All Blog
คุยกันหน่อย ก่อนอ่าน ทองนพคุณ




เพราะฟ้าลิขิตขีดเส้นใต้ บังคับเส้นทางให้ก้าวเดิน ดลบันดาล

เพื่อให้เป็นจอมราชันย์สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ผืนปฐพี

บนเส้นทางที่ขรุขระเต็มไปด้วยขวากหนาม อุปสรรคร้อยแปด

มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะเกิดมาเป็นเจ้า แต่มิได้รับเป็นเจ้า

ทุกสิ่งลิขิตมาเพื่อท้าทายฝีมือสติปัญญาอย่างอาจหาญทรนง

ก้าวข้ามผ่านแต่ละก้าว มีทั้งกลิ่นคาวเลือดและน้ำตาที่ไหลนอง

จนก้าวมาเป็นจ้าวเหนือหัว ทรงพระนาม “ทองนพคุณ”

หมายถึง ทองเนื้อแท้บริสุทธิ์ หรือ ทองร้อยเปอร์เซ็นต์

ได้รังสรรค์แผ่นดินถิ่นเกิดจนเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง

ชาวประชาหน้าใส ร่ำรวยกันถ้วนหน้ายิ่งกว่ายุคใด ๆ ที่ผ่านมา
คุยกันหน่อย ก่อนอ่าน
          ก่อนมาเป็นนิยายเล่มนี้ ได้อ่านประวัติศาสตร์ไทย ประวัติของพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คิดเองเออเองว่าพลอตเรื่องมีแล้ว แค่เติมสีสรรค์เข้าไปคงเป็นนิยายได้กระมัง
            ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือ based on true story เพราะที่จริงมันก็ไม่ใช่ ถึงแม้เค้าโครงจะเอื้อนเอ่ยใกล้เคียงบ้างก็ตามที เพราะได้เติมแต่งจินตนาการ ความคิดเพ้อฝัน ปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมามากเกิน จนบางคนจะเถียงคอเป็นเอ็น
            คิดในใจว่าเรื่อง “ทองนพคุณ” จะมีใครอยากอ่านสักกี่คนกัน แต่เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดมักทำให้สำเร็จมาตลอด อาจไม่มีใครอ่านสักคน ตัวเราก็ได้อ่านและได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
            นิยายเรื่องนี้ค่อนไปทางหาเหตุผลให้แก่เจ้าเหนือหัวทองนพคุณ ในชีวิตที่เต็มไปด้วยขวากหนามและพบเจอแต่เรื่องเลวร้าย จนบันทึกหลายหน้ากล่าวหาค่อนขอดในทางร้ายเสียมากกว่าดี
ถ้าลองพิจารณาในอีกมุมหนึ่ง อาจพอมองเห็นความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในทิศทางที่ตรงกันข้าม
            แม้ว่าผู้ชนะคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์และมักจะเป็นคนเก่งคนดีเต็มร้อย ส่วนผู้แพ้จะโดนกล่าวหาว่า คิดคดทรยศหรือเนรคุณต่อผู้มีพระคุณหรือราชวงศ์ แต่ใช่ว่าจะมีแต่บันทึกของผู้ชนะเท่านั้นไม่ ทั้งคนต่างชาติและคนเห็นต่างได้พยายามบันทึกในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพื่อให้คนรุ่นหลังมองเห็นอีกมุม
            การมองอดีตอย่างให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจโดนค่อนขอดว่าบิดเบือน ถ้าบังเอิญคิดเห็นต่างกับผู้อ่าน แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครดีเต็มร้อย และแย่ไปเสียทุกเรื่อง
            นิยายก็เป็นได้แค่นิยาย ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์ แต่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนที่พยายามให้ทุกคนมีตำหนิน้อยที่สุด
อย่าลืมว่า ทุกคนมีเหตุผลส่วนตัว และความจำเป็นในบริบทนั้น ๆ ที่คนรุ่นหลังอาจจะไม่เข้าใจ และพยายามไม่เข้าใจ รวมทั้งสิ่งที่ดลบันดาลให้เกิดขึ้น ที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงโชคชะตานั้น ๆ ได้
            อาจจะอ่านไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ได้สาระครบถ้วนดีกว่าอ่านประวัติศาสตร์โดยตรงก็เป็นได้
 
พัทธดนย์

 




Create Date : 13 กรกฎาคม 2563
Last Update : 13 กรกฎาคม 2563 6:55:53 น.
Counter : 671 Pageviews.

1 comment
นิยาย เรื่อง ทองนพคุณ โดยพัทธดนย์


นิยาย เรื่อง ทองนพคุณ โดยพัทธดนย์

สำนักพิมพ์พรรณี เกษกมล
หมวดหมู่วรรณกรรมไทย
วันที่วางขาย07 กรกฎาคม 2563
ความยาว253 หน้า (≈ 108,883 คำ)
ราคาปก200 บาท (ประหยัด 20%)
#MEB

เพราะฟ้าลิขิตขีดเส้นใต้ บังคับเส้นทางให้ก้าวเดิน ดลบันดาล

เพื่อให้เป็นจอมราชันย์สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ผืนปฐพี

บนเส้นทางที่ขรุขระเต็มไปด้วยขวากหนาม อุปสรรคร้อยแปด

มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะเกิดมาเป็นเจ้า แต่มิได้รับเป็นเจ้า

ทุกสิ่งลิขิตมาเพื่อท้าทายฝีมือสติปัญญาอย่างอาจหาญทรนง

ก้าวข้ามผ่านแต่ละก้าว มีทั้งกลิ่นคาวเลือดและน้ำตาที่ไหลนอง

จนก้าวมาเป็นจ้าวเหนือหัว ทรงพระนาม “ทองนพคุณ”

หมายถึง ทองเนื้อแท้บริสุทธิ์ หรือ ทองร้อยเปอร์เซ็นต์

ได้รังสรรค์แผ่นดินถิ่นเกิดจนเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง

ชาวประชาหน้าใส ร่ำรวยกันถ้วนหน้ายิ่งกว่ายุคใด ๆ ที่ผ่านมา
Seller Link: https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTU0MjQwMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEyNjQ3NyI7fQ




Create Date : 08 กรกฎาคม 2563
Last Update : 11 กรกฎาคม 2563 13:58:08 น.
Counter : 739 Pageviews.

1 comment
สารบัญ ทองนพคุณ
7 มิตรภาพอันเกิดจากวัยเยาว์ สามหนุ่มเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก มิตรภาพจึงยั่งยืน
13 ชาติกำเนิดไม่ชัดเจนว่าใครคือพ่อ พ่อที่แท้จริงของนายศรีคือใครกันแน่นะ
19 เมื่ออำนาจอยู่ในมืออย่ามั่นใจนัก อำนาจใช่สืบทอดต่อกันมาแต่อาจมีการแย่งชิง
25 ฝันเฟื่องอยากเป็นเจ้าเหนือหัว เพราะชาติกำเนิดอันไม่แน่ชัดจึงอยากได้ใคร่ดี
31 บ่างช่างยุก่อเกิดแผลเหวอะหวะ พรรคพวกของสมุหพระกลาโหมไม่พอใจจ้าวทัศน์
37 ต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงฐานอำนาจ จ้าวทัศน์และสมุหพระกลาโหมแย่งชิงอำนาจกัน
44 รักแรกพบจะสมหวังหรือทำให้อกหัก หลวงพิชัยหลงรักหลานสาวของสมุหพระกลาโหม
50 รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก เมียคนแรกอาจไม่ใช่เมียเอกที่ยกย่องให้เกียรติ
56 ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี จมื่นศรีหลงรักแม่เอื้อยลูกสาวกำนัน
62 หนทางที่มิอาจเลี่ยงได้แม้แต่น้อย จ้าวทัศน์เขม่นกับพรรคพวกของสมุหพระกลาโหม
68 เศร้านี้สะท้านฟ้าสะเทือนดินยิ่งนัก จ้าวทัศน์ดื่มยาพิษปลิดชีพองค์เอง
74 ความลับที่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง จ้าวทัศน์สิ้นชีพเพราะต้องการหนีภัยหรือมีผู้วางยา
80 ข้อเท็จจริงหลายอย่างที่เกิดขึ้น ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงในการสิ้นพระชนมจ้าวทัศน์
86 มันคงไม่ได้มาจากเหตุเดียวแน่เลย วิเคราะห์หาสาเหตุในหลาย ๆ ประเด็น
92 ขวากหนามหว่างเส้นทางรัก จมื่นศรีแต่งงานกับแม่เอื้อยลูกสาวกำนัน
98 สิ้นแผ่นดินองค์เจ้าเหนือหัว เจ้าเหนือหัวนรสิงห์สวรรคตในเวลาต่อมา
104 แผ่นดินเจ้าเหนือหัวศรีภาคย์ เจ้าเหนือหัวศรีภาคย์ประหารชีวิตออกพระนายไวย
110 ผลัดแผ่นดินใหม่ฟ้ายิ่งหม่นหมอง พี่น้องต่างมารดาโค่นบัลลังก์เจ้าเหนือหัวศรีภาคย์
116 จุดเริ่มแห่งอำนาจราชศักดิ์ ล้มล้างอำนาจเก่าและริบราชบาตรกลุ่มอำนาจเก่า
122 เสียใจเพราะรักแรกลาจากไปไกล แม่เอื้อยเสียชีวิตจากเหตุปราบกบฏออกพระนายไวย
128 ตำแหน่งใหม่แลกด้วยทายาทคนแรก ได้ตำแหน่งใหม่แต่ต้องสูญเสียเมียและลูก
134 แผ่นดินเจ้าเหนือหัวอินทร อำนาจใหม่เป็นของจ้าวอินทรแน่นอน
140 ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสแจ่มจ้าเสมอ เจ้าเหนือหัวอินทรครองราชย์ จ้าวอินทาขอบวชต่อ
146 เสี้ยนเล็กเสี้ยนน้อยเอาออกให้หมด ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏญี่ปุ่นในพิธีราชาภิเษก
152 หอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงทำให้เรียบ ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏจ้าวธรรมา
  ออกญาก้าวแห่งชัยชนะจริงฤา หนทางแห่งความก้าวหน้าหรือจุดพลิกผันกันแน่
  โทษครั้งนี้ร้ายแรงด้วยข้อหาหนัก ความผิดรุนแรงข้อหากบฏล้มล้างพระราชพิธีแรกนา
  เจ้าขรัวจันทราช่วยให้พ้นคุก เจ้าขรัวจันทราขออภัยโทษให้ออกญาศรีวรวงศ์
  ไม่มีมิตรแท้ในการแย่งชิงอำนาจ หนทางสู่อำนาจอาจโดนเก็บหรือโดนแทงข้างหลัง
  ผิดซ้ำซากด้วยต้องชำระให้หายแค้น ออกจากคุกวันเดียวมีเหตุให้ต้องกลับเข้าไปอีกครั้ง
  ขอโอกาสไถ่โทษเพื่อรอดพ้นจากคุก จะออกจากคุกได้ ต้องยอมเสี่ยงตายไปออกรบ
  เขมรแข็งข้อไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง เขมรต้องการหลุดพ้นจากการเป็นประเทศราช
  ชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปในทางร้าย ออกญาศรีวรวงศ์เป็นคนไม่ดีในสายตาของชาวบ้าน
  สามเส้าแห่งการก้าวไปสู่อำนาจสูงสุด ผู้ที่หวังในอำนาจสูงสุดมีอย่างน้อยสามกลุ่มก้อน
  เพื่อปกป้องราชวงศ์สุริเยนทร์ให้คงอยู่ จ้าวอินทาหาทางกำจัดออกญาให้พ้นเส้นทาง
  รอดพ้นด้วยหวังให้เป็นอีกเบี้ย เจ้าเหนือหัวอินทรทรงช่วยออกญาให้พ้นโทษ
  แก้เกมได้สำเร็จเลยต้องมีเมียอีกคน ออกญาหาทางแก้เกมให้พ้นจากข้อกล่าวโทษ
  รักครั้งที่สองของออกญาแสนจะหวาน ออกญาหลงรักแม่พุดเมียคนที่สองหมดหัวใจ
  เมื่อรักแล้วจำต้องร้างลาจากกัน แม่พุดเสียชีวิตขณะคลอดลูกขณะที่ออกญาออกศึก
  ทุกข์ครั้งนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก การสูญเสียเมียและลูก 2 ครั้ง คงยากจะทำใจได้
  ความลับที่เป็นความลับตลอดกาล ความลับในชาติกำเนิดของออกญาว่าเป็นลูกใคร
  ความลับที่ได้เปิดเผยขึ้นมาอีกครั้ง จ้าวอินทาได้ล่วงรู้ดวงชะตาของออกญาศรีวรวงศ์
  ชีวิตที่ดำเนินต่อ หลังผ่านพายุร้าย ออกญากรำศึกนานนับ 6 ปี จึงได้โอกาสเข้ากรุง
  แรกพบประสบพักตร์ก็สะดุดรัก สามหนุ่มพบรักที่ถูกตาต้องใจและหวังจะครองคู่
  คำมั่นสัญญาจะรักชั่วฟ้าดินสลาย สามคู่หวานชื่นสมรักจนได้แต่งงานอยู่กินกัน
  หวังสร้างครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์ ชีวิตที่พร้อมจะมีบ้านที่พร้อมทั้งเมียรักและลูกเล็ก
  พยานแห่งรักแรกเห็นเป็นประจักษ์ ทายาทของพระยากลาโหมสุริวงศ์ได้ลืมตาดูโลก
  เด็กน้อยไร้เดียงสาแสนจะน่ารัก ลูก ๆ เติบโตมาด้วยความรักในบ้านเมืองที่สงบ
  รักของพ่อนั้นต้องยิ่งใหญ่เสมอ คำมั่นสัญญาของออกญาศรีวรวงศ์ที่ให้กับตนเอง
  ฝีมือโดดเด่นเหนือผู้ใดในใต้หล้า ออกญาศรีวรวงศ์ปราบกบฏญี่ปุ่นและกบฏล้านช้าง
  พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ตำแหน่งใหม่ ออกญาได้เลื่อนยศเป็นพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  ถอยหนึ่งก้าวแต่เป็นการถอยก้าวสุดท้าย จ้าวอินทาเคยสละสิทธิ์การครองราชย์ แล้วต่อไปล่ะ
  หนทางที่ก้าวต่อแม้นจะเปื้อนเลือด จ้าวอินทาคือขวากหนามที่ต้องกำจัดเพื่อเจ้าฟ้าเชษฐา
  สัญญาณไม่ดีเมื่อจะผลัดแผ่นดิน ถ้าสิ้นเจ้าเหนือหัวอินทร ใครจะได้ครองราชย์
  เกมกลซ้อนกลยากนักจะรู้ใครชนะ ออกญาเสนาภิมุขไปลวงจ้าวอินทาให้ลาสิกขา
  สู้จนยิบตาเพื่อทวงคืนความยุติธรรม จ้าวอินทากับหลวงมงคลตั้งทัพต่อสู้ที่เมืองเพชรบุรี
  คำสั่งเสียสุดท้ายของจ้าวอินทา จ้าวอินทาบอกความลับให้เจ้าเหนือหัวเชษฐารู้
  เมื่อความหวาดระแวงได้เกิดขึ้นในใจ เจ้าเหนือหัวเชษฐาไม่ไว้วางใจพระยากลาโหมสุริวงศ์
  หลวงมงคลจอมขมังเวทย์ อัศวินคู่ใจจ้าวศรีศิลป์ยอมตายดีกว่าเสียสัตย์หานายใหม่
  เหลือเพียงสองที่ต้องขับเคี่ยวกัน เขาว่าพระยากลาโหมจะแข่งบารมีกับเจ้าเหนือหัวเชษฐา
  หรือนี่คือแผนการที่ได้เตรียมวางไว้ เจ้าเหนือหัวเชษฐาวางแผนเพื่อครองอำนาจเต็มรูป
  หนึ่งทำตัวเสื่อม อีกหนึ่งทำแต่งาน เจ้าเหนือหัวเชษฐาทำตัวเหลวไหล ไม่ยอมทำงาน
  ก้าวที่พลาดของเจ้าเหนือหัวเชษฐา เจ้าเหนือหัวเชษฐาคิดหวังเผด็จศึกปราบศัตรู
  เส้นทางชีวิตที่ลิขิตจากฟ้ามาแล้ว พระยากลาโหมศรีวรวงศ์จัดการฝ่ายเจ้าเหนือหัวเชษฐาได้
  เมื่อดาบมีสองคม คนมีสองด้าน มีทั้งคนให้กำลังใจและต่อต้านพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  ข่าวลือมั่วหมดทั้งข่าวจริงและข่าวลวง ข่าวลือหลังสิ้นเจ้าเหนือหัวเชษฐา
  เมื่อพยัคฆ์ร้ายโดนลูกเสือตะปบ เจ้าเหนือหัวเชษฐาคิดต่อกรกับพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  รู้ชาติกำเนิดแลกกับคำสัญญา บอกความลับในชาติกำเนิดของพระยากลาโหมศรีวรวงศ์
  เจ้าเหนือหัวอาทิตย์อีกก้าวของเกม จ้าวอาทิตย์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเหนือหัวอาทิตย์
  คำสัญญาที่ไม่อาจรักษาสัตย์ได้ พระยากลาโหมศรีวรวงศ์สั่งประหารชีวิตพระนางอมรินทร์
  ในที่สุดคำทำนายได้เป็นจริง พระยากลาโหมศรีวรวงศ์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าเหนือหัว
  ออกญาเสนาภิมุข เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเหนือหัวทองนพคุณสั่งเก็บออกญาเสนาภิมุข
  แรงต้านมิได้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีศัตรูจึงกำจัดออกญากำแพงและออกญาพระคลัง
  ญี่ปุ่นเป็นไม้เบื่อไม้เมาหรือเป็นมิตร ออกขุนเสนาภิมุขก่อกบฏตั้งตนเป็นใหญ่เมืองนคร
  เริ่มฟ้าใหม่ชีวิตใหม่ที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร เจ้าเหนือหัวทองนพคุณสั่งประหารเจ้าเหนือหัวอาทิตย์
  เจ้าเหนือหัวทองนพคุณจอมราชันย์ ชีวิตเยี่ยงเจ้าเหนือหัวที่มีพร้อมรวมทั้งพระสนมมากมาย
  ตำแหน่งใหญ่ครอบครัวย่อมใหญ่ตาม ลูกหลายคน ใครจะได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อมา
  ความยุ่งยากใจที่อาจเกิดตามมา กลุ่มขั้วอำนาจใหม่แย่งชิงอำนาจหลังสิ้นอำนาจเก่า
  จุดจบสุดท้าย ม่านได้ปิดลงแล้ว ชีวิตของเจ้าเหนือหัวทองนพคุณจอมราชันย์จบสิ้น



Create Date : 29 มิถุนายน 2563
Last Update : 29 มิถุนายน 2563 7:28:00 น.
Counter : 777 Pageviews.

0 comment
ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี


ถูกตาต้องใจของจมื่นศรี
 
            อันว่าความรักของหนุ่มสาวแรกรุ่นที่ริเริ่มจะมีรักแรกเช่นใคร ๆ เขา มิได้เกิดจากการคัดสรรเลือกให้เหมาะสมหรือผ่านการพิจารณาจากผู้ใด แต่เกิดจากหัวใจที่ปิ๊งรักโดยอัตโนมัติล้วน ๆ ห้ามปรามให้หยุดรักมิได้
            หลังจากหลวงพิชัยอกหักดังเป๊าะแลทำตัวสำมะเลเทเมา เอาแต่คลุ้มคลั่งถึงแต่แม่หญิงบัวผู้เป็นหลานสาวของสมุหพระกลาโหมศัตรูทางการเมืองของจ้าวทัศน์พระมหาอุปราช ทำให้แม่หญิงบัวต้องรีบออกเรือนไปแต่งงานกับคนที่สมุหพระกลาโหมพึงพอใจโดยเร็ว เพื่อกันไม่ให้หลวงพิชัยได้มีโอกาสใกล้ชิดอีกต่อไป
            สมุหพระกลาโหมคงไม่ต้องการให้แม่หญิงบัว หลานสาวไปรักใคร่ชอบพอกับพรรคพวกสมุนของศัตรูทางการเมืองเป็นแน่แท้ ด้วยประจักษ์แก่ใจเป็นแน่ชัดว่า อีกไม่นาน ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งต้องมีอันเป็นไปด้วยการฆ่าล้างอีกฝ่ายให้หมดสิ้นไป ขึ้นกับโอกาสนั้นจะเป็นของใครได้ก่อน
            ใครจะยินยอมให้หลานสาวตกไปอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราช ที่อาจมาคร่ายื้อยุดฉุดชีวิตไปได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตที่มีรักนี้ให้คงอยู่ต่อไป อย่างน่าสงสารมากเพียงใด
            เมื่อแรกที่รู้ความ สมุหพระกลาโหมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลูกน้องคนสนิทที่เป็นสายสืบในวังหลวง ได้แอบมากระซิบข้างหู
“เห็นจะไม่เหมาะไม่ควรแล้วนะขอรับ กระผมสืบข่าวมาว่า หลวงพิชัยได้มาชอบพอหลงรักแม่หญิงบัว หลานสาวของท่าน”
            “อะไรกัน มันบังอาจมาก รู้ก็รู้กันอยู่ พวกเราเป็นอริทางการเมืองต่อกัน ยังริมาลักลอบเช่นนี้ มันหวังสิ่งใดกัน มาสืบความลับ รึมาหลอกให้หลงรัก ต้องจัดการอย่างรีบเร่งซะแล้ว ไอ้นี่มันกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว มาแหย่หนวดเสืออย่างข้าได้เยี่ยงไร”
สมุหพระกลาโหมพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อหน้าลูกน้องคนสนิท ด้วยไม่คิดว่า สองหนุ่มสาวรักกันด้วยใจ หาได้หวังผลทางการเมืองไม่ แลไม่ใส่ใจว่า หลานสาวจะเป็นเช่นไร เมื่อต้องพรากจากชายหนุ่มคนรัก แล้วแต่งงานกับชายอื่นที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นแม้สักนิด
สมุหพระกลาโหมยังคงด่ากราดเกรี้ยวเสียงดัง ด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อไปอีกสักครู่ มีแต่คำหยาบที่ผรุสวาทด่าทอหลวงพิชัย ที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่คงแอบสะอึกไปหลายยกแล้วกระมัง
 
            หลังจากนั้น พรรคพวกคนสนิทได้คิดหาวิธีพรากหนุ่มสาวคู่นี้ให้จากกัน
            “วิธีที่ดีที่สุด น่าจะให้แม่หญิงบัวออกเรือนแต่งงานกับคนของเราที่ไว้ใจได้นะขอรับ”
            “ต้องเลือกที่มันเชิดหน้าชูตา ให้ดูดีมีสง่าสมศักดิ์ศรีด้วย ต้องดีกว่าไอ้หลวงคนนั้น จะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าพวกมันที่กล้ามาหยามหน้าพวกเรา” สมุหพระกลาโหมตอบคนสนิท
            หลังจากการคัดสรรชายหนุ่มที่คิดว่ามีคุณสมบัติพร้อมสรรพ เหนือกว่าหลวงพิชัยมากมายนัก กำหนดการแต่งงานจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ
            คนทั่วไปอาจหลงเข้าใจว่า หลานสาวเผลอท้องหรืออย่างไร จึงต้องจัดงานอย่างกระทันหันเร่งด่วนเช่นนี้ แต่พรรคพวกของทั้งสองฝ่าย รู้แน่แก่ใจว่า นี่คือเกมการเมืองที่สมุหพระกลาโหมต้องการหยามหน้าอีกฝ่ายว่า จะมีปัญญาทำอะไรได้ไหม โดนหยามหน้าเสียขนาดนี้
            กลุ่มก๊วนของสมุหพระกลาโหมหัวเราะชอบใจที่วางแผนครั้งนี้ได้ ไม่คำนึงเลยว่า ผลร้ายจะตกแก่ใคร หลานสาวคนสวยต้องเสียน้ำตามมากเท่าไร เพียงเพื่อให้สาแก่ใจ ที่เอาชนะอีกฝ่ายได้
 
            เมื่อสมุหพระกลาโหมเรียกตัวแม่หญิงบัวออกจากวัง โดยทูลขอตัวว่า มีธุระด่วนจะเจรจาความนั้น แม่หญิงบัวเมื่อรู้เรื่อง มีสีหน้าตกใจและร้องไห้คร่ำครวญว่า “เวลาผ่านมานานสองนาน จนหลานรู้สึกยินดีในตัวคุณหลวงแล้ว เจ้าคุณลุงจะใจดำพอจะแยกเราสองจากกันหรือเจ้าคะ”
            อาการเศร้าสร้อยที่แม่หญิงบัวแสดงออกมานั้น ทำไมสมุหพระกลาโหมจะไม่รู้สึกและออกอาการสงสารเชียวหรือ จะใจอ่อนยอมตามหลานสาวหรือไม่ แต่ใจที่คัดค้าน บอกตัวเองว่า จำเป็นต้องทำ
สมุหพระกลาโหมรู้อยู่เต็มอกว่า อีกไม่นานนัก อาจเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันได้ แล้วถ้าหลานสาวแต่งงานกับฝ่ายตรงข้าม คงกระอักกระอ่วนใจพิกลที่จะจัดการกับฝ่ายนั้นให้เด็ดขาดลงไป
            หนทางแรกต้องแยกหลานสาวให้พ้นจากห้วงเหวแห่งความเศร้า ก่อนที่หลานสาวจะหลงรักหลวงพิชัยอย่างหัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงจะมีอาการเศร้าบ้างที่แอบชอบพอเขาให้บ้างแล้ว อย่างไรเสียดีกว่าจะปล่อยให้เลยตามเลยไป ที่จะยิ่งแย่กว่าที่คิดเสียอีก
            จะว่าใจดำคงต้องยอม ที่ทำร้ายจิตใจหลานสาว แต่มันจำเป็นนี่นะ ได้แต่ให้คำแก้ตัว แก่ตัวเองไปว่า ธรรมดาหญิงสาวเมื่อแต่งงานไปกับชายใด สักวันจะรักสามีแน่นอน และลืมชายคนรักได้
“เจ้าคุณลุงเจ้าคะ หลานไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่หลานไม่ได้รักเลยนะคะ ขอเวลาสืบต่อไปอีกสักน้อย ให้เวลาหลานได้เลือกคู่ชีวิตคนใหม่ด้วยตัวของหลานเองเถอะนะคะ ถึงหลานจะรักคุณหลวงมากสักเพียงใด แต่เมื่อเจ้าคุณลุงไม่พึงพอใจเป็นอันมาก ด้วยเหตุผลทางการเมือง หลานจะไม่มีวันขัดคำสั่งเป็นอันขาด”
แม่หญิงบัวร้องไห้คร่ำครวญพร้อมพิรี้พิไร “ขอให้เวลาอีกสักนิด อย่าตัดรอนโดยเร็วนะเจ้าคะ หลานทำใจไม่ได้จริง ๆ”
ปกติสมุหพระกลาโหมไม่ยินยอมฟังใครให้มาคร่ำครวญ ร้องไห้ฟูมฟาย หรือโวยวายใส่ ด้วยความเป็นชายชาติทหารนักรบ ไม่ชอบคนอ่อนแอ แต่แม่หญิงบัวเป็นหลานสาวที่รักมาก จึงมีโอกาสได้สิทธิ์นี้ แต่ทว่าหาทำให้ใจอ่อนลงไม่ คงยืนกรานในความคิดเดิมและโดยรวดเร็วเสียด้วย ในการจัดงานแต่งให้แม่หญิงบัวกับนายทหารผู้มีอนาคตไกลคนหนึ่ง แต่จะไปไกลแค่ไหน ยังไม่มีใครยืนยันได้แน่ชัด
“คงไม่ดีกระมังหลานรัก ยิ่งนานวันยิ่งยากจะทำใจ หักด้ามพร้าด้วยเข่ามันบ่ดีหรอก ลุงเข้าใจ แต่เวลาเยี่ยงนี้ สถานการณ์รุนแรงเช่นนี้ วิธีนี้เหมาะที่สุดแล้ว พอแต่งงานกันไปก็รักกันเองนั่นแหละ เชื่อลุงเถอะนะคนดี” สมุหพระกลาโหมตัดบททันที แล้วรีบลุกหนีไป เป็นอันว่า ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์อีกต่อไป คำไหนต้องเป็นคำนั้น
 
หลังจากวันนั้น แม่หญิงบัวไม่ได้เข้าไปในวังอีกเลย ทำให้หลวงพิชัยไม่มีแม้แต่โอกาสจะร่ำลาสั่งเสียคำใด ๆ ต่อกัน รู้แต่ว่าแม่หญิงบัวกำลังจะแต่งงานในเร็ววันนี้เท่านั้น อย่างนี้จะไม่ทำให้วิมานทรายพังครืนลงไปต่อหน้าต่อตาได้เยี่ยงไรกัน
หน้าที่ปลอบใจคนอกหักดังเป๊าะ จึงเป็นของสหายรุ่นพี่ แต่หารู้ไม่ว่า จมื่นศรีกำลังดำเนินรอยตามหลวงพิชัยเข้าให้แล้ว สำคัญแต่ว่า จะเดินตามสุดเส้นทางหรือไม่ ในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองแสนจะอึมครึมมากมายเช่นนี้ ราวกับพายุพยับหมอกเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วปานฉะนี้
 
            จมื่นศรีกับหลวงเดชจึงมีหน้าที่ดูแลช่วยเหลือไม่ให้หลวงพิชัยอาการทรุดหนักลงกว่าเดิมด้วยการชักชวนให้ออกไปเที่ยวเล่นเผื่อว่าหลวงพิชัยจะไปปิ๊งรักกับสาวคนใหม่ทำให้ลืมแม่หญิงบัวได้ แต่ทว่าการณ์หาเป็นเช่นที่คิดไม่
หลวงพิชัยยังหาติดใจสาวใดไม่เพราะในใจมีแต่แม่หญิงบัวผู้สวยงามดังเทพธิดาในใจของเขาและคงจะหาผู้ใดมาทัดเทียมไม่ได้เลย ถึงจะหมดหวังในสาวคนรักแต่ใจหายอมเปิดรับรักใหม่ไม่
ไม่ว่ายามหลับตาลงนอน ก่อนหลับครั้งใด อดนึกถึงอุปสรรคที่ทำให้รักไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ครั้นนอนหลับสนิท ยังฝันร้ายเหมือนโดนเสือมาขย้ำตรงหัวใจ ให้รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ เมื่ออยู่ว่าง ๆ ให้นึกถึงรักอันหวานชื่นครั้นตกหลุมรัก ใจพลอยเป็นสุข แต่พอตระหนักแจ้งแก่ใจว่า มันไม่ใช่นี่หว่า สาวเจ้ากำลังจะไปแต่งงานแล้ว ใจแป๊วขึ้นมาทันที
 
            ตอนนี้คนที่มีอาการหลงรักสาวจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นและมีอาการละเมอเพ้อพกถึงแต่หญิงงามในดวงใจกลับกลายเป็นจมื่นศรีผู้ซึ่งปกติมีมาดเคร่งขรึม เอาการเอางานแลจริงจังกับชีวิตไปเสียทุกเรื่องราว กลับเป็นคนที่มีอาการน่าเป็นห่วงเสียยิ่งกว่าหลวงพิชัย
            จมื่นศรีคิดถึงคะนึงหาแต่แม่เอื้อย ผู้ซึ่งยังไม่เคยเอ่ยปากพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มนิด ๆ จากปากของนาง เสียงหัวเราะเบา ๆ แบบกุลสตรีที่ไม่อ้าปากหัวเราะเสียงดังลั่นเช่นสาวน้อยมะลิ แค่นี้ทำให้ใจของจมื่นศรีสั่นระรัวได้เสียแล้ว
            ก่อนลาจากกันในวันแรกที่ได้พบ จมื่นศรีผู้เทใจให้แม่เอื้อยไปหมดห้องหัวใจแล้วนั้น ได้เอ่ยปากครั้งแรกเพื่อหวังได้ยินเสียงตอบรับจากสาวที่คิดว่าตนหลงรักไปหมดใจ ให้แน่ใจว่า สาวนี้ไม่ได้เป็นใบ้ให้หลงรักเก้อ
            “พี่ไปก่อนนะขอรับ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่อีกครา หวังว่าแม่เอื้อยคงยินดีที่จะพบเจอะเจอพี่นะขอรับ”
จมื่นศรีตั้งใจเจรจากับสาวคนรักโดยตรง ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิต รอยยิ้มเปื้อนหน้าเพราะความรักแท้ ๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ใจที่แข็งกระด้างกลับอ่อนโยนได้อย่างฉับพลัน
            “ค่ะ คุณพี่” คำตอบรับเพียงเท่านี้ สั้น ๆ ง่าย ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทำให้ใจของจมื่นศรีพองโตราวอึ่งอ่างที่ได้น้ำฝน สดชื่นอย่างหาใดมาเปรียบปานได้ ยิ่งรอยยิ้มนิด ๆ บนใบหน้าขณะตอบรับ ทำให้หัวใจของจมื่นศรีพองโตคับอกขึ้นมาทันที
            “ไม่นานนะขอรับ พี่จะมาหาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เสียงเบาแทบกระซิบตอบแม่เอื้อยอย่างรู้สึกเขินอายในการเจรจาความเช่นหนุ่มน้อยหลงรักสาวที่ยืนตรงหน้า
ส่วนสาวเจ้าให้รู้สึกเขินอายตอบเช่นกัน เมื่อรู้ภาษากายของหนุ่มตรงหน้าว่ามีเจตนาเช่นไรในคำพูดนี้
            คงเป็นครั้งแรกกระมัง ที่จมื่นศรีเริ่มเข้าใจหลวงพิชัยเพื่อนรัก ความรักเป็นเช่นนี้เองหนอ และรักแรกพบที่สะดุดหัวใจให้หยุดลงที่เธอเพียงผู้เดียว นี่เป็นฤทธิ์ของศรรักที่ปักอกดังปึ๊บของกามเทพ
หัวใจเต้นตึ๊ก ๆ ตั๊ก ๆ มันดังออกมานอกใจ ให้ใคร ๆ ได้ยินหรือไม่
            ส่วนหลวงเดชและหลวงพิชัยที่เฝ้ามองจมื่นศรีผู้พี่ ได้แต่แอบอมยิ้มในใบหน้า ด้วยไม่เคยเห็นท่วงทีกิริยาของพี่ท่านเช่นนี้มาก่อน จึงแอบขำอยู่แต่เพียงในใจ ไม่กล้าหัวเราะเสียงดังให้พี่ท่านเขินอายมากกว่านี้
            หลวงพิชัยยิ่งขำมากกว่าใคร ต่อไปพี่ท่านคงไม่กล้าหยอกล้อเรื่องรักของใครอีกแล้วเป็นแน่ เมื่อเจอเข้ากับตัวเองจริง ๆ จัง ๆ แค่แรกพบประสบพักตร์ก็หลงรักถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่การหยอกล้อเล่นของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว แบบก้อร้อก่อติ๊กหรอก
 
            นับตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นจมื่นศรีโดนศรกามเทพปักอกแทน
จมื่นศรีกลายเป็นคนที่มีจิตใจร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง จากชายหนุ่มเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อมีรักกับหญิงที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
“แปลกไหมล่ะ พี่ท่าน อย่างนี้ต้องเรียกว่ากามเทพแผลงศร พี่ท่านเคยค่อนขอดน้องพลว่า ทำมั้ยทำไมแค่เจอแม่หญิงบัวให้หลงรักหัวปักหัวปำได้ คราวนี้ได้คำตอบหรือยังขอรับ”
หลวงเดชทำเสียงขำ ๆ หัวเราะในลำคอ เมื่อจมื่นศรีเอ่ยปากชวนให้ไปหาแม่เอื้อยอีกครั้ง หลังจากผ่านไปเพียงสองวัน “พอออกเวรให้ใจร้อนรุ่มถึงเพียงนี้เลยหรือขอรับ”
“อย่าพูดมากไปพี่เดช ไม่ถึงคราวตัวเองก็พูดมากได้ อยากรู้นักว่าถึงคราวที่พี่เดชโดนศรรักปักทรวงจะเป็นเช่นไร”
หลวงพิชัยตอบแทนจมื่นศรีที่กำลังหน้าแดงและพูดไม่ออกเมื่อโดนน้อง ๆ ล้อเลียนอาการที่หลงรักสาวเจ้า แม่เอื้อยลูกสาวกำนัน “อาจจะเฝ้าที่บันไดเรือนสาวเจ้าเช้าเย็นก็เป็นได้”
คราวนี้ทั้งสามถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น เมื่อต่างฝ่ายต่างล้อเลียนปฏิกริยาที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติของหนุ่มกลัดมัน ที่อยากพบเจอะเจอสาวคนรักด้วยแรงขับที่ไม่อาจห้ามปรามหรือหยุดยั้งได้ มีแต่คอยรับคำสั่งให้ทำตามใจปรารถนาเท่านั้น
            สามหนุ่มแวะเวียนไปหาสามสาวบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ โดยมีจมื่นศรีเพียงผู้เดียวที่ใจเต้นระรัวทุกครั้งที่ไปหาแม่เอื้อย ส่วนสองหนุ่มไปเป็นเพื่อนเท่านั้นไม่ได้ยินดีหรือหลงใหลในอีกสองสาวอย่างคู่รัก ทุกคนคุยกันสนุกสนานในที่เปิดเผยโดยพ่อกำนันรับรู้ในการมาของหนุ่มทั้งสาม
            เมื่อจมื่นศรีแวะเวียนมาหาบ่อยครั้งขึ้น พ่อกำนันชักไม่ชอบใจ จึงเอ่ยปากสอบถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถึงเชื้อสายวงศ์ตระกูล ราวกับเป็นนายทะเบียนสอบข้อมูลลูกบ้านใหม่ว่าเป็นใคร มาจากไหน ฐานะเป็นเช่นไร ด้วยเริ่มแน่ใจแล้วว่าเป็นชายหนุ่มมาก้อร้อก้อติกหวังจีบลูกสาว ไม่ใช่มาเยี่ยมในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้น
            กำนันเริ่มหวงลูกสาว กลัวหนุ่มในเมืองรูปร่างหน้าตีหล่อเหลาเอาการมาเคลมลูกสาวไปฟรี ๆ จึงต้องตีกันให้ชัดเจน ให้รู้ว่าจะมาจีบฟรี ๆ ไม่ได้ ถ้าจะมาและเล็มต้องคิดจริงจังตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวเปิดเผย ไม่ใช่มาทิ้งมาขว้างภายหลัง เป็นอันโดนลูกปืนเป็นแน่ขืนทำเช่นนั้น
            จมื่นศรีกราบพ่อกำนันอย่างอ่อนน้อม แล้วรายงานตัวอย่างเป็นทางการถึงยศตำแหน่ง  ชาติตระกูลและความจริงใจในการมาคบลูกสาวกำนัน
            “กระผมชื่อจมื่นศรีเป็นหัวหมื่นมหาดเล็กในเจ้าเหนือหัวนรสิงห์ บิดาคือคุณพระศรีธรรมาขอรับ ที่กระผมมาเรือนท่านกำนันหวังผูกไมตรีด้วยใจจริงนะขอรับ ถ้ากระผมแน่ใจในความรักครั้งนี้ด้วยตกลงปลงใจแน่วแน่ทั้งสองฝ่ายแล้วไซร้ จะให้ท่านบิดามาสู่ขอเป็นทางการนะขอรับ ไม่ทราบท่านกำนันจะคิดเห็นเป็นประการใดบ้างขอรับ”
          กำนันได้รับรู้ข้อมูลว่าหนุ่มที่มาติดพันลูกสาวนั้นมีพร้อมทั้งฐานะการเงินชาติตระกูลตำแหน่งหน้าที่การงาน ให้รู้สึกยินดี แต่จะแสดงออกนอกหน้าคงดูไม่งาม จึงทำสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ในใจ หัวใจพองโตด้วยความยินดีที่ลูกสาวชาวบ้านจะได้โอกาสอันดีได้คู่ครองเป็นขุนนางมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นศักดิ์ศรีแก่วงศ์ตระกูล
            อีกใจหนึ่งกำนันรู้อยู่เต็มอกว่า ตนเป็นพวกใคร และจมื่นศรีเป็นพวกใคร หวังแต่ว่าความแตกต่างทางความคิดและเป็นคนละฝ่าย คงจะไม่ทำให้เกิดอุปสรรค ดีเสียอีกที่ตนจะมีคนที่มีอำนาจคุ้มกะลาหัวถึงสองฝ่าย
            “ยินดีเช่นกันที่ได้รู้จักจมื่นศรีอย่างเป็นอย่างทางการ ต่อไปนี้จะไปมาหาสู่ จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจว่าไม่รู้เป็นผู้ใดที่มาเยือนเรือนบ่อยครั้งเกิน” กำนันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงออกอย่างออกนอกหน้านอกตาว่าดีใจหรือผิดหวัง เป็นการไว้มาดของกำนันนิด ๆ ไม่ใช่ตื่นเต้นยินดีที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนกับขุนนาง
           
            เข้าตามตรอกออกตามประตู
            คือหนทางที่ถูกต้องของชายหนุ่ม
            ที่หมายปองหญิงสาวมาเป็นของตน
            เมื่อผู้ใหญ่ยินยอมพร้อมใจรักจึงเดินต่อได้
 



Create Date : 26 มิถุนายน 2563
Last Update : 26 มิถุนายน 2563 8:42:04 น.
Counter : 705 Pageviews.

0 comment
รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก

 รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก
 
            การได้เสียกันระหว่างหนุ่มมหาดเล็กกับสาวชาวบ้านอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายหญิงคิดว่าตนได้ชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง ส่วนชายหนุ่มจะคิดยกย่องให้เป็นเมียเอกหรือไม่ยังสงสัย
            สามหนุ่มมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเกินวัย เกินเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ยังหาหญิงที่เหมาะมาเป็นแม่ศรีเรือน เมียเอกยังไม่พบ แต่เลือดหนุ่มที่วิ่งพล่านคงมิอาจรั้งรอได้ จำต้องหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนกาย
            ไม่มีใครรู้ว่า สมัยนั้นมีหญิงงามเมืองจริงหรือไม่ และสามหนุ่มนี้ได้เคยไปใช้บริการหญิงงามเมืองพวกนี้หรือไม่ด้วย
ถ้าเป็นบางยุค หนุ่มกลัดมันทั้งหลายอาจจะเสียความบริสุทธิ์ให้กับหญิงงามเมืองที่ช่ำชองในการนี้ เพราะอาจจะเป็นแค่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ ยังไม่ทันเช้าไก่ก็ขันเสียแล้ว อะไรทำนองนั้น
เป็นการเสียบริสุทธิ์ครั้งแรกของหนุ่มแตกพาน ที่ไม่มีสาวใดยอมเล่นด้วย นอกจากหญิงที่ช่ำชองในเรื่องเช่นนี้ คอยสอนงานให้
            อาจจะเคยหรือไม่เคย คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยน้อยคนนักที่จะรับหญิงงามเมืองเหล่านี้มาตบแต่งเป็นเมียออกนอกหน้านอกตา ยกเว้นเสียแต่หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ หรือไม่ก็โดนเสน่ห์ยาแฝดเข้าให้แล้ว
            สมัยต่อมา ชายหนุ่มเลิกเที่ยวหญิงงามเมืองซะแล้ว เพราะรู้ว่ามีโรคติดต่อที่น่าเกลียดน่ากลัวเสียยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะตายเสียด้วยซ้ำ แล้วหันมาเล่นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือคนรู้จักมักคุ้นใกล้ ๆ ดีเสียอีกเงินทองไม่ต้องเสีย สนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เผลอไผลเกิดท้องขึ้นมาอาจไปทำแท้ง หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายรับไปเลี้ยง จบเรื่องได้
 
ใคร ๆ จะเรียกจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กว่าคุณพระนาย ตำแหน่งจมื่นนี้อาจเรียกว่าเป็นหัวหมื่น มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในตำแหน่งของมหาดเล็กหลวง ส่วนหลวงเดช และหลวงพิชัยจะเรียกว่าคุณหลวง
            ตำแหน่งขุนนางจะเริ่มจาก พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา สำหรับข้าราชการทั่วไป สมัยนั้นยังไม่มีตำแหน่งเจ้าพระยา คนที่ได้เป็นพระยานับว่ายิ่งใหญ่และใหญ่โตมากที่สุดแล้ว
สำหรับมหาดเล็กจะเริ่มจากนายมหาดเล็กสำรอง นายมหาดเล็กวิเศษ นายรองหุ้มแพร นายหุ้มแพร นายจ่า หลวง และจมื่น
            ยังมีคำว่า “ออก” นำหน้าอีก เช่น ออกหลวง ออกพระ ออกญา เป็นตำแหน่งของ “ว่าที่” เตรียมพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งนั้น ออกหลวงเตรียมเป็นหลวง ออกพระเตรียมเป็นพระ ออกญาเตรียมเป็นพระยา
ทั้งสามได้ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วทั้งจากเส้นสายทางบิดา จากการได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้านาย และด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม จนเพื่อนรุ่นเดียวกัน อดไม่ได้ที่ค้อนขวับ ๆ แบบหญิงสาว หรือโดนนินทาว่าร้ายลับหลัง
“อะไรกันนี่ เข้ามารับราชการพร้อมกัน มันกระโดดไปโน่นแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย” เสียงก่นว่าลับหลัง แบบค่อนขอดพร้อมน้อยใจในโชคชะตาของเพื่อน ๆ
            ทั้งคุณพระนายและคุณหลวงต่างมีอำนาจคุมทหารมหาดเล็ก แต่คุณพระนายหรือจมื่นศรีจะได้รับยกย่องมากกว่าจมื่นคนอื่น ๆ เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว จะเพ็ดทูลเรื่องใดย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่สังกัดในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน
ตำแหน่งเท่ากัน แต่ต่างสังกัด อำนาจย่อมต่างกันได้
            ใครจะไปรู้ว่า ตำแหน่งที่ใหญ่โตแล้วนี้ จะจบลงที่ตำแหน่งนี้ หรือจะได้ก้าวต่อไป หรืออาจจะสะดุดหยุดหกล้มหงายเก๋งไม่เป็นท่า
 
“จมื่น" หรือ "เจ้าหมื่น" เป็นบรรดาศักดิ์เฉพาะกรมมหาดเล็กกับกรมพระตำรวจเท่านั้น ในส่วนของกรมมหาดเล็กจะเป็นตำแหน่งของหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง 4 คือ จมื่นสรรเพชญ์ภักดี จมื่นศรี จมื่นไวยวรนาถ จมื่นเสมอใจราช ถือศักดินาคนละ 1,000 ไร่
จมื่นศรีเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรซ้าย ส่วนจมื่นเสมอใจราชเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรขวา อำนาจหน้าที่ของจมื่นสามารถควบคุมและสั่งการมหาดเล็กใต้บังคับบัญชาได้ทั้งหมด เวรซ้ายมีหน้าที่มาเข้าเวรในวันข้างแรม เข้า 2 วัน ออก 2 วัน รับใช้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว
แม้มหาดเล็กจะไม่ได้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ด้วยความที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินทำให้ขุนนางมักจะให้ความเกรงใจอยู่
วัยหนุ่มของทั้งสามกับตำแหน่งที่ใหญ่โตมิใช่เบา ย่อมทำให้เกิดความกร่างอหังการ์ตามประสาหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลาย
หลายคนจึงเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเกรงจะไปปะทะโดยไม่ตั้งใจและอาจมีเรื่องมีราวกันโดยไม่เจตนาก็เป็นได้
สมัยนั้นถ้าไพร่ทะเลาะกับขุนนาง มีความผิดมหันต์ จึงไม่มีไพร่คนใด หรือชาวบ้านทั่วไป ที่คิดจะเข้าใกล้ ที่อาจก่อให้เกิดขุ่นข้องหมองใจกันได้
ถ้าจะพูดไป คงไม่มีชาวบ้าน มีแต่ไพร่กระมัง เพราะชาวบ้านทุกคนเรียกรวมว่าไพร่ เป็นงั้นไป
คำว่าไพร่ ไม่ใช่คำต่ำช้า เหยียดหยาม ดังที่บางคนในยุคนี้ใช้กัน
ทุกคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านอายุ 9 ขวบ ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เจ้าเหนือหัวคุมไพร่ทั้งหมด ไพร่หลวงถูกเกณฑ์ทำงานโยธาให้รัฐ  แล้วแบ่งปันให้ขุนนาง เรียกไพร่สม ซึ่งจะกลายเป็นสมบัติไปชั่วลูกหลาน
แย่กว่าไพร่ คงเป็นทาส ทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสเชลย ทาสบางพวกเป็นทาสตลอดชีวิตไป ต่อเนื่องไปถึงลูกทาสที่เกิดในเรือน
การเป็นขุนนางจึงดูใหญ่โตเสียเหลือเกินที่ไพร่และทาส ไม่บังอาจมาอื้อหือด้วย
 
เมื่อออกเวร สามหนุ่มจะใช้ชีวิตเสเพล ดื่มสุรายาเมา เที่ยวผู้หญิง เล่นการพนัน ต่อยมวย ยิงนกตกปลา ทำทุกสิ่งที่หนุ่ม ๆ ชาวราฐมัณฑ์ในสมัยเดียวกันทำ มิได้ผิดแผกแปลกไป
เป็นชีวิตของคนหนุ่ม ที่ใคร ๆ เขาทำกัน ยิ่งใหญ่โตมากเพียงใด ยิ่งอหังการ์มากเพียงนั้น
ไม่ได้เป็นหนุ่มหน้ามนคล้ายหญิงสาว ไม่ได้เป็นขันทีในพระราชวังที่ถูกตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นชายทั้งแท่งที่ออกห้าวหาญ องอาจ กล้าหาญ บ้าบิ่น
เมื่อหลวงพิชัย รูปหล่อ หุ่นล่ำบึ้ก ผิวออกคล้ำสมดังไทยแท้แต่อกหักดังเป๊าะ ด้วยดันไปหลงรักหลานสาวคนโปรดของสมุหพระกลาโหม แล้วโดนพรากจากนางด้วยเหตุทางการเมือง ทำให้พี่ใหญ่ พี่รองต้องพาไปเปลี่ยนอารมณ์บ่อยครั้งขึ้น
ไม่เช่นนั้นหลวงพิชัยจะเอาแต่คลุ้มคลั่ง กินแต่เหล้าและละเมอเพ้อพกถึงแต่แม่หญิงบัว
อกหักจากรักแรกพบของหนุ่มที่เพิ่งเริ่มแตกพาน มันรุนแรงและร้ายแรงยิ่งนัก คิดว่าความรักนี้คือทุกสิ่งของชีวิต เมื่อไม่สมหวังแทบอยากจะตายและตาย ไม่ได้คิดหรอกว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น และราตรีนี้อีกยาวนานนัก ชีวิตต้องพบและเจอะเจอความรักอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ
เมื่อน้องเล็กมีอาการน่าเป็นห่วง มีอะไรที่จะดีไปกว่า การออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา และเหล่หาสาว อื่นเพื่อมาดามหัวใจที่หักดังเป๊าะให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
นอกจากเที่ยวในตลาดในเมืองแล้ว บางทียังพากันออกไปยิงนกตกปลาตามบ้านนอกที่ห่างไกลออกไปสักหน่อย ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
วันใดที่ไปเจอพวกนักเลงหัวไม้คุมถิ่นอาจต้องมีเรื่องเตะต่อยชกตีกันบ้างให้เจ็บตัวพอรู้สึก บางวันมีประลองฝีมือมวยเพื่อชิงรางวัล สามหนุ่มมักจะเข้าท้าชิงและได้รางวัลพอแก้เหนื่อยบ้าง
วัยหนุ่มทั้งสามใช้ชีวิตกันอย่างสุขสำราญสมดังชายชาตรีสมัยนั้น ไม่ได้สำอางค์องค์ เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เหมือนสาว ๆ แต่ห้าวและองอาจกล้าหาญพร้อมลุยได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าเจอะเจอนักเลงอันธพาลมิได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย และไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นถึงจมื่นและหลวง มหาดเล็กหลวงด้วยคิดว่าไม่ได้ออกมาทำงานในหน้าที่
“พวกเราออกไปเที่ยวนอกเมืองกันดีไหม วันนี้” หลวงเดชเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยวันนี้ออกเวรพร้อมกัน
“ดีเหมือนกัน” จมื่นศรีรีบตอบรับ แต่หลวงพิชัยนี่สิยังนั่งเหม่อลอย ซึม ๆ เหมือนไม่ได้ยิน หรือไม่ยินดียินร้ายที่จะออกไปเที่ยว อยากแต่นั่งเฉย ๆ คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ๆ
“เออ ไปเที่ยวกันดีกว่านะ น้องเรา นั่งแบบนี้ไม่ดีหรอก เผื่อเจอสาว ๆ ที่สวยบาดตาบาดใจยิ่งกว่าแม่หญิงบัวก็เป็นไปได้นะ” หลวงเดชหันมาชวนหลวงพิชัยจริง ๆ จัง ๆ
“แม่หญิงบัวงามที่สุดแล้วในสามโลก คงยากที่จะหาใครงามเท่า” หลวงพิชัยเถียงข้าง ๆ คู ๆ อย่างแน่ใจว่าสาวที่ตนหลงรักนั้นงามจริง ๆ ไม่มีใครมางามเท่า
“เออน่า พี่ท่านอยากไป เราไปเป็นเพื่อนเที่ยวดีกว่า ออกไปนอกเมืองบ้าง ไม่ต้องกินเหล้าเมายาก็ได้ ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหูเปิดตาหาสิ่งแปลกใหม่ ร่างกายจะได้แข็งแรงสดชื่น”
หลวงเดชยังพยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้หลวงพิชัยลุกจากที่นั่งอย่างเซื่องซึมหงอยเหงา มาเป็นเดินเหินก้าวไปข้างหน้าและลืมความหลังที่อกหักเสีย
จมื่นศรีที่ปกติไม่ค่อยพูดมาก เมื่อเห็นอาการน่าเป็นห่วงของหลวงพิชัย ได้ร่วมกันเชิญชวน เพื่อให้หลวงพิชัยหายเศร้าด้วย “เออ ลุก ๆ ไปเที่ยวกัน”
สิ้นคำสั่งกลาย ๆ หลวงพิชัยได้ลุกขึ้น เพราะเชื่อพี่ท่านเสมอมาตั้งแต่เป็นเด็ก
 
เมื่อออกไปเที่ยวหัวเมืองได้พบเตะตากับสามสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกันเดินเล่นในตลาด สามสาวเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคัก โดยไม่ได้สนใจสายตาชายหนุ่มแปลกหน้าที่เฝ้ามอง
ตามประสาชายหนุ่มเมื่อเห็นสาว ๆ จะปากเปราะเราะรานหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาว ด้วยการยั่วให้โกรธ แล้วสาว ๆ จะค้อนขวับหรือเจรจาโต้ตอบอย่างไม่ยอมความ ทำให้เกิดการต่อปากต่อคำ และนำไปสู่การรู้จักกันในที่สุด ถ้ารู้สึกต้องตาต้องใจกันพอควร
“ควายหายหรือจ๊ะ น้องสาว” หลวงเดชผู้ปกติมาดขรึมพอควร กล้าเอ่ยปากทักสาว ๆ ด้วยคารมที่กวนส่วนล่างเป็นอันมาก เพราะนั่นหมายถึงสาว ๆ  กำลังรีบจ้ำอ้าวเพื่อตามหาควาย ทั้งที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สาวคนหนึ่งที่น่าจะอายุน้อยสุด แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำคนแรก “ควายหายแล้วพี่จะช่วยตามหาควายให้เหรอคะ” แต่ดวงตากลับค้อนขวับเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้เต็มที ที่อยู่ดี ๆ มีใครที่ไม่รู้จักกล้ามาว่าพวกเธอได้
“ได้สิขอรับ แต่ทว่ามันวิ่งเตลิดไปทางไหนเหรอ พี่จะได้ไปช่วยตามให้” หลวงเดชตอบทันที
สาวอีกนางสะกิดเพื่อนให้หยุดพูด เพราะไม่งามนักที่สาวจะต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มแปลกหน้าในที่สาธารณะเช่นนี้ แต่หาทำให้สาวนางนี้หยุดพูดไม่
“ได้เลยค่ะ มันวิ่งเตลิดไปทางนั้น พี่ต้องรีบหน่อยนะ เดี๋ยวจะตามไม่ทัน” พร้อมหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหลวงเดชตั้งหน้าทำท่าจะวิ่งไปทางปลายนิ้วชี้
คราวนี้สามสาวหัวเราะพร้อมกัน ที่เห็นว่าหลวงเดชทำท่าจะไปตามควายที่หายไปจริง ๆ
หลวงเดชวิ่งไปสักพัก หันหน้ากลับมาพร้อมทำท่าเหนื่อยหอบแฮก ๆ ราวกับเหนื่อยเสียเหลือเกิน ทั้งที่วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ทันทีที่ได้ยินเสียงสามสาวหัวเราะ ให้รู้ว่า สามารถทำคะแนนได้แล้วจึงยิ้มให้อย่างกว้างขวาง พร้อมเข้าไปพูดคุยด้วยดี
หลังจากแนะนำว่าตัวเองชื่อเดช พี่ใหญ่ชื่อศรี และน้องเล็กชื่อชัยแล้วได้หาเรื่องเจรจาต่อด้วยการเดินตามสาว ๆ ไปตามทาง ซึ่งสาว ๆ ยอมให้เดินตามโดยดี ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ทำให้สามหนุ่มกล้าเดินตามไปจนถึงบ้านของพวกนางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พบกันครั้งแรกไม่
สามสาวนี้เป็นพี่น้องกัน 2 คน อีกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว
เมื่อถึงเรือน พี่สาวคนโตชื่อกุหลาบได้เชื้อเชิญให้สามหนุ่มดื่มน้ำดื่มท่าพักผ่อนกายาให้สบายใจที่แคร่พักนอกเรือนชาน พอเป็นพิธีว่าได้ต้อนรับขับสู้ดีพอสมควร แต่มิกล้าเอ่ยปากชักชวนให้ขึ้นเรือน ด้วยยังมิรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จะกลายเป็นที่ครหาขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาได้ว่าให้ท่าชายแปลกถิ่นจนเกินงาม
น้องสาวที่ดูปากกล้าต่อปากต่อคำกับชายแปลกหน้านั้นชื่อมะลิ ได้เอื้อนเอ่ยให้นั่งพักสบายอารมณ์ ก่อนจะขอตัวไปหาขนมอร่อยที่ห้องครัวมาให้ขบเคี้ยวเล่น
ส่วนเพื่อนของพี่สาวคนโตนั้น ไม่ช่างพูดช่างเจรจาได้แค่อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งใดน่าขบขัน แต่กิริยาท่วงทีเช่นนี้กลับถูกใจจมื่นศรียิ่งนัก กลายเป็นสิ่งน่าค้นหามากกว่าสาวมะลิช่างเจรจาและกุหลาบที่มีมาดเคร่งขรึมสมกับเป็นพี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลน้อง ๆ
สามหนุ่มสาวนั่งเจรจากันอีกสักครู่ จมื่นศรีจึงได้รู้ว่า สาวที่ถูกใจคนนี้มีนามว่า “เอื้อย” เป็นลูกสาวของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในถิ่นนี้ กำนันคนนี้เป็นคนดี ใจนักเลงคอยดูแลลูกบ้านด้วยดี
หลังจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นคนที่โดนศรกามเทพปักอกกลับกลายเป็น
จมื่นศรีที่ร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง
หลวงเดชกับหลวงพิชัยสังเกตเห็นว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อย
หลวงพิชัยแหย่เย้า “เออ ตกลงจะให้กระผมหาหญิงใหม่หรือขอรับ น่าจะเป็นพี่ท่านเสียมากกว่า จ้องมองแม่เอื้อยตาไม่กระพริบเลย” จากนั่งซึมเซามาหลายเพลา หลวงพิชัยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้พบปะสาว ๆ ได้ต่อปากต่อคำ และรู้ว่าจมื่นศรีสนใจสาวนามว่า เอื้อย จนน่ากลายเป็นรักแรกพบเช่นตนเอง
หลวงเดชหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ดังลั่น “เออน้องเราพูดถูก แทนที่น้องเราจะเจอสาวคนใหม่ กลายเป็นพี่ท่านไปเสียนี่ แล้วเราจะเดินเกมต่อไปเช่นไรดี สานต่อ หยุด หรือทำเฉย”
“เออ ๆ เราน่าจะไปคุยกันอีกสักรอบสองรอบ เผื่อจะได้รู้จักดีขึ้น ดีไหม” จมื่นศรีเอ่ยตอบ พร้อมทำหน้าเขินนิด ๆ แต่สองหนุ่มไม่ตอบ เป็นอันรู้กันแน่ชัดว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อยแล้ว
ชายหนุ่มเมื่อแรกรักครั้งแรก คงมีกิริยาพาทีเขินอายเช่นนี้เอง
 
หนุ่มสาวเมื่อแรกพบประสบพักตร์
จะรู้สึกนึกรักและยินดีพึงพอใจต่อกัน
หรืออาจเหม็นขี้หน้าไม่อยากเสวนา
คงขึ้นกับบุพเพที่เคยทำแต่ชาติปางก่อน
 
 

            การได้เสียกันระหว่างหนุ่มมหาดเล็กกับสาวชาวบ้านอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายหญิงคิดว่าตนได้ชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง ส่วนชายหนุ่มจะคิดยกย่องให้เป็นเมียเอกหรือไม่ยังสงสัย
            สามหนุ่มมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเกินวัย เกินเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ยังหาหญิงที่เหมาะมาเป็นแม่ศรีเรือน เมียเอกยังไม่พบ แต่เลือดหนุ่มที่วิ่งพล่านคงมิอาจรั้งรอได้ จำต้องหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนกาย
            ไม่มีใครรู้ว่า สมัยนั้นมีหญิงงามเมืองจริงหรือไม่ และสามหนุ่มนี้ได้เคยไปใช้บริการหญิงงามเมืองพวกนี้หรือไม่ด้วย
ถ้าเป็นบางยุค หนุ่มกลัดมันทั้งหลายอาจจะเสียความบริสุทธิ์ให้กับหญิงงามเมืองที่ช่ำชองในการนี้ เพราะอาจจะเป็นแค่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ ยังไม่ทันเช้าไก่ก็ขันเสียแล้ว อะไรทำนองนั้น
เป็นการเสียบริสุทธิ์ครั้งแรกของหนุ่มแตกพาน ที่ไม่มีสาวใดยอมเล่นด้วย นอกจากหญิงที่ช่ำชองในเรื่องเช่นนี้ คอยสอนงานให้
            อาจจะเคยหรือไม่เคย คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยน้อยคนนักที่จะรับหญิงงามเมืองเหล่านี้มาตบแต่งเป็นเมียออกนอกหน้านอกตา ยกเว้นเสียแต่หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ หรือไม่ก็โดนเสน่ห์ยาแฝดเข้าให้แล้ว
            สมัยต่อมา ชายหนุ่มเลิกเที่ยวหญิงงามเมืองซะแล้ว เพราะรู้ว่ามีโรคติดต่อที่น่าเกลียดน่ากลัวเสียยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะตายเสียด้วยซ้ำ แล้วหันมาเล่นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือคนรู้จักมักคุ้นใกล้ ๆ ดีเสียอีกเงินทองไม่ต้องเสีย สนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เผลอไผลเกิดท้องขึ้นมาอาจไปทำแท้ง หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายรับไปเลี้ยง จบเรื่องได้
 
ใคร ๆ จะเรียกจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กว่าคุณพระนาย ตำแหน่งจมื่นนี้อาจเรียกว่าเป็นหัวหมื่น มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในตำแหน่งของมหาดเล็กหลวง ส่วนหลวงเดช และหลวงพิชัยจะเรียกว่าคุณหลวง
            ตำแหน่งขุนนางจะเริ่มจาก พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา สำหรับข้าราชการทั่วไป สมัยนั้นยังไม่มีตำแหน่งเจ้าพระยา คนที่ได้เป็นพระยานับว่ายิ่งใหญ่และใหญ่โตมากที่สุดแล้ว
สำหรับมหาดเล็กจะเริ่มจากนายมหาดเล็กสำรอง นายมหาดเล็กวิเศษ นายรองหุ้มแพร นายหุ้มแพร นายจ่า หลวง และจมื่น
            ยังมีคำว่า “ออก” นำหน้าอีก เช่น ออกหลวง ออกพระ ออกญา เป็นตำแหน่งของ “ว่าที่” เตรียมพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งนั้น ออกหลวงเตรียมเป็นหลวง ออกพระเตรียมเป็นพระ ออกญาเตรียมเป็นพระยา
ทั้งสามได้ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วทั้งจากเส้นสายทางบิดา จากการได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้านาย และด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม จนเพื่อนรุ่นเดียวกัน อดไม่ได้ที่ค้อนขวับ ๆ แบบหญิงสาว หรือโดนนินทาว่าร้ายลับหลัง
“อะไรกันนี่ เข้ามารับราชการพร้อมกัน มันกระโดดไปโน่นแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย” เสียงก่นว่าลับหลัง แบบค่อนขอดพร้อมน้อยใจในโชคชะตาของเพื่อน ๆ
            ทั้งคุณพระนายและคุณหลวงต่างมีอำนาจคุมทหารมหาดเล็ก แต่คุณพระนายหรือจมื่นศรีจะได้รับยกย่องมากกว่าจมื่นคนอื่น ๆ เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว จะเพ็ดทูลเรื่องใดย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่สังกัดในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน
ตำแหน่งเท่ากัน แต่ต่างสังกัด อำนาจย่อมต่างกันได้
            ใครจะไปรู้ว่า ตำแหน่งที่ใหญ่โตแล้วนี้ จะจบลงที่ตำแหน่งนี้ หรือจะได้ก้าวต่อไป หรืออาจจะสะดุดหยุดหกล้มหงายเก๋งไม่เป็นท่า
 
“จมื่น" หรือ "เจ้าหมื่น" เป็นบรรดาศักดิ์เฉพาะกรมมหาดเล็กกับกรมพระตำรวจเท่านั้น ในส่วนของกรมมหาดเล็กจะเป็นตำแหน่งของหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง 4 คือ จมื่นสรรเพชญ์ภักดี จมื่นศรี จมื่นไวยวรนาถ จมื่นเสมอใจราช ถือศักดินาคนละ 1,000 ไร่
จมื่นศรีเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรซ้าย ส่วนจมื่นเสมอใจราชเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรขวา อำนาจหน้าที่ของจมื่นสามารถควบคุมและสั่งการมหาดเล็กใต้บังคับบัญชาได้ทั้งหมด เวรซ้ายมีหน้าที่มาเข้าเวรในวันข้างแรม เข้า 2 วัน ออก 2 วัน รับใช้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว
แม้มหาดเล็กจะไม่ได้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ด้วยความที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินทำให้ขุนนางมักจะให้ความเกรงใจอยู่
วัยหนุ่มของทั้งสามกับตำแหน่งที่ใหญ่โตมิใช่เบา ย่อมทำให้เกิดความกร่างอหังการ์ตามประสาหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลาย
หลายคนจึงเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเกรงจะไปปะทะโดยไม่ตั้งใจและอาจมีเรื่องมีราวกันโดยไม่เจตนาก็เป็นได้
สมัยนั้นถ้าไพร่ทะเลาะกับขุนนาง มีความผิดมหันต์ จึงไม่มีไพร่คนใด หรือชาวบ้านทั่วไป ที่คิดจะเข้าใกล้ ที่อาจก่อให้เกิดขุ่นข้องหมองใจกันได้
ถ้าจะพูดไป คงไม่มีชาวบ้าน มีแต่ไพร่กระมัง เพราะชาวบ้านทุกคนเรียกรวมว่าไพร่ เป็นงั้นไป
คำว่าไพร่ ไม่ใช่คำต่ำช้า เหยียดหยาม ดังที่บางคนในยุคนี้ใช้กัน
ทุกคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านอายุ 9 ขวบ ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เจ้าเหนือหัวคุมไพร่ทั้งหมด ไพร่หลวงถูกเกณฑ์ทำงานโยธาให้รัฐ  แล้วแบ่งปันให้ขุนนาง เรียกไพร่สม ซึ่งจะกลายเป็นสมบัติไปชั่วลูกหลาน
แย่กว่าไพร่ คงเป็นทาส ทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสเชลย ทาสบางพวกเป็นทาสตลอดชีวิตไป ต่อเนื่องไปถึงลูกทาสที่เกิดในเรือน
การเป็นขุนนางจึงดูใหญ่โตเสียเหลือเกินที่ไพร่และทาส ไม่บังอาจมาอื้อหือด้วย
 
เมื่อออกเวร สามหนุ่มจะใช้ชีวิตเสเพล ดื่มสุรายาเมา เที่ยวผู้หญิง เล่นการพนัน ต่อยมวย ยิงนกตกปลา ทำทุกสิ่งที่หนุ่ม ๆ ชาวราฐมัณฑ์ในสมัยเดียวกันทำ มิได้ผิดแผกแปลกไป
เป็นชีวิตของคนหนุ่ม ที่ใคร ๆ เขาทำกัน ยิ่งใหญ่โตมากเพียงใด ยิ่งอหังการ์มากเพียงนั้น
ไม่ได้เป็นหนุ่มหน้ามนคล้ายหญิงสาว ไม่ได้เป็นขันทีในพระราชวังที่ถูกตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นชายทั้งแท่งที่ออกห้าวหาญ องอาจ กล้าหาญ บ้าบิ่น
เมื่อหลวงพิชัย รูปหล่อ หุ่นล่ำบึ้ก ผิวออกคล้ำสมดังไทยแท้แต่อกหักดังเป๊าะ ด้วยดันไปหลงรักหลานสาวคนโปรดของสมุหพระกลาโหม แล้วโดนพรากจากนางด้วยเหตุทางการเมือง ทำให้พี่ใหญ่ พี่รองต้องพาไปเปลี่ยนอารมณ์บ่อยครั้งขึ้น
ไม่เช่นนั้นหลวงพิชัยจะเอาแต่คลุ้มคลั่ง กินแต่เหล้าและละเมอเพ้อพกถึงแต่แม่หญิงบัว
อกหักจากรักแรกพบของหนุ่มที่เพิ่งเริ่มแตกพาน มันรุนแรงและร้ายแรงยิ่งนัก คิดว่าความรักนี้คือทุกสิ่งของชีวิต เมื่อไม่สมหวังแทบอยากจะตายและตาย ไม่ได้คิดหรอกว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น และราตรีนี้อีกยาวนานนัก ชีวิตต้องพบและเจอะเจอความรักอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ
เมื่อน้องเล็กมีอาการน่าเป็นห่วง มีอะไรที่จะดีไปกว่า การออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา และเหล่หาสาว อื่นเพื่อมาดามหัวใจที่หักดังเป๊าะให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
นอกจากเที่ยวในตลาดในเมืองแล้ว บางทียังพากันออกไปยิงนกตกปลาตามบ้านนอกที่ห่างไกลออกไปสักหน่อย ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
วันใดที่ไปเจอพวกนักเลงหัวไม้คุมถิ่นอาจต้องมีเรื่องเตะต่อยชกตีกันบ้างให้เจ็บตัวพอรู้สึก บางวันมีประลองฝีมือมวยเพื่อชิงรางวัล สามหนุ่มมักจะเข้าท้าชิงและได้รางวัลพอแก้เหนื่อยบ้าง
วัยหนุ่มทั้งสามใช้ชีวิตกันอย่างสุขสำราญสมดังชายชาตรีสมัยนั้น ไม่ได้สำอางค์องค์ เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เหมือนสาว ๆ แต่ห้าวและองอาจกล้าหาญพร้อมลุยได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าเจอะเจอนักเลงอันธพาลมิได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย และไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นถึงจมื่นและหลวง มหาดเล็กหลวงด้วยคิดว่าไม่ได้ออกมาทำงานในหน้าที่
“พวกเราออกไปเที่ยวนอกเมืองกันดีไหม วันนี้” หลวงเดชเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยวันนี้ออกเวรพร้อมกัน
“ดีเหมือนกัน” จมื่นศรีรีบตอบรับ แต่หลวงพิชัยนี่สิยังนั่งเหม่อลอย ซึม ๆ เหมือนไม่ได้ยิน หรือไม่ยินดียินร้ายที่จะออกไปเที่ยว อยากแต่นั่งเฉย ๆ คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ๆ
“เออ ไปเที่ยวกันดีกว่านะ น้องเรา นั่งแบบนี้ไม่ดีหรอก เผื่อเจอสาว ๆ ที่สวยบาดตาบาดใจยิ่งกว่าแม่หญิงบัวก็เป็นไปได้นะ” หลวงเดชหันมาชวนหลวงพิชัยจริง ๆ จัง ๆ
“แม่หญิงบัวงามที่สุดแล้วในสามโลก คงยากที่จะหาใครงามเท่า” หลวงพิชัยเถียงข้าง ๆ คู ๆ อย่างแน่ใจว่าสาวที่ตนหลงรักนั้นงามจริง ๆ ไม่มีใครมางามเท่า
“เออน่า พี่ท่านอยากไป เราไปเป็นเพื่อนเที่ยวดีกว่า ออกไปนอกเมืองบ้าง ไม่ต้องกินเหล้าเมายาก็ได้ ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหูเปิดตาหาสิ่งแปลกใหม่ ร่างกายจะได้แข็งแรงสดชื่น”
หลวงเดชยังพยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้หลวงพิชัยลุกจากที่นั่งอย่างเซื่องซึมหงอยเหงา มาเป็นเดินเหินก้าวไปข้างหน้าและลืมความหลังที่อกหักเสีย
จมื่นศรีที่ปกติไม่ค่อยพูดมาก เมื่อเห็นอาการน่าเป็นห่วงของหลวงพิชัย ได้ร่วมกันเชิญชวน เพื่อให้หลวงพิชัยหายเศร้าด้วย “เออ ลุก ๆ ไปเที่ยวกัน”
สิ้นคำสั่งกลาย ๆ หลวงพิชัยได้ลุกขึ้น เพราะเชื่อพี่ท่านเสมอมาตั้งแต่เป็นเด็ก
 
เมื่อออกไปเที่ยวหัวเมืองได้พบเตะตากับสามสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกันเดินเล่นในตลาด สามสาวเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคัก โดยไม่ได้สนใจสายตาชายหนุ่มแปลกหน้าที่เฝ้ามอง
ตามประสาชายหนุ่มเมื่อเห็นสาว ๆ จะปากเปราะเราะรานหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาว ด้วยการยั่วให้โกรธ แล้วสาว ๆ จะค้อนขวับหรือเจรจาโต้ตอบอย่างไม่ยอมความ ทำให้เกิดการต่อปากต่อคำ และนำไปสู่การรู้จักกันในที่สุด ถ้ารู้สึกต้องตาต้องใจกันพอควร
“ควายหายหรือจ๊ะ น้องสาว” หลวงเดชผู้ปกติมาดขรึมพอควร กล้าเอ่ยปากทักสาว ๆ ด้วยคารมที่กวนส่วนล่างเป็นอันมาก เพราะนั่นหมายถึงสาว ๆ  กำลังรีบจ้ำอ้าวเพื่อตามหาควาย ทั้งที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สาวคนหนึ่งที่น่าจะอายุน้อยสุด แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำคนแรก “ควายหายแล้วพี่จะช่วยตามหาควายให้เหรอคะ” แต่ดวงตากลับค้อนขวับเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้เต็มที ที่อยู่ดี ๆ มีใครที่ไม่รู้จักกล้ามาว่าพวกเธอได้
“ได้สิขอรับ แต่ทว่ามันวิ่งเตลิดไปทางไหนเหรอ พี่จะได้ไปช่วยตามให้” หลวงเดชตอบทันที
สาวอีกนางสะกิดเพื่อนให้หยุดพูด เพราะไม่งามนักที่สาวจะต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มแปลกหน้าในที่สาธารณะเช่นนี้ แต่หาทำให้สาวนางนี้หยุดพูดไม่
“ได้เลยค่ะ มันวิ่งเตลิดไปทางนั้น พี่ต้องรีบหน่อยนะ เดี๋ยวจะตามไม่ทัน” พร้อมหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหลวงเดชตั้งหน้าทำท่าจะวิ่งไปทางปลายนิ้วชี้
คราวนี้สามสาวหัวเราะพร้อมกัน ที่เห็นว่าหลวงเดชทำท่าจะไปตามควายที่หายไปจริง ๆ
หลวงเดชวิ่งไปสักพัก หันหน้ากลับมาพร้อมทำท่าเหนื่อยหอบแฮก ๆ ราวกับเหนื่อยเสียเหลือเกิน ทั้งที่วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ทันทีที่ได้ยินเสียงสามสาวหัวเราะ ให้รู้ว่า สามารถทำคะแนนได้แล้วจึงยิ้มให้อย่างกว้างขวาง พร้อมเข้าไปพูดคุยด้วยดี
หลังจากแนะนำว่าตัวเองชื่อเดช พี่ใหญ่ชื่อศรี และน้องเล็กชื่อชัยแล้วได้หาเรื่องเจรจาต่อด้วยการเดินตามสาว ๆ ไปตามทาง ซึ่งสาว ๆ ยอมให้เดินตามโดยดี ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ทำให้สามหนุ่มกล้าเดินตามไปจนถึงบ้านของพวกนางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พบกันครั้งแรกไม่
สามสาวนี้เป็นพี่น้องกัน 2 คน อีกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว
เมื่อถึงเรือน พี่สาวคนโตชื่อกุหลาบได้เชื้อเชิญให้สามหนุ่มดื่มน้ำดื่มท่าพักผ่อนกายาให้สบายใจที่แคร่พักนอกเรือนชาน พอเป็นพิธีว่าได้ต้อนรับขับสู้ดีพอสมควร แต่มิกล้าเอ่ยปากชักชวนให้ขึ้นเรือน ด้วยยังมิรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จะกลายเป็นที่ครหาขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาได้ว่าให้ท่าชายแปลกถิ่นจนเกินงาม
น้องสาวที่ดูปากกล้าต่อปากต่อคำกับชายแปลกหน้านั้นชื่อมะลิ ได้เอื้อนเอ่ยให้นั่งพักสบายอารมณ์ ก่อนจะขอตัวไปหาขนมอร่อยที่ห้องครัวมาให้ขบเคี้ยวเล่น
ส่วนเพื่อนของพี่สาวคนโตนั้น ไม่ช่างพูดช่างเจรจาได้แค่อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งใดน่าขบขัน แต่กิริยาท่วงทีเช่นนี้กลับถูกใจจมื่นศรียิ่งนัก กลายเป็นสิ่งน่าค้นหามากกว่าสาวมะลิช่างเจรจาและกุหลาบที่มีมาดเคร่งขรึมสมกับเป็นพี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลน้อง ๆ
สามหนุ่มสาวนั่งเจรจากันอีกสักครู่ จมื่นศรีจึงได้รู้ว่า สาวที่ถูกใจคนนี้มีนามว่า “เอื้อย” เป็นลูกสาวของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในถิ่นนี้ กำนันคนนี้เป็นคนดี ใจนักเลงคอยดูแลลูกบ้านด้วยดี
หลังจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นคนที่โดนศรกามเทพปักอกกลับกลายเป็น
จมื่นศรีที่ร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง
หลวงเดชกับหลวงพิชัยสังเกตเห็นว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อย
หลวงพิชัยแหย่เย้า “เออ ตกลงจะให้กระผมหาหญิงใหม่หรือขอรับ น่าจะเป็นพี่ท่านเสียมากกว่า จ้องมองแม่เอื้อยตาไม่กระพริบเลย” จากนั่งซึมเซามาหลายเพลา หลวงพิชัยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้พบปะสาว ๆ ได้ต่อปากต่อคำ และรู้ว่าจมื่นศรีสนใจสาวนามว่า เอื้อย จนน่ากลายเป็นรักแรกพบเช่นตนเอง
หลวงเดชหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ดังลั่น “เออน้องเราพูดถูก แทนที่น้องเราจะเจอสาวคนใหม่ กลายเป็นพี่ท่านไปเสียนี่ แล้วเราจะเดินเกมต่อไปเช่นไรดี สานต่อ หยุด หรือทำเฉย”
“เออ ๆ เราน่าจะไปคุยกันอีกสักรอบสองรอบ เผื่อจะได้รู้จักดีขึ้น ดีไหม” จมื่นศรีเอ่ยตอบ พร้อมทำหน้าเขินนิด ๆ แต่สองหนุ่มไม่ตอบ เป็นอันรู้กันแน่ชัดว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อยแล้ว
ชายหนุ่มเมื่อแรกรักครั้งแรก คงมีกิริยาพาทีเขินอายเช่นนี้เอง
 
หนุ่มสาวเมื่อแรกพบประสบพักตร์
จะรู้สึกนึกรักและยินดีพึงพอใจต่อกัน
หรืออาจเหม็นขี้หน้าไม่อยากเสวนา
คงขึ้นกับบุพเพที่เคยทำแต่ชาติปางก่อน
 
 
 



Create Date : 23 มิถุนายน 2563
Last Update : 23 มิถุนายน 2563 16:49:57 น.
Counter : 760 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments