All Blog
เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก

 
ผู้ใดครองอำนาจอยู่ ผู้นั้นย่อมต้องการสงวนอำนาจให้อยู่ในกำมือตนให้นานที่สุด แม้นจะใกล้สิ้นลมหายใจยังต้องการให้อำนาจนั้นอยู่ตลอดไป แต่ใช่ว่าจะสมดังใจหวังทุกผู้คนเพราะอำนาจอาจบินหนีหายวับไปกับตา
อภิสิทธิ์ชนถือกำเนิดจากชนชั้นสูงหรือตระกูลผู้ดีที่เคยได้โอกาสผงาดขึ้นมาแต่เก่าก่อน และคงจะทะยานต่อไปให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีฐานเดิมที่สูงส่งอยู่แล้ว ส่วนคนสามัญธรรมดายากนักที่จะก้าวขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่ได้
เพราะกว่าจะตะกายขึ้นไปให้สูงเท่าฐานเดิมของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนก็ยากอยู่แล้ว
               การก้าวกระโดดให้เด่นเหนือใคร ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นลิขิตฟ้าที่กำหนดมา โดยไม่อาจเลี่ยงได้ ทำไมบางคนได้สิ่งสูงค่ามาอย่างง่ายดาย แต่บางคนตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายแต่ไม่อาจได้ในสิ่งที่คิดหวังแม้แต่น้อย
ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะครอบครองอำนาจ อาจไม่ใช่ความจริงเสมอไป
ถ้าอ่านประวัติศาสตร์จีนจะรู้ว่า มีชาวบ้านที่เป็นชาวนาได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นฮ่องเต้ และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยมีโอกาสก้าวมาเป็นฮ่องเต้ได้เช่นกัน
นานมาแล้ว พ.ศ. 337 – 348 หลิวปังลูกชาวนาที่ยากไร้ เกิดในอำเภอเพ่ยเสี้ยน ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์ฮั่น พระนามฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้
ต่อมา พ.ศ. 1161 –1169 หลี่หยวนเป็นขุนนางดูแลมณฑลไท่หยวนทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อราชวงศ์สุยล่มสลายลง หลี่หยวนได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมาด้วยการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อค้าไม้แซ่บูซึ่งเป็นพ่อของพระนางบูเช็กเทียน ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ถัง พระนามถังเกาจู่ฮ่องเต้
พ.ศ. 1503 – 1519 เจ้ากวงอิ้นลูกชายของเจ้าหูยิ่น อายุ 21 ปี เดินทางรอนแรมแสวงหาอำนาจใหม่เมื่อพ่อสิ้นอำนาจ วันหนึ่งนักพรตเต๋าทำนายว่าจะเจริญก้าวหน้า ถ้าเข้าสู่สงคราม เพราะพลังแห่งศรัทธาและความเชื่อมั่น จึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นโจว สุดท้ายเป็นซ่งไท่จู่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ซ่ง
พ.ศ. 1911 - 1941 จูหยวนจางชาวนา ปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง พระนามหมิงไท่จู่ฮ่องเต้
นั่นมันเมืองจีน ที่โอกาสมาถึงลูกชาวนาตาสีตาสาได้
ด้วยทั้งสามชอบค้นคว้าอ่านหนังสือตำรับตำรา เมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์จีนจึงให้ตื่นเต้นและรู้สึกเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากกับโอกาสของชาวนาที่ก้าวเป็นถึงฮ่องเต้
 
เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ทรงชุบเลี้ยงนายศรีให้เป็นมหาดเล็กหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับตำแหน่งมหาดเล็กหุ้มแพรเมื่ออายุ 14 และได้เป็นหัวหมื่นมหาดเล็กตำแหน่งจมื่นศรีอายุเพียง 17 ปี
เพื่อนกันวัยเด็ก นายศรี นายเดช นายชัย บัดนี้เริ่มเป็นหนุ่มน้อยในสมัยนี้ แต่สมัยนั้นผู้คนอายุไม่ยืนยาวนัก อายุเพียงสิบกว่านับโตเต็มที่แล้ว มีโอกาสรับราชการเป็นขุนนางกันแล้ว
นายศรีเมื่ออายุ 17 ได้เป็นถึงจมื่นศรี หัวหมื่นมหาดเล็ก ตำแหน่งใหญ่โตมิใช่เบา นายเดชได้เป็นคุณหลวง นามว่าหลวงเดช นายชัยก็เช่นกันได้เป็นคุณหลวง นามว่าหลวงพิชัย
นับเป็นการก้าวกระโดดที่รวดเร็วมากสำหรับการเป็นมหาดเล็กหลวง ทั้งนี้เพราะเส้นสายที่ใหญ่โตด้วยเป็นหลานชายของพระสนมที่รักยิ่งของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร ด้วยเกิดในปีเดียวกัน และที่สำคัญที่หลายคนแอบซุบซิบคือเพราะเป็นพระโอรสลับในเจ้าเหนือหัวนรสิงห์นั่นเอง
นอกจากเส้นสายเส้นสนกลในแล้ว ลักษณะเด่นของนายศรีคือเป็นเด็กฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบสูงมาก เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ชอบอ่านค้นคว้าเพิ่มเติมในหอบรรณาลัยที่เก็บตำราหลวง จึงรอบรู้เรื่องราวต่าง ๆ เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยไม่มีใครรู้ว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะแรงทะเยอทะยานภายในใจที่สูงกว่าใคร ๆ
อีกสิ่งคือ นายศรีจะเข้าหาและใกล้ชิดกับเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ จ้าวทัศน์และจ้าวอินทรมาก ๆ มากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุใด คงมีแต่นายศรีที่รู้ว่าในใจตนคิดเช่นไร อาจคิดว่าเพราะตนคือพระโอรสเหมือนพระโอรสองค์อื่นกระมัง จึงสมควรได้รับสิ่งนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อได้เรียนรู้กับพระอาจารย์พร้อมกับจ้าวทัศน์และจ้าวอินทร มักเรียนได้รวดเร็วกว่า ยิ่งกว่านั้นยังใส่ใจการฝึกวิทยายุทธ เรียกว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ทีเดียว เป็นที่พึงพอใจของพระอาจารย์ทั้งหลายจนกราบทูลต่อเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ให้ทรงรับทราบเสมอ ๆ ยิ่งทำให้เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ทรงพอพระทัยในนายศรีมากยิ่งขึ้น
ทว่าในความพึงพอพระทัยว่าจมื่นศรีมีฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งบุ๋นและบู๊นั้น อาจมีบางครั้งที่แอบถอนหายใจลึก ๆ ด้วยเหตุใดไม่มีใครรู้และตั้งข้อสงสัย
บางคนอาจแอบคิดว่า เป็นเพราะนายศรี มิสมควรจะเก่งกาจกระมัง คนที่ควรจะเก่งกล้าเหนือกว่าผู้ใดในหล้าน่าจะเป็นจ้าวทัศน์เสียมากกว่าใคร ๆ เพราะจะเป็นผู้ที่ได้เป็นเจ้าเหนือหัวองค์ต่อไป หากมีคนที่เก่งทัดเทียมหรือเก่งกว่า มันมิน่าสงสัยหรอกรึว่า มันน่ากลัวเหมือนกันนิ
คงไม่มีใครอยากชุบเลี้ยงคนที่เก่งกว่าไว้ใกล้ตัว ให้คนอื่นประเมินค่าและแอบติฉินนินทาว่า มีลูกน้องเก่งกาจกว่า
หลายต่อหลายครั้งที่นายศรีแสดงความเด่นเหนือกว่าพระโอรสของพระองค์เสียอีก และเป็นเหตุให้บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงคุณลักษณะเหล่านี้ แต่คงไม่มีใครกล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันมิบังควรที่จะวิจารณ์ถึงความสามารถของพระโอรสกับพระสหายร่วมเรียน
นอกจากนายศรีจะมีมาดของผู้นำแต่เล็กแต่น้อยแล้ว ด้วยนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนทำให้สนใจอ่านหนังสือและไปพูดคุยกับผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นบิดา เพื่อนบิดา คนต่างชาติที่มารับราชการ รวมทั้งอ่านหนังสือมากมาย แทนการไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป ทำให้นายศรีดูโดดเด่นเหนือกว่าเพื่อน ๆ
 
บางคนอ่านประวัติศาสตร์พงศาวดารแล้วก็อย่างงั้น ๆ คืออ่านไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรติดค้างเข้ามาในสมองให้ขบคิดต่อ แต่คงไม่ใช่กับนายศรี นายเดช นายชัย
บางคนกลับคิดว่า อดีตเป็นเรื่องล้าหลังไม่ทันสมัย โดยไม่ทันคิดว่า ทุกอย่างอาจย่ำรอยเดิมวนกลับมาใหม่ได้ การรู้อดีตเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิม และทำให้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาของคนรุ่นเก่าที่สามารถเอาชนะปัญหาอุปสรรคได้
เมื่อทั้งสามอ่านหนังสือเล่มใด มักหาโอกาสเสวนาเปิดประเด็นต่อกันเสมอ บางครั้งอาจนำไปพูดคุยบอกเล่าต่อจ้าวทัศน์กับจ้าวอินทร ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่ชาวนาหรือขุนนางสถาปนาราชวงศ์ใหม่และปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นฮ่องเต้ เพราะคิดแล้วเหมือนจะร่วมกันก่อกบฎอย่างไรไม่รู้ หรือมีความคิดเช่นนี้ในสมองได้อย่างไร
คนเราเมื่ออ่านมากย่อมรู้มากเป็นธรรมดา ขยายขอบเขตแห่งความรู้ให้มากขึ้น ที่น่าแปลกเมื่อรู้มากขึ้น กลับคิดว่าสิ่งที่ตนไม่รู้นั้นมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เปรียบประดุจดังแสงเทียนจากเทียนแท่งใหญ่ย่อมมีรัศมีกว้างกว่ารัศมีของเทียนแท่งเล็ก แล้วความมืดรอบรัศมีนั้นเปรียบประดุจความไม่รู้
“พี่ท่าน มันเป็นไปได้นะที่เมืองจีน ชาวนาก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ชาวนาบ้านเราคงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอกนะ” หลวงพิชัยเอ่ยขึ้นมาหลังจากอ่านจบและรู้เรื่องนี้ แต่ทว่าน้ำเสียงค่อนไปทางวิตกกังวลว่า ความคิดนี้จะไปกวนใจของพี่ศรี ด้วยรู้มาตลอดว่า พี่ศรีเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง
การรู้เรื่องเช่นนี้น่าจะไปเพิ่มต่อมกิเลสแห่งความอยากได้ใคร่ดีให้ถ่างขยายกว้างขึ้น หลวงพิชัยจึงทำเสียงเบา ๆ แทบกระซิบ แต่หาได้ทำให้อีกสองไม่ใส่ใจ เพราะทั้งสองฟังชัดและเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันเพิ่มขึ้น
“นั่นสินะ มันน่าแปลกจริง ๆ แปลว่า เขาต้องเก่งกล้าสามารถหรือมีคุณลักษณะพิเศษอะไรที่ดึงดูดคนมาร่วมงานได้ขนาดนี้ จนตั้งตัวเป็นใหญ่ได้” หลวงเดชเอ่ยขึ้นบ้าง อย่างพินิจพิจารณาถึงสาเหตุแห่งความเป็นไปได้
“เราต้องพิจารณาว่า เขาทำอะไร เขาจึงได้เป็นฮ่องเต้ มีฝีไม้ลายมืออย่างไรด้วย ไม่ใช่เอาแต่ชื่นชมยินดีหรือมัวแต่พิศวงงงงวย ทำไมคนธรรมดาคนหนึ่งจึงก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดได้” จมื่นศรีเอ่ยต่อ พลางช่วยกันสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
“ใช่ ขอรับ พอเรารู้ว่าชาวนาได้ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แล้วพากันตื่นเต้นยกใหญ่ แต่ถ้าลองค้นคว้าไปเรื่อย ๆ อาจจะรู้ว่า มันไม่ได้ง่ายเลยที่คนธรรมดาจะปราบดาภิเษกแล้วตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่คนกิ๊กก๊อก แค่เพ้อฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่แล้วจะได้เป็นเสียเมื่อไหร่กันเล่า” คราวนี้หลวงเดชทำท่าจะอธิบายเสียยกใหญ่
“กระผมคิดว่า มันต้องมีหลายเหตุ แล้วแต่ละเหตุมาเกิดพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะ” หลวงพิชัยพูดเสริม ทั้งที่ตอนแรก ไม่ได้อยากให้เกิดเป็นประเด็นให้ถกเถียง แต่แล้วไปแล้ว เลยตามเลย
“อะไรบ้างล่ะ ไอ้ที่ว่าเหตุหลายเหตุน่ะ” หลวงเดชรุกต่อ อย่างอยากรู้ความคิดเห็น
“ก็ คนที่เป็นฮ่องเต้เดิมคงไม่ได้เรื่อง คนเลยอยากเปลี่ยนแปลง อาจอ่อนแอ อาจไม่ได้เรื่อง เสเพลสำมะเลเทเมา ไม่รู้อำนาจหน้าที่ ปล่อยให้ชาวบ้านลำบากลำบนเดือดร้อน เลยอดรนทนกันไม่ไหว พอมีผู้นำใหม่ขึ้นมา ที่พอจะมีฝีมือ มีอุดมการณ์ที่อยากช่วยชาวนาจริงจัง เลยลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน” หลวงพิชัยพยายามอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกในรูปแบบที่น่าจะเข้าใจได้
“ใช่ อย่างที่หลวงพิชัยพูดนั่นแหละ ถ้าฮ่องเต้เดิมเก่ง ชาวบ้านอยู่ดีกินดี คงไม่มีใครอยากลุกมาต่อต้านให้เสียเลือดเนื้อและไพร่พลหรอก อยู่ดี ๆ ลุกมาต่อต้าน ใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย ๆ ต้องทนไม่ไหวกันจริง ๆ และอย่างเหลืออดเหลือทนด้วย เลยมีแรงฮึดสู้กับอำนาจเก่า” หลวงเดชพูดเพิ่มเติม อย่างนักวิชาการอภิปรายกัน
“มันต้องคิดอย่างละเอียดลออ และรอบด้าน มันต้องเกิดจากเหตุหลายเหตุจริง ทุกอย่างมันเข้ามาพร้อมกันจริง ๆ ทั้งผู้นำเก่าที่แย่ ผู้นำใหม่ที่เก่งกาจ และชาวบ้านที่ลำบากจำนวนมาก ชนิดที่คิดว่า ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วมา
รวมตัวกันด้วยความรู้สึกที่แรงกล้า จนยอมเสี่ยงตาย ตายเป็นตาย อะไรทำนองนั้น” จมื่นศรีเอ่ยขึ้นมาบ้าง “มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แต่มันเกิดขึ้นมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ที่ชาวนาก้าวขึ้นมาแทนที่รัชทายาท”
ทั้งหมดได้พูดคุยเสวนาราวกับผู้มีความรู้ แต่กระทำภายในห้องหอมิดชิด ถึงจะเป็นมหาดเล็กใหญ่โต เป็นถึงจมื่นและคุณหลวง แต่เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครพูดกัน เป็นเรื่องสูงที่มิบังควรพูดถึงในที่แจ้ง นอกจากแอบซุบซิบ ไม่เช่นนั้นอาจมีบางคนแอบมาได้ยินแล้วใส่ร้ายป้ายสี ในข้อหากบฏคิดล้มล้างอำนาจ
“อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน ไม่ว่าใครเมื่อมีโอกาสย่อมปรารถนาด้วยกันแทบทั้งหมดทั้งสิ้น คงยากที่จะยอมปล่อยหรือวางมือง่าย ๆ เมื่อรู้ว่ามีผู้คิดจะมาแย่งชิงอำนาจ สู้เป็นสู้ ไม่ยอมถอยง่าย ๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นรึ ถ้าไม่ใช่การต่อสู้อย่างโรมรัน” จมื่นศรีทำเสียงต่ำ ๆ แล้วกล่าวต่อ “ผู้มีอำนาจตัวจริง ได้แต่ชี้นิ้วสั่งการ ใครล่ะตายก่อน ถ้าไม่ใช่พวกทหารชั้นผู้น้อย กับชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสา พี่ล่ะเวทนาจริง ๆ กับเรื่องราวแบบนี้ และตั้งใจไว้เลยจะไม่ทำ หรือหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด จะไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง แย่งชิงอำนาจกันเป็นแน่”
“พี่ท่านกล่าวราวกับจะให้สัตย์สาบาน ปฏิญาณ อย่างไรอย่างนั้นเลยนะ พอถึงเวลา ความจำเป็น มันอาจจำต้องทำ แม้นไม่อยากทำ แม้นไม่เต็มใจทำ อย่างไรก็ตาม กระผมรู้สึกดีเมื่อได้ยินพี่ท่านกล่าวเช่นนี้ และหวังว่า พวกเราคงจะไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้” หลวงพิชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยินดีอย่างจริงใจ
“ถึงมาดพี่ท่านจะเข้มสักนิด วาจาแรงสักหน่อย แต่น้ำใจนี่สิช่างตรงข้าม ใจดี ใจอ่อนเป็นที่สุด ใช่ไหมขอรับ”
หลวงเดชทำเสียงเล็กเสียงน้อย เหมือนจะแหย่จมื่นศรีกับหลวงพิชัยให้หายจริงจังเกินเหตุ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยค่อยเย็นลง ทั้งจมื่นศรีและหลวงพิชัยเลยหัวเราะออกมาดังลั่น
“ระวังตัวให้ดีเถอะ มาล้อเลียนพี่ท่านได้เยี่ยงไร” หลวงพิชัยทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบ “ระวังนะ หัวจะหลุดจากบ่าไม่รู้ตัว”
“เอาล่ะ ๆ ถึงข้าจะพูดจริงจังไปบ้าง แต่ทุกอย่างมาจากใจ และตั้งใจทำจริง ๆ ไม่ได้มาพูดหาเสียงให้ผู้คนเยินยอ เพราะพวกเรากันเองแท้ ๆ สิ่งที่เรียนรู้ในวันนี้คือการเป็นผู้นำต้องเก่งกาจ ลาดเฉลียว มีสติปัญญาเป็นเลิศ ข้อสำคัญต้องรักชาวบ้านด้วยใจจริง ๆ หวังให้ทุผู้คนใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข สบายใจ แค่นี้คงไม่ใครบังอาจมาแย่งแผ่นดินไปได้ดอก จริงไหม น้องเรา แต่ไอ้ที่พูดกันมาตั้งนานนี่ ยังไม่มีใครได้อำนาจมาครอบครองจริง ๆ สักคน”
จมื่นศรีกล่าวสรุปสุดท้า ก่อนจะแยกย้ายจากกัน
 
เรื่องของอำนาจที่มีแต่คนหวังปอง
เมื่อได้อำนาจมาต้องรักษาให้ดีเยี่ยม
ด้วยการปกป้องบ้านเมืองให้สงบสุข
และประชาชีมีแต่ความรุ่งโรจน์สบายใจ

 



Create Date : 02 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2562 6:47:42 น.
Counter : 740 Pageviews.

0 comment
ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ
ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ
 
               เด็กที่เกิดมาจากความเคลือบแคลงสงสัยว่าตนคือลูกใครกันแน่ ย่อมโหยหาความจริงแท้ที่จะขจัดความสงสัยนี้ให้หมดสิ้นไป ความรักในพ่อแม่ที่เลี้ยงดูจะเป็นรักที่หล่อหลอมให้เติบโตมาด้วยดีได้หรือไม่
               นายศรีเติบโตมาในฐานะบุตรชายคนโตของพระศรีธรรมากับแม่นางอิน ที่เลี้ยงดูด้วยความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยมในฐานะพ่อกับแม่ แต่ทว่ายังคงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า แม่นั้นคือแม่นางอินจริงแต่พ่อล่ะ ใช่จริงหรือไม่ คงไม่ใช่แม่แต่งกับพ่อแล้วแอบมีชู้ แต่เป็นเพราะพ่อที่แท้จริงไม่ยอมรับในฐานะลูกจึงโยนภาระนี้ให้แก่พระศรีธรรมา
               เสียงพูดซุบซิบดังไปทั่ว จนมาเข้าหูนายศรีหลายครั้งหลายครา ความเป็นเด็กอาจจะยังไม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจมากนักว่าเหตุใดคนเป็นพ่อแท้จริงจึงไม่ยอมรับตนในฐานะลูก มีแต่ความสงสัยว่าทำไมคนจึงพูดกันหนาหู
               เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบบ่อยครั้งเข้า นายศรีจึงถามแม่อินว่า “แล้วจริง ๆ ลูกเป็นลูกใครกันแน่ ลูกของแม่จริง ๆ หรือเปล่า แล้วใครเป็นพ่อที่แท้จริงล่ะ แม่อิน”
               แม่นางอินจะยืนยันเสียงแข็งทุกครั้งเช่นกันว่า “แม่เป็นแม่ของลูก และพ่อเป็นพ่อของลูก มิผิดไปจากนี้หรอก ลูกรัก คนก็พูดกันมากความให้ลูกข้องใจไปเล่น ๆ อย่างนั้นเอง อาจจะแค่เย้าแหย่ลูกเล่น”
               เมื่อนายศรีได้ฟังคำยืนยันจากแม่เช่นนี้ทุกครั้ง จะเถียงคอเป็นเอ็นเมื่อได้ยินใครพูดว่า นายศรีเป็นลูกของใครกันแน่ และจะตอบโต้ทันทีด้วยน้ำเสียงโกรธนิด ๆ ว่า “ตนเป็นลูกของพระศรีธรรมากับแม่นางอิน”
               ไม่มีสักครั้ง ไม่มีสักครา ที่แม่จะเผลอพูดความจริงออกมาหรือแสดงท่าทีมีพิรุธให้ลูกสังเกตจับผิดได้ แม่จะยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังเสมอมา บางครั้งยังถามว่า “ลูกไปได้ยินใครพูดมา แม่จะไปเอาเรื่อง” ท่าทีเช่นนี้เพื่อตอกย้ำว่าจะไปหาเรื่องกับคนที่พูดให้ลูกไม่สบายใจ
 
               เมื่อนายศรีเริ่มโตพอรู้ความมากขึ้น นายศรีจะไม่ถามแม่เช่นเดิม เพราะแม่คงจะยืนยันคำเดิมทุกคราไป แต่ในใจเริ่มปะติดปะต่อในเรื่องราวที่ใคร ๆ ก็พูดกันถึงชาติกำเนิดของตน
               ถึงจะถามไปกี่ครั้ง คงไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่เสียงลือนั้นเริ่มเบาบางลง ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมาคงนานวันขึ้น คงเหมือนข่าวลือทั่วไปที่มักจะกระพือโหมแรงในช่วงแรก ๆ เท่านั้น พอนาน ๆ เข้าคนก็ไม่รู้จะพูดไปทำไม มันไม่ทันสมัย เว้นเสียแต่จะมีเหตุการณ์ใดมาทำให้เกิดการปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
               บางคนแอบซุบซิบว่า “แท้จริงแล้วนายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ สังเกตสิว่า พระองค์โปรดปรานและรักใคร่เอ็นดูในนายศรีมากกว่าลูกท่านหลานเธอทั้งหลาย เพียงแต่ไม่ยกย่องอย่างออกนอกหน้านอกตาเท่านั้น”
               ทั้งนี้เป็นไปเช่นนั้นจริง ๆ ที่นายศรีมักได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าการเป็นลูกของญาติพระสนม และยังได้รับการถามไถ่อย่างเอ็นดูเกือบทุกครั้งที่พบเจอพระศรีธรรมากับแม่นางอินว่า นายศรีเป็นเช่นไร สบายดีหรือไม่
               ทว่าเสียงซุบซิบที่แอบเล็ดลอดมาเข้าหูนายศรีนั้นมีหลายกระแส บ้างก็ว่า “ไม่ใช่หรอกที่กล่าวกันว่า นายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์น่ะ แท้จริงนายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรลักษณ์ ตอนที่ไปออกรบต่างหาก แล้วองค์ท่านได้กับหญิงชาวบ้านหรือสาวชาวลาว เลยรับเด็กคนนั้นกลับมาให้พระศรีธรรมากับแม่นางอิน
เลี้ยงดู ไม่ใช่ลูกแม่นางอินเสียด้วยซ้ำ นายศรีน่ะลูกชาติลูกตระกูลเชียวนะ”
               พวกที่ยืนยันว่า “นายศรีเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์นั้น กล่าวต่อไปอีกว่า “จะให้ยกย่องได้เช่นไร ในเมื่อตอนที่แม่นางอินตั้งท้อง พระสนมที่เป็นญาติ องค์ที่เป็นแม่ของจ้าวอินทรที่มาจากบางปะอินด้วยกันโกรธลูกพี่ลูกน้องคนนี้ยิ่งนัก แทบจะเอาเป็นเอาตายกันทีเดียว ถึงจะเป็นญาติแต่เกลียดกันเข้ากระดูกดำตั้งแต่รุ่นพ่อแม่กันแล้ว พอรู้ว่ามาตั้งท้องกับผู้ชายคนเดียวกัน ยิ่งเป็นเรื่องราวใหญ่โต”
               บางพวกที่ไม่เชื่อตามที่พูดจะแย้งว่า “บางทีเป็นเรื่องพูดเล่นเย้าแหย่กันของแม่นางอินลูกพี่ลูกน้องคนนี้ให้พระสนมแค้นเล่น เลยแกล้งยั่วให้หึง คนได้ยินเลยพูดต่อ ๆ กันมาจนดูเป็นเรื่องจริงไป เป็นเรื่องโอละพ่อไปเสียนี่”
               “ไม่ใช่พระโอรสของพระองค์หรอก แม่เป็นญาติสนิทของพระสนมที่ได้เข้าวังครั้งที่เจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ติดเกาะและพบรักกัน ณ เกาะบางปะอิน เจ้าเหนือหัวนรสิงห์รับหญิงนั้นมาเป็นบาทบริจาริกา เป็นพระสนมที่ทรงรักใคร่เสน่หามาก ไม่น่าจะนอกใจเป็นอื่นกับญาติของคนที่รัก” เสียงนี้ไม่เชื่ออีกเช่นกัน
               บางเสียงแอบนินทาว่าร้ายว่า “สองสาวนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่แท้ที่จริงพ่อแม่ของนางทั้งสองไม่ใคร่ปีนเกลียวกันสักเท่าใดนัก ถึงจะเป็นญาติจึงเหมือนไม่ใช่ญาติ และทั้งสองต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด คนพี่ดุมากนัก ไม่ยอมให้น้องสาวได้ดีมาตีเสมอตน และประกาศชัดเจนว่า ยังไงเสียจะไม่ยอมให้น้องคนนี้ได้มายืนในตำแหน่งเดียวกับตน” บางคนยังตีขลุม พูดราวกับเป็นคนสนิทไปเสียอย่างนั้นจึงรู้แม้กระทั่งความในใจของพระสนม
“ถ้าเป็นเรื่องจริง ที่ว่ามีสามีคนเดียวกันก็คงยอมกันไม่ได้ เมื่อพี่สั่งห้ามยกย่องน้องเด็ดขาด ให้ยกแก่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ ถึงแม้นมารู้ภายหลังว่าติดท้องมาก็ตามที แล้วให้แล้วกันไป” นี่ก็คนที่ยังเชื่อว่าเป็นจริง
 
               หลายเสียงที่ผ่านเข้ามา ไม่แน่ชัดสักเรื่อง
               หลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาแตกต่างกัน จนจับประเด็นที่ชัดเจนไม่ได้
               แต่ที่คิดว่าเป็นไปได้แน่ ๆ คือ ตนคงไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพ่อและแม่ที่เลี้ยงดูตนมาแน่นอน
               แล้วใครล่ะจะเป็นพ่อและแม่ ผู้ให้กำเนิด
               อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวนรลักษณ์กับเจ้านางคนใดคนหนึ่ง ยามออกรบหัวเมือง
               อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์กับพระสนมองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วโดนกีดกัน
               อาจจะเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวองค์ใดองค์หนึ่งกับแม่นางอิน แม่แท้ ๆ ของตน
               มีแต่คำว่า อาจจะ และอาจจะ มันไม่ชัดเจนสักประเด็น
               ในใจของเด็กตัวน้อย ๆ มีแต่ความสับสนและวุ่นวายใจ
แล้วทำไมล่ะ จึงไม่ยอมรับฐานะและตำแหน่งของตน
               นายศรีจึงได้ชื่อว่ามีประวัติอันอึมครึม เพราะเชื่อว่า ถ้าไม่มีมูลคนคงไม่เอามาฟื้นฝอยหาตะเข็บ แล้วใครจะให้คำตอบนี้ได้ ไม่ใช่แค่ข่าวลือที่พูดกันไปพูดกันมา พอถามว่ารู้จากใครจะโบ้ยไปเสียอย่างนั้น ไม่รู้ใครคือต้นตอที่พูดครั้งแรกด้วยซ้ำ อันข่าวลือนี่เชื่อถือไม่ได้จริง ๆ กระนั้นหรือ
               ครั้งหนึ่ง นายศรีเคยเอ่ยปากถามบิดาพระศรีธรรมาว่า “ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ให้ตอบมาตามตรง ตนรับได้
ทุกเรื่องราว” ฝ่ายบิดาได้แต่หัวเราะหึหึ บอกว่า “คนก็พูดกันไป ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เจ้าน่ะลูกแท้ ๆ ของพ่อ”
               ส่วนนายเดชและนายชัยเพื่อนสนิท บอกว่า “พ่อของตนพูดเช่นตามคำซุบซิบว่า นายศรีนั้นแท้จริงเป็น
โอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์จริง ๆ เพราะช่วงที่เจ้าเหนือหัวนรสิงห์พาสาวสองนางจากเกาะบางปะอินเข้าวังนั้น สองสาวได้อยู่ในพระราชวังด้วยกัน จนมาเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาทเสียงดังของสองสาว ทำให้คนน้องต้องออกเรือนไปอยู่กับพ่อของพี่ท่าน”
 
ในใจส่วนหนึ่งนายศรีคิดว่าตนเป็นโอรสลับของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ตามเสียงซุบซิบที่อื้ออึงไปทั่ว แม้เวลาจะผ่านมานานพอควร เสียงเหล่านี้ยังคงมีอยู่ มิได้จางหายไปเลย
               ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น อาจแวบ ๆ ผ่านเข้ามาให้ใจประหวัดนึกถึง แสดงว่ามันคงซ่อนเร้นแอบซ่อน
เมื่อนายศรีมีโอกาสได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเจ้าเหนือหัวนรสิงห์พร้อมบิดายิ่งทำให้มองเห็นชัดว่า นายศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางเจ้าเหนือหัวนรสิงห์มากกว่าพระศรีธรรมาผู้บิดา ทำให้เสียงพูดนี้ยิ่งหนาหู แถมบางคนยังเอ่ยเสียอีกว่า นายศรีมีเค้าหน้าละม้ายไปทางเจ้าเหนือหัวนรสิงห์มากกว่าพระโอรสองค์ใด ๆ ด้วยซ้ำ
แล้วเช่นนี้จะไม่ทำให้นายศรีแอบคิดในใจได้เช่นไร
ถ้าเป็นจริงตนควรมีสิทธิ์ในบัลลังก์เช่นเดียวกับบรรดาโอรสทั้งหลาย
นายศรีได้แต่คิดแต่มิกล้าเอ่ยปากออกมาตรง ๆ ด้วยเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะมาพูดเล่น ๆ ที่อาจทำให้หัวหลุดจากบ่าได้ง่าย ๆ ถ้าบังเอิญรู้ถึงพระเนตรพระกรรณแล้วเดาทิศทางแห่งอารมณ์ของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ขณะนั้นมิได้ อาจระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หาว่าจาบจ้วงเกินเหตุ เหาจะกินหัว
ถึงนายศรีจะมิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาตรง ๆ ว่า ตนคือพระโอรสแห่งองค์เจ้าเหนือหัวเช่นกัน แต่การละเล่นกับเพื่อนในวัยเด็กนั้น นายศรีมักกระทำตนราวกับตนคือองค์เจ้าเหนือหัวเสมอ ๆ
               นายเดชและนายชัยเพื่อนสนิทรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าในใจของนายศรีนั้นคิดเห็นเช่นไร ด้วยความอ่อนเยาว์กว่าและเคารพรักพี่ท่านเหนือสิ่งอื่นใด โดยปกติจะทำตามโดยมิเคยเอื้อนเอ่ยถามหาเหตุผลอยู่แล้ว เมื่อสั่งให้ทำการใดมักทำตามโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย
               ในการเล่นหลายครั้ง นายศรีชอบนั่งบนจอมปลวกแล้วทำท่าสั่งการ ราวกับตนเองใหญ่โตเสียนี่กระไร เลียนแบบเจ้านายที่ชอบชี้นิ้วสั่งบ่าวไพร่ เพื่อน ๆ ที่วิ่งเล่นด้วยกันรวมทั้งนายเดชและนายชัยเพื่อนสนิทจะนั่งยอง ๆ กับพื้นแล้วยกมือไหว้ประหลก ๆ รอรับคำสั่งให้เล่นเช่นไร
               ไม่เคยเลยสักครั้งที่นายศรีจะทำตัวต่ำต้อยหรือรอรับคำสั่งจากเพื่อน ๆ จนทุกคนรู้ว่า นายศรีคือหัวหน้าแก๊งที่จะคอยสั่งการและดูแลเพื่อน ๆ เสมอ อาหาร ข้าวต้ม ขนมขบเคี้ยวนั้นไม่ต้องกังวล นายศรีจะสั่งให้บ่าวไพร่เอามาเลี้ยงเพื่อนฝูงให้อิ่มหนำสำราญ นี่ยิ่งทำให้ความเป็นผู้นำของนายศรีเด่นชัดขึ้น
               นายศรีรู้ว่าคนเป็นหัวหน้าต้องใจกว้าง ต้องให้ของกินเพื่อนจนพึงพอใจ เพื่อน ๆ จะทำตามคำสั่งโดยมิมีบิดพริ้วแม้แต่น้อย ความคิดเช่นนี้ส่งผลต่อมาเมื่อนายศรีเติบโตขึ้น
               นิสัยใจใหญ่ใจโตแจกจ่ายให้แก่ลูกน้องหรือคนที่เชื่อฟังคำสั่งตนอย่างใจเติบและเต็มที่นี้ ส่งผลให้มีคนพร้อมจะเข้ามารับใช้ใกล้ชิดสนิทสนมตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่ หรือแม้นตลอดชีวิต เมื่อใครก็ตามมีโอกาสเข้ามาใกล้ชิดและชิดใกล้จะรู้สึกเคารพยกย่องด้วยใจกันแทบทุกคน
               มิมีเลยที่จะเอารัดเอาเปรียบลูกน้องหรือคนสนิทแม้แต่น้อย ไม่ดูถูกเหยียดหยามหรือบริภาษด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย ยิ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีและพร้อมจะรับใช้
               ความรู้สึกส่วนลึก ถึงจะไม่ได้ประจักษ์ด้วยพยานหลักฐานชัดเจน แต่นายศรีแอบคิดในใจเสมอว่า แท้จริงแล้วคำเล่าลือนั้น อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ จึงมักวาดฝันกลางวันเสมอว่า ตนนั้นแท้จริงเป็นพระโอรสของเจ้าเหนือหัวจริง ๆ แต่ไม่แน่ชัดว่า เจ้าเหนือหัวนรลักษณ์องค์พี่หรือเจ้าเหนือหัวนรสิงห์องค์น้องเท่านั้น
               ความรู้สึกเช่นนี้ก่อตัวเป็นจิตใต้สำนึกเสมอมาว่า จะมิมีวันทำตัวให้ต่ำต้อยหรือมีปมปัญหาเด็ดขาด มีแต่สร้างตัวสร้างตนให้สูงเด่นและเพียบพร้อม เผื่อนะ เผื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้าฝันนี้จะเป็นจริงขึ้นมา จะได้ไม่มีใครกังขาในฝีมือและความสามารถที่มีแห่งตน ให้ผู้คนตั้งแง่รังเกียจได้เป็นอันขาด
               เด็กบางคนอาจคิดน้อยใจและทำตัวสำมะเลเทเมา เพราะคิดว่า ตนเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการ แต่คงไม่ใช่กับนายศรีแน่นอน เพราะเขาเตรียมพร้อมเสมอที่จะก้าวและโลดแล่นไปยังหนทางข้างหน้าที่สูงส่ง
               ในใจของนายศรีแอบคิดว่า จอมปลวกนี้แหละคือบัลลังก์ที่ตนเห็นในพระราชวัง มันจะสูงเด่นเป็นสง่าเหนือใคร ๆ แล้วตนคือเจ้าเหนือหัวที่สั่งการบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายในท้องพระโรง ทุกคนจะเชื่อฟังตนในฐานะและตำแหน่งของเจ้าเหนือหัว
               นายเดชและนายชัยรู้เรื่องเหล่านี้ดี ด้วยคลุกคลีตีโมงกันมาแต่วัยเด็ก จึงยอมทำตามทุกเรื่องราวโดยไม่คัดค้านหรือขัดแย้ง ทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ พลอยเชื่อฟังโดยดีด้วยเช่นกัน และนายศรีมิเคยทำให้เพื่อน ๆ ผิดหวังหรือโกรธแค้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยภาวะที่เป็นผู้นำที่ดีมาโดยตลอด
สักวันหนึ่งเถอะ ตนจะนั่งบัลลังก์จริง ๆ ให้จงได้ นายศรีคิดสั่งการกับตนเองในวัยเยาว์ แล้วจะเป็นจริงหรือไม่ในอนาคต อาจเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้
แม้นว่าหนทางข้างหน้าอาจจะขมุกขมัวในสายตาของใครต่อใคร แต่สำหรับนายศรีคิดว่า เมื่อฝันสูงย่อมเกิดความทะเยอทะยานสูง สิ่งที่ได้รับย่อมสูงตาม ดีกว่าไม่คิดฝันอยากได้ใคร่ดีแล้วชีวิตจะตกต่ำ
อย่างน้อยนะ น่าจะได้ตำแหน่งสูงกว่าพ่อที่เลี้ยงดูตนมา พระศรีธรรมา อาจจะก้าวไปเป็น ออกญา หรือพระยา หรือสูงส่งกว่านั้นถ้าจังหวะมีโอกาสมา ใครจะไปรู้อนาคตในกาลข้างหน้า
สิ่งที่ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้จริง ถ้ามีใจที่มุ่งมั่น และมีลิขิตฟ้าชะตาชีวิตกำหนดชี้ทาง
 
ความฝันในวัยเด็กของใครบางคน
อาจเป็นจริงเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
มันคือเป้าหมายชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจ
ให้พยายามทะยานไปถึงปลายฝันนั้น
 

 



Create Date : 20 ตุลาคม 2562
Last Update : 20 ตุลาคม 2562 7:52:21 น.
Counter : 617 Pageviews.

0 comment
มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์
มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์
 
พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ มหาอำมาตย์เอก พระเดชณรงค์เจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ พระพิชัยยุทธ์เจ้ากรมพระตำรวจหลวง ทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายมาแต่เยาว์วัย
สืบเนื่องจากบิดาทั้งสามเป็นเกลอเก่าที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนเข้ารับราชการ และบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกัน บรรดาลูก ๆ จึงสนิทสนมคุ้นเคยและเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้จะต่างวัยเล็กน้อยแต่นับถือเป็นเกลอกัน
               เขาว่ากันว่า มิตรภาพที่ก่อตัวมาแต่วัยเด็กมักจะยืนยาวและต่อเนื่องมาจนแก่เฒ่าโดยไม่คิดแทงข้างหลัง
เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เป็นเพียงนายศรี นายเดช นายชัย เด็กหัวจุก หางเปีย วิ่งเล่นตามประสา แต่มีโอกาสเข้านอกออกในเขตพระราชฐานได้ ด้วยมารดาของนายศรีนั้นเป็นญาติพระสนมของเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ทีเดียว
เด็กชายสมัยนั้นนอกเหนือจากนายศรี นายเดช นายชัยแล้วยังมีเพื่อนวิ่งเล่นอีกหลายคน แต่ที่สนิทสนมกันจริง ๆ จนเป็นเกลอเก่ากันอย่างแท้จริงจากวัยละอ่อนจนถึงบัดนี้คงมีแค่ 3 คนนี้เท่านั้น
นายศรีนับเป็นพี่ใหญ่ด้วยเกิดก่อนสัก 2 ปี รองลงมาเป็นนายเดช อ่อนสุดต้องเป็นนายชัย เมื่อนายศรี สั่งทำอะไร นายเดช นายชัยมักทำตามโดยไม่เคยเอ่ยปากถามถึงเหตุผลด้วยเชื่อมั่นในตัวเพื่อนที่เหมือนเป็นพี่คนนี้
 
นายศรีไว้ผมจุก ส่วนนายเดช นายชัยไว้ผมเปีย
เพลงล้อเล่นที่ร้องกันบ่อย ๆ จนกว่าจะได้ตัดจุกตัดเปียเมื่ออายุ 13 นั้น ทั้งสามจำแม่นและชอบเอามาร้องเล่นเมื่อยามดื่มน้ำเมาเข้าไปเต็มที่และนึกถึงวัยเด็กของตน พร้อมเสียงหัวเราะ 555 ต่อท้ายเสมอ
ผมจุกคลุกน้ำปลา เหม็นขี้หมา มานั่งจ๊องหง่อง
ผมเปียมาเลียใบตอง พระตีกลองตะลุ่มตุ้มเม้ง
เพื่อนคนอื่นมีทั้งผมโก๊ะ ผมแกละ แล้วแต่
นายศรีพี่คนโต ฉลาดและเก่งกาจสุดจนนายเดช นายชัยนับถือด้วยใจนั้น มักตั้งคำถามที่เด็กวัยเดียวกันไม่เคยนึกมาก่อน
วันหนึ่งนายศรี ถามผู้เฒ่าผู้แก่ในเรือนว่า “ทำไมทรงผมจึงไม่เหมือนกัน และทำไมต้องไว้ผมทรงนี้ด้วย”
ส่วนนายเดช นายชัยตั้งใจฟังแบบอ้าปากหวอแต่อดปากไม่ได้ “เอพี่เราทำไมถามเช่นนี้ล่ะ ใคร ๆ เขาก็ไว้กัน ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหนเลย” พี่เรานี่ขี้สงสัยเสียจริง
คำตอบจากผู้เฒ่าผู้แก่ทำให้ทั้งนายเดช นายชัยอ้าปากหวอกว้างยิ่งขึ้นจนน้ำลายแทบจะหยดแหมะออกจากปากเป็นที่ขบขันแก่ผู้เล่า
ถ้าเป็นสมัยนี้คงนึกถึงนิยายแม่มดของแฮรี่ พอตเตอร์ตอนที่เลือกหมวกเพื่อไปอยู่ในปราสาทแต่ละหลังแล้ว
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า “เราชาวกรุงราฐมัณฑ์เชื่อว่าเด็กเล็กทุกคนมีแม่ซื้อที่จะมาคอยดูแลช่วยเหลือ ถ้าเป็นชาวคริสต์จะมีเทวดาประจำตนแต่ละคน มันเป็นประเพณี แปลว่าใคร ๆ เขาทำกันทั้งนั้น ไม่มีใครสงสัยหรือมาตั้งคำถามเช่นนายศรีเลย” คนเล่าคงงงเหมือนกัน ทำไมต้องมาถามเช่นนี้ แต่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดลออ
คนในเรือนต่างเรียกว่า “นาย” แล้วต่อท้ายด้วยชื่อ เช่น ศรี เป็นนายศรี แสดงถึงการยกย่องว่าเป็นบุตรของเจ้านาย ไม่ได้เรียก “ศรี” หรือ “ไอ้ศรี” ตามอย่างคนทั่วไป
ถ้าเป็นลูกตาสีตาสา ไม่ใช่ลูกขุนนาง คงโดนเรียกว่า ไอ้ศรี ไอ้เดช ไอ้ชัยไปแล้ว
คำว่าไอ้ อี ไม่ใช่คำหยาบคาย แต่บ่งบอกเพศของเด็กเท่านั้น เด็กชายมักขึ้นต้นด้วยไอ้ ส่วนเด็กหญิงเป็นอี
สมัยต่อมา คำว่าอีใช้กับความเจริญเสียด้วยซ้ำ อะไร ๆ เป็นอีไปหมด
 
เมื่อแม่นายให้กำเนิดเด็กชายคนนี้ ทุกคนพร้อมใจตั้งชื่อว่า “ศรี” เพราะมีความหมายที่ดี คือ สิริมงคล มิ่งขวัญ ความรุ่งเรือง ความสว่างสุกใส ความงาม ความเจริญ มิ่งมงคล และคาดหวังว่า นายศรีคนนี้จะนำแต่ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตระกูล
ส่วนนายเดชนั้น พ่อแม่บอกว่า เดชแปลว่าอำนาจ ภายภาคหน้าจะได้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่
แล้วชัยล่ะ ชัยแปลว่าการชนะ ความชนะ ด้วยหวังว่า ต่อไปเมื่อเติบใหญ่ คิดทำการสิ่งใดจะได้รับแต่ชัยชนะ
เมื่อทั้งสามเติบใหญ่ นายศรีจะได้เป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตระกูลจริงหรือไม่ นายเดชจะเป็นผู้มีอำนาจ และนายชัยจะมีชัยชนะ จริงตามความคาดหวังของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงแค่ความหวัง เท่านั้น ซึ่งไม่อาจเป็นจริงได้เลย
 
คำพูดที่ว่า เด็กช่างซักช่างถาม เด็กวิ่งเล่นซุกซน จะเป็นเด็กฉลาด แต่ถ้านั่งเฉย ๆ ซึม ๆ เซา ๆ ล่ะแย่เลย ทุกคนในบ้านจำต้องคอยตอบคำถามนายศรีเสมอเพราะท่านแม่นายสั่งเอาไว้ ด้วยหวังว่าจะช่วยเพิ่มความฉลาด
แม่นายเป็นผู้หญิงที่เก่งและมีความรู้ ได้เลือกสรรแต่สิ่งที่ดีให้แก่นายศรีเสมอ ซึ่งทำให้นายเดช นายชัยที่ชอบมาคลุกคลีตีโมงด้วย พลอยฟ้าพลอยฝนได้รับอานิสงส์ผลบุญนี้ตามไปเช่นกัน
เขาถึงว่าคบคนพาล พาไปหาผิด คบบัณฑิต พาไปหาผล การเลือกอยู้ใกล้ใครจะได้เช่นนั้นเสมอแล
 
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อไปว่า “พออายุครบโกนจุกจะไม่โกนจนเกลี้ยงเลย ต้องเหลือไว้กระหย่อมหนึ่งตรงกลางกระหม่อมเพราะคิดว่าผมเป็นตัวแทนของขวัญที่คอยดูแลเด็ก หลังจากโกนจุกแล้วนี่จะปล่อยให้ผมยาวไปเรื่อยจนเป็นทรงผมของหนุ่มน้อย ส่วนที่ใครจะไว้จุก โก๊ะ แกละหรือเปียต้องแล้วแต่เด็กเลือกตอนเล็ก ๆ พวกเจ้าคงจำไม่ได้แล้วกระมัง” ผู้เฒ่าผู้แก่หันมาย้อนถามเด็ก ๆ ถึงความหลังครั้งเก่าก่อน
ทั้งสามส่ายหน้าพร้อมกัน ตอบว่า “จำได้นิดนึง ว่าถ้าชอบตัวไหน จะได้ไว้ผมทรงนั้น แต่ไม่รู้ว่า ทำไมถึงชอบตัวนั้น ลืมแล้ว” พร้อมเสียงแฮะ ๆ ประกอบว่าลืมจริง ๆ
ตุ๊กตาดินเหนียว 4 ตัวที่มีทรงผมจุก โก๊ะ แกละ เปีย เป็นตัวเสี่ยงทายว่าเด็กเล็กที่ยังไม่รู้ประสีประสาจะหยิบตัวใดขึ้นมาก่อน เมื่อเลือกตัวใด เด็กคนนั้นจะได้ไว้ผมทรงนั้น
               นายศรี ยังตั้งคำถามต่อไปว่า “แล้วขวัญกับกระหม่อมคืออะไร” นายเดช นายชัยงงอีกแล้ว งงตามลูกพี่ 
“ใช่แล้วมันคืออะไร” พลอยเอออออยากรู้ตามลูกพี่ไปด้วย พึมพำเหมือนสงสัยเสียเต็มประดา
               ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายต่อไปว่า “ยายก็ไม่รู้ว่าขวัญอยู่ตรงไหน แต่ใคร ๆ บอกกันว่า ทุกคนมีขวัญติดตัว มองไม่
เห็น ดูไม่รู้ เหมือนเป็นเทวดาคุ้มครองกระมังนายศรี ถ้าขวัญอยู่กับเนื้อกับตัวคนนั้นจะสบายเนื้อสบายตัว ไม่ตกใจ
ง่าย ๆ ไม่ขวัญหนีดีฝ่ออย่างไรเล่า” ยายตอบเท่าที่รู้ ใครจะไปรู้เสียทุกเรื่องราวล่ะ
               ยายอีกคนที่นั่งใกล้ ๆ เถียงขึ้นทันใดว่า “ขวัญอยู่ตรงกลางหัวไงเล่า แต่นายศรีอาจมองไม่เห็น มันจะขด ๆ เวียนเหมือนก้นหอย ต้องลองเปิดดูหนังหัวตรงกลางดูสิว่ามีกี่ขด ถ้ามีก้นหอยขดเดียวเรียกว่ามีขวัญเดียว ถ้ามีก้นหอย 2 ขด มีสองขวัญ  ยายเคยเห็นมีมากสุดสามขวัญเลยนะ” ยายรีบตอบเพราะรู้นิสัยนายศรีที่จะถามต่อว่า แล้วสูงสุดจะมีกี่ขวัญ
               ทุกคนในเรือนรู้ดีว่า นายศรีนั้นช่างซักช่างถาม ใคร่รู้ไปเสียทุกเรื่องราว มีแต่สงสัย แล้วจะเอ่ยปากถามทันที มิมีเสียล่ะ ที่จะเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัว เมื่อคนตอบ ตอบทุกคำถาม เลยยิ่งทำให้นายศรีเป็นเด็กฉลาดมากขึ้น
               ทุกคนรีบเปิดดูขวัญของเพื่อน เพราะมองขวัญของตัวเองไม่เห็น แล้วตอบ “มีคนละขวัญขอรับ”
               นายศรี ถามต่อว่า “แล้วกระหม่อมคืออะไร เคยได้ยินแต่พวกมหาดเล็กแทนตัวว่ากระหม่อม แล้วทำไมต้องเหลือผมไว้กระหย่อมหนึ่งตรงกลางกระหม่อม”
               นายศรี เป็นเช่นนี้เอง ช่างซักช่างถามจนกว่าจะหายสงสัย นิสัยเช่นนี้เองทำให้นายศรี รอบรู้ไปเสียทุกเรื่องราว ยิ่งเมื่อโตขึ้นจะสนใจใฝ่รู้ให้เข้าใจชัดเจน ไม่มีสิ่งใดคั่งค้างในใจเลย
               ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายต่อไปว่า “ตอนเด็กเกิดใหม่  ๆ นั้น ตรงกลางหัวจะมีส่วนที่นุ่ม ๆ นิ่ม ๆ ตรงนั้นเรียกว่ากระหม่อม พอโตขึ้นส่วนนั้นจะแข็งมองไม่เห็นแล้ว อยากรู้ต้องไปขอดูจากเด็กเล็กก่อน 2 ขวบ เมื่อคนใหญ่คนโตจะให้ศีลให้พรลูกหลานหรือบริวารจะเป่าตรงกระหม่อมนั่นแหละ”
               เป็นอันจบเรื่องที่นายศรี อยากรู้อยากเห็นไปอีกเรื่อง สบายใจขึ้นหน่อยที่รู้ตามที่อยากรู้แล้ว
 
พอโตขึ้นมาหน่อยหลังจากโกนจุก ตัดหางเปียแล้ว นายศรี นายเดช นายชัยจะเปลี่ยนสรรพนามกันแล้ว และเรียกพี่หรือน้องแทน เช่น นายชัยเรียก พี่ศรี  พี่เดช หรือเรียกเต็มยศว่าพี่ท่าน ส่วนพี่ศรีจะเรียกน้องเดชกับน้องพล บางทีเรียกรวม ๆ ว่า น้องเรา
ทั้งนี้เพราะพี่ศรี บอกว่า เรียกพี่เรียกน้องดูดีกว่าเรียกนายเหมือนคนไม่สนิทสนมกัน ทำตัวให้สมกับเป็นตระกูลผู้ดีเชื้อสายผู้ดีเป็นพี่เป็นน้องที่คอยดูแลซึ่งกันและกัน เตรียมเข้าไปรับราชการเป็นมหาดเล็กในวัง
เมื่อแรกเริ่มทั้งสามได้เข้ารับราชการในวังหลวงเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งน้อยคนนักจะมีโอกาสเช่นนี้ เพราะสิทธิ์พิเศษนี้จะให้เฉพาะลูกหลานขุนนางชั้นผู้ใหญ่และมาจากตระกูลผู้ดีเท่านั้น
เมื่อบิดาเป็นขุนนางผู้ใหญ่และมีโอกาสใกล้ชิดพระราชวงศ์ มักได้รับข้อยกเว้นและมีสิทธิพิเศษเสมอ เช่นนำลูกหลานมาเข้าเฝ้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เพื่อคอยรับใช้เจ้าเหนือหัว พระมเหสี พระสนม และบรรดาพระโอรส รวม ๆ คือคอยรับใช้เจ้านายนั่นเอง
พี่ศรี ได้เข้าเป็นมหาดเล็กวิเศษเพราะอายุถึงเกณฑ์คัดเลือกก่อน ส่วนนายเดชและนายชัยได้เป็นมหาดเล็กจงกรม แล้วทั้งสามได้รับคัดเลือกให้เป็นมหาดเล็กยาม เพราะมีฝีมือทางอาวุธกับศิลปะการป้องตัวที่ได้รับฝึกฝนมา
ก่อนกอปรกับการเป็นลูกท่านหลานเธอ ทั้งสามจึงก้าวพรวดพราดนำหน้าใคร ๆ อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว และเป็นเช่นนี้ตลอดมา
เมื่อเป็นมหาดเล็กยามจะได้รับเงินเดือนและโอกาสก้าวหน้าตามลำดับจาก มหาดเล็กยาม มหาดเล็กวิเศษ นายรอง หุ้มแพร จ่า นายเวร จางวางหรือหัวหมื่นหรือจมื่น และผู้บัญชาการกรมมหาดเล็ก
บรรดามหาดเล็กเหล่านี้นับว่าอยู่ในกรมทหารรักษาพระองค์ สังกัดในฝ่ายทหารแต่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหม ขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดินเพียงพระองค์เดียว ประกอบด้วย กรมพระตำรวจหลวง กรมสนมทหาร กรมรักษาพระองค์ กรมพลพัน กรมทหารใน กรมทนายเลือก กรมเรือคู่ชัก
ทั้งสามเข้านอกออกในพระราชวังตั้งแต่เป็นเด็กไว้จุก ไว้เปียแล้วก่อนจะเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กด้วยซ้ำ จึงคุ้นเคยและเป็นพระสหายของพระโอรสเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ ทั้งจ้าวทัศน์ จ้าวภาคย์ที่ประสูติแต่พระมเหสีเอก จ้าวอินทร จ้าวอินทา จ้าวทองพระโอรสที่เกิดจากพระสนม
 
ทั้งสามเติบใหญ่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเจริญก้าวหน้า ในยศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งหน้าที่มิใช่เบา ไม่เคยเลยที่จะทอดทิ้ง ย่ำยี หรือแอบแทงข้างหลังซึ่งกันและกัน มีแต่คอยดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลและสนับสนุนค้ำจุนกัน ราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ที่ได้กรีดเลือดร่วมขันในหนังจีนยังไงยังงั้น
นายศรีพี่ใหญ่สุดได้เป็นถึงพระยากลาโหมศรีวรวงศ์ มหาอำมาตย์เอก นายเดชได้เป็นพระเดชณรงค์เจ้ากรมทหารรักษาพระองค์ และนายชัยได้เป็นพระพิชัยยุทธ์เจ้ากรมพระตำรวจหลวง ทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายมาแต่เยาว์วัยและน่าจะเป็นมิตรสนิทไปชั่วชีวิตทีเดียว แต่ใครจะรู้ล่ะว่า จะมีอะไรมาผันแปรมิตรภาพครั้งนี้หรือไม่
เมื่อว่างจากภารกิจหน้าที่ ยามเย็น ทั้งสามมักมานั่งสนทนาปราศรัยถึงหน้าที่การงานที่กำลังปฏิบัติอยู่ อาจช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และนั่งคุยสนุกสนานถึงอดีตที่ผ่านมาร่วมกัน รวมทั้งพูดคุยถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใหม่ ๆ
บางคนแอบสงสัยว่า เมื่อเจริญในอำนาจลาภยศ เป็นไปได้ไหมว่า สามารถสืบทอดความสัมพันธ์อันดีงามนี้ไปตลอดชั่วรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะอำนาจต่างขั้วอาจมาแผ้วพานทำลายมิตรภาพนี้ได้ ยิ่งเมื่อเลือกข้างผิด โอกาสจะเป็นศัตรูย่อมมีมากขึ้น การอยู่ใต้อาณัติผู้มีอำนาจต่างขั้ว มีหรือจะยังคงเป็นมิตรต่อไปได้อย่างสวยงาม
ไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครคาดการณ์ได้ แต่ทั้งสามยืนยันว่า มิตรภาพของเราสามจะมั่นคงและยืนยาวไปตลอดกาล แต่จะเป็นเช่นไร คงต้องรอติดตามต่อไป
 
มิตรภาพแท้จริงมักเริ่มจากวัยเยาว์
เพราะไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ มาขัดขวาง
ถ้าสานต่อจนถึงวัยหนุ่มสาวเลยจนแก่เฒ่า
นั่นคือมิตรภาพอันแท้จริงยากแก่การสั่นคลอน
 

 
 
 
 



Create Date : 14 ตุลาคม 2562
Last Update : 14 ตุลาคม 2562 13:38:30 น.
Counter : 520 Pageviews.

0 comment
สารบัญ
สารบัญ
  มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์ สามหนุ่มเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก มิตรภาพจึงยั่งยืน
  ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ พ่อที่แท้จริงของนายศรีคือใครกันแน่นะ
  เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก อำนาจใช่สืบทอดต่อกันมาแต่อาจมีการแย่งชิง
  ฝันเฟื่องอยากเป็นเจ้าเหนือหัว เพราะชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัดจึงอยากได้ใคร่ดี
  บ่างช่างยุก่อเกิดแผลเหวอะหวะ พรรคพวกของสมุหพระกลาโหมไม่พอใจจ้าวทัศน์
  ต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงฐานอำนาจ จ้าวทัศน์และสมุหพระกลาโหมแย่งชิงอำนาจกัน
  รักแรกพบจะสมหวังหรือทำให้อกหัก หลวงพิชัยหลงรักหลานสาวของสมุหพระกลาโหม
  รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก เมียคนแรกอาจไม่ใช่เมียเอกที่จะต้องยกย่องให้เกียรติ
  ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี จมื่นศรีหลงรักแม่เอื้อยลูกสาวกำนัน
  หนทางที่มิอาจเลี่ยงได้แม้แต่น้อย จ้าวทัศน์เขม่นกับพรรคพวกของสมุหพระกลาโหม
  เศร้านี้สะท้านฟ้าสะเทือนดินยิ่งนัก จ้าวทัศน์ดื่มยาพิษปลิดชีพองค์เอง
  ความลับที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง จ้าวทัศน์สิ้นชีพเพราะต้องการหนีภัยหรือมีผู้วางยา
  ข้อเท็จจริงหลายอย่างที่เกิดขึ้น ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงในการสิ้นพระชนมจ้าวทัศน์
  มันคงไม่ได้มาจากเหตุเดียวแน่เลย วิเคราะห์หาสาเหตุในหลาย ๆ ประเด็น
  ขวากหนามหว่างเส้นทางรัก จมื่นศรีแต่งงานกับแม่เอื้อยลูกสาวกำนัน
  สิ้นแผ่นดินองค์เจ้าเหนือหัว เจ้าเหนือหัวนรสิงห์สวรรคตในเวลาต่อมา
  แผ่นดินเจ้าเหนือหัวศรีภาคย์ เจ้าเหนือหัวศรีภาคย์ประหารชีวิตออกพระนายไวย
  ผลัดแผ่นดินใหม่ฟ้ายิ่งหม่นหมอง พี่น้องต่างมารดาโค่นบัลลังก์เจ้าเหนือหัวศรีภาคย์
  จุดเริ่มแห่งอำนาจราชศักดิ์ ล้มล้างอำนาจเก่าและริบราชบาตรกลุ่มสมุหพระกลาโหม
  เสียใจเพราะรักแรกลาจากไปไกล แม่เอื้อยเสียชีวิตจากเหตุปราบกบฏออกพระนายไวย
  ตำแหน่งใหม่แลกด้วยทายาทคนแรก ได้ตำแหน่งออกญาศรีวรวงศ์แต่ต้องสูญเสียเมียและลูก
  แผ่นดินเจ้าเหนือหัวอินทร อำนาจใหม่เป็นของจ้าวอินทรแน่นอน
  ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสแจ่มจ้าเสมอ เจ้าเหนือหัวอินทรครองราชย์ จ้าวอินทาขอบวชต่อ
  เสี้ยนเล็กเสี้ยนน้อยเอาออกให้หมด ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏญี่ปุ่นในพิธีราชาภิเษก
  หอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงทำให้เรียบ ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏจ้าวธรรมา
  ออกญาก้าวแห่งชัยชนะจริงฤา ออกญาจะเป็นหนทางแห่งความก้าวหน้าหรือจุดพลิกผัน
  โทษครั้งนี้ร้ายแรงด้วยข้อหาหนัก ความผิดรุนแรงข้อหากบฏล้มล้างพระราชพิธีแรกนา
  เจ้าขรัวจันทราช่วยให้พ้นคุก เจ้าขรัวจันทราขออภัยโทษให้ออกญาศรีวรวงศ์พ้นโทษ
  ไม่มีมิตรแท้ในการแย่งชิงอำนาจ หนทางสู่อำนาจอาจโดนเก็บหรือโดนแทงข้างหลังก็ได้
  ผิดซ้ำซากด้วยต้องชำระให้หายแค้น ทันทีที่ออกจากคุกวันเดียวมีเหตุให้ต้องกลับเข้าไปอีกครั้ง
  ขอโอกาสไถ่โทษเพื่อรอดพ้นจากคุก จังหวะที่ได้ออกจากคุกคือต้องยอมเสี่ยงตายไปออกรบ
  เขมรแข็งข้อไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง เขมรก่อสงครามเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศราช
  ชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปในทางร้าย ออกญาศรีวรวงศ์เป็นคนไม่ดีในสายตาของชาวบ้าน
  สามเส้าแห่งการก้าวไปสู่อำนาจสูงสุด ผู้ที่หวังในอำนาจสูงสุดมีอย่างน้อยสามกลุ่มก้อน
  เพื่อปกป้องราชวงศ์สุริเยนทร์ให้คงอยู่ จ้าวอินทาหาทางกำจัดออกญาศรีวรวงศ์ให้พ้นเส้นทาง
  รอดพ้นด้วยหวังให้เป็นอีกเบี้ย เจ้าเหนือหัวอินทรทรงช่วยออกญาศรีวรวงศ์ให้พ้นโทษ
  แก้เกมได้สำเร็จเลยต้องมีเมียอีกคน ออกญาศรีวรวงศ์หาทางแก้เกมให้พ้นจากข้อกล่าวโทษ
  รักครั้งที่สองของออกญาแสนจะหวาน ออกญาศรีวรวงศ์ หลงรักแม่พุดเมียคนที่สองหมดหัวใจ
  เมื่อรักแล้วจำต้องร้างลาจากกัน แม่พุดเสียชีวิตขณะคลอดลูกขณะที่ออกญาออกศึกห่างไกล
  ทุกข์ครั้งนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก การสูญเสียเมียและลูก 2 ครั้ง คงยากที่จะหาใครทำใจได้
  ความลับที่เป็นความลับตลอดกาล ความลับในชาติกำเนิดของออกญาศรีวรวงศ์ว่าเป็นลูกใคร
  ความลับที่ได้เปิดเผยขึ้นมาอีกครั้ง จ้าวอินทาได้ล่วงรู้ดวงชะตาของออกญาศรีวรวงศ์
  ชีวิตที่ดำเนินต่อ หลังผ่านพายุร้าย ออกญาศรีวรวงศ์กรำศึกนานนับ 6 ปีจึงได้โอกาสเข้ากรุง
  แรกพบประสบพักตร์ก็สะดุดรัก สามหนุ่มพบรักที่ถูกตาต้องใจและหวังจะครองคู่
  คำมั่นสัญญาจะรักชั่วฟ้าดินสลาย สามคู่หวานชื่นสมรักจนได้แต่งงานอยู่กินกัน
  หวังสร้างครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์ ชีวิตที่พร้อมจะมีบ้านที่พร้อมทั้งเมียรักและลูกเล็ก
  พยานแห่งรักแรกเห็นเป็นประจักษ์ ทายาทของพระยากลาโหมสุริวงศ์ได้ลืมตาดูโลก
  เด็กน้อยไร้เดียงสาแสนจะน่ารัก ลูก ๆ เติบโตมาด้วยความรักในบ้านเมืองที่สงบร่มเย็น
  รักของพ่อนั้นต้องยิ่งใหญ่เสมอ คำมั่นสัญญาของออกญาศรีวรวงศ์ที่ให้กับตนเอง
  ฝีมือโดดเด่นเหนือผู้ใดในใต้หล้า ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏญี่ปุ่นและกบฏล้านช้าง
  พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ตำแหน่งใหม่ ออกญาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนยศเป็นพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  ถอยหนึ่งก้าวแต่เป็นการถอยก้าวสุดท้าย จ้าวอินทาเคยสละสิทธิ์การครองราชย์ แล้วต่อไปล่ะ
  หนทางที่ก้าวต่อแม้นจะเปื้อนเลือด จ้าวอินทาคือขวากหนามที่ต้องกำจัดเพื่อเจ้าฟ้าเชษฐา
  สัญญาณไม่ดีเมื่อจะผลัดแผ่นดิน ถ้าสิ้นเจ้าเหนือหัวอินทร ใครจะได้ครองราชย์
  เกมกลซ้อนกลยากนักจะรู้ใครชนะ ออกญาเสนาภิมุขไปลวงจ้าวอินทาให้ลาสิกขา
  สู้จนยิบตาเพื่อทวงคืนความยุติธรรม จ้าวอินทากับหลวงมงคลตั้งทัพต่อสู้ที่เมืองเพชรบุรี
  คำสั่งเสียสุดท้ายของจ้าวอินทา จ้าวอินทาบอกความลับให้เจ้าเหนือหัวเชษฐารู้
  เมื่อความหวาดระแวงได้เกิดขึ้นในใจ เจ้าเหนือหัวเชษฐาไม่ไว้วางใจพระยากลาโหมสุริวงศ์
  หลวงมงคลจอมขมังเวทย์ อัศวินคู่ใจจ้าวศรีศิลป์ยอมตายดีกว่าเสียสัตย์หานายใหม่
  เหลือเพียงสองที่ต้องขับเคี่ยวกัน เขาว่าพระยากลาโหมจะแข่งบารมีกับเจ้าเหนือหัวเชษฐา
  หรือนี่คือแผนการที่ได้เตรียมวางไว้ เจ้าเหนือหัวเชษฐาวางแผนเพื่อครองอำนาจเต็มรูป
  หนึ่งทำตัวเสื่อม อีกหนึ่งทำแต่งาน เจ้าเหนือหัวเชษฐาทำตัวเหลวไหล ไม่ยอมทำงาน
  ก้าวที่พลาดของเจ้าเหนือหัวเชษฐา เจ้าเหนือหัวเชษฐาคิดหวังเผด็จศึกปราบศัตรู
  เส้นทางชีวิตที่ลิขิตจากฟ้ามาแล้ว พระยากลาโหมศรีวรวงศ์จัดการฝ่ายเจ้าเหนือหัวเชษฐาได้
  เมื่อดาบมีสองคม คนมีสองด้าน มีทั้งคนให้กำลังใจและต่อต้านพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  ข่าวลือมั่วหมดทั้งข่าวจริงและข่าวลวง ข่าวลือหลังสิ้นเจ้าเหนือหัวเชษฐา
  เมื่อพยัคฆ์ร้ายโดนลูกเสือตะปบ เจ้าเหนือหัวเชษฐาคิดต่อกรกับพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  รู้ชาติกำเนิดแลกกับคำสัญญา บอกความลับในชาติกำเนิดของพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  เจ้าเหนือหัวอาทิตย์อีกก้าวของเกม จ้าวอาทิตย์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเหนือหัวอาทิตย์
  คำสัญญาที่ไม่อาจรักษาสัตย์ได้ พระยากลาโหมศรีวรวงศ์สั่งประหารชีวิตพระนางอมรินทร์
  ในที่สุดคำทำนายได้เป็นจริง พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเหนือหัว
  ออกญาเสนาภิมุข เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเหนือหัวทองนพคุณสั่งเก็บออกญาเสนาภิมุข
  แรงต้านมิได้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีศัตรูจึงกำจัดออกญากำแพงและออกญาพระคลัง
  ญี่ปุ่นเป็นไม้เบื่อไม้เมาหรือเป็นมิตร ออกขุนเสนาภิมุขก่อกบฏตั้งตนเป็นใหญ่เมืองนคร
  เริ่มฟ้าใหม่ชีวิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร เจ้าเหนือหัวทองนพคุณสั่งประหารเจ้าเหนือหัวอาทิตย์
  เจ้าเหนือหัวทองนพคุณจอมราชันย์ ชีวิตเยี่ยงเจ้าเหนือหัวที่มีพร้อมรวมทั้งพระสนมมากมาย
  ตำแหน่งใหญ่ครอบครัวย่อมใหญ่ตาม ลูกหลายคน ใครจะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อมา
  ความยุ่งยากใจที่อาจเกิดตามมา กลุ่มขั้วอำนาจใหม่ที่จะแย่งชิงอำนาจกันหลังสิ้นอำนาจเก่า
  จุดจบสุดท้าย ม่านได้ปิดลงแล้ว ชีวิตของเจ้าเหนือหัวทองนพคุณจอมราชันย์จบสิ้นแล้ว
 
 



Create Date : 14 ตุลาคม 2562
Last Update : 14 ตุลาคม 2562 13:37:25 น.
Counter : 379 Pageviews.

0 comment
คุยกันหน่อย ก่อนอ่าน
คุยกันหน่อย ก่อนอ่าน
               อันตัวเรานั้นอ่านนิยายจากนิตยสารตั้งแต่ชั้น ป.4 กระมัง ด้วยที่บ้านเป็นร้านเสริมสวยจำต้องซื้อเอาไว้ให้แขกอ่าน แขกคือคนที่มาเสริมสวยหาใช่คนขายถั่วตัวดำ ๆ ไม่ และคิดฝันมาตลอดว่าอยากแต่งนิยายสักเล่ม จนเวลาล่วงเลยมาจนจะแก่เฒ่าหมดเรี่ยวแรงเต็มที จะลองสักตั้งแต่งให้สำเร็จด้วยคิดว่าเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน
               เมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์ไทย ประวัติของพระมหากษัตริย์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ คิดเองเออเองว่าพลอตเรื่องมีแล้ว แค่เติมสีสรรค์เข้าไปคงเป็นนิยายได้กระมัง
               คิดในใจว่าเรื่อง “ลิขิตฟ้า จอมราชันย์” จะมีใครอยากอ่านสักกี่คนกัน แต่เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดมักทำให้สำเร็จมาตลอด อาจไม่มีใครอ่านสักคน ตัวเราก็ได้อ่านและได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
               นิยายเรื่องนี้ค่อนไปทางหาเหตุผลให้แก่เจ้าเหนือหัวทองนพคุณ ในชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนามและพบเจอแต่เรื่องเลวร้าย จนบันทึกหลายหน้ากล่าวหาค่อนขอดในทางร้ายเสียมากกว่าดี ถ้าลองพิจารณาในอีกมุมหนึ่ง อาจพอมองเห็นความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในทิศทางที่ตรงกันข้าม
               แม้ว่าผู้ชนะคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์และมักจะเป็นคนเก่งคนดีเต็มร้อย ส่วนผู้แพ้จะโดนกล่าวหาว่าคิดคดทรยศหรือเนรคุณต่อผู้มีพระคุณหรือราชวงศ์ แต่ใช่ว่าจะมีแต่บันทึกของผู้ชนะเท่านั้นไม่ ทั้งคนต่างชาติและคนเห็นต่างได้พยายามบันทึกในสิ่งที่ตรงกันข้าม
               การมองอดีตอย่างให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจโดนค่อนขอดว่าบิดเบือน ถ้าบังเอิญคิดเห็นต่างกับผู้อ่าน แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครดีเต็มร้อย และแย่ทุกเรื่อง
               นิยายก็เป็นได้แค่นิยาย ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์ แต่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนที่พยายามให้ทุกคนมีตำหนิน้อยที่สุด
               อาจจะอ่านไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ได้สาระครบถ้วนดีกว่าอ่านประวัติศาสตร์โดยตรงก็เป็นได้
 
ตาแตม-พรรณี เกษกมล

 



Create Date : 14 ตุลาคม 2562
Last Update : 14 ตุลาคม 2562 13:36:10 น.
Counter : 426 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments