All Blog
รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก

 รักของมหาดเล็กหนุ่มที่ไม่ได้เลือก
 
            การได้เสียกันระหว่างหนุ่มมหาดเล็กกับสาวชาวบ้านอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายหญิงคิดว่าตนได้ชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง ส่วนชายหนุ่มจะคิดยกย่องให้เป็นเมียเอกหรือไม่ยังสงสัย
            สามหนุ่มมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเกินวัย เกินเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ยังหาหญิงที่เหมาะมาเป็นแม่ศรีเรือน เมียเอกยังไม่พบ แต่เลือดหนุ่มที่วิ่งพล่านคงมิอาจรั้งรอได้ จำต้องหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนกาย
            ไม่มีใครรู้ว่า สมัยนั้นมีหญิงงามเมืองจริงหรือไม่ และสามหนุ่มนี้ได้เคยไปใช้บริการหญิงงามเมืองพวกนี้หรือไม่ด้วย
ถ้าเป็นบางยุค หนุ่มกลัดมันทั้งหลายอาจจะเสียความบริสุทธิ์ให้กับหญิงงามเมืองที่ช่ำชองในการนี้ เพราะอาจจะเป็นแค่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ ยังไม่ทันเช้าไก่ก็ขันเสียแล้ว อะไรทำนองนั้น
เป็นการเสียบริสุทธิ์ครั้งแรกของหนุ่มแตกพาน ที่ไม่มีสาวใดยอมเล่นด้วย นอกจากหญิงที่ช่ำชองในเรื่องเช่นนี้ คอยสอนงานให้
            อาจจะเคยหรือไม่เคย คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยน้อยคนนักที่จะรับหญิงงามเมืองเหล่านี้มาตบแต่งเป็นเมียออกนอกหน้านอกตา ยกเว้นเสียแต่หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ หรือไม่ก็โดนเสน่ห์ยาแฝดเข้าให้แล้ว
            สมัยต่อมา ชายหนุ่มเลิกเที่ยวหญิงงามเมืองซะแล้ว เพราะรู้ว่ามีโรคติดต่อที่น่าเกลียดน่ากลัวเสียยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะตายเสียด้วยซ้ำ แล้วหันมาเล่นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือคนรู้จักมักคุ้นใกล้ ๆ ดีเสียอีกเงินทองไม่ต้องเสีย สนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เผลอไผลเกิดท้องขึ้นมาอาจไปทำแท้ง หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายรับไปเลี้ยง จบเรื่องได้
 
ใคร ๆ จะเรียกจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กว่าคุณพระนาย ตำแหน่งจมื่นนี้อาจเรียกว่าเป็นหัวหมื่น มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในตำแหน่งของมหาดเล็กหลวง ส่วนหลวงเดช และหลวงพิชัยจะเรียกว่าคุณหลวง
            ตำแหน่งขุนนางจะเริ่มจาก พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา สำหรับข้าราชการทั่วไป สมัยนั้นยังไม่มีตำแหน่งเจ้าพระยา คนที่ได้เป็นพระยานับว่ายิ่งใหญ่และใหญ่โตมากที่สุดแล้ว
สำหรับมหาดเล็กจะเริ่มจากนายมหาดเล็กสำรอง นายมหาดเล็กวิเศษ นายรองหุ้มแพร นายหุ้มแพร นายจ่า หลวง และจมื่น
            ยังมีคำว่า “ออก” นำหน้าอีก เช่น ออกหลวง ออกพระ ออกญา เป็นตำแหน่งของ “ว่าที่” เตรียมพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งนั้น ออกหลวงเตรียมเป็นหลวง ออกพระเตรียมเป็นพระ ออกญาเตรียมเป็นพระยา
ทั้งสามได้ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วทั้งจากเส้นสายทางบิดา จากการได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้านาย และด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม จนเพื่อนรุ่นเดียวกัน อดไม่ได้ที่ค้อนขวับ ๆ แบบหญิงสาว หรือโดนนินทาว่าร้ายลับหลัง
“อะไรกันนี่ เข้ามารับราชการพร้อมกัน มันกระโดดไปโน่นแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย” เสียงก่นว่าลับหลัง แบบค่อนขอดพร้อมน้อยใจในโชคชะตาของเพื่อน ๆ
            ทั้งคุณพระนายและคุณหลวงต่างมีอำนาจคุมทหารมหาดเล็ก แต่คุณพระนายหรือจมื่นศรีจะได้รับยกย่องมากกว่าจมื่นคนอื่น ๆ เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว จะเพ็ดทูลเรื่องใดย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่สังกัดในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน
ตำแหน่งเท่ากัน แต่ต่างสังกัด อำนาจย่อมต่างกันได้
            ใครจะไปรู้ว่า ตำแหน่งที่ใหญ่โตแล้วนี้ จะจบลงที่ตำแหน่งนี้ หรือจะได้ก้าวต่อไป หรืออาจจะสะดุดหยุดหกล้มหงายเก๋งไม่เป็นท่า
 
“จมื่น" หรือ "เจ้าหมื่น" เป็นบรรดาศักดิ์เฉพาะกรมมหาดเล็กกับกรมพระตำรวจเท่านั้น ในส่วนของกรมมหาดเล็กจะเป็นตำแหน่งของหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง 4 คือ จมื่นสรรเพชญ์ภักดี จมื่นศรี จมื่นไวยวรนาถ จมื่นเสมอใจราช ถือศักดินาคนละ 1,000 ไร่
จมื่นศรีเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรซ้าย ส่วนจมื่นเสมอใจราชเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรขวา อำนาจหน้าที่ของจมื่นสามารถควบคุมและสั่งการมหาดเล็กใต้บังคับบัญชาได้ทั้งหมด เวรซ้ายมีหน้าที่มาเข้าเวรในวันข้างแรม เข้า 2 วัน ออก 2 วัน รับใช้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว
แม้มหาดเล็กจะไม่ได้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ด้วยความที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินทำให้ขุนนางมักจะให้ความเกรงใจอยู่
วัยหนุ่มของทั้งสามกับตำแหน่งที่ใหญ่โตมิใช่เบา ย่อมทำให้เกิดความกร่างอหังการ์ตามประสาหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลาย
หลายคนจึงเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเกรงจะไปปะทะโดยไม่ตั้งใจและอาจมีเรื่องมีราวกันโดยไม่เจตนาก็เป็นได้
สมัยนั้นถ้าไพร่ทะเลาะกับขุนนาง มีความผิดมหันต์ จึงไม่มีไพร่คนใด หรือชาวบ้านทั่วไป ที่คิดจะเข้าใกล้ ที่อาจก่อให้เกิดขุ่นข้องหมองใจกันได้
ถ้าจะพูดไป คงไม่มีชาวบ้าน มีแต่ไพร่กระมัง เพราะชาวบ้านทุกคนเรียกรวมว่าไพร่ เป็นงั้นไป
คำว่าไพร่ ไม่ใช่คำต่ำช้า เหยียดหยาม ดังที่บางคนในยุคนี้ใช้กัน
ทุกคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านอายุ 9 ขวบ ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เจ้าเหนือหัวคุมไพร่ทั้งหมด ไพร่หลวงถูกเกณฑ์ทำงานโยธาให้รัฐ  แล้วแบ่งปันให้ขุนนาง เรียกไพร่สม ซึ่งจะกลายเป็นสมบัติไปชั่วลูกหลาน
แย่กว่าไพร่ คงเป็นทาส ทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสเชลย ทาสบางพวกเป็นทาสตลอดชีวิตไป ต่อเนื่องไปถึงลูกทาสที่เกิดในเรือน
การเป็นขุนนางจึงดูใหญ่โตเสียเหลือเกินที่ไพร่และทาส ไม่บังอาจมาอื้อหือด้วย
 
เมื่อออกเวร สามหนุ่มจะใช้ชีวิตเสเพล ดื่มสุรายาเมา เที่ยวผู้หญิง เล่นการพนัน ต่อยมวย ยิงนกตกปลา ทำทุกสิ่งที่หนุ่ม ๆ ชาวราฐมัณฑ์ในสมัยเดียวกันทำ มิได้ผิดแผกแปลกไป
เป็นชีวิตของคนหนุ่ม ที่ใคร ๆ เขาทำกัน ยิ่งใหญ่โตมากเพียงใด ยิ่งอหังการ์มากเพียงนั้น
ไม่ได้เป็นหนุ่มหน้ามนคล้ายหญิงสาว ไม่ได้เป็นขันทีในพระราชวังที่ถูกตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นชายทั้งแท่งที่ออกห้าวหาญ องอาจ กล้าหาญ บ้าบิ่น
เมื่อหลวงพิชัย รูปหล่อ หุ่นล่ำบึ้ก ผิวออกคล้ำสมดังไทยแท้แต่อกหักดังเป๊าะ ด้วยดันไปหลงรักหลานสาวคนโปรดของสมุหพระกลาโหม แล้วโดนพรากจากนางด้วยเหตุทางการเมือง ทำให้พี่ใหญ่ พี่รองต้องพาไปเปลี่ยนอารมณ์บ่อยครั้งขึ้น
ไม่เช่นนั้นหลวงพิชัยจะเอาแต่คลุ้มคลั่ง กินแต่เหล้าและละเมอเพ้อพกถึงแต่แม่หญิงบัว
อกหักจากรักแรกพบของหนุ่มที่เพิ่งเริ่มแตกพาน มันรุนแรงและร้ายแรงยิ่งนัก คิดว่าความรักนี้คือทุกสิ่งของชีวิต เมื่อไม่สมหวังแทบอยากจะตายและตาย ไม่ได้คิดหรอกว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น และราตรีนี้อีกยาวนานนัก ชีวิตต้องพบและเจอะเจอความรักอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ
เมื่อน้องเล็กมีอาการน่าเป็นห่วง มีอะไรที่จะดีไปกว่า การออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา และเหล่หาสาว อื่นเพื่อมาดามหัวใจที่หักดังเป๊าะให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
นอกจากเที่ยวในตลาดในเมืองแล้ว บางทียังพากันออกไปยิงนกตกปลาตามบ้านนอกที่ห่างไกลออกไปสักหน่อย ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
วันใดที่ไปเจอพวกนักเลงหัวไม้คุมถิ่นอาจต้องมีเรื่องเตะต่อยชกตีกันบ้างให้เจ็บตัวพอรู้สึก บางวันมีประลองฝีมือมวยเพื่อชิงรางวัล สามหนุ่มมักจะเข้าท้าชิงและได้รางวัลพอแก้เหนื่อยบ้าง
วัยหนุ่มทั้งสามใช้ชีวิตกันอย่างสุขสำราญสมดังชายชาตรีสมัยนั้น ไม่ได้สำอางค์องค์ เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เหมือนสาว ๆ แต่ห้าวและองอาจกล้าหาญพร้อมลุยได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าเจอะเจอนักเลงอันธพาลมิได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย และไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นถึงจมื่นและหลวง มหาดเล็กหลวงด้วยคิดว่าไม่ได้ออกมาทำงานในหน้าที่
“พวกเราออกไปเที่ยวนอกเมืองกันดีไหม วันนี้” หลวงเดชเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยวันนี้ออกเวรพร้อมกัน
“ดีเหมือนกัน” จมื่นศรีรีบตอบรับ แต่หลวงพิชัยนี่สิยังนั่งเหม่อลอย ซึม ๆ เหมือนไม่ได้ยิน หรือไม่ยินดียินร้ายที่จะออกไปเที่ยว อยากแต่นั่งเฉย ๆ คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ๆ
“เออ ไปเที่ยวกันดีกว่านะ น้องเรา นั่งแบบนี้ไม่ดีหรอก เผื่อเจอสาว ๆ ที่สวยบาดตาบาดใจยิ่งกว่าแม่หญิงบัวก็เป็นไปได้นะ” หลวงเดชหันมาชวนหลวงพิชัยจริง ๆ จัง ๆ
“แม่หญิงบัวงามที่สุดแล้วในสามโลก คงยากที่จะหาใครงามเท่า” หลวงพิชัยเถียงข้าง ๆ คู ๆ อย่างแน่ใจว่าสาวที่ตนหลงรักนั้นงามจริง ๆ ไม่มีใครมางามเท่า
“เออน่า พี่ท่านอยากไป เราไปเป็นเพื่อนเที่ยวดีกว่า ออกไปนอกเมืองบ้าง ไม่ต้องกินเหล้าเมายาก็ได้ ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหูเปิดตาหาสิ่งแปลกใหม่ ร่างกายจะได้แข็งแรงสดชื่น”
หลวงเดชยังพยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้หลวงพิชัยลุกจากที่นั่งอย่างเซื่องซึมหงอยเหงา มาเป็นเดินเหินก้าวไปข้างหน้าและลืมความหลังที่อกหักเสีย
จมื่นศรีที่ปกติไม่ค่อยพูดมาก เมื่อเห็นอาการน่าเป็นห่วงของหลวงพิชัย ได้ร่วมกันเชิญชวน เพื่อให้หลวงพิชัยหายเศร้าด้วย “เออ ลุก ๆ ไปเที่ยวกัน”
สิ้นคำสั่งกลาย ๆ หลวงพิชัยได้ลุกขึ้น เพราะเชื่อพี่ท่านเสมอมาตั้งแต่เป็นเด็ก
 
เมื่อออกไปเที่ยวหัวเมืองได้พบเตะตากับสามสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกันเดินเล่นในตลาด สามสาวเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคัก โดยไม่ได้สนใจสายตาชายหนุ่มแปลกหน้าที่เฝ้ามอง
ตามประสาชายหนุ่มเมื่อเห็นสาว ๆ จะปากเปราะเราะรานหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาว ด้วยการยั่วให้โกรธ แล้วสาว ๆ จะค้อนขวับหรือเจรจาโต้ตอบอย่างไม่ยอมความ ทำให้เกิดการต่อปากต่อคำ และนำไปสู่การรู้จักกันในที่สุด ถ้ารู้สึกต้องตาต้องใจกันพอควร
“ควายหายหรือจ๊ะ น้องสาว” หลวงเดชผู้ปกติมาดขรึมพอควร กล้าเอ่ยปากทักสาว ๆ ด้วยคารมที่กวนส่วนล่างเป็นอันมาก เพราะนั่นหมายถึงสาว ๆ  กำลังรีบจ้ำอ้าวเพื่อตามหาควาย ทั้งที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สาวคนหนึ่งที่น่าจะอายุน้อยสุด แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำคนแรก “ควายหายแล้วพี่จะช่วยตามหาควายให้เหรอคะ” แต่ดวงตากลับค้อนขวับเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้เต็มที ที่อยู่ดี ๆ มีใครที่ไม่รู้จักกล้ามาว่าพวกเธอได้
“ได้สิขอรับ แต่ทว่ามันวิ่งเตลิดไปทางไหนเหรอ พี่จะได้ไปช่วยตามให้” หลวงเดชตอบทันที
สาวอีกนางสะกิดเพื่อนให้หยุดพูด เพราะไม่งามนักที่สาวจะต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มแปลกหน้าในที่สาธารณะเช่นนี้ แต่หาทำให้สาวนางนี้หยุดพูดไม่
“ได้เลยค่ะ มันวิ่งเตลิดไปทางนั้น พี่ต้องรีบหน่อยนะ เดี๋ยวจะตามไม่ทัน” พร้อมหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหลวงเดชตั้งหน้าทำท่าจะวิ่งไปทางปลายนิ้วชี้
คราวนี้สามสาวหัวเราะพร้อมกัน ที่เห็นว่าหลวงเดชทำท่าจะไปตามควายที่หายไปจริง ๆ
หลวงเดชวิ่งไปสักพัก หันหน้ากลับมาพร้อมทำท่าเหนื่อยหอบแฮก ๆ ราวกับเหนื่อยเสียเหลือเกิน ทั้งที่วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ทันทีที่ได้ยินเสียงสามสาวหัวเราะ ให้รู้ว่า สามารถทำคะแนนได้แล้วจึงยิ้มให้อย่างกว้างขวาง พร้อมเข้าไปพูดคุยด้วยดี
หลังจากแนะนำว่าตัวเองชื่อเดช พี่ใหญ่ชื่อศรี และน้องเล็กชื่อชัยแล้วได้หาเรื่องเจรจาต่อด้วยการเดินตามสาว ๆ ไปตามทาง ซึ่งสาว ๆ ยอมให้เดินตามโดยดี ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ทำให้สามหนุ่มกล้าเดินตามไปจนถึงบ้านของพวกนางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พบกันครั้งแรกไม่
สามสาวนี้เป็นพี่น้องกัน 2 คน อีกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว
เมื่อถึงเรือน พี่สาวคนโตชื่อกุหลาบได้เชื้อเชิญให้สามหนุ่มดื่มน้ำดื่มท่าพักผ่อนกายาให้สบายใจที่แคร่พักนอกเรือนชาน พอเป็นพิธีว่าได้ต้อนรับขับสู้ดีพอสมควร แต่มิกล้าเอ่ยปากชักชวนให้ขึ้นเรือน ด้วยยังมิรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จะกลายเป็นที่ครหาขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาได้ว่าให้ท่าชายแปลกถิ่นจนเกินงาม
น้องสาวที่ดูปากกล้าต่อปากต่อคำกับชายแปลกหน้านั้นชื่อมะลิ ได้เอื้อนเอ่ยให้นั่งพักสบายอารมณ์ ก่อนจะขอตัวไปหาขนมอร่อยที่ห้องครัวมาให้ขบเคี้ยวเล่น
ส่วนเพื่อนของพี่สาวคนโตนั้น ไม่ช่างพูดช่างเจรจาได้แค่อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งใดน่าขบขัน แต่กิริยาท่วงทีเช่นนี้กลับถูกใจจมื่นศรียิ่งนัก กลายเป็นสิ่งน่าค้นหามากกว่าสาวมะลิช่างเจรจาและกุหลาบที่มีมาดเคร่งขรึมสมกับเป็นพี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลน้อง ๆ
สามหนุ่มสาวนั่งเจรจากันอีกสักครู่ จมื่นศรีจึงได้รู้ว่า สาวที่ถูกใจคนนี้มีนามว่า “เอื้อย” เป็นลูกสาวของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในถิ่นนี้ กำนันคนนี้เป็นคนดี ใจนักเลงคอยดูแลลูกบ้านด้วยดี
หลังจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นคนที่โดนศรกามเทพปักอกกลับกลายเป็น
จมื่นศรีที่ร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง
หลวงเดชกับหลวงพิชัยสังเกตเห็นว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อย
หลวงพิชัยแหย่เย้า “เออ ตกลงจะให้กระผมหาหญิงใหม่หรือขอรับ น่าจะเป็นพี่ท่านเสียมากกว่า จ้องมองแม่เอื้อยตาไม่กระพริบเลย” จากนั่งซึมเซามาหลายเพลา หลวงพิชัยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้พบปะสาว ๆ ได้ต่อปากต่อคำ และรู้ว่าจมื่นศรีสนใจสาวนามว่า เอื้อย จนน่ากลายเป็นรักแรกพบเช่นตนเอง
หลวงเดชหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ดังลั่น “เออน้องเราพูดถูก แทนที่น้องเราจะเจอสาวคนใหม่ กลายเป็นพี่ท่านไปเสียนี่ แล้วเราจะเดินเกมต่อไปเช่นไรดี สานต่อ หยุด หรือทำเฉย”
“เออ ๆ เราน่าจะไปคุยกันอีกสักรอบสองรอบ เผื่อจะได้รู้จักดีขึ้น ดีไหม” จมื่นศรีเอ่ยตอบ พร้อมทำหน้าเขินนิด ๆ แต่สองหนุ่มไม่ตอบ เป็นอันรู้กันแน่ชัดว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อยแล้ว
ชายหนุ่มเมื่อแรกรักครั้งแรก คงมีกิริยาพาทีเขินอายเช่นนี้เอง
 
หนุ่มสาวเมื่อแรกพบประสบพักตร์
จะรู้สึกนึกรักและยินดีพึงพอใจต่อกัน
หรืออาจเหม็นขี้หน้าไม่อยากเสวนา
คงขึ้นกับบุพเพที่เคยทำแต่ชาติปางก่อน
 
 

            การได้เสียกันระหว่างหนุ่มมหาดเล็กกับสาวชาวบ้านอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อฝ่ายหญิงคิดว่าตนได้ชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเป็นคู่ครอง ส่วนชายหนุ่มจะคิดยกย่องให้เป็นเมียเอกหรือไม่ยังสงสัย
            สามหนุ่มมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเกินวัย เกินเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ยังหาหญิงที่เหมาะมาเป็นแม่ศรีเรือน เมียเอกยังไม่พบ แต่เลือดหนุ่มที่วิ่งพล่านคงมิอาจรั้งรอได้ จำต้องหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนกาย
            ไม่มีใครรู้ว่า สมัยนั้นมีหญิงงามเมืองจริงหรือไม่ และสามหนุ่มนี้ได้เคยไปใช้บริการหญิงงามเมืองพวกนี้หรือไม่ด้วย
ถ้าเป็นบางยุค หนุ่มกลัดมันทั้งหลายอาจจะเสียความบริสุทธิ์ให้กับหญิงงามเมืองที่ช่ำชองในการนี้ เพราะอาจจะเป็นแค่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ ยังไม่ทันเช้าไก่ก็ขันเสียแล้ว อะไรทำนองนั้น
เป็นการเสียบริสุทธิ์ครั้งแรกของหนุ่มแตกพาน ที่ไม่มีสาวใดยอมเล่นด้วย นอกจากหญิงที่ช่ำชองในเรื่องเช่นนี้ คอยสอนงานให้
            อาจจะเคยหรือไม่เคย คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยน้อยคนนักที่จะรับหญิงงามเมืองเหล่านี้มาตบแต่งเป็นเมียออกนอกหน้านอกตา ยกเว้นเสียแต่หลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ หรือไม่ก็โดนเสน่ห์ยาแฝดเข้าให้แล้ว
            สมัยต่อมา ชายหนุ่มเลิกเที่ยวหญิงงามเมืองซะแล้ว เพราะรู้ว่ามีโรคติดต่อที่น่าเกลียดน่ากลัวเสียยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะตายเสียด้วยซ้ำ แล้วหันมาเล่นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือคนรู้จักมักคุ้นใกล้ ๆ ดีเสียอีกเงินทองไม่ต้องเสีย สนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เผลอไผลเกิดท้องขึ้นมาอาจไปทำแท้ง หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายรับไปเลี้ยง จบเรื่องได้
 
ใคร ๆ จะเรียกจมื่นศรีหัวหมื่นมหาดเล็กว่าคุณพระนาย ตำแหน่งจมื่นนี้อาจเรียกว่าเป็นหัวหมื่น มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในตำแหน่งของมหาดเล็กหลวง ส่วนหลวงเดช และหลวงพิชัยจะเรียกว่าคุณหลวง
            ตำแหน่งขุนนางจะเริ่มจาก พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา สำหรับข้าราชการทั่วไป สมัยนั้นยังไม่มีตำแหน่งเจ้าพระยา คนที่ได้เป็นพระยานับว่ายิ่งใหญ่และใหญ่โตมากที่สุดแล้ว
สำหรับมหาดเล็กจะเริ่มจากนายมหาดเล็กสำรอง นายมหาดเล็กวิเศษ นายรองหุ้มแพร นายหุ้มแพร นายจ่า หลวง และจมื่น
            ยังมีคำว่า “ออก” นำหน้าอีก เช่น ออกหลวง ออกพระ ออกญา เป็นตำแหน่งของ “ว่าที่” เตรียมพร้อมที่จะก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งนั้น ออกหลวงเตรียมเป็นหลวง ออกพระเตรียมเป็นพระ ออกญาเตรียมเป็นพระยา
ทั้งสามได้ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วทั้งจากเส้นสายทางบิดา จากการได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้านาย และด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม จนเพื่อนรุ่นเดียวกัน อดไม่ได้ที่ค้อนขวับ ๆ แบบหญิงสาว หรือโดนนินทาว่าร้ายลับหลัง
“อะไรกันนี่ เข้ามารับราชการพร้อมกัน มันกระโดดไปโน่นแล้ว แต่ตัวเรานี่สิยังย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย” เสียงก่นว่าลับหลัง แบบค่อนขอดพร้อมน้อยใจในโชคชะตาของเพื่อน ๆ
            ทั้งคุณพระนายและคุณหลวงต่างมีอำนาจคุมทหารมหาดเล็ก แต่คุณพระนายหรือจมื่นศรีจะได้รับยกย่องมากกว่าจมื่นคนอื่น ๆ เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว จะเพ็ดทูลเรื่องใดย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่สังกัดในบังคับบัญชาของสมุหพระกลาโหมในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน
ตำแหน่งเท่ากัน แต่ต่างสังกัด อำนาจย่อมต่างกันได้
            ใครจะไปรู้ว่า ตำแหน่งที่ใหญ่โตแล้วนี้ จะจบลงที่ตำแหน่งนี้ หรือจะได้ก้าวต่อไป หรืออาจจะสะดุดหยุดหกล้มหงายเก๋งไม่เป็นท่า
 
“จมื่น" หรือ "เจ้าหมื่น" เป็นบรรดาศักดิ์เฉพาะกรมมหาดเล็กกับกรมพระตำรวจเท่านั้น ในส่วนของกรมมหาดเล็กจะเป็นตำแหน่งของหัวหมื่นมหาดเล็กทั้ง 4 คือ จมื่นสรรเพชญ์ภักดี จมื่นศรี จมื่นไวยวรนาถ จมื่นเสมอใจราช ถือศักดินาคนละ 1,000 ไร่
จมื่นศรีเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรซ้าย ส่วนจมื่นเสมอใจราชเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กเวรขวา อำนาจหน้าที่ของจมื่นสามารถควบคุมและสั่งการมหาดเล็กใต้บังคับบัญชาได้ทั้งหมด เวรซ้ายมีหน้าที่มาเข้าเวรในวันข้างแรม เข้า 2 วัน ออก 2 วัน รับใช้ใกล้ชิดเจ้าเหนือหัว
แม้มหาดเล็กจะไม่ได้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ด้วยความที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินทำให้ขุนนางมักจะให้ความเกรงใจอยู่
วัยหนุ่มของทั้งสามกับตำแหน่งที่ใหญ่โตมิใช่เบา ย่อมทำให้เกิดความกร่างอหังการ์ตามประสาหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลาย
หลายคนจึงเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยเกรงจะไปปะทะโดยไม่ตั้งใจและอาจมีเรื่องมีราวกันโดยไม่เจตนาก็เป็นได้
สมัยนั้นถ้าไพร่ทะเลาะกับขุนนาง มีความผิดมหันต์ จึงไม่มีไพร่คนใด หรือชาวบ้านทั่วไป ที่คิดจะเข้าใกล้ ที่อาจก่อให้เกิดขุ่นข้องหมองใจกันได้
ถ้าจะพูดไป คงไม่มีชาวบ้าน มีแต่ไพร่กระมัง เพราะชาวบ้านทุกคนเรียกรวมว่าไพร่ เป็นงั้นไป
คำว่าไพร่ ไม่ใช่คำต่ำช้า เหยียดหยาม ดังที่บางคนในยุคนี้ใช้กัน
ทุกคนที่เกิดมาเป็นชาวบ้านอายุ 9 ขวบ ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เจ้าเหนือหัวคุมไพร่ทั้งหมด ไพร่หลวงถูกเกณฑ์ทำงานโยธาให้รัฐ  แล้วแบ่งปันให้ขุนนาง เรียกไพร่สม ซึ่งจะกลายเป็นสมบัติไปชั่วลูกหลาน
แย่กว่าไพร่ คงเป็นทาส ทาสสินไถ่ ทาสในเรือนเบี้ย ทาสเชลย ทาสบางพวกเป็นทาสตลอดชีวิตไป ต่อเนื่องไปถึงลูกทาสที่เกิดในเรือน
การเป็นขุนนางจึงดูใหญ่โตเสียเหลือเกินที่ไพร่และทาส ไม่บังอาจมาอื้อหือด้วย
 
เมื่อออกเวร สามหนุ่มจะใช้ชีวิตเสเพล ดื่มสุรายาเมา เที่ยวผู้หญิง เล่นการพนัน ต่อยมวย ยิงนกตกปลา ทำทุกสิ่งที่หนุ่ม ๆ ชาวราฐมัณฑ์ในสมัยเดียวกันทำ มิได้ผิดแผกแปลกไป
เป็นชีวิตของคนหนุ่ม ที่ใคร ๆ เขาทำกัน ยิ่งใหญ่โตมากเพียงใด ยิ่งอหังการ์มากเพียงนั้น
ไม่ได้เป็นหนุ่มหน้ามนคล้ายหญิงสาว ไม่ได้เป็นขันทีในพระราชวังที่ถูกตอนจนหมดความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นชายทั้งแท่งที่ออกห้าวหาญ องอาจ กล้าหาญ บ้าบิ่น
เมื่อหลวงพิชัย รูปหล่อ หุ่นล่ำบึ้ก ผิวออกคล้ำสมดังไทยแท้แต่อกหักดังเป๊าะ ด้วยดันไปหลงรักหลานสาวคนโปรดของสมุหพระกลาโหม แล้วโดนพรากจากนางด้วยเหตุทางการเมือง ทำให้พี่ใหญ่ พี่รองต้องพาไปเปลี่ยนอารมณ์บ่อยครั้งขึ้น
ไม่เช่นนั้นหลวงพิชัยจะเอาแต่คลุ้มคลั่ง กินแต่เหล้าและละเมอเพ้อพกถึงแต่แม่หญิงบัว
อกหักจากรักแรกพบของหนุ่มที่เพิ่งเริ่มแตกพาน มันรุนแรงและร้ายแรงยิ่งนัก คิดว่าความรักนี้คือทุกสิ่งของชีวิต เมื่อไม่สมหวังแทบอยากจะตายและตาย ไม่ได้คิดหรอกว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น และราตรีนี้อีกยาวนานนัก ชีวิตต้องพบและเจอะเจอความรักอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ
เมื่อน้องเล็กมีอาการน่าเป็นห่วง มีอะไรที่จะดีไปกว่า การออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา และเหล่หาสาว อื่นเพื่อมาดามหัวใจที่หักดังเป๊าะให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม
นอกจากเที่ยวในตลาดในเมืองแล้ว บางทียังพากันออกไปยิงนกตกปลาตามบ้านนอกที่ห่างไกลออกไปสักหน่อย ที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
วันใดที่ไปเจอพวกนักเลงหัวไม้คุมถิ่นอาจต้องมีเรื่องเตะต่อยชกตีกันบ้างให้เจ็บตัวพอรู้สึก บางวันมีประลองฝีมือมวยเพื่อชิงรางวัล สามหนุ่มมักจะเข้าท้าชิงและได้รางวัลพอแก้เหนื่อยบ้าง
วัยหนุ่มทั้งสามใช้ชีวิตกันอย่างสุขสำราญสมดังชายชาตรีสมัยนั้น ไม่ได้สำอางค์องค์ เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เหมือนสาว ๆ แต่ห้าวและองอาจกล้าหาญพร้อมลุยได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าเจอะเจอนักเลงอันธพาลมิได้หวั่นเกรงแม้แต่น้อย และไม่เคยโอ้อวดว่าเป็นถึงจมื่นและหลวง มหาดเล็กหลวงด้วยคิดว่าไม่ได้ออกมาทำงานในหน้าที่
“พวกเราออกไปเที่ยวนอกเมืองกันดีไหม วันนี้” หลวงเดชเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยวันนี้ออกเวรพร้อมกัน
“ดีเหมือนกัน” จมื่นศรีรีบตอบรับ แต่หลวงพิชัยนี่สิยังนั่งเหม่อลอย ซึม ๆ เหมือนไม่ได้ยิน หรือไม่ยินดียินร้ายที่จะออกไปเที่ยว อยากแต่นั่งเฉย ๆ คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย ๆ
“เออ ไปเที่ยวกันดีกว่านะ น้องเรา นั่งแบบนี้ไม่ดีหรอก เผื่อเจอสาว ๆ ที่สวยบาดตาบาดใจยิ่งกว่าแม่หญิงบัวก็เป็นไปได้นะ” หลวงเดชหันมาชวนหลวงพิชัยจริง ๆ จัง ๆ
“แม่หญิงบัวงามที่สุดแล้วในสามโลก คงยากที่จะหาใครงามเท่า” หลวงพิชัยเถียงข้าง ๆ คู ๆ อย่างแน่ใจว่าสาวที่ตนหลงรักนั้นงามจริง ๆ ไม่มีใครมางามเท่า
“เออน่า พี่ท่านอยากไป เราไปเป็นเพื่อนเที่ยวดีกว่า ออกไปนอกเมืองบ้าง ไม่ต้องกินเหล้าเมายาก็ได้ ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เปิดหูเปิดตาหาสิ่งแปลกใหม่ ร่างกายจะได้แข็งแรงสดชื่น”
หลวงเดชยังพยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้หลวงพิชัยลุกจากที่นั่งอย่างเซื่องซึมหงอยเหงา มาเป็นเดินเหินก้าวไปข้างหน้าและลืมความหลังที่อกหักเสีย
จมื่นศรีที่ปกติไม่ค่อยพูดมาก เมื่อเห็นอาการน่าเป็นห่วงของหลวงพิชัย ได้ร่วมกันเชิญชวน เพื่อให้หลวงพิชัยหายเศร้าด้วย “เออ ลุก ๆ ไปเที่ยวกัน”
สิ้นคำสั่งกลาย ๆ หลวงพิชัยได้ลุกขึ้น เพราะเชื่อพี่ท่านเสมอมาตั้งแต่เป็นเด็ก
 
เมื่อออกไปเที่ยวหัวเมืองได้พบเตะตากับสามสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกันเดินเล่นในตลาด สามสาวเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคัก โดยไม่ได้สนใจสายตาชายหนุ่มแปลกหน้าที่เฝ้ามอง
ตามประสาชายหนุ่มเมื่อเห็นสาว ๆ จะปากเปราะเราะรานหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาว ด้วยการยั่วให้โกรธ แล้วสาว ๆ จะค้อนขวับหรือเจรจาโต้ตอบอย่างไม่ยอมความ ทำให้เกิดการต่อปากต่อคำ และนำไปสู่การรู้จักกันในที่สุด ถ้ารู้สึกต้องตาต้องใจกันพอควร
“ควายหายหรือจ๊ะ น้องสาว” หลวงเดชผู้ปกติมาดขรึมพอควร กล้าเอ่ยปากทักสาว ๆ ด้วยคารมที่กวนส่วนล่างเป็นอันมาก เพราะนั่นหมายถึงสาว ๆ  กำลังรีบจ้ำอ้าวเพื่อตามหาควาย ทั้งที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สาวคนหนึ่งที่น่าจะอายุน้อยสุด แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำคนแรก “ควายหายแล้วพี่จะช่วยตามหาควายให้เหรอคะ” แต่ดวงตากลับค้อนขวับเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้เต็มที ที่อยู่ดี ๆ มีใครที่ไม่รู้จักกล้ามาว่าพวกเธอได้
“ได้สิขอรับ แต่ทว่ามันวิ่งเตลิดไปทางไหนเหรอ พี่จะได้ไปช่วยตามให้” หลวงเดชตอบทันที
สาวอีกนางสะกิดเพื่อนให้หยุดพูด เพราะไม่งามนักที่สาวจะต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มแปลกหน้าในที่สาธารณะเช่นนี้ แต่หาทำให้สาวนางนี้หยุดพูดไม่
“ได้เลยค่ะ มันวิ่งเตลิดไปทางนั้น พี่ต้องรีบหน่อยนะ เดี๋ยวจะตามไม่ทัน” พร้อมหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหลวงเดชตั้งหน้าทำท่าจะวิ่งไปทางปลายนิ้วชี้
คราวนี้สามสาวหัวเราะพร้อมกัน ที่เห็นว่าหลวงเดชทำท่าจะไปตามควายที่หายไปจริง ๆ
หลวงเดชวิ่งไปสักพัก หันหน้ากลับมาพร้อมทำท่าเหนื่อยหอบแฮก ๆ ราวกับเหนื่อยเสียเหลือเกิน ทั้งที่วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ทันทีที่ได้ยินเสียงสามสาวหัวเราะ ให้รู้ว่า สามารถทำคะแนนได้แล้วจึงยิ้มให้อย่างกว้างขวาง พร้อมเข้าไปพูดคุยด้วยดี
หลังจากแนะนำว่าตัวเองชื่อเดช พี่ใหญ่ชื่อศรี และน้องเล็กชื่อชัยแล้วได้หาเรื่องเจรจาต่อด้วยการเดินตามสาว ๆ ไปตามทาง ซึ่งสาว ๆ ยอมให้เดินตามโดยดี ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ทำให้สามหนุ่มกล้าเดินตามไปจนถึงบ้านของพวกนางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พบกันครั้งแรกไม่
สามสาวนี้เป็นพี่น้องกัน 2 คน อีกคนเป็นเพื่อนของพี่สาว
เมื่อถึงเรือน พี่สาวคนโตชื่อกุหลาบได้เชื้อเชิญให้สามหนุ่มดื่มน้ำดื่มท่าพักผ่อนกายาให้สบายใจที่แคร่พักนอกเรือนชาน พอเป็นพิธีว่าได้ต้อนรับขับสู้ดีพอสมควร แต่มิกล้าเอ่ยปากชักชวนให้ขึ้นเรือน ด้วยยังมิรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จะกลายเป็นที่ครหาขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาได้ว่าให้ท่าชายแปลกถิ่นจนเกินงาม
น้องสาวที่ดูปากกล้าต่อปากต่อคำกับชายแปลกหน้านั้นชื่อมะลิ ได้เอื้อนเอ่ยให้นั่งพักสบายอารมณ์ ก่อนจะขอตัวไปหาขนมอร่อยที่ห้องครัวมาให้ขบเคี้ยวเล่น
ส่วนเพื่อนของพี่สาวคนโตนั้น ไม่ช่างพูดช่างเจรจาได้แค่อมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสิ่งใดน่าขบขัน แต่กิริยาท่วงทีเช่นนี้กลับถูกใจจมื่นศรียิ่งนัก กลายเป็นสิ่งน่าค้นหามากกว่าสาวมะลิช่างเจรจาและกุหลาบที่มีมาดเคร่งขรึมสมกับเป็นพี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลน้อง ๆ
สามหนุ่มสาวนั่งเจรจากันอีกสักครู่ จมื่นศรีจึงได้รู้ว่า สาวที่ถูกใจคนนี้มีนามว่า “เอื้อย” เป็นลูกสาวของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในถิ่นนี้ กำนันคนนี้เป็นคนดี ใจนักเลงคอยดูแลลูกบ้านด้วยดี
หลังจากวันแรกที่ได้รู้จักกัน จากเจตนาแรกหวังให้หลวงพิชัยได้พบเจอสาวคนใหม่ที่ถูกใจเพื่อลบภาพของแม่หญิงบัวให้จางหายไปจากใจ กลับกลายเป็นคนที่โดนศรกามเทพปักอกกลับกลายเป็น
จมื่นศรีที่ร้อนรนและคอยชวนเพื่อนไปแวะเยี่ยมหาสาวเอื้อยอีกบ่อยครั้ง
หลวงเดชกับหลวงพิชัยสังเกตเห็นว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อย
หลวงพิชัยแหย่เย้า “เออ ตกลงจะให้กระผมหาหญิงใหม่หรือขอรับ น่าจะเป็นพี่ท่านเสียมากกว่า จ้องมองแม่เอื้อยตาไม่กระพริบเลย” จากนั่งซึมเซามาหลายเพลา หลวงพิชัยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้พบปะสาว ๆ ได้ต่อปากต่อคำ และรู้ว่าจมื่นศรีสนใจสาวนามว่า เอื้อย จนน่ากลายเป็นรักแรกพบเช่นตนเอง
หลวงเดชหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ดังลั่น “เออน้องเราพูดถูก แทนที่น้องเราจะเจอสาวคนใหม่ กลายเป็นพี่ท่านไปเสียนี่ แล้วเราจะเดินเกมต่อไปเช่นไรดี สานต่อ หยุด หรือทำเฉย”
“เออ ๆ เราน่าจะไปคุยกันอีกสักรอบสองรอบ เผื่อจะได้รู้จักดีขึ้น ดีไหม” จมื่นศรีเอ่ยตอบ พร้อมทำหน้าเขินนิด ๆ แต่สองหนุ่มไม่ตอบ เป็นอันรู้กันแน่ชัดว่า จมื่นศรีสนใจแม่เอื้อยแล้ว
ชายหนุ่มเมื่อแรกรักครั้งแรก คงมีกิริยาพาทีเขินอายเช่นนี้เอง
 
หนุ่มสาวเมื่อแรกพบประสบพักตร์
จะรู้สึกนึกรักและยินดีพึงพอใจต่อกัน
หรืออาจเหม็นขี้หน้าไม่อยากเสวนา
คงขึ้นกับบุพเพที่เคยทำแต่ชาติปางก่อน
 
 
 



Create Date : 23 มิถุนายน 2563
Last Update : 23 มิถุนายน 2563 16:49:57 น.
Counter : 761 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments