุ่นใหม่นั้นเปลี่ยนไป แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้พวกเขามีความได้เปรียบประเทศอื่นๆ ที่ตามหลังมาเป็นอย่างมาก
Create Date : 25 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 25 มีนาคม 2551 8:54:32 น. |
Counter : 24304 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Ray Kroc วิสัยทัศน์กับอาณาจักร McDonalds

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าร้านฟาสต์ฟู้ดแฮมเบอร์เกอร์ที่ชื่อ McDonalds กลายเป็นร้านที่ชื่อ Krocs มันจะดังและสร้างอาณาจักรมาได้จนถึงขนาดในทุกวันนี้หรือไม่ เพราะคงยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ศึกษาวงการธุรกิจ และรู้ว่าร้านแมคโดนัลด์นั้น มีเจ้าของชื่อ Ray Kroc ซึ่งเป็นผู้ทำให้แบรนด์นี้โด่งดังไปทั่วอเมริกาและทั่วโลกในเวลาต่อมา
ประวัติความสำเร็จของ Ray Kroc นั้นน่าศึกษาและน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะกว่าที่เขาจะไปซื้อร้าน ฟาสต์ฟู้ดเล็กๆ ที่ชื่อ McDonalds แล้วมาพัฒนาจนมันกลายเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในภายหลังนั้น อายุก็ปาเข้าไป 52 แล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสูงอย่างสูงมากมายอะไรในฐานะนักธุรกิจ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ
เรย์ เกิดเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 คือเมื่อปี 1902 ในครอบครัวชาวเช็คที่อพยพมาอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา คร็อคเป็นคนที่อยากประสบความสำเร็จเสมอมา และเชื่อเสมอว่าโอกาสดีๆ จะมาหาเพียงครั้งเดียวและจากไป เขาจึงรอคอยที่จะฉวยโอกาสที่มีเข้ามาเสมอ แต่ก็ยังไม่เคยได้คว้าโอกาสดีๆ เอาไว้เสียที พอเริ่มหนุ่มเขาก็พยายามหาเงินด้วยการตั้งใจจะไปเป็นคนขับรถพยาบาลในช่วงสงครามโลก แต่สงครามกลับสิ้นสุดลงเสียก่อน เขาจึงไปมีอาชีพเป็นนักเปียโนในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะมาเป็นเซลส์ขายถ้วยกระดาษ
แต่โอกาสอันเล็กๆ ของเรย์ ก็เริ่มต้นที่เขาได้ไปพบกับนักประดิษฐ์เครื่องทำมิลค์เชครายหนึ่ง และเห็นว่ามันมีศักยภาพที่จะเติบโต เขาจึงเจรจาเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องทำมิลค์เชคนี้แต่ผู้เดียวในประเทศ ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำให้เขาได้ไปพบกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่สำคัญกว่าในลำดับต่อมา บางทีโชคและชีวิตก็ขั้นตอนต่อเนื่องกันไปเหมือนกัน การเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องทำมิลค์เชคนี้ทำให้เรย์พอจะมีเงินขึ้นมากับเขาบ้างเหมือนกัน
แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อมีร้านอาหารร้านหนึ่งในแคลิฟอร์เนียที่สั่งเครื่องทำมิลค์เชคถึง 8 เครื่อง ทั้งๆ ที่แต่ละเครื่องนั้นก็สามารถทำมิลค์เชคได้พร้อมๆ กัน ทีละ 5 แก้วอยู่แล้ว แสดงว่าร้านนี้ต้องทำมิลค์เชคพร้อมๆ กันในเวลาเดียวถึง 40 แก้ว เขาจึงรีบเดินทางไปยังร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ชื่อ McDonalds ในแคลิฟอร์เนียทันที แล้วเขาก็พบกับร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนในท้องถิ่นพากันมาซื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่ร้านเล็กๆ แต่บริการได้อย่างรวดเร็ว (จุดแรกเริ่มของแมคโดนัลด์ในขณะนั้นจะเป็นบริการแบบ Drive Trough คือขับรถเข้าไปซื้อที่ช่องสั่งอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบอเมริกันในวันนั้น จึงไม่ต้องใช้พื้นที่ร้านขนาดใหญ่มาก แต่เน้นที่วิธีการผลิตที่รวดเร็ว)
วิสัยของเรย์ทำให้เขามองเห็นว่าธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตไปได้อีกมาก ความทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น บวกกับวิสัยทัศน์และสัญชาติญาณในการเป็นนักขาย ทำให้สมองของเขารีบคิดถึงโอกาสในการทำเงินจากการขายเครื่องมิลค์เชคเป็นจำนวนมากหากร้านแมคโดนัลด์ขยายสาขาออกไปให้มากๆ เขาจึงเจรจากับสองพี่น้องแมคโดนัลด์ที่เป็นเจ้าของร้านเพื่อเสนอตัวเป็นตัวแทนขายแฟรนไชส์ออกไปทั่วประเทศ
แต่หลังจากได้ทำสัญญาร่วมธุรกิจกัน เรย์ก็รู้เขาว่าจะสามารถทำเงินได้น้อยมากจากส่วนแบ่งที่พี่น้องแมคโดนัลด์จะแบ่งให้ เขาจึงเกลี้ยกล่อมเสนอซื้อร้านและลิขสิทธิ์ชื่อ McDonalds มาจากสองพี่น้องซึ่งไม่ต้องการจะจัดการร้านแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ ด้วยเงินก้อนโตในขณะนั้นที่ราคา 2.7 ล้านเหรียญ(แต่พี่น้องแมคโดนัลด์ก็ยังไม่ยอมออกจากกิจการขายแฮมเบอร์เกอร์ โดยยังคงเปิดร้านอยู่ใกล้ๆ ในชื่อ Big M ที่สุดท้ายก็ต้องปิดกิจการไป)
จากนั้นเรย์ ซึ่งมีความทะเยอทะยานและหวังจะคว้าโอกาสสุดท้ายของชีวิตในการสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้ได้ จึงได้ใช้ทักษะในการเป็นนักจัดการและนักขายในการขยายสาขาแฟรนไชส์ออกไปทั่วอเมริกา โดยยังได้ตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อที่ดินไว้ก่อนแล้วให้แฟรนไชส์ร้าน McDonalds ต่างๆ ที่ขยายออกไปนั้นเช่าที่ของตนอีกที เป็นการทำรายได้สามต่อในคราวเดียว(ขายแฟรนไชส์, ขายเครื่องปั่นมิลค์ เชค และให้เช่าที่ดิน)
ปัจจุบัน Ray Kroc ไม่ได้อยู่ทันดูความยิ่งใหญ่ของร้านแมคโดนัลด์ที่ขยายสาขาออกไปทั่วโลกกว่า 30,000 สาขา เขาเป็นตัวอย่างของความไม่ย่อท้อและยังมีไฟแห่งความปรารถนาจะประสบความสำเร็จ(มากยิ่งขึ้น)อยู่ แม้ขณะที่ไปพบร้าน McDonalds เขาก็อายุ 52 แล้ว และยังเป็นช่วงที่เขาต้องผจญกับความเจ็บป่วยหลายโรค(เบาหวาน ไขข้อ ฯลฯ) อีกทั้งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความมีวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่าผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ต้นแบบด้วยซ้ำ (เช่นเดียวกับกรณีของระบบดอสที่บิล เกตส์ซื้อมา และร้านกาแฟสตาร์บัค ที่จะนำมาเล่าในคราวต่อๆ ไป)
Jimmys Analysis
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Ray Kroc นั้นนอกจากจะเกี่ยวข้องกับความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ของเขาแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยที่สำคัญอันหนึ่งที่ผู้ที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศจะต้องมีก็คือ อำนาจของผลิตภัณฑ์ แต่การจะได้ครอบครองผลิตภัณฑ์ดีๆ เหล่านี้ก็ต้องมีวิสัยทัศน์ในการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แล้วรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ พี่ต้องแมคโดนัลด์เป็นนักประดิษฐ์ที่ดีแต่ขาดวิสัยทัศน์ ส่วนเรย์ไม่ใช่นักประดิษฐ์ แต่เป็นนักจัดการที่มีวิสัยทัศน์ เขาจึงไม่สามารถสร้างความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องรอการมาของสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมนั้นด้วย เหมือนเช่นที่เขาเล็งเห็นศักยภาพของเครื่องทำมิล์เชคก่อนหน้านั้น (ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า แม้เรย์จะมีความสามารถในการจัดการ และเครื่องทำมิลค์เชคจะมีศักยภาพ แต่ก็มีขนาดจำกัด เรย์จึงพัฒนาตลาดมันได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น)
อำนาจของผลิตภัณฑ์(ระบบการผลิตและBusiness Model) ที่พี่น้องแมคโดนัลด์สร้างขึ้น บวกกับทักษะในการจัดการของเรย์ ทำให้ร้าน McDonalds ก้าวถึงจุดสูงสุดของศักยภาพได้ ไม่อาจขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับจุดเริ่มต้นของบริษัทไมโครซอฟท์และร้านกาแฟสตาร์บัค ที่ผู้คิดค้นกับผู้พัฒนา(ที่มีวิสัยทัศน์) เป็นคนละคนกัน และจบลงด้วยผู้มีวิสัยทัศน์ได้คว้าเงินก้อนโตไป
Key Success Factors ของเรย์ คร๊อค จึงมีดังนี้
1.มีความทะเยอทะยาน ความพยายาม และทักษะการขายเป็นเบื้องต้นของความสำเร็จระดับพื้นฐาน
2.ความไม่ย่อท้อแม้วัยจะเลยมาถึง 52 ปีแล้วก็ยังคงมีความฝันอันแรงกล้าอยู่
*****จากนั้น Key Success ที่นำมาซึ่งความสำเร็จระดับสูงก็คือ******
3.ความเป็นนักจัดการผู้มีวิสัยทัศน์ สามารถมองออกว่าธุรกิจอะไรมีศักยภาพในการเติบโต
4.อาจเป็นโชคด้วยที่ทำให้เขาบังเอิญมาพบธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ที่ไม่มีใครเห็น เพราะเรย์ไม่ได้สร้างระบบการผลิตนี้ขึ้นมาเอง แต่ต้องมาพบจึงมองเห็นโอกาสต่อยอด
5.เสริมด้วยความสำเร็จของ McDonalds ดังที่กล่าวไปข้างต้น ถ้าเรย์คิดซื้อเพียงแต่ซื้อระบบมา แล้วเปลี่ยนชื่อร้านโดยใช้ชื่อของตนเองแทนว่า ร้าน Kroc (ซึ่งก็จะไปพ้องเสียงกับคำว่า Croc คือจระเข้) บางทีร้านนี้อาจไม่เกิดก็ได้ พลังของชื่อก็มีส่วนเหมือนกันนะครับ
*เรื่องคนที่มีทักษะการจัดการไม่อาจเริ่มธุรกิจได้ด้วยตัวเองได้หากขาด Know How ในการประดิษฐ์สินค้านั้น ผู้สนใจให้ไปติดตามอ่านเรื่อง การทำธุรกิจแบบ 3 ขา หรือ Tripod Theory ดูที่บล๊อกนี้ครับ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=jimmywalker&month=20-02-2008&group=11&gblog=1
Create Date : 18 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 18 มีนาคม 2551 9:38:03 น. |
Counter : 10789 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อากู๋แกรมมี่ ความแข็งแกร่ง และหลักการของพื้นที่

คงไม่ต้องมีการกล่าวนำกันมากมายสำหรับความสำเร็จของชายคนนี้ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เพราะคงแทบไม่มีใครในเมืองไทย หรืออย่างน้อยในเมืองหลวงนี้ที่ไม่ใช้สินค้าของเขา คือ เพลง ของค่ายแกรมมี่ ค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยขณะนี้ ด้วยการผสมผสานจุดเด่นทั้งด้านการผลิตเพลงและความเชี่ยวชาญทางการตลาด จนทำให้ผงาดกลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการบันเทิง และทำให้ไพบูลย์ กลายเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ที่คนไทยรู้จักมากที่สุด (ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 4 ของมหาเศรษฐีไทย)
ไพบูลย์ เกิดเป็นลูกพ่อค้าขายของชำเล็กๆ ร้านหนึ่งในย่านเยาวราช จึงคุ้นเคยกับเรื่องการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก แต่แม้จะคุ้นเคยกับการค้า แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำการค้าทันทีหลังเรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับมุ่งเข้าสู่การทำงานประจำเพื่อต้องการศึกษาวิธีการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจากบริษัทต่างๆ โดยยังคงมุ่งหวังว่าวันหนึ่งจะรวยให้ได้
เขาได้เริ่มงานที่บริษัท ฟาร์อีสท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง บริษัทโฆษณาในเครือของสหพัฒน์ และเรียนรู้งานเกี่ยวการโฆษณาที่นั่นรวมทั้งเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำงานและการทำธุรกิจเพิ่มเติมจากนายห้างเทียม(โชควัฒนา) เข้ามาอีก ที่นี่จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จำทำให้เขาได้ก้าวขึ้นครองบัลลังค์จ้างแห่งวงการเพลงในภายหน้า
ต่อมาก็มีคนมาชวนให้ไปเริ่มก่อตั้งบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือโอสถสภา เต็กเฮงหยู และรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ด้วยวัยเพียง 28 ปี ซึ่งที่นี่เขาได้สร้างชื่อให้สินค้าหลายตัวได้มีชื่อติดตลาดมาจนทุกวันนี้ เช่น น้ำส้มสายชู อสร. ปลาเส้นทาโร่ ฯลฯ และในระหว่างนั้นเขาก็ยังหาอาชีพพิเศษของตัวเองทำอยู่ตลอด โดยเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือ และเปิดบริษัทร่วมกันกับเพื่อน ซึ่งทำทั้งงานโฆษณา ทำวิจัย และงานสถาปัตย์ โดยส่วนนี้ไพบูลย์จะเข้ามาช่วยดูในช่วงกลางคืน เขาจึงเป็นคนที่ทำงานหนักเพื่อสร้างตัวมาตั้งแต่ยังทำงานประจำอยู่
ช่วงที่ทำงานอยู่ที่บริษัท พรีเมียร์ นี้ เขาเริ่มสนใจธุรกิจเพลง เพราะลงทุนไม่เยอะ คู่แข่งก็ไม่มีรายใหญ่มากเหมือนในธุรกิจคอนซูมเมอร์โปรดักส์ และเขาก็ยังมี Key to Success ที่จะเอาชนะคู่แข่งที่อยู่ในตลาดเดิมได้คือ ความเชี่ยวชาญเรื่องการทำสื่อทีวี ซึ่งเขาทั้งเรียนทั้งเคยผ่านงานสายนี้มาแล้ว ยิ่งทักษะในงานโฆษณาที่รู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้รายการออกมาน่าสนใจ ขาดอยู่อย่างเดียวคือ Know How ในการทำเพลง ซึ่งก็โชคดีที่ได้ไปรู้จักกับ พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ เข้า ความเชี่ยวชาญในการทำเพลงที่ดี ที่ติดตลาดง่าย จึงบวกกับความเชี่ยวชาญในการทำสื่อและการตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่งที่มีอยู่แล้วในตลาดเดิม จึงเป็น Key to Success ให้บริษัท แกรมมี่ เอนเตอร์เทนเมนท์ ประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน))
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องนับเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจค่ายเพลงซึ่งต้องทำงานกับคนที่มีบุคลิกเป็นศิลปินจำนวนมากก็คือ ทักษะในการจัดการ ที่สามารถดึงให้คนเก่งๆ อยู่กับบริษัทนานๆ ด้วยการแตกบริษัทลูกออกไปให้ศิลปินที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่แต่ยังคงมีฝีมือได้ออกไปทำงานบริหารแทน รวมทั้งการให้หุ้นในบริษัทแกรมมี่เป็นโบนัสสำหรับศิลปินเด่นๆ หลักการบริหารตรงนี้จึงทำให้ศิลปินของค่ายแกรมมี่ไม่ค่อยย้ายไปอยู่ที่อื่นมากนัก และหลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการธุรกิจเพลงแล้ว อากู๋ไพบูลย์ยังได้ขยายแตกไลน์ออกไปทำธุรกิจต่างๆ อีกมากมายในปัจจุบัน
Jimmys Analysis
ปัจจัยความสำเร็จเบื้องต้นในฐานะนักธุรกิจนั้น หลายๆ คนก็คงรู้กันแล้ว จากบทความก่อนๆ ของผม คือ มีแรงผลักดันและมีปัจจัยพร้อมทั้ง 3 ขา ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจ(ดูหลักการธุรกิจแบบ 3 ขา) เขาเดินหมากอย่างสุขุมรอบคอบ อันเป็นนิสัยพื้นฐานในการทำธุรกิจของเขาที่ไม่ชอบเสี่ยง ไม่ชอบกู้เงินถ้าไม่จำเป็น แต่สิ่งที่ทำให้ไพบูลย์ก้าวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่อาจเรียกได้ว่าเริ่มต้นทำธุรกิจช้ากว่านักธุรกิจระดับแนวหน้าคนอื่นที่สร้างตัวมาจากศูนย์ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มค้าขายหรือทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุยังไม่ 20 เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้อากู๋คนนี้สามารถผงาดขึ้นมาได้รวดเร็ว จึงน่าจะมาจากการเลือกบุกเข้าไปในพื้นทางการตลาดที่สามารถขยายได้อีกมาก(ในตอนนั้น) ในขณะที่ผู้ที่เป็นเจ้าตลาดเดิมนั้นไม่เข้มแข็งมากนัก ซึ่งก็ดูได้จากวันนี้ว่า คู่แข่งในวงการที่ทัดเทียมสูสีกับค่ายแกรมมี่นั้นไม่มีเลย จึงขอสรุป Key Success Factor ของอากู๋ไพบูลย์ดังนี้
Key Success Factors
1.มีแรงผลักดันและความรู้ในการทำการค้าเป็นพื้นฐาน 2.ได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่าง นายห้างเทียม และทำงานโฆษณามาก่อน(ซึ่งนำไปสู่ข้อ 3) 3.เก่งเรื่องการตลาดและการทำสื่อให้ดึงดูดใจ 4.ได้มือดีทางด้านดนตรีมาเป็นหุ้นส่วนคือ พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์
************************************************* (แต่ที่ทำให้ธุรกิจโดดเด่นได้จริงๆ น่าจะมาจาก) 5.เข้ามาในธุรกิจที่ยังมีช่องว่างให้เติมได้เยอะ การแข่งขันไม่สูง กำไรมาก และกลายเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งรายเดียวในตลาดยุคนั้น
*************************************************
ประชาสัมพันธ์ข่าว และในวันที่ 15 มีนาคมนี้ ผมจะจัดสัมมนาเกี่ยวกับหลักการในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับที่อากู๋ไพบูลย์ใช้ในตอนเริ่มบริษัทแกรมมี่ ที่ผมเรียกว่า ทฤษฎีธุรกิจ 3 ขา รวมทั้งหลักการวิธีทำธุรกิจแบบที่จะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ กว่าที่เคยพบมาจากที่อื่น
ท่านที่สนใจกรุณาเข้าไปดูรายละเอียด รวมทั้งสามารถลงชื่อจองที่นั่งได้ในนี้ครับ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=jimmywalker&month=27-02-2008&group=11&gblog=2 หรือ //www.businessfightclub.org/talk/index.php?topic=89.0
Create Date : 11 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 11 มีนาคม 2551 8:47:20 น. |
Counter : 3397 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่าปี่ ความสำเร็จที่ได้มาเพราะคนรอบกาย

ผมหยิบเอาเรื่องของเล่าปี่ หนึ่งในผู้นำของสามก๊กมาพูดถึงในวันนี้เพราะอยากให้เห็นความหลากหลายของเส้นทางในการประสบความสำเร็จ อีกทั้งเรื่องสามก๊กนั้นก็เป็นเรื่องที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องยกเมฆโคมลอย หรือแต่งขึ้นมาทั้งหมด อีกทั้งเรื่องนี้ทำให้เห็นสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการประสบความสำเร็จแบบรู้เขา-รู้เรา ที่ผมกล่าวไว้ในบล็อกกลยุทธ์
การบรรลุความสำเร็จในการสร้างรบและยึดครองพื้นที่เป็นของตนเองได้นั้น ต้องประกอบด้วยพื้นฐานเบื้องต้นดังนี้
1. ต้องมีกองทหารรวมทั้งขุนพลที่ดี ที่เก่งทั้งการรบและการปกครองกลุ่มทหาร 2. การวางแผนหรือมีกลยุทธ์ที่ดี 3.ต้องสามารถยึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ดีได้สถานะจึงจะมั่นคง 4. ต้องเป็นผู้นำที่ดีที่ปกครองให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่กันด้วยความสามัคคี
และทั้งหลายทั้งปวงก่อนที่จะมีสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้จะประสบความสำเร็จต้องมี แรงผลักดันหรือความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จ หากปราศจากแรงผลักดันแล้ว อะไรๆ ก็เป็นไปไม่ได้
เรื่องราวของเล่าปี่โดยละเอียดนั้น แม้ผมจะชอบอ่านเรื่องราวจีนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับสันทัดเรื่องสามก๊กอย่างลึกซึ้ง ฉะนั้นจึงจะขอเล่าประวัติโดยสังเขป
ในประวัติศาสตร์สามก๊กนั้น ที่เกิดการแบ่งแยกออกเป็นก๊กต่างๆ นั้นก็เพราะความอ่อนแอของราชสำนักในสมัยนั้น จึงเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ และยึดเอาฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์เป็นตัวประกันแห่งอำนาจของตน โดยหลังจากแย่งชิงกันไปมา สุดท้ายฝ่ายโจโฉเป็นผู้ได้ยึดครองแผ่นดินส่วนใหญ่ของแผ่นดินจีนเดิม และถือตนเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนฮ่องเต้ เรียกว่าวุยก๊ก
อีกก๊กหนึ่งอยู่ทางตะวันออกนำโดยซุนเกี๋ยน ซึ่งสุดท้ายสืบต่ออำนาจมาถึงซุนกวน ผู้เป็นลูกชายลูก ก๊กนี้ชื่อว่าง่อก๊ก สุดท้ายอีกก๊กหนึ่งซึ่งตั้งตัวได้เป็นก๊กสุดท้าย คือก๊กของเล่าปี่ ที่ตอนแรกต้องระหกระเหินพเนจรไร้ถิ่นฐานของตัวเองและต้องอาศัยเมืองคนอื่นเขาอยู่ จนเมื่อได้มาเจอขงเบ้ง เล่าปี่จึงตั้งตัวได้
ตามประวัตินั้น เล่าปี่เป็นคนยากจนมีอาชีพทอเสื่อขาย แต่เป็นคนมีความทะเยอทะยานอยากเป็นผู้นำแผ่นดิน เมื่อช่วงแรกของการแย่งชิงอำนาจนั้น เล่าปี่เคยไปช่วยโจโฉรบเพื่อปราบกบฏ และช่วงนี้นี่เองที่ได้พบกับกวนอูและเตียวหุย ซึ่งถูกอัธยาศัยไมตรีกัน จึงได้สาบานเป็นพี่น้องโดยมีเล่าปี่เป็นพี่ใหญ่
จากนั้นเล่าปี่ได้รวบรวมกองกำลังทหารและพยายามที่จะแยกตัวตั้งเป็นกองทัพอิสระขึ้น โดยอ้างว่าตนมีเชื้อสายราชวงศ์ขอตั้งตนขึ้นแข่งกับโจโฉ แต่กองทัพของเล่าปี่ก็รบชนะบ้างแพ้บ้าง ไม่มีชัยชนะเป็นชิ้นเป็นอันพอที่จะตั้งเมืองได้ ต้องอาศัยเมืองของพันธมิตรเป็นที่อาศัย และเริ่มท้อแท้หมดอาลัยในหวังที่จะเป็นใหญ่ แต่ก็ได้ยินคนกล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งที่มีสติปัญญาอย่างมาก ชื่อว่าจูกัดเหลียง(ขงเบ้ง) จึงอยากได้มาร่วมงาน
จูกัดเหลียงซึ่งเป็นผู้มีปัญญามาก แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด หลังจากสำเร็จการศึกษาเล่าเรียนแล้ว ก็กลับไปทำนาที่บ้านเกิด (โดยส่วนตัวผมเข้าใจว่า แม้จะมีปัญญาแต่คงเป็นเพราะไม่มีความทะเยอทะยานในอำนาจมากนัก) และเมื่อเล่าปี่ทราบว่ามีผู้มีปัญญามากอยู่ที่นี่ ก็ได้เดินทางไปหาที่กระท่อมหญ้าถึง 3 ครั้งกว่าจะได้พบ ซึ่งบ้างก็ว่าเป็นเพราะขงเบ้งต้องการลองใจและความอดทนของเล่าปี่ และเมื่อได้สนทนาจนเป็นที่ชอบใจ และขงเบ้งเห็นว่าเล่าปี่ยอมรับนับถือตนแล้ว จึงเสนอความคิดด้านยุทธศาสตร์การรบแก่เล่าปี่ จนทำให้เล่าปี่ตั้งเมืองของตัวเองขึ้นได้อย่างมั่นคงที่แถบมลฑลเสฉวน เรียกว่าจ๊กก๊ก และเป็น 1 ใน 3 ก๊กที่เหลืออยู่ แม้เล่าปี่ไม่อาจไปเอาชนะโจโฉที่กำลังทหารเหนือกว่าได้ แต่ก็สามารถมีดินแดนแคว้นของตนซึ่งตั้งเป็นที่มั่นจนเล่าปี่และขงเบ้งตายไป และถูกรวมกลับเป็นแผ่นดินเดียวในเวลาต่อมา
Jimmy Analysis
ในการบรรลุเป้าหมายนั้น ย่อมต้องมีความปรารถนาที่แรงกล้าก่อนเป็นอันดับแรก และมีปัจจัยเหมาะสมต่อการบรรลุเป้าหมายเป็นประการต่อมา เล่าปี่นั้นมีความทะเยอทะยานอยู่เป็นเบื้องต้น แต่คงไม่อาจประสบความสำเร็จในการสร้างกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เล่าปี่มีจุดเด่นคือ เป็นผู้มีความจริงใจรักเพื่อนพ้อง จนได้พบและสาบานร่วมเป็นร่วมตายกับ กวนอูและเตียวหุย ตรงนี้จะเห็นว่าเล่าปี่เริ่มประกอบปัจจัยแห่งความสำเร็จขึ้นมา แต่แม้จะเริ่มมีบารมีและกองทัพ เล่าปี่ก็ยังรู้ตัวว่าตนด้อยสติปัญญาในการวางแผนการรบ จึงต้องแพ้บ่อยครั้ง จึงสมควรหาผู้มีสติปัญญาในการวางแผนมาร่วมงานด้วย และก็คงจะเป็นโชคบวกกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของเล่าปี่ จึงทำให้ได้ขงเบ้งมาร่วมงาน และขงเบ้งนี้ก็ได้ชี้ทางให้เล่าปี่ไปพบกับชิ้นส่วนสุดท้ายของปัจจัยสำคัญในการรบ คือ ที่มั่น หรือแผ่นดินที่จะสร้างความได้เปรียบในการรบ โดยแนะนำให้ยกทัพไปยึดแคว้นเสฉวน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับดินแดนแห่งนี้เลย
แม้ว่าเล่าปี่อาจจะขาดสติปัญญาด้านยุทธ์ศาสตร์ แต่ก็ยังดีที่รู้ตัวว่าเขาเด่นอะไรและด้อยอะไร รวมถึงรู้ว่าต้องการอะไรในการที่จะสร้างความมั่นคงทางทหารได้ และขงเบ้งนี่เองที่มาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
Key Success Factor ของเล่าปี่จึงวิเคราะห์ได้ดังนี้
1.เป็นคนมีความทะเยอทะยานในการเป็นใหญ่
2.อ่อนน้อมถ่อมตน จึงมีเพื่อนมาก ถ้าเล่าปี่ซึ่งไม่ฉลาดในการรบนัก แล้วยังแสดงความโอหังออกมา ก็คงไม่ได้กวนอู กับเตียวหุยมาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และคงไม่ได้ขงเบ้งซึ่งฉลาดหลักแหลม แต่ถือตัวในความฉลาด คนจะปกครองคนเก่งได้ ย่อมต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
3.วิเคราะห์ตัวเองเป็น และหา Key Success Factor ของตนจนครบ เล่าปี่นั้นชีวิตเริ่มดีขึ้นตั้งแต่มีพี่น้อง กวนอูกับเตียวหุยมาช่วยแล้ว (ตามที่เคยกล่าว คนที่มี Key Success Factor มากที่สุดก็จะประสบความสำเร็จมากที่สุด มีน้อยก็ประสบความสำเร็จน้อย) และยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นเมื่อได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษา ถ้าเล่าปี่หลงคิดว่าตนฉลาดแล้วก็คงไม่ได้ขงเบ้งมาช่วยงานเป็นแน่ แต่อย่างไรก็ตามเล่าปี่ก็ยังรอบรู้พอที่จะแสวงหา Key Success Factor ของตนให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อการประสบความสำเร็จที่มากขึ้นตามลำดับ
Create Date : 04 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 4 มีนาคม 2551 7:54:17 น. |
Counter : 8944 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
J.K. Rowling พรสวรรค์ที่ต้องบวกโชค

J.K. Rowling หรือชื่อจริง Joanne Murray (นามสกุกลเดิมRowling) เป็นกรณีศึกษาของการประสบความสำเร็จแบบมีโชคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก แม้ว่าผมจะยอมรับว่า J.K Rowling นั้นมีพรสวรรค์ด้านงานเขียนอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งก็ตาม
Rowling เกิดในครอบครัวชาวอังกฤษในแถบชนบทแห่งหนึ่ง และด้วยอิทธิพลของอะไรไม่ทราบ ทำให้เธอเป็นคนที่หลงใหลในการเขียนนิยายแฟนตาซีมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยเธอเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกตั้งแต่อายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น และมักชอบที่จะอ่านเรื่องที่เธอแต่งนี้ให้กับน้องสาวฟังเสมอๆ
ชีวิตช่วงเด็กนี้อาจเรียกว่าไม่มีอะไรพิเศษมากมาย เพียงแค่ย้ายโรงเรียนไปมาตามครอบครัว แต่อาจได้รับการอิทธิพลเพิ่มขึ้นในการอ่านและเขียนจากป้าของเธอ ซึ่งได้สอนเกี่ยวกับวรรณกรรมคลาสสิกให้ แต่จากการอ่านประวัติของเธอก็พบว่าเธอมีแนวโน้มชอบอยู่คนเดียว คิดอะไรคนเดียวมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เข้าที่เรียนที่มหาวิทยาลัย และรู้สึกว่าตัวเองคิดแตกต่างจากเพื่อนๆ ที่มักเป็นกลุ่มแนวคิดฝ่ายซ้าย เธอจึงแยกตัวอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่
เมื่ออายุ 25 เรื่องราวของโรงเรียนพ่อมดที่จะกลายเป็น Harry Potter ในเวลาต่อมาก็ผุดขึ้นในสมอง ขณะที่นั่งอยู่ในรถไฟขบวนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร เธอเริ่มลงมือเขียนแต่เรื่องราวยังไม่เสร็จ เธอก็ย้ายไปอยู่โปรตุเกสเพื่อเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และได้แต่งงานกับ จอร์จ อารานเตส นักข่าวทีวีชาวโปรตุเกส ซึ่งมีลูกด้วยกัน 1 คน แต่ภายในปีเดียว ทั้งคู่ก็แยกทางกันและย้ายไปอยู่กับน้องสาวที่สกอตแลนด์
เมื่อมีภาระต้องดูแลลูก 1 คน ในสภาพตกงานและต้องอยู่ด้วยเงินสวัสดิการของรัฐ บวกกับเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว Rowling จึงมีอาการของโรคซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังมีแรงบันดาลใจในการเขียนวรรณกรรมเล่มแรกของเธอจนจบ โดยอาศัยเขียนในร้านกาแฟใกล้ๆ กับแฟลตที่อาศัย
ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosophers stone โดยมีบริษัทนายหน้าจะติดต่อหาสำนักพิมพ์ให้หลังจากได้ลองอ่านไปสามบท และแม้ว่าจะส่งไปให้ทางสำนักพิมพ์พิจารณาถึง 12 แห่ง แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด

แต่โชคก็มาถึงเมื่อมีสำนึกพิมพ์หนึ่งชื่อ Bloomsbury รับพิจารณาด้วยเหตุที่ลูกสาวของผู้บริหารที่มีหน้าที่พิจารณาต้นฉบับนั้นได้แอบอ่านด้วย และเธอตื่นเต้นจนอยากจะอ่านบทต่อๆ ไป (โชคแท้ๆ)
แต่โชคนั้นบางทีก็มีขั้นมีตอนของมันเช่นกัน ต้นฉบับแรกในอังกฤษนี้ได้พิมพ์เพียง 1,000 เล่ม และ 500 เล่มในนั้นได้ถูกซื้อเพื่อเก็บเข้าห้องสมุด และสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอกลับไปทำงานประจำเพราะ หนังสือเยาวชน ไม่น่าจะทำเงินได้มากนัก หากแต่ในขณะเดียวกัน ในงานประมูลลิขสิทธิ์หนังสือเพื่อตีพิมพ์ในอเมริกา J.K. Rowling กลับขายเรื่องได้และได้ค่าลิขสิทธิ์ถึง 105,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เธอตกใจมากที่ได้รับเงินมากอย่างไม่คาดคิดมาก่อน โดยลิขสิทธิ์ในอเมริกานี้จะเปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น Harry Potter and the Sorcerers stone
จากนั้นเมื่อมีโอกาสไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นในอเมริกากระแสหนังสือ Harry Potter ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และได้รับรางวัลมากมาย โดยเล่มที่ 4 (Harry Potter and the Goblet of Fire) สามารถขายได้(เฉพาะในอเมริกา)ถึง 3 ล้านเล่มเพียงในสองวันแรกเท่านั้น และในเล่มสุดท้าย(เล่มที่ 7) Harry Potter and the Deathly Hollow ก็สามารถขายได้ในอเมริกาและอังกฤษรวมกัน 11 ล้านเล่มในวันแรกเพียงวันเดียว Harry Potter จึงนับเป็นหนังสือชุดที่ทรงอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนรุ่นนี้มากที่สุด
ปัจจุบันหนังสือ Harry Potter ถูกพิมพ์ออกมาถึงภาคที่ 7 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายแล้วในชื่อตอนว่า Harry Potter and the Deathly Hollows

Jimmys Analysis
จากประวัติย่อของ J.K. Rowling นี้ จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการผสมผสานระหว่างความสามารถและโชคอย่างไม่ต้องสงสัย ตามแบบฉบับความสำเร็จของศิลปินหลายๆ คน เพราะศิลปินนั้นส่วนใหญ่แม้จะมีฝีมือ แต่หลายๆ คนก็ไม่รู้และไม่เข้าใจวิธีทำให้ตัวเองโด่งดัง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยหลักการตลาด ศิลปินเหล่านี้หลายคนจึงประสบความสำเร็จเพราะคนๆ หนึ่งที่มีสายตาเฉียบแหลมมาพบเห็นโดยบังเอิญ แล้วคนๆ นี้จึงช่วยผลักดันส่งเสริมให้ศิลปินเหล่านี้โด่งดังอีกทีหนึ่ง (เราจะเห็นความสัมพันธ์นี้อย่างมากมายในวงการบันเทิง เช่น แมวมองไปค้นพบนางแบบ ค่ายเทปค้นพบนักร้องเสียงดี)
ซึ่งเจ. เค. ก็เช่นกัน ความสำเร็จของเธอไม่ได้มาจากความทะเยอทะยานในเงินหรือประสบความสำเร็จอะไร ระหว่างเขียนเธอเพียงเขียนไปตามที่อยาก หรืออย่างมากก็เพียงหวังได้ค่าเรื่องมาประทังชีพเท่านั้น เธอเพียงมีแรงบันดาลใจและพรสวรรค์ในการผูกเรื่องราวที่สนุกสนานตื่นเต้น อย่างเช่นที่ อกาธา คริสตี้ มีพรสวรรค์ในการเขียนเรื่องสืบสวน บวกกับความกล้าลงมือติดต่อที่หาคนนำไปพิมพ์อีกนิดหน่อย (ไม่ใช่เขียนแล้วเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ) ที่เหลือที่นำเธอไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นคือโชคด้วย ดังที่คนจีนจะพูดเสมอถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของคนเรานั้น จะต้องมีเก่งบวกเฮง หรือฝีมือบวกโชคด้วยอย่างแน่นอน
ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ความสำเร็จของ J.K. Rowling นั้น มีKey to Success หลักเพียงสองตัวเท่านั้นที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ณ วันนี้คือ 1.พรสวรรค์ 2.โชค เธอเป็นเหมือนโคตรเพชรที่อยู่ในโคลนตม รอคนมาค้นพบเท่านั้นเอง
และสิ่งที่ผมต้องการสื่อในการนำกรณีของ J.K. Rowling มาเป็นอีกหนึ่งเคสนั้น เพื่อจะให้เห็นเส้นทางที่แตกต่างหลากหลายของคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองนั้น ผมจะให้น้ำหนักไปในทางแรงผลักดันภายในตัวเอง(ที่จะประสบความสำเร็จ)เป็นเรื่องหลัก แต่กรณีของ J.K. Rowling นั้น ผมเชื่อว่าเธอแทบจะไม่มีแรงผลักดันในการประสบความสำเร็จเลย โดยเฉพาะในช่วงที่เขียนเล่มแรกนั้น
และอีกอันหนึ่งที่อาจนำหลักการตลาดมาเปรียบได้ก็คือ Power of Product ครับ สินค้าดี และหาคนเลียนแบบไม่ได้ ย่อมมีคนต้องการเสมอ นี่แหละครับเส้นทางของเธอ
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 13:52:54 น. |
Counter : 2993 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]

|
จากทักษะของการเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ บวกกับความสนใจใน"กระบวนการ"และ"ปัจจัย"ที่ก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จ ที่ทำให้ผมศึกษาและวิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวจำนวนมาก จนเชี่ยวชาญในองค์ความรู้พอที่จะขอเรียกตัวเองว่า "ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งความสำเร็จ"
|
|
|
|
|
|
|