|
Warren Buffett ผู้ชนะด้วยภูมิปัญญา

ในการแข่งขันต่างๆ บางครั้งการแข่งขันระหว่างสองฝ่ายที่มีสไตล์การเล่นหรือระบบการทำงานที่แตกต่างกันก็มีความสนุกไปอีกแบบ เพราะต่างฝ่ายต่างจะเป็นเหมือนตัวแทนของระบบหรือของสไตล์ นักมวย fighter ชกกับนักมวย boxer ทีมถนัดรุกกับทีมถนัดรับ บุ๋นกับบู๊ ฯลฯ และในเกมการแข่งขันกันประสบความสำเร็จโดยมีจำนวนเงินเป็นตัววัด ก็คงไม่มีอะไรจะสนุกเท่ากับการดู บิล เกตส์ ผู้ร่ำรวยจากการสร้างบริษัท ที่มีสินทรัพย์เป็นอันดับหนึ่งของโลก แข่งกับ วอเรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีหุ้นที่ตามมาติดๆ เป็นอันดับสอง (ปัจจุบัน ทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน) *ที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่า Carlos Slim Helu มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันได้โค่นบัลลังของบิล เกตส์ได้แล้ว แต่เท่าที่เช็คข้อมูลจากเวบไซท์ของฟอร์บ เฮลู ยังอยู่อันดับสาม
วอเรน บัฟเฟตต์ เป็นสัญลักษณ์ของมหาเศรษฐีผู้ทรงภูมิปัญญา ที่ต่างจากมหาเศรษฐีเลือดร้อนแบบ บิล เกตส์ วอเรนจึงมีสไตล์การสร้างความร่ำรวยแบบค่อยเป็นค่อยไปและไม่เสี่ยง เขาทำงานและซื้อหุ้นเหมือนเล่นเกมแห่งการแข่งขัน โดยที่ไม่ได้หวังต้องการได้มาซึ่งภาพอันหรูหรามั่งคั่งแบบมหาเศรษฐีทั่วไป
ทุกวันนี้ แม้จะร่ำรวยขนาดเป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก แต่วอเรนก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าที่ซื้อตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว(ปี 1958) ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 700,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 28 ล้านบาทเท่านั้นเอง
วอเรน ซึ่งปัจจุบันอายุ 77 ปีแล้ว เป็นลูกคนเดียวของนักค้าหุ้น(Broker) ในเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่สำคัญนักอยู่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา พ่อของเขานอกจากจะมีอาชีพเป็นนักค้าหุ้นแล้ว ยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐเนบราสกาด้วย
วอเรนเป็นนักอ่านตัวยง และมีแววฉลาดมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะความถนัดด้านคณิตศาสตร์และเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ เขาไปทำงานกับพ่อตั้งแต่อายุ 11 ปี และนั่นทำให้เขาได้ซื้อหุ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต เป็นหุ้นของ Cities Services ในราคาหุ้นละ $ 38.25 และขายไปภายหลังในราคาหุ้นละ $ 40 ซึ่งในภายหลังหุ้นตัวนี้ได้ทะยานขึ้นถึงหุ้นละ $ 200 ในสองสามปีต่อมา ซึ่งสิ่งนี้เองที่สอนเขาถึงความสำคัญในการซื้อหุ้นระยะยาว
อายุ 14 เขาก็เริ่มต้นทำธุรกิจโดยหุ้นกับเพื่อนคนหนึ่งซื้อเครื่องเล่นพินบอล แล้วไปขอเช่าที่วางในร้านตัดผม เขาเริ่มทำเงินได้มากขึ้นอีกจากการรับส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน และเมื่ออายุ 16 ปี วอเรนก็เก็บเงินได้ถึง 5,000 ดอลล่าร์ ซึ่งสมัยนั้นต้องถือว่าเป็นเงินมากพอดู วอเรนเริ่มคิดว่าการเรียนนั้นไม่จำเป็นและจะเป็นอุปสรรคสำหรับการทำธุรกิจของเขา แต่ก็ตัดสินใจเรียนต่อตามคำขอของพ่อ จาก Wharton School จนถึง University of Nebraska และเริ่มสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มสำคัญในชีวิตของเขา คือ The Intelligent Investor ของ Benjamin Graham และได้เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งที่นี่เขาได้เรียนกับ เบนจามิน เกรแฮม และอาจารย์อีกสองสามคน ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมแนวคิด การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่เขาใช้ในการลงทุนตลอดชีวิต (ลองคิดดูครับว่า ถ้าวอเรนตัดสินใจไม่ได้เรียนต่อ และไม่ได้มาพบกับอาจารย์เหล่านี้ บางทีแม้เขาอาจจะสร้างความร่ำรวยได้ แต่อาจจะไม่ถึงขนาดปัจจุบันก็ได้ ใครจะรู้?)
และหลังจากที่เรียนจบด้วยเกรด A+ ทั้งหมด วอเรนก็หาทางจะเรียนรู้กับเบนจามิน เกรแฮมต่อ และได้ทำงานกับบริษัทด้านการลงทุน Graham Newman ที่เกรแฮมเป็นหุ้นส่วนอยู่เวลาต่อมา และลาออกเมื่อเกรแฮมเกษียณในอีก 2 ปีต่อมา
หลังจากนั้นเขาได้เปิดห้างหุ้นส่วนเพื่อการลงทุน(Investment Partnership) ขึ้น โดยวอเรนลงทุน $ 100 และระดมทุนได้อีก $ 105,00 จากเพื่อนและคนในครอบครัวอีก 7 คน และเพิ่มอีกหลายคนในภายหลัง ซึ่งออฟฟิศของวอเรนก็คือภายในบ้านของเขานั่นเอง และโดยใช้หลักการต่างๆ จากอาจารย์ของเขา โดยเฉพาะหลักการของเบนจามิน เกรแฮม ทำให้วอเรนสามารถสร้างผลตอบแทนเงินลงทุนได้ในอัตรา 30 % ในช่วงปี 1956 1969 ซึ่งคนอื่นโดยทั่วไปทำได้เพียง 7 11 % เท่านั้น
และในตลอดชีวิตการลงทุนของเขา แม้ว่าจะมีคนอื่นๆ ที่ใช้หลักการเดียวกันกับเขา วอเรนก็เป็นคนเดียวที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เก่งกว่าแม้กระทั่งอาจารย์ของเขาเอง
ภายหลัง วอเรน บัฟเฟต ได้เข้าซื้อบริษัทผู้ผลิตอุตสาหกรรมสิ่งทอที่กำลังมีปัญหาชื่อ บริษัท Berkshire Hathaway เพราะขายในราคาต่ำกว่าทุน และที่นี่เอง วอเรนได้พบกับหุ้นส่วนในอนาคต และหุ้นส่วนตลอดชีวิตของเขา ชาลี มังเกอร์ ซึ่งเป็นรองประธานบริษัทเบิร์กไชร์นี้ และบอกกับวอเรนว่า การตัดสินใจซื้อบริษัทนี้เป็นสิ่งผิดพลาดอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง วอเรนได้เลิกทำห้างหุ้นส่วนเดิม และหันมาปรับปรุงบริษัท เบิร์กไชร์ ฯ อย่างเต็มตัว โดยมีชาลี มังเกอร์เป็นหุ้นส่วน และได้เปลี่ยนบริษัทนี้ให้เป็นบริษัทด้านการลงทุนแทนบริษัทสิ่งทอที่เคยทำ ปัจจุบัน วอเรน บัฟเฟตต์ และชาลี มังเกอร์ ก็เข้าไปซื้อหุ้นและถือครองบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย ภายใต้การลงทุนของบริษัท เบิร์กไชร์ แฮทาเวย์ นี้ และเขาเป็นผู้ที่สร้างผลตอบแทนการลงทุนได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุน จนปัจจุบัน วอเรน บัฟเฟตต์ มีทรัพย์สินเป็นเงินราว 52,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท
*ในที่นี้ผมจะไม่กล่าวลงลึกถึงหลักการลงทุนของบัฟเฟตต์ แต่จะกล่าวโดยย่อว่า การลงทุนของบัฟเฟตต์นี้ไม่เหมือนการเล่นหุ้นแบบเล่นหุ้นทั่วไปที่มักซื้อขายและเก็งกำไรในระยะสั้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก แต่วอเรน บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นเหมือนการทำธุรกิจ โดยจะซื้อเมื่อหุ้นนั้นมีราคาในตลาดต่ำกว่ามูลค่าจริงของหุ้น แล้วเลือกบริษัทที่มีอนาคตในระยะยาว โดยเฉพาะด้านศักยภาพในการแข่งขัน แล้วหาโอกาสเข้าไปปรับปรุงการบริหาร โดยเลือกผู้บริหารที่มีฝีมือดีเข้าไปทำงาน และหลักการปลีกย่อยอีกหลายอย่าง
Jimmys Analysis
วอเรน บัฟเฟตต์เป็นตัวแทนของการสร้างความร่ำรวยจากสติปัญญาโดยแท้ เขาทำเงินครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่ได้อาศัยศักยภาพของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก แบบบิล เกตส์ โดยส่วนตัวแล้ว ผมจึงมองว่า ในเฉพาะด้านของความเข้าใจในการทำธุรกิจและบริหารธุรกิจ วอเรนมีความเหนือกว่าบิลมาก ส่วนบิล เกตส์นั้นอาศัย ความเข้มแข็งของผลิตภัณฑ์ที่โลกต้องการและเกือบจะผูกขาดแต่ผู้เดียวเป็นเครื่องมือทำเงิน
และผมขอวิเคราะห์สรุปท้ายถึงปัจจัยความสำเร็จของ วอเรน บัฟเฟตต์ดังนี้
1.อันดับแรกแน่นอนว่าเพราะเกิดเป็นลูกคนเดียวของนักค้าหุ้น - จึงทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องหุ้นและธุรกิจเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก รวมทั้งรู้จักการทำธุรกิจตั้งแต่เด็กมากๆ
2.ชอบการแข่งขัน - โดยส่วนตัว ผมไม่คิดว่าวอเรนเป็นคนมีความทะเยอทะยานทางการเงินมากมายอะไร สังเกตได้จากเขาไม่ต้องการเสี่ยงเพียงเพื่อจะได้รวยเร็วๆ แบบคนทะเยอทะยานทั่วไป และก็ไม่ต้องการเอาความมั่งคั่งที่มีไปโชว์หรืออวดใคร เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก แต่เพียงเพราะเขารู้สึกสนุกกับการทำงาน(การลงทุน) และเพียงต้องการทำให้ดีที่สุด หรือต้องการเพียงชนะการแข่งขันในสิ่งที่เขาชอบเท่านั้น (ซึ่งมีบางส่วนคล้ายกับบิล เกตส์ เห็นได้จากสุดท้ายแล้ว เขาก็จะบริจาคเงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ให้กับการกุศล แบบว่าขอแค่ชนะ เงินรางวัลฉันไม่สนใจ อะไรประมาณนั้น)
3.กระตือรือร้น กล้าคิด กล้าทำ - แต่แม้ว่าวอเรนจะไม่ใช่คนทะเยอะทะยานมาก แต่เขาก็เป็นคนที่กระตือรือร้น กล้าคิด กล้าทำ ตั้งแต่ยังเด็ก รวมทั้งเป็นคนที่มีสติปัญญาดีมากเกี่ยวกับการคำนวณ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของเขาอย่างยิ่ง
4.ได้พบอาจารย์ดี - การได้พบกับเบนจามิน เกรแฮม และอาจารย์อีกสองสามคน เป็นจุดเปลี่ยนอันหนึ่งที่ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นระดับโลกได้ แต่แน่นอน วอเรนนำหลักการเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง เขาจึงพิสูจน์ได้ว่าเขาได้อาจารย์ดี และเขาเก่งกว่าอาจารย์ของเขาเสียอีก
5.มีระเบียบและวินัยสูง - จะสังเกตได้ว่า วอเรนเป็นคนประหยัด ฉะนั้นการที่เขาเอาเงินส่วนใหญ่ที่หามาได้กลับเข้าไปในการลงทุนทั้งหมด จึงทำให้เข้าขยายผลตอบแทนได้เป็นอันมาก ถ้าวอเรน รีบซื้อรถสปอร์ต หรือบ้านหรูๆ ให้ตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่ม ผมคิดว่าวอเรนอาจจะไม่ติดในอันดับ top 100 ในวันนี้ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ความอดทนหนักแน่น ทำให้เขาสามารถซื้อหุ้นแล้วรอคอยมันค่อยๆ สร้างผลตอบแทนขึ้นมาในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งผู้ที่ไม่อดทนไม่สามารถทำได้
ความสำเร็จของวอเรน บัฟเฟตต์ เป็นเครื่องพิสูจน์อันหนึ่งว่า คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาที่มากกว่า วอเรนไม่ต้องไปนั่งคิดสร้างผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก เขาก็สามารถรวยระดับต้นของโลกได้ ด้วยวิธีการของเขาเอง
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 13:04:14 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1197 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ IP: 66.31.245.228 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:38:48 น. |
|
|
|
โดย: eggies วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:56:10 น. |
|
|
|
โดย: สู้ต่อไป IP: 202.91.17.2 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:19:29:57 น. |
|
|
|
โดย: ปล่อยใจ IP: 124.121.171.93 วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:11:10:41 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]

|
จากทักษะของการเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ บวกกับความสนใจใน"กระบวนการ"และ"ปัจจัย"ที่ก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จ ที่ทำให้ผมศึกษาและวิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวจำนวนมาก จนเชี่ยวชาญในองค์ความรู้พอที่จะขอเรียกตัวเองว่า "ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งความสำเร็จ"
|
|
|
|
|
|
|